Dahlia 23นานมากที่ผมไม่ได้กลับบ้าน แต่ผมยังจำคุณครูสอนภาษาไทยกับคุณครูสอนพละระดับชั้นประถมได้อย่างดี ครูชานนท์เป็นชายรูปร่างสูง พุงพลุ้ยนิดหน่อย มีหนวดขึ้นหรอมแหรมเพราะไม่ใส่ใจจะโกน ผมสีดอกเลาถูกซอยสูง เป็นคนดุแต่ใจดีลึกๆ ลึกมาก ผมได้จมูกกับคิ้วของเขามา ส่วนครูแก้วตาเป็นครูที่เห็นหน้าปุ๊บแล้วนึกออกทันทีว่าสอนวิชาภาษาไทย ผมตัดเสมอติ่งหูสีเดียวกับผมของครูชานนท์ เป็นหญิงวัยกลางคนตัวท้วม ใส่แว่นที่มีสายสร้ายคล้องกับคอ ชุดที่ครูชอบใส่เป็นสีชมพูบานเย็น ผมเหมือนกับครูแก้วตาที่ตากับปาก น้องสาวผมก็เช่นกัน แต่รูปหน้าผมได้จากแม่ ส่วนน้องได้จากพ่อ
ผมหลับตาลงปรับโฟกัส ลืมตาอีกครั้งยังเห็นภาพของชายหญิงวัยทองนั่งอยู่บนโซฟาในห้องที่ไม่คุ้นตา พ่ออ่านหนังสือพิมพ์ ส่วนแม่กำลังปอกผลไม้ คนที่ฟุบหน้าอยู่ข้างเตียงเป็นน้องสาวอายุห่างกัน 7 ปี ไม่ได้หลับหรอก ฟุบลงไปเล่นบีบีใต้เตียงต่างหาก
“กานต์....”
“อ้าว พี่กันต์ ตื่นแล้วเหรอ? เป็นไงบ้าง?”
ชนากานต์รีบเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ามาจับมือผม ผมไล่มองผ้าห่มกับชุดที่สวมพบว่ามีชื่อโรงพยาบาลที่พี่เอิร์ธทำงานอยู่กระจัดกระจาย อ้อใช่.. ผมจำได้ว่าคุยกับพี่เอิร์ธ จากนั้นจู่ๆก็หน้ามืดไปเลย
“ตัวไข้สูงตั้ง40 องศา โรงบาลเลยโทรมาบอกแม่ นี่ถ้าตัวไม่ป่วยคงไม่ได้เจอกันใช่ไหม ไม่กลับบ้านเลย”
“อืม งานยุ่งน่ะ มากันนานหรือยัง?”
“สักพักแล้ว เค้าซื้อขนมมาฝากตัวด้วย นี่ๆ ถามอะไรหน่อยสิ ตัวรู้จักหมอที่ชื่ออติวิชญ์เป็นการส่วนตัวด้วยเหรอ? เค้าเห็นเดินเข้ามาดูเกือบทุกชั่วโมงเลย ล้อหล่อ”
พ่อกระแอมไอในลำคอ พับหนังสือพิมพ์เก็บแล้วเดินมาเกาะขอบเตียง “กานต์อย่าเพิ่งกวนพี่กันต์สิ แล้วเป็นยังไงบ้างเรา ปวดหัวไหม?”
“ครับ แต่ดีขึ้นแล้ว”
“ทีหลังก็อย่าโหมงานมาก ป่วยจนได้”
พ่อบ่น ผมอยากเถียงว่าไม่ได้โหมงานจนป่วย แต่กินเหล้าจนป่วยต่างหากก็เกรงจะได้ฟาดแม่ไม้มวยไทยกับพ่อที่โรงพยาบาลเข้าให้ พ่อผมไม่ทั้งกินเหล้า และสูบบุหรี่ เรื่องพวกนี้เลยกลายเป็นเรื่องต้องห้ามไปด้วยสำหรับคนที่บ้าน เคยทะเลาะกันรุนแรงครั้งหนึ่งตอนที่แม่สงสัยเรื่องกลิ่นบุหรี่ และพ่อมาเจอก้นบุหรี่ในห้องเมื่อสมัยมัธยม จากนั้นผมก็ระแวดระวังมากขึ้น ไม่ได้เลิก แต่ถ้าอยู่บ้านก็จะไม่สูบ รวมไปถึงวันไหนที่ออกไปกินเหล้าจะเลือกกลับบ้านเวลาที่แน่ใจว่าทุกคนเข้านอนแล้วเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องทดเรื่องเมาเอาไว้ในใจแทน
“ตื่นแล้ว หิวหรือเปล่า ผลไม้ไหมกันต์”
แม่ชะเง้อถามจากโซฟาแต่ไม่รอคำตอบ พักเดียวจานแอปเปิลก็วางอยู่บนตักผมซึ่งถูกพยุงให้นั่งพิงหมอน ชนากานต์เปิดช่องการ์ตูน แย่งแอปเปิลที่แม่ปอกให้ไม่ขาดปาก พอสมใจก็ไปนอนรอบนโซฟา ให้แม่มานั่งเก้าอี้เฝ้าคนป่วยติดกับผมแทน
“นี่ผมกลับได้หรือยังครับ?”
“ไข้ยังไม่ลดเลย หมอบอกให้อยู่รอดูอาการก่อน เหยาบอกเราไข้สูงมาสองวันแล้ว หมอเลย กลัวจะเป็นไข้เลือดออก”
“ไอ้เหยามาด้วยเหรอ?”
ผมชะเง้อคอหา แต่ไม่เห็นใคร หันกลับมามองแม่ทางนี้ก็ยิ้มหวาน “มาพร้อมขุน เพิ่งกลับไปก่อนเราตื่นไม่นานเอง เพื่อนที่เป็นหมอของเราคงโทรตาม”
“พี่เอิร์ธน่ะเหรอ? เป็นเภสัชครับแม่”
พอพูดถึงหมอยา ชนากานต์ก็เด้งผางมาเกาะแข้งเกาะขาผมริกริก
“ตัวไปรู้จักกันได้ยังไงอะ เล่าให้เค้าฟังหน่อย”
“รุ่นพี่ที่โรงเรียนตอนมัธยมน่ะ เป็นเพื่อนขุนมันอีกทีด้วย”
“มีแฟนหรือยัง? อุ้ย...” น้องสาวผมสะดุ้งเมื่อเห็นว่าใครเข้ามาในห้อง มัวแต่คุยกันเลยไม่ได้ยินเสียงเคาะในทีแรก พี่เอิร์ธเหลือบตามองผมนิดเดียวแล้วยิ้มให้พ่อกับแม่ ในมือมีถุงขนม นมและผลไม้
“พี่เขามาแล้ว ก็ถามเลยสิ”
พ่อกระเซ้า พี่เอิร์ธทำหน้าเหรอหรา ส่วนยัยกานต์ก้มหน้างุด แม่เลยรีบแหย่ให้น้องสาวเขินหนัก “ลูกสาวแม่เขาอยากรู้ว่าเรามีแฟนหรือยังน่ะ”
พี่เอิร์ธหันมาสบตากับผมแป๊บเดียว เรายังไม่พูดอะไรกัน ไม่มีคำทักทาย พี่เอิร์ธไม่ได้ถามอาการ รวมทั้งไม่ประหลาดใจด้วยซ้ำที่เห็นว่าผมตื่นมานั่งคุยกับครอบครัว ผมรีบก้มหน้า ทำเป็นขยับหมอนเตรียมตัวนอนต่อ แม่งไม่สนใจผม หน้ายังไม่มองเลย สรุปก่อนผมสลบมันไม่ได้บอกว่าจะไม่ปล่อยมือไปจากผมแล้วหรือไง ทำไมถึงทำเย็นชาแบบนี้ ผมได้แต่คิดฟุ้งซ่านไปคนเดียว ตบหมอนปุๆแสดงตัวว่ากูหงุดหงิดนะภายในห้องผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาลเอกชน กระทั่งคำตอบกระชับของหมอยาดังขึ้นในประโยคแรกผมก็เผลอลอบยิ้มที่มุมปาก
“มีแล้วครับ.....” ยัยกานต์ร้อง “ว้า....” เบาๆแล้วยื่นมือไปรับถุงขนมจากพี่เอิร์ธ
หนุ่มแว่นเดินยิ้มผ่านเตียงผู้ป่วยไปเก็บผลไม้กับนมเข้าตู้เย็น แม่รีบขอบคุณพลางบอกว่าเกรงใจนักหนา ก่อนหันมาบอกผมว่าอย่าเพิ่งนอน ให้รอทานมื้อเย็นจะได้กินยารอบเดียวเพราะใกล้เวลาหมอมาแล้ว ผมทำหน้าหน่ายๆ ผมเกลียดอาหารโรงพยาบาล ไม่ว่าโรงพยาบาลไหนๆก็ไม่เคยชอบ
“รอดูอาการอีกสักวันสองวัน ถ้าเป็นไข้เฉยๆก็กลับไปทำงานได้แล้ว”
พ่อพูดเมื่อเห็นผมทำมุ่ยหน้า มือใหญ่เอื้อมมาลูบหัวผมสายตายังเต็มไปด้วยความเป็นห่วง ผมเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ กานต์เลิกดูการ์ตูนแล้วหันไปหยิบหนังสือเรียนในกระเป๋ามาชวนพี่เอิร์ธคุยแทน ปีนี้กานต์จะเข้ามหาวิทยาลัย ผมไม่ได้คุยกับน้องเท่าไหร่แต่พอรู้ว่ารายนั้นอยากเป็นหมอตั้งแต่เล็ก เคยเอาวิชาพื้นฐานจำพวกเคมีมาถามผม ผมก็ตอบไม่ได้ พอมีโอกาสได้เจอเภสัชกรหนุ่มก็รีบเอาหนังสือเรียนมากางช่วยกันทำโจทย์ใหญ่ สักพักพอเห็นสมควรแก่เวลา พ่อก็บอกแม่ว่าจะกลับไปเอาเสื้อผ้ามาให้สำหรับที่จะเฝ้าผมคืนนี้ พี่เอิร์ธรีบออกตัวว่าตัวเองอยู่เวรที่โรงพยาบาลอยู่แล้วเลยจะอยู่เป็นเพื่อนผมให้ ทั้งคู่มีทีท่าเกรงใจแต่พอพี่เอิร์ธย้ำอีกครั้งแม่เลยหันมาบอกว่าหลังโรงเรียนเลิก พรุ่งนี้จะรีบมาเยี่ยม
มื้อเย็นวันนี้ผมทานข้าวได้ค่อนข้างน้อยตามคาด ทั้งเพราะอาหารของโรงพยาบาลที่รสชาติแย่เสมอต้นเสมอปลาย กอรปกับยังเบื่อๆอาหารอยู่ หลังมื้อเย็นแม่เลยยัดผลไม้ให้ผมทานต่ออีกนิดหน่อยก่อนกินยา สักพักผมก็หลับ ตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อมีสัมผัสเย็นๆทาบอยู่บนหน้าผาก คนที่บ้านกลับไปหมดแล้ว เหลือแต่ชายหนุ่มในเสื้อเชิร์ตสะอาดตายืนใช้ผ้าเช็ดตัวผมเรื่อยๆ
“พี่เอิร์ธ....”
“ไปอยู่ไหนมาทำไมปล่อยให้ยุงกัดทั้งตัว ไม่รู้หรือไงว่าถ้าติดโรคจากยุมันอันตราย”
พี่เอิร์ธทักทายด้วยน้ำเสียงกึ่งดุ ผมไม่ตอบยกมือขึ้นจับแขนพี่เอิร์ธไว้ วันนี้ทั้งวันเราแทบไม่ได้คุยกันเลยอาจเพราะทั้งพ่อกับแม่อยู่ด้วย ดวงตาคมสบกับผมผ่านเลนส์แว่น ผมรู้ว่าพี่เอิร์ธเป็นห่วงและยินดีเหลือเกินกับความรู้สึกนั้น พักเดียวเตียงผู้ป่วยก็ยวบลง พี่เอิร์ธทรุดตัวนั่งข้างๆขณะที่ผมพยายามดันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ชายหนุ่มดึงมือออกจากการเกาะกุมของผม ยกขึ้นลูบข้างแก้มแผ่วเบา
“ไข้ลดลงบ้างแล้ว ตอนเย็นที่พยาบาลมาเช็ดตัวให้ยังไข้สูงอยู่เลย”
ผมพยักหน้า มองเครื่องหน้าของชายหนุ่มที่ดูท่าทางอิดโรยกว่าปกติเล็กน้อย ใต้ตาของคนขาวค่อนข้างคล้ำ ส่วนภายในดวงตาสีดำขลับเจือไปด้วยความกังวล พี่เอิร์ธมองหน้าผม ผมมองหน้าพี่เอิร์ธ ชั่วจังหวะหนึ่งก็รู้สึกถึงลมหายใจผะแผ่ว ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เราขยับเข้ามาใกล้กันขนาดนี้ ภายใต้เสียงของเข็มนาฬิกา ความมืดข้างนอกอาจกำลังดึงดูดให้ผมกับชายหนุ่มเคลื่อนตัวเข้าหากันด้วยความโหยหา ผมไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายเลื่อนหน้าเข้ามาก่อน รู้ตัวอีกทีริมฝีปากเราก็สัมผัสกันแล้ว
“....ฮืม......”
พี่เอิร์ธจูบ จับปลายคางผมด้วยปลายนิ้ว เอียงหน้าให้ริมฝีปากเราแนบกันยิ่งกว่าเก่า ปลายลิ้นอุ่นเกลี่ยรอบกรอบปากผมช้าๆ กลิ่นของพี่เอิร์ธไม่ได้หอมหวาน แต่มีเสน่ห์เย้ายวนในรูปแบบของผู้ชาย ผมคล้องแขนขึ้นรอบคอใช้ปลายจมูกไล่ดอมดมที่แก้มขาว จากนั้นก็ปรับองศารูปหน้าให้รับปลายลิ้นของอีกฝ่ายซึ่งแทรกเข้ามากวาดต้อนได้มากขึ้น ชั่วระยะเวลาหนึ่งที่ทั้งสั้นและยาว เมื่อชายรูปร่างใหญ่ผละถอยมา ผมก็เอาแต่จ้องมองปากที่มันวาวราวมีน้ำตาลเคลือบไม่ละสายตาไปไหน
“ทำสายตาแบบนั้นอยากให้จูบอีกหรือไง”
ผมรู้สึกร้อนขึ้นมาบนหน้าทันทีเมื่อถูกกระเซ้า ไม่คิดว่าตัวเองจะขี้อาย แต่ก็ไม่เคยมีใครมาเย้าแหย่เรื่องแบบนี้ พี่เอิร์ธยิ้มใจดี ใช้นิ้วหัวแม่มือคลึงเนื้อแก้มผมเบาๆ
“น่ารัก...”
“เพี้ยนเหรอ”
“คนชมก็ดุอีก ยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า วันนี้พี่ไม่กล้ารุ่มร่ามกับเรามาก กลัวที่บ้านกันต์สงสัย ดูเหมือนพ่อจะดุ”
“เดาถูกเผง” ผมว่าพลางนึกถึงครูพละคนเก่ง “ลึกๆเขาก็ใจดีนะ แต่ตอนที่จับได้ว่ากันต์สูบบุหรี่นี่โดนฟาดหนักเหมือนกัน ถ้ารู้ว่ากันต์เป็นเกย์มีหวังกระทืบไส้แตก” ผมหัวเราะกลบเกลื่อน แต่พี่เอิร์ธกลับมีสีหน้าเครียดขึงขึ้นมาถนัด มือที่จับผมไว้บีบแน่นขึ้น สีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อผมพูดถึงเรื่องนี้
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เขาไม่อยากรู้เราก็ไม่ต้องบอกไงว่าคบกันอยู่”
“พี่เป็นห่วงกันต์”
“นี่ กันต์จะ 25 แล้วนะพี่เอิร์ธ ไม่ต้องห่วงหรอก เรื่องที่บ้านกันต์จัดการได้”
ผมกระชับมือขาวเอาไว้แม่นมั่น คู่สนทนาสบตาผมแล้วดึงเข้าไปกอด “ถ้ามีอะไร อย่าลืมว่าพี่พร้อมจะช่วยกันต์นะ”
“รู้แล้ว” ผมยิ้ม พาดสันคางบนลาดไหล่กว้าง ผมเหลือบมองดูนาฬิกา พี่เอิร์ธบอกจะเข้าเวรตอนค่ำๆ นี่ก็ค่ำแล้วยังไม่เห็นไปไหน ทำหน้าตาดราม่าเนียนกอดอยู่ได้ ผมผละตัวหนีเล็กน้อย คนตัวโตมุ่ยหน้า
“ไม่ไปทำงานหรือไง?”
“นี่สิ้นเดือนแล้ว...”
“แล้ว?”
“ก็ใบลาออกมีผลแล้วน่ะสิ ที่บอกว่าจะลาออกจากโรงพยาบาลมาดูโรงงาน จำไม่ได้เหรอ? ที่จริงเมื่อสายๆที่กันต์มาหาพี่กำลังเก็บของอยู่ นั่นเวรสุดท้ายเลยรู้ไหม ยังแอบเบี้ยวมาปรับความเข้าใจกับเราอีก นี่ก็พลาดงานเลี้ยงส่งด้วย ตอนแรกกะจะไปเมากับน้องๆสักหน่อย”
พี่เอิร์ธค่อยยิ้มออก ผมชกอุกไปที่อกแข็งเบาๆ พูดอีกก็อิจฉา หมอยาบอกจะพาผมเข้าฟิตเนสยังไม่เห็นจะเคยพาไปสักที
“ก็ไปสิ กันต์ไม่ได้ห้ามสักหน่อย”
“ใครจะกล้าไป แฟนป่วยอยู่ทั้งคน งานเลี้ยงน่ะไว้วันหลังก็ได้ ไว้กันต์หายป่วยก่อนดีกว่า”
ทำเป็นประเหลาะเรียกคะแนนทับ สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังตัดฉาก เป็นเครื่องของพี่เอิร์ธแต่เจ้าของกลับยื่นให้ผม แค่อ่านชื่อผมก็เห็นหน้าอ้วนๆของใครบางคนขึ้นมาเด่นหรา พอกดรับปลายสายไม่รอให้ผมพูด รายนั้นยิงคำถามใส่รัว
“สรุปไอ้กันต์ป่วยเป็นอะไรวะ ไข้ลดหรือยัง เมื่อวานตอนกูโดนตัวมันมือแทบไหม้ไม่คิดว่าจะเป็นหนักขนาดนี้ พรุ่งนี้ถ้าไม่ดีขึ้นที่ออฟฟิศจะไปเยี่ยมมันกัน สาวๆแม่งวอแวถามกูจังว่าจะให้ไปซักมันเอง ว่าแต่นี่มึงอยู่กับกันต์หรือเปล่า?”ผมหัวเราะ ไอ้ขุนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วถาม
“อะไรวะไอ้เอิร์ธ นี่เครียดจนบ้าไปแล้วเหรอ? กันต์มันแค่ป่วยนะไม่ได้ตาย” “เออ กูไม่ได้ตาย ไอ้ห่า ถามยังกับกูเป็นลูคีเมียระยะสุดท้าย”
“อ้าว เชี่ยกันต์ ฟื้นแล้วเหรอ? เออๆ ดี กูนึกว่ามึงจะเป็นเจ้าชายนิทราไปเสียอีก เป็นไงบ้าง กูไปเยี่ยมมึงมาเมื่อตอนบ่ายๆ โดดงานไปกับเหยาหมิงแต่มึงหลับอยู่เลยกลับกันมาก่อน” “อืม แม่บอกแล้ว ขอบใจที่ห่วง”
“แล้วนี่มึงดีกับผัวรึยัง?” ปากแม่งวอนตีน แต่รู้ว่ามันถามด้วยความเป็นห่วงผสมเสือกล้วนๆเลยตอบอืมในลำคอ ขุนศึกไม่จบแค่นั้น มันเซ้าซี้ว่า อะไรนะ จนผมตอบพลางเบือนหน้าหนีจากคนจ้องไปทางอื่นว่า “ดีกันแล้ว”
“เออ ค่อยยังชั่ว ทีหลังอย่าทะเลาะกันอีกนะ กูปวดหัวฉิบหาย ไอ้เอิร์ธอย่างกับเจ้าเข้า ตอนที่ตื่นมาไม่เจอมึงน่ะ แม่งถึงกับตามมาลากคอกูไปหามึงที่คอนโดเลย กลัวว่าถ้าไปคนเดียวแล้วมึงจะไม่เปิดมารับ ยิ่งพอไปไม่เจอมึงนะกันต์ โอย ไม่อยากจะเผาเพื่อนเลยว่ะ แต่กูไม่เคยเห็นมันเป็นหมาบ้......” “พอแล้ว คุยอะไรกัน”
เพราะเสียงของไอ้ขุนลอดจากลำโพงโทรศัพท์ คนที่นั่งอยู่ใกล้ๆเลยพอจะจับใจความได้ว่ากำลังถูกนินทาระยะเผาขน พี่เอิร์ธยื้อมือถือไปทั้งๆที่ผมยังคุยไม่เสร็จ ดุเพื่อนตัวเองผ่านโทรศัพท์ว่าพูดจาไม่รู้เรื่องสองสามประโยคแล้ววางสาย พอหันมาเห็นผมยิ้มกรุ้มกริ่มมองอยู่หูขาวๆก็แดงก่ำ คนตัวโตกระแอมในลำคอเล็กน้อยพลางปรับสีหน้า
“ยิ้มอะไร?”
“ยิ้มคนฟอร์มจัด มาง้อถึงที่ยังจะทำตึงใส่อีก ทั้งๆที่เป็นห่วงกันต์แท้ๆ”
“ยังจะมายิ้ม มันน่าจะโกรธให้นานกว่านี้ไหมเนี่ย? ทำร้ายจิตใจพี่แล้วยังไม่รู้สึกผิดอีก ตอนที่พูด อยากยอมแพ้จริงๆนะเนี่ย”
พี่เอิร์ธเงียบไปเหมือนคิดอะไร แววตาสงบปิดลงเมื่อประโยคถัดมาพูดเสียงต่ำ“....แต่พอคิดว่าจะต้องอยู่แบบไม่มีกันต์แล้ว......”
ผมรับรู้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดแม้ประโยคนั้นจะไม่จบดี ผมเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มอีกฝ่าย พี่เอิร์ธลืมตาขึ้นใช้ปลายนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาระหน้าผม ก่อนโน้มตัวลงมาจูบที่ข้างแก้ม “....พี่รักกันต์มากนะ เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว ไม่อยากจะแชร์กันต์ให้คนอื่น ถ้ากันต์เลือกจะไปวันนั้น พี่ก็คงต้องปล่อย”
“กันต์ขอโทษ... กันต์แค่กลัวไปสะระตะ กลัวตัวเองเป็นของเล่น กลัวตัวเองไม่สำคัญ กันต์ไม่อยากรู้เรื่องเป็นคนสุดท้าย”
ผมละคำว่าเหมือนกับเมื่อหกปีก่อนเอาไว้ เปล่าประโยชน์ที่จะดึงมันขึ้นมาพูดอีก สิ่งที่ควรจะคุยกันควรเป็นการปรับความเข้าใจไม่ใช่ตอกย้ำ พี่เอิร์ธพยักหน้ารับฟัง กระซิบเพียงเสียงเบาแต่หนักแน่น “พี่รู้แล้ว... ขอโทษ”
เรากระชับมือที่จับกันเอาไว้แน่นราวกับจะบอกอีกฝ่ายให้เริ่มต้นกันใหม่ เสียงเคาะประตูดังขึ้น พี่เอิร์ธเลยลุกออกจากเตียง พร้อมกับพยาบาลถือถาดยาเข้ามา หล่อนโปรยยิ้มให้อดีตเพื่อนร่วมงานซึ่งอีกฝ่ายก็ผงกหัวรับเหมือนปกติ
“ยาก่อนนอนค่ะ คุณเอิร์ธนอนเฝ้าน้องเหรอคะวันนี้” พยาบาลสาวถามยิ้มๆ เอาปรอทมาวัดไข้ พี่เอิร์ธตอบรับ เทน้ำเปล่าใส่แก้วแล้วยื่นให้ผมรับมาดื่ม
“ไข้ลดลงแล้ว สงสัยกำลังใจดี เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณหมอจะมาถามอาการช่วงสายๆ ถ้าไม่มีไข้แล้วก็ทานอาหารได้ ก็น่าจะกลับบ้านได้ พักผ่อนเยอะๆนะคะ”
ผมยิ้มรับ พอคุณพยาบาลกลับออกไปแล้วพี่เอิร์ธก็ปรับเตียง จัดท่าให้ผมนอนพลางกระชับผ้าห่มให้คลุมปิดไหล่ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาโน้มลง จูบบนหน้าผาก ดวงตาอ่อนโยนจับจ้องระยิบ ผมเห็นแล้วก็อดใจสั่นเหมือนทุกทีไม่ได้
พอเถอะพี่... ผมกำลังจะหัวใจวาย
“กันต์...”
“ครับ?”
“ออกจากโรงพยาบาลแล้วย้ายไปอยู่ที่บ้านพี่นะ ให้พี่ดูแลกันต์”
ผมเงียบ หลบสายตาลงต่ำ ก่อนหน้านี้ไปๆมาๆระหว่างบ้านพี่เอิร์ธกับคอนโดอยู่ระยะหนึ่งแต่ไม่ถึงกับไปทุกวัน พอถูกจู่โจมแบบนี้ก็อดที่จะเขินขึ้นมาไม่ได้ เห็นแบบนี้ผมก็ไม่เคยอยู่กินกับแฟนคนไหนเป็นกิจลักษณะนี่ครับ ปัญหามากมายเหมือนลิ้นกับฟันถ้าเราต้องใช้ชีวิตอีกครึ่งหนึ่งร่วมกับใครซึ่งเป็นสิ่งที่ผมเลี่ยงมาตลอด ทั้งๆที่กลัว แต่อีกใจหนึ่งกลับเรียกร้องหาว่าบางทีผมกับพี่เอิร์ธอาจต้องการเรียนรู้กันอย่างใกล้ชิดมากกว่านี้อีกสักขั้น
สัมผัสอุ่นชื้นแตะลงบนแก้มผมอีกครั้ง คนจอมฉวยโอกาสละออกไปแล้วตอนที่ผมรู้สึกตัว พี่เอิร์ธยิ้มตาปิด ลูบหัวผมซ้ำ นานแล้วที่ไม่ได้เห็นลักยิ้มของพีเอิร์ธ มันมีเสน่ห์มากจริงๆ “ไว้ค่อยให้คำตอบก็ได้ คืนนี้นอนได้แล้ว ฝันดีครับกันต์”
ผมเหลือบตามองอีกฝ่ายที่ล้มตัวลงบนโซฟา มีผ้าห่มผืนเล็กที่ไม่สามารถคลุมได้ตลอดร่างทับไว้ ผมตะแคงข้าง หันมองรุ่นพี่แล้วยิ้มอ่อน
“ฝันดีครับพี่เอิร์ธ”
-west-
มากลางสัปดาห์อันแสนยุ่งเหยิง
ช่วงนี้งานเยอะมากกกกกกกก จริงๆ ที่เอามาลงก่อนวันอาทิตย์ไม่ใช่อะไร แอบมีคนอ่านไปทวงหน้าเพจ น่ารักกันจริงๆยังรอเรื่องนี้ด้วย >__< เริ่มเรียกน้ำตาลมาหน่อยละ ทำไมแต่ละคนต่างรอคอยให้อีกันต์(เรียกด้วยความรัก)ถวายตัวให้พี่เอิร์ธกันจังเลย ใจเย็นเน่อ ขอพี่เอิร์ธทำใจก่อน เตรียมการไม่ดีเดี๋ยวโดนมันคว่ำได้ง่ายๆ ฮ่าๆๆ
ปล. ขอบคุณสำหรับคนที่อ่านมาถึงตอนนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะมีความสุขกับการอ่านครับ เจอกันภายใน10วัน จะไม่ให้เกิน สัญญา