Dahlia 21บ้านของนิธิกรเป็นบ้านเดียวขนาดใหญ่แถบชานเมือง ภายในรั้วบ้านมีสระว่ายน้ำและสวนรอบๆ โต๊ะหินอ่อนซึ่งตั้งห่างออกมาดูเหมือนจะเป็นแค่ไอเท็มสำหรับประดับเป็นองค์ประกอบการจัดสวนเท่านั้น สังเกตได้ไม่ยากจากสภาพใบไม้และเศษดินที่ระเกะระกะอยู่บนโต๊ะตลอดจนถึงเก้าอี้ทรงเตี้ย
ผมปีนขึ้นไปนั่งบนโต๊ะหินอ่อนที่มีตารางหมากรุกอยู่กึ่งกลาง ขณะที่จำเลยยืนพิงต้นจามจุรีที่เขียวชะอุ่มไปด้วยใบและร้องเพลงออกมาจากสายลมที่พัดโชยกิ่งก้านให้เสียดสีกันเบาๆ
เราอยู่ท่ามกลางความอึดอัด บุหรี่มวนต่อมวนถูกจุดสูบครั้งแล้วครั้งเล่า ควันขาวลอยคลุ้งราวกับดรายไอซ์ทว่าไม่อาจผ่อนคลายความรู้สึกข้างในให้บรรเทาลงได้เหมือนเคย พระเอกหนุ่มที่ไม่สมควรอยู่ตรงนี้หลับตาลง ในมือถือไฟแช็คจุดมันเล่นซ้ำๆซากๆ
“...กลับมาเมื่อไหร่?”
ผมถาม ถ่มน้ำลายที่เต็มไปด้วยสเลดลงพื้นหญ้า ยังไม่อยากมองหน้ามันตอนนี้ ภูมินทร์ตอบเสียงแผ่วว่า“สามวันก่อน” ซึ่งนั่นคือวันที่ผมเจอกับพี่เมที่สุวรรณภูมิพอดิบพอดี
“งานที่ญี่ปุ่นเสร็จแล้วหรือ?”
“เปล่า.. ลากลับมา อยากมาแสดงความยินดีให้พี่นิค”
เราถอนหายใจต่อจากกันเป็นระยะ ผมไม่แน่ใจว่าควรจะเค้นเรื่องที่มันไม่พูดออกมาหรือปล่อยให้คนที่คงบอบช้ำทางจิตใจสมานแผลตัวเองก่อนดี ทว่าไม่นานเกินรอ ภูมินทร์ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้น “ไอ้เหี้ยเอิร์ธพามึงมาเหรอ?”
ผมพยักหน้าและได้ยินประโยคแว่วๆว่า “ระยำ” จากนั้น มือขาวกำเข้าหากัน ผมเห็นมินโมโหไม่พอใจหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่มันหงุดหงิดถึงขีดสุดทว่าสายตากับกร้าวไปด้วยความเจ็บปวด เป็นเวลายาวนานที่เรายืนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงเข็มนาฬิกาที่มันเดินนวยนาดดังติ๊ก ติ๊ก ไปด้วยความรู้สึกอึดอัด ผมแกะตัวลอคออกแล้วติดเข้าซ้ำๆ ซากๆให้เสียงนาฬิกาดังป๊อกแป๊กประกอบ เหมือนเป็นของเล่นเดียวที่ดึงให้สติยังอยู่ในโลกแห่งความจริง ไม่หลุดลอยฟุ้ง
ควรจะเริ่มถามจากตรงไหน ทำอย่างไรควันสีเทาที่ขมุกขมัวอยู่ในใจจึงจะหายไป..
“เมื่อก่อนพี่นิคอยู่คอนโดห้องติดพี่เม รู้จักกันมาตั้งมัธยมที่กูมาไทยแรกๆ พี่เมไม่ค่อยว่างเขาเลยชวนไปไหนมาไหนด้วยบ่อยๆ พี่นิคมีแฟนเป็นผู้ชาย กูไม่สนิทกับแฟนเขาเท่าไหร่แต่ดูดุๆ มีช่วงนึงที่พี่นิคก็หายไป กูเลยปีนระเบียงไปหา เจอเขานอนป่วยเพราะโดนแฟนตัวเองซ้อมอยู่ในห้อง....แผลอักเสบ หน้านี่เขียวไปหมด ยิ่งเป็นคนขาวๆยิ่งเห็นชัด ไข้ขึ้นไปเกือบสี่สิบองศา กูกับพี่เมช่วยกันหามส่งโรงบาลแทบไม่ทัน...”
มินพูดเบามาก เหมือนพึมพำกับตัวเองให้ผมต้องเงี่ยหูฟัง
“....ตอนนั้นกูแทบบ้า คิดตลอดว่าจะไม่ให้ใครทำร้ายพี่นิคอีกแล้ว กูจะดูแลพี่นิค เหมือนที่พี่นิคดูแลกู กูรักเขา รักมากกว่าพ่อแม่ที่ส่งกูมาไทย รักมากกว่าพี่เมที่ให้ที่ซุกหัวนอน รักกว่าตัวเองที่เป็นแค่ผู้ชายไม่เอาถ่าน รักจนยอมทำอะไรก็ได้เพื่อให้พี่นิคมีความสุข ...หลังจากวันนั้นกูก็อยู่กับเขาตลอด ขนข้าวของไปพักด้วยกัน แล้วก็ตอนไหนไม่รู้ที่นอนด้วยกัน หมายถึงมีอะไรกันน่ะนะ พี่นิคกลับมายิ้มอีกครั้ง พี่นิคมีความสุขอีกครั้ง จนวันนึง พี่นิคก็พาไอ้เอิร์ธมากินข้าวกับกูแล้วบอกว่า มันเป็นแฟนพี่นิค”
ผมเหลือบตาขึ้นมองภูมินทร์ ดวงตาสีอ่อนยังคงทอประกายความเจ็บปวดเหมือนแผลสดที่ถูกราดด้วยทิงเจอร์แม้เรื่องราวจะผ่านมาแล้วเนิ่นนาน
“กูลุกขึ้นต่อยไอ้เอิร์ธกลางร้านอาหาร พี่นิคด่ากูเสียเลยตอนนั้น วันต่อมากูมาดักรอเจอไอ้เอิร์ธที่มหาลัยมัน กูขอพี่นิคคืน กูอยากดูแลเขาเหมือนเมื่อก่อน.. ให้กูทำอะไรก็ยอม”
“แล้วพี่เอิร์ธว่ายังไง?”
“มันบอกให้กูกลับไปนอนซะ เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว โคตรกวนตีน กูเลยต่อยมันไปอีกรอบ ครั้งนี้ไม่มีกรรมการห้าม ไอ้เอิร์ธมันตัวใหญ่เลยกลายเป็นกูที่คางแตกไปให้พี่เมด่าซ้ำ จากวันนั้นพี่นิคมาหากูที่คอนโด เคลียร์ แล้วก็ขอยุติความสัมพันธ์ทั้งหมด คุยกันได้สิบห้านาทีไอ้เอิร์ธก็เปิดประตูพาพี่นิคกลับไป กูเริ่มเที่ยว เริ่มมั่ว.... ทั้งโง่ ทั้งเด็ก กูเริ่มมีความสัมพันธ์ชั่วคราว กูสนุกกับชีวิตสำมะเรเทเมา ถ้ามันจะทำให้กูลืมไปว่าต่อจากวันนั้นก็เหลือแค่กูคนเดียวแล้ว กูก็จะทำ....”
“....................”
“.....แล้ววันนึงกูก็ได้ยินว่า พี่นิคถูกทิ้ง พี่นิคไม่เคยบอกว่าเรื่องอะไร กับเพื่อนๆก็ไม่รู้ มีคนนึงบอกกูว่าก่อนหน้านั้นไอ้เหี้ยเอิร์ธไปค้างที่บ้านพี่นิค ถ้าจะให้เดา คงไม่พ้นฟันแล้วทิ้ง”
ผมเงียบไปภายในใจรู้สึกบีบอัดแล่นริ้วจนต้องเม้มปากระงับอาการปลาบแปลบของความรู้สึก เสียงลมหายใจเหนื่อยหน่ายถูกทอดถอน ออกมาอีกครั้งภูมินทร์ปาบุหรี่ในมือลงพื้นแล้วขยี้ไฟสีส้มด้วยปลายเท้า
“กูกลับมาหาพี่นิค... แต่เขากลับผลักไสกูมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก กูเหมือนคนโง่ เหมือนคนบ้า แต่กูก็ยังตามข่าวพี่นิคกับเพื่อนเขาตลอด ยิ่งรู้ว่าพี่นิคเจ็บ กูก็เจ็บยิ่งกว่า กูไม่เคยลืมเขา แต่ก็ทำได้แค่ดูอยู่ห่างๆ จนบังเอิญได้เจอไอ้คนที่ทำให้พี่นิคทิ้งกูไปอีกครั้งที่คอนโดมึง กูก็คิดว่าจะไม่ปล่อยไอ้เหี้ยนั่นมีความสุขอีกแล้ว ถ้ามึงคือความสุขของมัน... กูก็จะแย่งมันมา”
“มึงไม่เคยชอบกูเลย?”
ครั้งนี้คำตอบคือความเงียบเชียบของอีกฝ่าย ผมข่มความรู้สึกหงุดหงิดลงต่ำด้วยการหลับตา บางทีถ้าผมจะฉุกใจบ้างว่า มันไม่เคยบอกว่าชอบผมสักครั้ง คงไม่รู้สึกเสียหลักขนาดนี้ “กูกลายเป็นของเล่นให้มึงเต็มตัวเลยสินะ”
“กันต์... ที่กูเคยบอกว่ากูห่วงมึง กูหมายถึงแบบนั้นจริงๆ กูไม่อยากให้มึงเสียใจกับมัน คนอย่างมันก็ดีได้แค่ช่วงแรกๆ ทำให้คนอื่นรัก ทำให้คนอื่นหลงหัวปักหัวปำ วันที่มันบอกเลิกพี่นิค พี่นิคแทบกราบขอร้องให้มันอยู่ มันก็ไม่อยู่... กูเคยบอกว่ามึงยิ้มสวย ยิ้มของมึงทำให้กูลืมเรื่องเครียดๆได้ทุกเรื่องเลยนะ.. นอกจากเรื่องแก้แค้นไอ้เอิร์ธ ก็เพราะเป็นมึงที่กูแคร์กูถึงรุ่มร่ามกับมึงขนาดนั้น....”
“มิน...มันจะง่ายกว่านี้ถ้ามึงเลือกที่จะพูดกับกูตรงๆ”
“แล้วมึงจะเชื่อกูไหม? ภาพลักษณ์มันมาแบบนั้น รุ่นพี่ที่มึงเทิดทูนนักหนา..”
“แล้วมึงเคยคิดบ้างไหมว่าถ้ากูชอบมึงขึ้นมา... “
“............................”
“มึงเคยห่วงบ้างไหม เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเป็นแบบนั้น คนที่ทำให้รอยยิ้มที่มึงชอบหายไป จะเป็นตัวมึงเอง”
ผมจ้องหน้ามันนิ่ง เจ้าของใบหน้าหล่อเงยขึ้นสบตากับผมเล็กน้อย ดวงตาสีอ่อนหลุกหลิกก่อนเบือนหนีเหมือนเด็กๆที่กลัวความผิด ผมไม่โทษมันหรอก ผมรู้ปูมหลังนิสัยมันจากพี่เมมากพอที่จะไม่โกรธเรื่องความคิดงี่เง่าๆของมัน เพียงแต่ผิดหวัง ใช่ ภูมินทร์หักหาญน้ำใจผมโดยมองแค่ตัวเองเป็นสำคัญ มองโลกที่หมุนรอบตัวเองแล้วพิพากษาแทนทุกคน ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมฆครึ้มไปหมดไม่มีทั้งแสงดาวและแสงจันทร์ สายลมยังคงหวีดหวิวพัดเอาปอยผมหน้าที่ยาวระลูกตาของตัวเองโบกสะบัด
‘ผลั่ก!!!’ถ้าหากจะซื้อทุกความเจ็บช้ำได้ด้วยหมัดเดียว ผมก็ขอจ่ายมันคืนนี้ ไอ้มินเซไปตามแรงเหวี่ยงจากกำปั้น ผมยืนกำมือแน่นมองหน้ามันเขม็ง ฝ่ายถูกกระทำเพียงถ่มน้ำลายเปื้อนเลือดลงพื้นเท่านั้น ไม่โต้ตอบใดใดผมทั้งสิ้น
“กูขอโทษ.... แต่มึง.. อย่าเกลียดกูได้ไหม....”
“ทำไมมึงเรียกร้องแต่ความรักจากคนอื่น... ทั้งๆที่ทำตัวแบบนี้ มึงเรียกร้องความรักจากพี่นิค มึงเรียกร้องความรักจากเจมส์ และมึงเรียกร้องไม่ให้กูโกรธเกลียด ทั้งๆสิ่งที่มึงหยิบยื่นให้กูไม่เคยมีแม้แต่ความจริงใจเลย...”
“กูขอโทษ...”
“มึงเลิกพูดคำว่าขอโทษเถอะ กูเอียน”
“แล้วจะให้กูทำยังไง จะต่อยกูอีกครั้งไหม จะซ้อมกูก็ได้ แต่ขอร้อง ขอร้องเถอะ อย่าเกลียดกู อย่าเกลียด....”
ผมถูกคนพูดดึงเข้าไปกอดทั้งตัว ภูมินทร์รัดแน่นจนผมอึดอัด พยายามดิ้นหรือยื้อตัวออกห่างก็ไม่ส่งผลอะไรสุดท้ายก็ปล่อยให้มันกอดอยู่แบบนั้น คนตัวสูงกว่าเล็กน้อยสั่นไหว ผมสัมผัสถึงความหวาดกลัวและเหงาจับใจ และสุดท้ายก็ใจอ่อน ยกมือขึ้นมาลูบหลังภูมินทร์ป้อยเหมือนกำลังปลอบเด็กขวัญอ่อน
“แค่พี่นิคคนเดียวกูก็รับไม่ไหวแล้ว...กันต์......”
“กูไม่เข้าใจว่ะ ถ้ามึงแคร์เขาขนาดนั้นแล้วเจมส์...”
“ถ้ามึงเจอใครสักคนที่เป็นเหมือนกระจกของตัวเอง... มึงก็จะรู้สึกเหมือนที่กูรู้สึกกับเจมส์”
“แต่นั่นก็ไม่ใช่รัก?”
“กูไม่อยากเป็นคนทำร้ายเขา กูรู้ว่ามันเจ็บ”
ผมถอนหายใจริน สุดท้าย ภูมินทร์ก็เป็นเพียงคนหลงทาง คนที่หาเพียงแสงสว่าง คนที่ไขว่คว้าหาความรักเกินพอดีซึ่งนั่นพาลเพโลให้มันทำร้ายคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ ความหวังดีของมันเปรียบเสมือนดาบสองคม ผมมองเห็นมินที่พยายามเป็นแรงยึดเหนี่ยวให้กับเจมส์ เห็นมินที่หวังดีประสงค์ร้ายกับผม และเห็นมิน ที่รักแค่พี่นิค ผู้ชายที่รักแค่พี่เอิร์ธหมดหัวใจ ซึ่งผมอดหัวเราะหยันในเรื่องตลกของฟ้าและคนบนนั้นไม่ได้ เรามักจะเจอคนที่เรารักแต่เขาไม่ได้รักเรา เรามักจะเรียกร้องความห่วงใยจากคนที่ไม่อยากจะให้ และหงุดหงิดรำคาญกับคนที่เอื้ออาทรเราเกินพอดี ทุกอย่างเป็นวงกลมอย่างไม่อาจหาจุดสิ้นสุด ทุกวันมีคนเสียใจเพราะความรัก และน้อยคนนักที่จะหันมารักคนที่รักเรา
ผมไม่รู้ว่าตัวเองโชคดีหรือโชคร้าย ผมไม่รู้ว่านอกจากมินแล้ว หมากอีกตัวในเกมของโชคชะตามีคำตอบในใจเช่นไรกับเรื่องของผมกับมัน
เวลาผ่านไปพักใหญ่ ภูมินทร์คลายแขนที่รัดรึงผมออก เราสบตากันภายใต้แสงเพียงน้อยนิดจากตัวบ้าน ค่อนข้างแปลกที่ทั้งผมและมินออกมาจากงานนานขนาดนี้แต่ไม่ยักจะมีคนตามหา มินจับมือผมไว้แน่น สายตาเลื่อนลงมาเห็นว่านาฬิกาข้อต่อหลวมของตัวเองตกอยู่ที่พื้น หน้าปัดมันกระทบหินจนกกระจกร้าว บางสิ่งบางอย่างไม่อาจย้อนคืนมาได้อีก แต่เข็มนาฬิกาก็ยังเดินต่อไป
“กูเสียความรู้สึกกับมึงมากว่ะ.... แต่กูก็ไม่ยักจะโกรธเกลียดมึงเท่าไหร่...”
ผมก็ยังเป็นผมวันยังค่ำ ใจอ่อน โลเล ขี้สงสาร ยิ่งกว่านั้นคือไม่เคยโกรธใครจริงจังอย่างที่ใหญ่เคยบอก ผมมองตาช้ำๆของพระเอกหนุ่มซึ่งทอประกายวับวามออกมาเพียงน้อยนิด ไม่มีคำพูดอะไรระหว่างผมกับมัน ภูมินทร์ทำผมชอค ทำผมเสียใจ แต่ท้ายที่สุด ผมก็จะให้อภัยมัน
“กันต์......กูกับมึง.. ยังเป็นเพื่อนกันใช่ไหม?”
ผมหัวเราะกับตัวเอง มันเห็นเสียงหัวเราะที่ไม่ได้เจือไปด้วยอารมณ์ตลกโปกฮา ทว่าก็ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจ “......ทำไมกูมีแต่เพื่อนเหี้ยๆตลอดเลยวะ”
ภูมินทร์ยิ้ม มันดึงผมเข้าไปกอดอีกครั้ง เสียงกระซิบบินผ่านอากาศเพียงผะแผ่วแต่ผมได้ยินชัด คำว่า
ขอบคุณของมันที่พูดซ้ำไปซ้ำมาจนผมต้องกระซิบตอบว่า
พอแล้วเบาๆ
ภายในงานเลี้ยงหลังจากผมเดินกลับเข้ามาพร้อมภูมินทร์บรรยากาศเปลี่ยนไปถนัด พี่นิคปรายตามองผมกับคนใหม่แล้วเบือนหน้าหนี เพื่อนคนอื่นๆก็เช่นกัน และนั่นทำให้ผมเร่งฝีเท่าเดินไปหาคนที่พาผมมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ
พี่เอิร์ธนั่งยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่ม ตอนค่ำเห็นกินแต่น้ำอัดลมไม่รู้ว่าเปลี่ยนมาดื่มแอลกอฮอล์ตอนไหน แต่ดูจากแก้มสีระเรื่อไปถึงหูแล้วก็รู้ว่าซัดไปเยอะพอตัว ผมดึงแก้วเครื่องดื่มออกจากเจ้าของมือขาวแล้วหันไปปราม
“ทำไมดื่มเยอะขนาดนี้ ตัวเองต้องขับรถไม่ใช่เหรอ?”
คู่สนทนาไม่พูดด้วย ผมถอนหายใจหนักแล้วดึงแขนใหญ่ให้ลุกขึ้น พี่เอิร์ธเซเล็กน้อยแต่ยังพอจะประคองตัวอยู่ ผมมองหาพี่นิคกะจะไปลา แต่หันไปอีกทีก็หายไปพร้อมมินอีกแล้วเลยบอกคนอื่นๆที่นั่งดื่มเบียร์กับพี่เอิร์ธแทน
“ผมพาพี่เอิร์ธกลับก่อนนะครับ ฝากลาพี่นิคด้วย”
พี่บอสพยักหน้าส่งๆ ผมควานหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกงคนเมา พยุงพอมาถึงรถได้ก็จับนั่งข้างคนขับ เละแบบนี้ใครจะยอมให้ใช้รถ ผมจำทางเข้าบ้านพี่นิคไม่ได้แต่ลัดเลาะออกไปคงพอไหวอยู่ พี่เอิร์ธไม่พูดอะไรเลย เอาแต่มองออกไปนอกกระจกทำเอาคำถามที่จุกอกผมพลอยเป็นหมันไปด้วย พักใหญ่ รถยนต์สี่ที่นั่งก็จอดหน้าบ้านที่ร่มไปด้วยแมกไม้ ผมไขกุญแจบ้าน ประคองคนเมาขึ้นมาชั้นสองโดยไม่ให้เหยียบแมวสีขาวที่คอยพันแข้งพันขาโดยสวัสดิภาพก่อนเหวี่ยงหนุ่มแว่นลงบนฟูกยางพาราในห้องนอน พี่เอิร์ธลืมตา แต่มองเพดานฝ้าอย่างเลื่อนลอย
“เป็นอะไร...”
คำถามแรกที่ผมยิงถามคนตัวใหญ่ เภสัชกรหนุ่มไม่ตอบยิ่งทำให้ผมหัวเสีย กระนั้นก็ยังมีแรงไปรื้อผ้าเช็ดตัวผืนเล็กไปชุบน้ำมาเช็ดหน้าเช็ดตาคนตัวใหญ่อยู่ดี
“พี่เอิร์ธ....”
“กันต์อยากพูดอะไรกับพี่ไหม?”
ผมถอนหายใจยาว ปลดกระดุมบนให้เห็นแผงอกขาวที่มีมัดกล้ามและไรขนให้ดูเซ็กซี่ พี่เอิร์ธจับมือผมที่กำลังไล่เช็ดไปตามผิวร้อนไว้แน่น บีบจนผมนิ่วหน้า
“กันต์เจ็บ...”
“มีอะไรก็พูดมา!”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ในอกบีบรื้นขึ้นมาจุกคอ ผมเกลียดเวลาถูกตะคอก ยิ่งคนๆนั้นคือพี่เอิร์ธผมยิ่งเกลียด ถ้าอยากฟังคำถามผมนัก จะให้ซักตอนนี้ก็ไหว ผมสติครบถ้วน พร้อมจะฟัง และคงพร้อม ที่จะเจ็บกับมัน
“รู้จักกับมินก่อนกลับมาเจอกันต์?”
คู่สนทนากรอกตาไปมาบนฝ้าเพดาน ไม่ขยับปากแต่ตอบรับในลำคอว่า “อืม...”
“ทำไมไม่เคยเล่าให้กันต์ฟัง....”
“พี่ไม่ใช่คนดี กันต์... แต่ก็ไม่มีคนเลวคนไหนอยากพูดเรื่องแย่ๆของตัวเองให้คนอื่นฟังหรอก....”
“แต่กันต์อยากได้ยินเรื่องเลวๆของพี่จากปากพี่ ไม่ใช่คนอื่น กันต์ไม่อยากเป็นคนโง่ ไม่อยากเป็นแค่ตัวละครประกอบฉากให้พี่กับมินใช้เพื่อการแก้แค้น กันต์ไม่ใช่ตุ๊กตานะ กันต์มีความรู้สึกนะพี่เอิร์ธ!”
“ถ้ากันต์เสียใจที่มันไม่ได้รักกันต์ก็อย่ามาพาลกับพี่! พี่ไม่ใช่ไอ้มินที่มองกันต์เป็นแค่เครื่องมือ ไม่เคย....”
“แล้วทำไมต้องปิดบังกัน หรืออยากให้กันต์มองพี่เป็นเทพบุตร เป็นแค่คนโง่แล้วก็จะทำกับกันต์เหมือนที่พี่ทำกับพี่นิค ให้กันต์ยกให้พี่ทั้งตัว ทั้งใจ พอสาแก่ใจแล้วก็ไปอย่างนั้นเหรอ? กันต์มีความสำคัญกับพี่เอิร์ธแค่นั้นเหมือนพี่นิคหรือเปล่า”
“ถ้าไม่รู้ว่าทำไมพี่เลิกกับพี่นิคก็อย่ามาพูดมาก! กันต์เอาแต่ฟังลมปากของไอ้เหี้ยนั่น!”
“พี่เอิร์ธก็พูดมาสิ!”
“พี่นอนกับพี่นิคแล้วพี่เรียกชื่อกันต์ เข้าใจหรือยัง! พี่นิคอาจบอกว่าไม่เป็นไรแต่พี่รับตัวเองไม่ได้ เวลาที่พี่กอดพี่นิคพี่เอาแต่จินตนาการถึงกันต์ เข้าใจหรือยังว่าทำไมพี่ถึงต้องเลิกกับเขา! หยุดฟังคนอื่นสักที!”
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก ผมไม่รู้ว่าตัวเองถูกกระชากลงเตียงแล้วทาบทับด้วยร่างอีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่ พี่เอิร์ธจับข้อมือทั้งสองข้างผมกางแนบกับฟูกที่นอน ตารีไร้แว่นจ้องมองตัดพ้อเจือความเสียใจออกมาชัดเจน ผมพยายามบิดข้อมือออก แต่สุดท้ายก็ได้แค่ฮึดฮัดภายใต้แรงกดทับของหมอยาเท่านั้น
“คราวนี้ฟังที่พี่จะถามบ้าง...”
พี่เอิร์ธก้มลงมาจูบผม ปอยผมเส้นใหญ่ระบนใบหน้า จมูกคมคลอเคลียไม่ห่างก่อนที่รสจูบผะแผ่วจะค่อยๆถอนออกไป ผมปรือตาเปิดมองคนด้านบนด้วยความสับสน สัมผัสที่ดูเศร้าสร้อย ผิดหวัง กับสายตาที่มองเหมือนรังเกียจกันมากกว่ารักและเอ็นดู
ทั้งหมดนั้น กำลังทำให้ผมเจ็บ“ทำไมถึงยอมให้มันกอด...”“.................”
“......พี่ไม่ไหวแล้วกันต์....... พี่เหนื่อยที่ต้องทนรู้ ทนเห็นว่ากันต์กับมันคบกันแบบไหน... ถ้าไอ้มินมันไม่ชอบพี่ ไม่แปลกเลยกันต์ที่มันจะเล่าให้พี่ฟังว่าเรากับมันทำอะไรกันลับหลังพี่บ้าง...”
“.............................”
“พี่โคตรเจ็บเลย แต่มันไม่เท่ากับวันนี้ที่พี่เห็นด้วยตาตัวเองที่กันต์กับมันกอดกัน...”
“.............................”
“พี่ยอมแพ้......”
-west-
อิ่มมาม่ากันหรือยังครับ ?
พาร์ทหน้าพอแล้วเนาะ เอียนมาก ขอบพระคุณทุกคอมเมนต์มาก ตอนนี้west ก็ยังไม่สามารถถอดหมวกกันนอคได้ เม้นต์กันได้ดุเดือดจนคนแต่งปลื้มใจจริงๆ บางคอมเมนต์ยาวจนคนแต่งตกใจนึกว่ามีใครมาต่อนิยายแทนเลยแหละ (ประนมมือกราบที่ตักงามๆหนึ่งที) นี่กลับจากเชียงใหม่ก็รีบมาต่อเลย ขยันหมั่นเพียรที่สุดในโลกหล้า (แอบเสียใจขึ้นดอยอินทนนไปตอนสี่โมงเย็น ได้ข่าวว่าเมื่อคืนลูกเห็บตกเป็นหิมะเลย กรีดร้อง ฟ้าแกล้ง โฮ...)
ปล. มีคอมเมนต์บอกอยากให้พี่เอิร์ธเป็นรับ แหม่ ตอนนี้น่าโดนกันต์จับปล้ำซะเลยเนาะ ส่วนใหญ่นี่คุ้มค่าตัวมากครับ ออกไม่กี่ฉากมีคนเชียร์เป็นพระเอกซะแล้ว ฟินแทนนาง
ขอบคุณที่อ่านกันมาถึงตอนนี้นะครับ พาร์ทหน้าไม่ดราม่าแล้ว เก๊าก๋อโต๊ดด T__T