Dahlia 22เสียงลมพัดกระป๋องที่ถูกตั้งไว้จนสูงหล่นโครมดังเคร้ง เจ้าของห้องชะโงกหัวออกมานอกระเบียงหลังจากเสียงบาดหูดังติดกันระนาวไปถึงด้านใน ถลึงตาตี่ๆใส่บิ๊กอายจนปิดตาขาวแทบมิดให้แขก ยงยุทธจิ๊ปากแล้วหายกลับไปหลังบานประตูก่อนมาอีกครั้งพร้อมถุงบิ๊กซีสีเขียวใบตอง กวาดซากกระป๋องแอลกอฮอล์ลงเก็บรวมๆได้เกือบสองถุงเต็มก่อนยันหน้าผากผมจนหงาย
“นี่มึงแดกแล้วนอนพับอยู่ระเบียงห้องกูมาหนึ่งวันเต็มๆแล้วนะไอ้กันต์ ถ้ามันหนักหนาอะไรขนาดนั้นทำไมไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรนอกจากพารานอยแล้วบริจาคเลือดให้ยุงวะ”
คนพูดหรือไอ้เหยา ผู้จ่ายค่าเช่าอพาร์ทเม้นที่ผมมาสิงอยู่ด้วยบ่น ยกมือขึ้นเกาพุงขาวจัดของตัวเองแล้วทำท่าเหนื่อยหน่ายเต็มทน
ผมมาเคาะประตูห้องมันรัวๆตั้งแต่เมื่อวานแล้วค้นเบียร์ในตู้เย็นมันดื่มกับดูดมาร์โบโลเขียวเป็นคอตตอน นั่งไอโขลกสลับกับอ้วกแตกและร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่ระเบียงห้อง เหมือนหมาจรจัดที่ถูกหวดออกจากตลาด จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 36 ชั่วโมงเต็ม และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ ผล็อยหลับไปบ้างแล้วก็สะดุ้งตื่นมากินเบียร์ต่อ ไม่ทำอะไรเป็นสาระกับตัวเองสักอย่าง
ผมไม่สวมเสื้อ ใส่แค่บอกเซอร์ตัวเดียวทำให้ทั้งตัวลายพร้อยเพราะยุงกัด ไอ้เหยาโยนคารามายด์มาให้ผมก็ตั้งมันไว้แบบนั้น ไม่ได้ใส่ใจจะหยิบขึ้นมาทา ถือเสียว่าเป็นบทเรียนกับนิสัยห่วยแตกของตัวเอง ผมไม่มีคำแก้ตัวให้พี่เอิร์ธ คืนนั้นเราจ้องตากันพักใหญ่ก่อนคนเมาจะหอบผ้าห่มไปนอนหน้าทีวี ผมร้องไห้ทั้งคืนจนถึงเวลารถเมล์วิ่งถึงค่อยขยับตัวออกจากบ้านหลังนั้น หยิบแค่กระเป๋าเงิน ส่วนโทรศัพท์ทิ้งไว้ที่เดิมไม่คิดจะเอาออกมาด้วย กลัวพี่เอิร์ธสร่างเมาแล้วจะโทรหา พอๆกับที่กลัวว่าพี่เอิร์ธจะไม่สนใจ คอนโดก็ไม่กล้ากลับ ด้วยเหตุผลเดียวกันกับโทรศัพท์ ซึ่งดูขัดแย้งพิกล แต่ยอมรับว่าส่วนลึกผมอยากให้อีกฝ่ายยังคงห่วงกันบ้าง
“หนักว่าตอนเลิกกับพี่เมอีกนะ”
ไอ้เหยานั่งยองๆข้างๆผมที่ทรุดตัวแปะกับลูกกรงเหล็กหมดสภาพ คำว่ายอมแพ้ของพี่เอิร์ธไม่ได้ทำให้ผมเจ็บปวดเท่ากับสายตาที่มองกันด้วยความผิดหวัง จะว่ามินก็ไม่ถูก มันพูดถึงสิ่งที่ผมทำกับมันจริง ผมยอมให้มันกอด ยอมให้มันจูบ ยอมให้ความรู้สึกลังเลทิ่มแทงเข้ามาเหนือความเหมาะสมถูกต้อง ยอมหักหลังพี่เอิร์ธทั้งที่รู้แก่ใจว่าพี่เอิร์ธรู้สึกอย่างไร
ผมเจ็บกว่านั้นคือพี่เอิร์ธทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรมาตลอด.. ไม่รับฟังมิน ไม่เซ้าซี้ผม จนผมพลาดในเรื่องที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดเป็นเรื่องขึ้นมาได้
ผมกอดมินด้วยความบริสุทธิ์ใจ...
แต่กลับไม่มีคำแก้ตัวใดๆที่มีน้ำหนักพอเพื่อส่งไปถึงอีกฝ่ายได้เลย
เหมือนกับเด็กเลี้ยงแกะ..
ที่พี่เอิร์ธคงเกลียด“อ้าวเฮ้ย ร้องไห้อีกแล้วไอ้ห่ากันต์”
ไอ้เหยาส่ายหน้าหัวเสีย ทึ้งผมซอยประบ่าเหมือนทรงนักร้องเกาหลีของตัวเองไปมา ผมชันขากอดตัวเองเอาไว้ ซบหน้าลงหัวเข่าปล่อยให้น้ำตาไหลป้อยด้วยความอ่อนแอ ราวทั้งโลกไม่หมุนแล้ว ผมไม่รู้จะลืมตาขึ้นมาทำอะไร หายใจไปทำไม ความรู้สึกครั้งที่ถูกทิ้งไปเมื่อหกปีก่อนยังเด่นชัด ผมจำได้ว่าสภาพไม่ต่างจากกันตอนนี้ ผมมองไม่เห็นความสุขของตัวเองเพราะเอาความรู้สึกทั้งหมดไปผูกไว้กับพี่เอิร์ธ ถึงจะดึงตัวเองออกมาไม่กล้าเทไปทั้งใจแต่สุดท้ายผมก็เจ็บอยู่ดี และความเจ็บก็ไม่ได้แบ่งเลเวลด้วยว่าเจ็บมากเจ็บน้อย สิ่งที่เสียใจที่สุดคือความเจ็บนั้นไม่ใช่มาจากใคร ล้วนแต่เป็นเพราะพฤติกรรมของตัวเองทั้งนั้น
“หิวไหม กินอะไรหน่อยเถอะ ตั้งแต่เมื่อวานแล้วนะอัดแต่เบียร์กับบุหรี่ ตายคาห้องกูไม่ตลกนะเว้ย”
ผมเหลือบมองคนถามที่แทรกเสียงเข้ามาในห้วงความคิด ส่ายหัวเพราะปวดหัว กินอะไรไม่ลง เบียร์หมดไปตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วยังแทบขย้อนออกมาด้วยซ้ำ ไอ้เหยาแล้วกลับเข้าไปในห้องพร้อมถุงขยะ มันกลับมาอีกครั้งกับผ้าเช็ดตัวลายคิตตี้ผืนเล็กแปะบนหัวให้ผมเช็ดตัวเอง แต่ตอนนี้มึนไปหมด ขยับตัวหน่อยก็โก่งคอให้ยงยุทธก็รีบเอาตะกร้าใส่ถุงพลาสติกมาจ่อปากรับพร้อมจะสำรอกออกมาหมดทั้งลำไส้
“อ้วกมีแต่น้ำ ไอ้ห่าเอ๊ย... พอแล้ว กลับเข้าห้องได้แล้ว เดี๋ยวกินอะไรสักหน่อย”
เพื่อนสนิทหิ้วปีกผมกลับออกมาจากระเบียง มันตัวเล็กนิดเดียวพอถึงห้องนอนก็รีบเหวี่ยงผมขึ้นเตียงก่อนนั่งหอบแฮ่ก เหยาดูแลผมบ่อยสมัยเรียน เมื่อก่อนเป็นรูมเมทกัน พอทะเลาะกับเมียทีไหร่ก็ได้แต่ไอ้จีนเตี๊ยะนี่คอยดูแลตลอด มานั่งนึกๆดูแล้ว ผมเองเป็นคนที่โชคดีมากเลยนะ มีทั้งเพื่อน ทั้งคนที่รัก ผิดก็แต่ตัวเองที่เสือกทำตัวงี่เง่า กับเพื่อนไม่ทุกข์ก็ไม่เคยเห็นหัว กับแฟนถ้าไม่ทะเลาะก็ไม่เคยสำนึกผิด
“เหยา... ทำไมกูมันเลวแบบนี้วะ”
ผมถามเสียงอ้อแอ้ ไอ้ตัวเล็กตวาดแว้ด “รู้ตัวก็ดี สันดาน... เป็นภาระให้กูตลอด”
“แต่มึงก็ยอมให้กูเป็นภาระ มึงนี่แม่ง น่ารักฉิบหาย”
“ใครใช้ให้มึงมาสนิทกับกู ไอ้ควาย ย้อนกลับไปตอนปี1ได้กูจะไม่สนใจไอ้เพื่อนหน้าตาเหรอหราแบบมึงเลย เก๋าเจ้ง”
ผมหัวเราะร่วน แต่น้ำตากลับไหล ไอ้เหยานั่งลงข้างๆผม หยิบรีโมทย์ไปลดอุณหภูมิแอร์แบบไม่เป็นคนดีกลัวโลกร้อนแล้วหยิบหนังสือมาพัดเหงื่อที่ซึมตามไรผมออกพรั่บพรั่บทว่ากลับโยนผ้านวมโปะลงบนตัวผม ผมสะบัดออกลุกขึ้นมาดึงมันเข้ากอดตามประสาคนเมาแล้วเลื้อย ยงยุทธฮึดฮัดในอ้อมแขนผมก่นด่าเป็นไทยสลับจีนสารพัด ผมหอมแก้มขาวๆของมันซ้ำ คราวนี้เลยได้ลูกถีบมาหนึ่งดอก จุกจนงอตัวขดเป็นกุ้งอยู่บนเตียง
“เมาแล้วแบบนี้ทุกที นี่กูเอาตัวรอดไม่โดนมึงอัดตูดมาได้ยังไงวะเนี่ย” มันชายตาตี่ๆมองผมนิดเดียว จัดแจงเสื้อผ้าให้เข้ารูปแล้วดึงผมขึ้นไปนอนบนหมอนอีกครั้ง
“รู้ตัวว่าไม่ดีก็ทำตัวใหม่ โอกาสมีไว้ให้คนที่รู้ว่าพลาดไอ้เหี้ย ร้องไห้อีกแล้ว เดี๋ยวกูมาเดี๋ยว เดี๋ยว...”
ยงยุทธหายไปแล้วกลับมาพร้อมกีต้าตัวโปรดในระยะเวลาสั้นๆ ตัวเล็กกระแอมไอให้ปรับสภาพเสียงก่อนเกาสายเครื่องดนตรีตามคอร์ดก่อนเริ่มร้องเพลง
“...ร้องไห้หาพ่อเธอหรือ เห็นเธอตะโกนหาพ่อ เจ็บช้ำจนน้ำตาคลอ ให้พ่อมาเช็ดน้ำตา
ร้องไห้หาแม่เธอหรือ เห็นเธอตะโกนเรียกหา เจ็บช้ำหัวใจอ่อนล้า ให้แม่เธอมา เช็ดน้ำตาอีกคน..”“ไอ้เหี้ยเหยา!”
ผมปาหมอนใส่มันก่อนล้มตึงบนเตียงอีกครั้ง ไอ้เหยาหัวเราะคิกคักแล้วดึงผมขึ้นนั่ง ยกถ้วยเกี๊ยวกุ้งซีพีอุ่นๆมาป้อนถึงปาก “แดกอะไรซักหน่อยแล้วค่อยกินยานอน มึงมีไข้”
ผมยอมกินไปได้สองคำก็ทำหน้าเหมือนจะอ้วกอีก ยงยุทธรีบจับผมตั้งคอ สั่งให้กลืนลงไป ตามด้วยดื่มน้ำตามมากๆ พอเจ้าของห้องพอใจมันก็ปล่อยให้ผมนอนสักที สัมผัสชื้นๆผมคาดว่าคงมาจากผ้าเช็ดตัวลายคิตตี้ของมันแปะป่ายตามลำตัว ปากพึมพำขอโทษทั้งเหยา ทั้งพี่เอิร์ธต่างๆนานา สุดท้ายสติผมก็หลุด กลับมาติดๆดับๆเวลาได้ยินเสียงปิดเปิดประตูเท่านั้น
“เออ... อยู่กับกู เมาเป็นหมาเลย ไข้สูงด้วย ตั้งแต่เมื่อวานแดกเกี๊ยวกุ้งไปสองตัว”เสียงไอ้เหยาคุยโทรศัพท์กับใครสักคนปลุกให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ในหัวยังปวดมึนไปหมดจนต้องหลับตาอีกรอบ ทว่าเสียงเพื่อนร่วมห้องยังคงดังให้รับรู้ว่าปลายสายมันคุยกับใคร
“ฝากลางานให้มันด้วยแล้วกันว่ะขุน เย็นๆมึงมาเยี่ยมก็ได้นะ เอ้อ... เอาพี่เอิร์ธอะไรมาด้วยก็ดี มันคงดีใจถ้ารู้ว่าเขาถามถึง”
“กูไม่รู้ จะไปรู้ได้ยังไงว่าทะเลาะห่าอะไรกัน ไม่ได้อยู่ใต้เตียงมัน .....เล่า... ก็แค่บอกว่าพี่เอิร์ธจะทิ้งมันรายละเอียดไม่ได้พูด โคตรเพ้อเลย พูดเหี้ยอะไรกูยังจับใจความไม่ได้เลยเนี่ย.... แล้วสรุปเย็นนี้มึงจะมาไหม? อยากแดกสุกี้ว่ะ มึงก็ซื้อของสดมาสิ ห้องกูมีหม้อ....”ผมหลับไปอีกครั้งแล้วตื่นมาตอนได้ยินเสียงโคร้งเคร้งในครัว สติเริ่มมาแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นกรุงเทพยามราตรี ผมควานหานาฬิกาปลุกรูปไก่สีขาวของไอ้เหยามาดูเวลา พบว่าป่านนี้ละครหลังข่าวคงเล่นไปสามโฆษณาได้แล้ว
“อ้าว ตื่นพอดี กูกำลังจะมาตามมึงไปแดกข้าว พวกกูทำสุกี้กัน”
ผมพยักหน้าเมื่อเจ้าของห้องเปิดประตูห้องนอนเข้ามา จากนั้นก็ลุกไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันรอบแรกหลังจากดองมาเกือบจะสองวันเต็มแล้วออกมาทั้งผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ของเจ้าของห้อง ขมวดพอเป็นปมแล้วเดินโชว์หุ่นที่เต็มไปด้วยตุ่มยุงกัดแดงๆเข้าไปในห้องโถง กลิ่นควันน้ำซุปลอยฉุย ไอ้ขุนนั่งเทน้ำจิ้มสุกี้สำเร็จรูปใส่ถ้วยรวมอยู่หน้าหม้อยิ้มแผล่ให้ผมเหมือนเคย
“แดกๆ”
ชายอ้วนกระวีกระวาดตักของโปรดให้ผมจนเต็มถ้วยเป็นคำทักทาย แต่สุดท้ายก็กินไม่ลง ผะอืดผะอม เบื่ออาหาร ยัดลงท้องไปได้แค่ครึ่งเดียวจากปกติ รู้สึกปวดเมื่อยตามเนื้อตัวขึ้นมาอีก ไอ้เหยาไล่ผมไปแต่งตัวแล้วให้ออกมานั่งคุยกันเดี๋ยว สุดท้ายผมก็สวมกางเกงบอลเจ้าของห้องมานั่งแปะบนโซฟา มองไอ้สองตัวนั้นกินแล้วถอนหายใจระริน
ในหัวยังคิดถึงเรื่องของพี่เอิร์ธ แล้วก็ร้อนขึ้นมาที่กระบอกตาอีกครั้ง
“เบียร์หมดแล้วเหรอวะ?”
ผมตะโกนถามหลังจากเดินผ่านเหยากับขุนไปเปิดตู้เย็น ไอ้เหยาตอบอือออในลำคอผมเลยไปคว้าเสื้อกล้ามที่วางพาดเก้าอี้แถวๆนั้นขึ้นมาแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ ยังไม่เที่ยงคืนเซเว่นยังขายแอลกอฮอล์อยู่แต่ไอ้ขุนรีบเบรคไว้ก่อน “มึงจะไปไหน?”
“ซื้อเบียร์”
“มานั่งเลย ข้าวปลาแดกไม่ได้เสือกจะแดกเบียร์ นมเปรี้ยวไปก่อนแล้วกัน กูซื้อมาฝากแพคนึงในตู้น่ะ”
อกหักให้ดื่มนม กูเพิ่งเคยได้ยินก็ตอนนี้แหละ ผมไม่ฟัง เตรียมใส่รองเท้าแตะหนีบของยงยุทธลงไป แต่เจ้าของห้องรีบทิ้งช้อนส้อมมาดึงผมไปนั่งที่โซฟาก่อน
“มึงไม่ค่อยสบาย กูว่านอนเถอะ ไม่ต้องกินแล้ว”
“กูเครียด...”
“แดกไปก็ไม่หายเครียด ไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุล่ะว่ะ”
ผมเงียบ ไม่ตอบไม่เถียง ไอ้เหยามีเมียคนนึงชื่อตาล ปกติมันอยู่ด้วยกันครับ แต่เคราะห์ดีที่สัปดาห์นี้ตาลไปสัมมนาที่ภูเก็ตเจ็ดวันผมเลยพอจะมีที่ซุกหัว จริงๆเรื่องปัญหาครอบครัวนี่ปรึกษามันได้นะ ติดก็แต่ผมไม่ค่อยจะฟังคำมันสักเท่าไหร่ คนละลัทธิครับ ไอ้นี่ชอบสอนว่ากลัวเมียไว้แล้วจะเจริญ
“กันต์... มึงจะปล่อยให้เรื่องจบเหมือนพี่หญิง พี่เม เหรอวะ?”
“กูไม่รู้จะเริ่มแก้ยังไง...”
ผมพูดตามความจริง วันนั้นผมอยากจะขอโทษ อยากจะกอดพี่เอิร์ธไว้แล้วบอกว่าอย่าไปยังไม่กล้าเลย ผมเคยบอกว่าดีใจที่พี่เอิร์ธกลับมา มันเป็นความรู้สึกนั้นจริงๆ แค่มีพี่เอิร์ธอยู่ใกล้ๆ ใกล้ที่ไม่ได้หมายถึงมานั่งริมน้ำซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งให้ทุกวัน แต่หมายถึงใกล้ใจ เราต่างทำหน้าที่ของเราไป เจอกันบ้าง ทานข้าวกันบ้างตามโอกาสแต่ยังรู้ว่ามีอีกคนนึกถึงเราอยู่ก็เพียงพอ ความผิดของผมที่ลังเล ไม่แน่ใจ คิดถึงแต่เรื่องความรู้สึกของตัวเอง เซฟหัวใจตัวเองจนลืมความรู้สึกของคนที่บอกว่ารักจนเรื่องมันเป็นแบบนี้ ผมให้ความโกรธที่ตัวเองถูกทำเหมือนเป็นคนโง่เข้าครอบงำ ทั้งที่ถ้าลองตรองดีๆแล้วไม่มีอะไรที่พี่เอิร์ธทำผิดกับผมเลยด้วยซ้ำ
พี่เอิร์ธกลับมาหาผม ก่อนเจอมิน....
พี่เอิร์ธเลิกกับพี่นิค เพราะรักผม.....ถึงแม้พี่เอิร์ธจะถูกตราหน้าจากภูมินทร์และเพื่อนๆพี่นิคว่าเป็นผู้ชายเสเพล สิ่งหนึ่งที่ผมควรตระหนักได้คือแท้ที่จริงแล้ว คนที่พี่เอิร์ธรักคือผมคนเดียวตั้งแต่หกปีก่อนและตลอดมา มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลยด้วยซ้ำที่จะเปิดโอกาสให้ใครในเมื่อตัวผมเองก็ยังทำ เราไมได้นอกใจกัน ไม่ได้ไร้ความรับผิดชอบ มันเป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมที่เขาและผมจะมีใครหลังจากวันนั้น
เป็นผมเองที่ผูกติดกับความเจ็บปวดของตัวเองจนมองไม่เห็นอะไรผมเริ่มร้องไห้อีกครั้ง คราวนี้ขุนอยู่ด้วยมันเลิกกินสุกี้แล้วมากอดผมอีกคน ไม่มีใครบอกให้ผมหยุด ทุกคนนั่งอยู่ภายใต้ความเงียบของตัวเองและเสียงสะอื้นของผม
เหยาพูดถูก ผมจะปล่อยให้จบแบบนี้ไม่ได้
พอกันที... กับชนกันต์คนอ่อนแอ...
พอกันที......วันต่อมาผมก็หยุดงานอีก หลังจากที่ฝากไอ้ขุนลาเมื่อวานไปหนึ่งวัน เมื่อคืนร้องไห้จนหลับ ยงยุทธปลุกขึ้นมากินยาพาราไปรอบแล้วเข้าไปนอน ตื่นตอนเช้ายังมึนๆอยู่แต่พออาบน้ำอาบท่า ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นของเจ้าของห้องที่ลุกไปทำงานแต่เช้าก็ดีขึ้น ผมโบกแท็กซี่ไปโรงพยาบาลตามที่คิดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน พอถึงก็ตรงไปแผนกจ่ายยาทันที เจอคุณหนิงคุยกับเด็กฝึกงานก็หันมาถามผมว่ามาหาพี่เอิร์ธเวลางานมีธุระอะไรสำคัญหรือเปล่า ผมไม่มีแรงจะต่อล้อต่อเถียง ฝ่ายนั้นก็เงียบไปแล้วเข้าไปตามพี่เอิร์ธให้ พักเดียวหมอยาในชุดกราวด์สีขาวก็เดินออกมาหน้านิ่ง นัยน์ตารีเล็กกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครยืนเกาะอยู่ริมเคาท์เตอร์
“....พี่เอิร์ธ คุยกับกันต์หน่อยได้ไหม?”
“พี่ทำงานอยู่ เอาไว้เลิกงานเดี๋ยวพี่โทรหาแล้วกัน นี่โทรศัพท์ที่ลืมไว้ กันต์กลับไปก่อน”
ผมเม้มปากเข้าหากัน มองมือขาวที่ส่งสมาร์ทโฟนให้ผมโดยไม่คิดจะเอื้อมมือไปรับ รู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาที่กระบอกตาช้ำๆอีกรอบ ผมหลุบสายตาลงต่ำ ไม่อยากมองแววตาแห่งความหมางเมินของผู้ชายตรงหน้า พี่เอิร์ธถือค้างไว้แบบนั้น ไม่มีบทสนทนาใดๆพักใหญ่กระทั่งน้ำตาผมร่วงผล็อยลงมา โทรศัพท์ของผมถึงค่อยถูกยัดลงในกระเป๋ากางเกงแสลคของเภสัชกรหนุ่ม เสียงถอนหายใจผ่อนยาวก่อนมือขาวจะเปลี่ยนมาเป็นคว้าข้อศอกผม พี่เอิร์ธชะงักนิดนึงแล้วหันกลับมาถาม
“ไม่สบายเหรอ?”
ผมไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้า
“ไปหาหมอก่อน”
“กันต์ไม่ไปจนกว่าจะได้คุยกับพี่”
“อย่าดื้อได้ไหม ตัวร้อนจี๋แบบนี้ออกมาข้างนอกคนเดียวได้ยังไง! ถ้าเป็นอะไรขึ้นมา...”
“กันต์จะไม่หาหมอ ถ้าพี่ไล่กันต์ กันต์จะนั่งรอจนกว่าพี่จะเลิกงาน”
“อย่าเอาความห่วงใยของพี่มาต่อรอง มานี่ หรือจะให้พยาบาลมาจับ”
“กันต์บอกว่าจะคุยกับพี่ก่อนไง!”พี่เอิร์ธขบฟันจนกรามเป็นสันนูน ดึงแขนผมเดินออกไปด้านนอก พอถึงบริเวณสวนหย่อมปลอดคน หนุ่มแว่นก็ปล่อยมือผมเปลี่ยนเป็นกอดอก
“มีอะไรก็รีบพูด จะได้ไปหาหมอ”
“กันต์ขอโทษ.... ”
ผมพูดไปกลั้นเสียงสะอื้นไป ไม่ได้ตั้งใจจะมาเรียกคะแนนสงสารหรือใช้น้ำตามากล่อมให้อีกฝ่ายใจอ่อน ผมไม่ใช่คนเจ้าน้ำตาขนาดนั้นแต่พอเป็นเรื่องพี่เอิร์ธกลับงอแงได้ง่ายๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะพี่เอิร์ธใจดีกับผมมาก ไม่บ่อยเลยที่อีกฝ่ายจะทำให้ผมกลัว และหนึ่งในหลายเรื่องที่พี่เอิร์ธทำให้ผมกลัวคือเรื่องนี้
ผมกลัวว่าพี่เอิร์ธจะไม่รัก..“กันต์....พี่ว่า เราต้องการเวลานะ”
พี่เอิร์ธพูดเสียงแผ่วแต่หนัก น้อยครั้ง น้อยจริงๆที่ผมจะเห็นพี่เอิร์ธมีทีท่าไม่สบายใจกับผม
“.....เกลียดกันต์แล้วเหรอ?”
“พี่ไม่ได้เกลียด... พี่หมายถึง ระหว่างเรา บางที... กันต์น่าจะลองทบทวนตัวเองดูดีๆว่ากันต์ต้องการอะไร.. ต้องการใคร”
“..................”
“ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่พี่ไม่เจ็บนะกันต์... แต่การที่รั้งคนที่ไม่ได้รักเราไว้ มันเจ็บกว่า.... วันที่ไอ้มินจูบกันต์ต่อหน้าพี่ พี่ยังเข้าใจได้ว่าเราไม่ได้สมยอม แต่คืนนั้นที่พี่เห็นกันต์เป็นคนกอดมัน...”
ผมเงยหน้าสบตาคนพูดทั้งที่ยังไม่จบประโยค สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาเอื่อยๆโดยไม่คิดจะเช็ดออก พี่เอิร์ธสบตากับผมแล้วเบือนหน้าหนี วูบเดียวผมก็ถูกดึงเข้าไปกอด แขนใหญ่รวบผมไว้ด้วยมือหนึ่งข้าง ก่อนริมฝีปากหนาจูบหนักบนกระหม่อม จากนั้นพี่เอิร์ธก็ใช้คางเกยกับผมที่ตัวสั่นปล่อยให้น้ำตาเลอะเสื้อกาวน์สีขาวสะอาดตา
“อย่าร้อง.....”“....กันต์ขอโทษ กันต์ไม่ดีเอง......”
“กันต์....พอแล้ว.....”
“... กันต์รักพี่เอิร์ธ”“ถ้ากันต์เลือกพี่.... พี่จะไม่มีวันปล่อยมืออีก เพราะฉะนั้นคิดให้ดีๆ พี่ทำเพื่อเราทั้งคู่นะ”
“กันต์เลือกแล้ว... พี่เอิร์ธ... ถ้าจะทำเพื่อกันต์ก็อยู่กับกันต์ได้ไหม”
ถ้าที่ผ่านมาเป็นเพียงเพราะความหวาดกลัว ถ้าหากมันทิฐิเป็นกำแพงกั้น ผมจะทิ้งมันไป สิ่งที่ผมประจักษ์ในเวลานั้นคือกอดของพี่เอิร์ธอุ่นและปลอดภัย ผมจะเชื่อ ผมจะรัก จะให้พี่เอิร์ธทั้งหมดของหัวใจ แค่อย่างเดียว ให้พี่เอิร์ธอยู่กับผม
ผมอาจขอร้อง อ้อนวอน หรืองอนง้อไม่เก่ง แต่ที่กล่าวมาทั้งหมด คือความรู้สึกของผมจริงๆ
ไม่อยากจะเสียพี่เอิร์ธไปอีก..“..พี่จะไม่ปล่อยกันต์ไปอีกแล้ว เข้าใจใช่ไหม ถึงเวลานั้น ต่อให้กันต์บอกว่าเสียใจที่เลือกพี่ พี่ก็จะไม่ปล่อย”
ผมพยักหน้าชิดอก พี่เอิร์ธยกมืออีกข้างมากระชับกอดผมไว้ เรากอดกันแน่น แน่นจนมั่นใจว่าจะไม่มีที่ว่างอีกแล้ว พี่เอิร์ธจูบที่กระหม่อมผมซ้ำๆ
จากนั้น สติผมก็หลุดลอยไป
-west-
บทสรุปของความดราม่า ตอนหน้าคงได้กินของหวานกันบ้างล่ะ
กรี๊ดดด ไปดูเจมส์จิก่อนน้าาา