kagehana :
ฝากแบบสอบถามค่า โครงการรีปรินท์พี่เดฟน้องปันนะคะ
https://docs.google.com/forms/d/16gTgJZqcpW1aI5EhgdcsspSk7Kq2p8mC54sy-LKDcAM/viewformใครสนใจสามารถตอบได้เลยนะคะ
-36-
“พี่ราม... เอริคบอกว่าอยากให้ไปช่วยงาน ไปนะ” คนตัวเล็กเอ่ยขึ้นทันทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา
“เอริค? เอริคที่ชอบมาตามเราน่ะเหรอ” ราเมนทร์ที่เอนหลังเช็ดเลนส์กล้องอยู่ถึงกับลุกขึ้นมานั่ง
“ไปช่วยงาน...ไปทำอะไร จะชวนกันไปทำอะไรแปลกๆอีกน่ะสิ”
“ทำอะไรแปลกๆ? จะมาถ่ายแบบพอดีต่างหาก เขาอยากถ่ายกับรันอีกนะ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วทันทีเมื่อรู้สึกเหมือนถูกต่อว่า
“ไม่เอาหรอก คราวที่แล้วที่หนีไปถ่ายพี่ยังจำได้ เอริคเกาะติดเรายังกับอะไรดี... ถ้าคิดถึงงานมากเดี๋ยวหาเจ้าอื่นให้ อย่าไปเลย” ราเมนทร์ขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนน้องชายของเขาจะเริ่มหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้ว
“ไปถ่ายน่ะบอกไอ้หมอหรือยัง”
“พี่หมอจะไปด้วยต่างหาก” ไม่พูดเปล่า แต่ยังแลบลิ้นยียวนพี่ชายให้อีกที
“ถ่ายวันไหน กี่โมง ที่ไหน” ราเมนทร์ซักต่อด้วยใบหน้าบึ้งตึง
...ไอ้เด็กบ้านั่นกับไอ้หมอ...ไว้ใจไม่ได้ทั้งคู่
“ถ้าพี่ว่างจะไปด้วย ถ้าไม่ว่างเราไม่ต้องไป”
“พรุ่งนี้ ที่ปราณอะไรซักอย่าง เพราะงั้นจะไปเย็นนี้นะ” รัญชน์ยิ้มกว้างแล้วเอานิ้วจิ้มไปที่กลางอกพี่ชาย
“พี่รามไม่มีสิทธิ์ห้ามนะ รันจะไป”
ถึงอยากจะตามไปด้วยแค่ไหนแต่เพราะกะทันหันเกินไป พรุ่งนี้เขามีงานใหญ่ถ่ายนอกสถานที่ซึ่งกว่าจะเคลียร์คิวตกลงกันได้ก็นานมากแล้ว จะให้รอช่างภาพด้วยเหตุผลว่าไปเฝ้าน้องชายก็ยังไงอยู่...
“แล้วไอ้หมอมันว่างหรือไง หมอประสาอะไรทิ้งงานไปตามแฟน” ราเมนทร์บ่นเบาๆ
...แต่อย่างน้อย ไอ้หมอมันก็คงดูแลรันได้
“ก็อย่ามัวแต่เที่ยวเล่นล่ะ อย่าไปเชื่อคนง่ายแบบตอนมันชวนไปดูหนังโป๊ด้วย”
“อือ ไม่ไปนะ รันแค่อยากถ่ายรูปนะ” เด็กหนุ่มยิ้มกว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมให้
ครั้งล่าสุดที่จำได้... เอริคและเพื่อนนายแบบกำลังดูหนังเอวีกันอยู่ที่ในห้องพักนายแบบ ซึ่งเจ้าตัวเล็กที่เขาดูแลมาอย่างดีก็นั่งเบียดกระแซะตั้งใจดูอย่างสนอกสนใจ
...หลังจากนั้น ในหัวของราเมนทร์ก็ระบุไว้แล้วว่านายแบบหนุ่มชื่อดังคนนั้นเป็นตัวอันตราย
จนกระทั่งมาเจอตัวอันตรายกว่า...ไอ้หมอบีมที่ดูไม่น่ามีพิษมีภัยแต่กลับคว้าไปเป็นคนรักโดยที่คนเป็นพี่ชายไม่รู้สักนิด
“ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”
“อื้อ แล้วเจอกันนะพี่ราม” เด็กหนุ่มวิ่งหายเข้าไปในห้องของตัวเองเพื่อเก็บเสื้อผ้า
“ไฮ รัน” นายแบบหนุ่มที่กำลังถูกช่างแต่งหน้าจัดการหันมามองเพื่อนเก่าแล้วยิ้มหวานพร้อมส่งเสียงเรียก
“ไม่ค่อยโตจากเดิมเลยนะ” เอริครอให้ช่างแต่งหน้าพอใจแล้วจึงลุกเดินมาหา
“..... อะไรเนี่ย คิดงั้นด้วยเหรอ” แม้จะพูดอย่างนั้น แต่แขนสองข้างกลับเอื้อมยกหมายจะกอดอีกฝ่ายเอาไว้
เอริคโอบร่างเล็กเข้ามากอดแน่นแล้วหอมที่หน้าผากแทนคำทักทาย โดยที่ไม่รู้สึกถึงสายตาที่มองมาอย่างขุ่นเคืองสักนิด
ธนกฤตที่หอบหิ้วกระเป๋าให้เม้มปากแน่นพลางมองคนรักของเขากำลังถูก... ผู้ชายที่เป็นแฟนเก่ากอดอย่างสนิทสนม
“ก็ตัวแทบเท่าเดิมเลยนี่...แล้วมากับใครอ่ะ พี่รามไม่เห็นมานี่”
“ขืนมาไม่ได้ทำงานสิ... นั่นแฟนฉันเอง ชื่อบีมนะ” รัญชน์ปล่อยแขนที่โอบกอดร่างสูงออก ทว่าก็ยังปล่อยให้เอริคกอดเขาไว้อย่างนั้น
“พี่บีม นี่เอริค เอริค พี่บีมนะ”
“หวัดดีครับพี่บีม” เอริคยิ้มทักทายพร้อมโค้งหัวลง
“สวัสดีครับ” แม้ริมฝีปากจะยิ้มแต่นัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มด้วยสักนิด ธนกฤตมองไปที่รัญชน์แล้วพูดต่อ
“งั้นรันเตรียมตัวไปแล้วกัน พี่จะแวะเอาของไปเก็บที่ห้องพักก่อน” พูดจบชายหนุ่มก็หันหลังให้แล้วเดินทำหน้าขรึมจากไป
“นี่..เป็นเกย์เหรอแฟนนายอ่ะ ถ้านายไม่บอกว่าแฟนฉันดูไม่ออกหรอกนะนั่น”
“เปล่าเป็น” คนที่ยังห้อยอยู่บนตัวของร่างสูงยิ้มกว้าง
“ฉันชอบเขาก่อนนะ ตอนนี้แฮปปี้ พี่รามบ้าไปเลยตอนแรก แต่โอเคแล้วนะ” รัญชน์ไม่พูดเปล่าซ้ำยังโชว์แหวนที่นิ้วนางข้างขวาให้ดูอีก
...ไอ้พี่บ้าที่หวงน้องยิ่งกว่าหมาแม่ลูกอ่อนเนี่ยนะยอม โลกมันหมุนกลับหรือไง
ตอนที่เขาคบกับรัญชน์ เจ้าตัวขอร้องให้ช่วยปิดพี่ชาย ตัวเขาเองแม้จะไม่เต็มใจแต่ก็พยายามเพื่อที่จะได้คบกันต่อ ตอนนั้นขนาดไม่รู้...ยังหวงยิ่งกว่าอะไร แล้วไหงตอนนี้ถึงเป็นแบบนี้ไปได้
“ทีตอนเราคบกันนายไม่เห็นบอกพี่รามเลย” เอริคตัดพ้อ แต่ไม่ได้น้อยใจอะไร
...ในเมื่อตอนนี้เขามีคนที่รักที่สุดอยู่แล้ว...
“แล้วพี่บีมผ่านด่านมาได้ไงเนี่ย”
“ก็...... ฉันดื้อไง” เด็กหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“เดี๋ยวไปแต่งตัวก่อนนะ” ร่างเล็กดันตัวออกจากอ้อมกอดแล้วเดินไปทางช่างแต่งตัว
ธีมถ่ายรูปในวันนี้ก็เป็นแค่เสื้อผ้าสไตล์ริมทะเลที่ออกแนวหรูหรา ไม่ใช่เพียงแบรนด์ธรรมดาๆที่เห็นได้ทั่วไป เนื่องจากเสื้อผ้าคราวนี้เป็นแบรนด์ที่เพิ่งเปิดตัวในอเมริกาใต้ และเจ้าของแบรนด์อยากได้ไอเดียใหม่ๆและแหวกแนวไปกว่าที่เคย...
ธนกฤตนั่งมองคนรักของเขาในชุดเดรสพิมพ์ลายสีสวยหากแต่ว่าสั้นเสมอเข่า ใบศีรษะมีหมวกสานใบโตสวมลงบนเส้นผมอ่อนละมุนที่พลิ้วไหวตามลมทะเล ใบหน้าขาวถูกแต่งแต้มเล็กน้อยพอมีสีสันที่เป็นธรรมชาติ
แต่เขาจะยินดีและภูมิใจมากกว่านี้...ถ้ารัญชน์ไม่ได้อยู่ในอ้อมกอดของนายแบบหนุ่มร่างสูง
ภาษาอังกฤษที่คอยตะโกนให้เปลี่ยนท่ายิ่งทำให้คนนั่งดูหงุดหงิด
“ชิดขนาดนั้นยังจะให้แนบเข้าไปอีก ไอ้พวกบ้าเอ๊ย” คนที่เพิ่งรู้ตัวว่าขี้หึงบ่นเบาๆกับแก้วบลูฮาวายในมือ
ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นแตะริมฝีปากของเอริคก่อนจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีควันบุหรี่ที่มีเสน่ห์ของอีกฝ่าย
“... ถ่ายกับเอริคเนี่ย สบายที่สุดนะ” เด็กหนุ่มกระซิบกระซาบเบาๆ
“ก็แหงสิ ไม่ต้องเกรงใจอะไรกันแล้วนี่” เอริคก้มลงข้างซอกคอตามคำสั่งและกระซิบตอบ
“แต่พี่บีมของนายน่ะตาเขียวแล้ว”
เด็กหนุ่มหัวเราะคิกคักเบาๆอย่างสบายอารมณ์
“น่า ไม่ใช่พี่รามนะ เป็นพี่รามสั่งเลิกแล้วเนี่ย”
“ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่นายต่างหากที่ต้องเคลียร์เอง” เอริคแตะริมฝีปากบนไหปลาร้าที่โผล่พ้นชุดเดรสพลางส่งสายตาเย้ายวนให้ตากล้องที่คอยลั่นชัตเตอร์อยู่ใกล้ๆ
“ดีนะแฟนฉันไม่ได้มา ไม่งั้นมีหวังต้องง้อกันยกใหญ่...พวกขี้หึงก็เงี้ย” แม้ปากจะพูดเหมือนบ่นแต่กลับมีรอยยิ้มละไมอยู่บนใบหน้า
...คิดถึงวินจัง...
“...... ดีนะ” มือเรียวยกขึ้นทาบบนผิวแก้มของอีกคนให้หันมามอง
“คิดถึงจัง”
“อื้อ คิดถึงเหมือนกัน” นายแบบหนุ่มนอกบทด้วยการรั้งชายชุดเดรสของอีกฝ่ายขึ้นแล้วยกขาเรียวที่เปียกน้ำให้เกี่ยวเอวไว้
“จะยั่วให้พี่บีมหึงล่ะสิ ฉันรู้ทันหรอกน่า”
คราวนี้รัญชน์ยิ่งหัวเราะชอบใจ
“แต่ที่ว่าคิดถึง ฉันพูดจริงๆนะ” รอยยิ้มหวานมอบให้กับเอริคดังเช่นวันวาน ที่ต่างไปคือไม่มีความรักแฝงอยู่ในสายตาคู่นั้นอีกแล้ว
“อื้อ เข้ามาสิ” ประตูห้องเปิดออกเผยให้เห็นห้องกว้างที่รกบ้างตามประสาวัยรุ่น เจ้าของห้องโอบไหล่เด็กหนุ่มตัวเล็กให้เข้าข้างในแล้วปิดประตูลง
“นั่งตามสบายเลยนะรัน”
จากไอ้เปี๊ยกในวันนั้น... ความสัมพันธ์ของเอริคและรัญชน์ก็พัฒนาขึ้นด้วยจุมพิตริมทะเล แม้จะไม่ได้ขอคบอย่างเป็นทางการแต่ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันจนคนสนิทหลายๆคนยังแอบแซว
เมื่อได้ยินคำเชื้อเชิญร่างเล็กก็กระโดดขึ้นเตียงหลังเล็กทันที
“เท่จังนะ อยู่คนเดียวนะ”
“ก็โตแล้วนี่ ไม่เหมือนนายเอาแต่ติดพี่” เอริคโยนกระเป๋าไว้บนพื้นแล้วไต่เตียงขึ้นไปนอนข้างๆ
“เหนื่อยจังแฮะวันนี้” ท่อนแขนแข็งแรงโอบรัดร่างเล็กเข้าหา
“ใครติด” พอท่อนแขนแข็งแรงโอบรอบลำตัวเองไว้ มือสองข้างก็ยกขึ้นกอดอีกฝ่ายตอบ
“ก็รันไง อะไรๆก็พี่ กลัวพี่รู้บ้างล่ะ เดี๋ยวพี่ดุมั่งล่ะ...แฟนอย่างฉันก็น้อยใจเป็นนะ” ปลายคางสากกดที่ผิวแก้มเบาๆก่อนจะมอบจุมพิตหวานๆให้
“เมื่อไหร่จะบอกซะทีว่าเราคบกัน”
“อือ...” เด็กหนุ่มครางเบาๆในลำคอขณะตอบรับจุมพิตนั้น
“เดี๋ยวพี่... โมโหนะ...”
“พี่อีกแล้ว” ชายหนุ่มดึงแก้มขาวจนเป็นรอยแดง
“อุตส่าห์หนีพี่มา ยังจะพูดถึงพี่อีก”
“งั้นก็อย่าชวนพูดถึงพี่สิ..... นะ” รอยยิ้มหวานออดอ้อนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเด็กหนุ่ม
“พูดถึงเรื่องเราแทน...ใช่ไหม” นับจากวันนั้นที่ชิงจูบแรกจากเด็กหนุ่มร่างเล็ก เอริคก็คอยสอนย้ำในหลายๆอย่างทั้งเรื่องการวางตัวและเรื่องอื่นๆ เขายังจำได้ถึงใบหน้าแดงก่ำยามที่บอกว่าเวลาผู้ชายมีอะไรกันจะใช้ตรงไหนบ้าง
“อือ... แค่นั้นนะ” รอยยิ้มออดอ้อนปรากฏขึ้นอีกครา มือเรียวเล็กเอื้อมแตะบนริมฝีปากอีกคนแล้วขยับใบหน้าเข้าชิด
“แล้ววันนี้ตามมาอยากเรียนอะไรล่ะ... จูบ ทำให้ หรือมากกว่านั้น” เอริคลูบแผ่นหลังผ่านเนื้อผ้าเบาๆ จุดอ่อนที่เพิ่งพบสร้างความรื่นรมย์ยามเห็นร่างเล็กสั่นสะท้าน
“หรือง่วงแล้ว?”
“..... ไม่รู้นะ....” เจ้าตัวเล็กขยับขดตัวเข้าให้ร่างสูงโอบกอดเอาไว้
“อยากให้กอดไว้... นะ”
ร่างสูงขยับตัวกอดไว้แนบแน่น ให้คนรักตัวเล็กซุกไซ้กับแผงอกแนบชิด
...ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกัน..ก็ยังอายุเท่านี้เองนี่นา
“เสร็จแล้วครับพี่หมอบีมคนดี” ร่างเล็กในเสื้อผ้าชุดสวยเดินเข้ามาหาคนที่นั่งหลบแดดอยู่ไม่ไกลนักพร้อมรอยยิ้มหวานบนใบหน้า
“ไม่เป็นไรครับตัวเล็ก พี่หมอคนดีรอได้” คนที่บอกว่ารอได้ทำเมินนั่งเฉยไม่รับคนตัวเล็กเข้ามากอดเหมือนทุกครั้ง
“ก็ถ้าจะนานกว่านี้ก็ไม่เป็นไร ตามสบายเลยรัน พี่อยู่คนเดียวได้”
รัญชน์หน้าเสียไปก่อนจะเดินเข้าไปใกล้
“.... พี่บีม... เป็นอะไร”
“เปล่าครับ ไม่ได้เป็นอะไร” ตอบแบบนี้ร้อยทั้งร้อยต้องมีอะไร ธนกฤตหลับตาลงแล้วแกล้งเอนหลังพิงเก้าอี้
“หรือถ้าพี่เกะกะ จะให้กลับไปรอที่ห้องไหม”
“... ไม่เอา...” เขาเอื้อมมือไปคว้าแขนของธนกฤตขึ้นมา
“....... กลับห้องกันนะ....”
“ไม่เอา” คนตัวใหญ่กว่าดื้อแพ่ง
“กำลังนั่งรอให้สุกได้ที่ประชดคนไม่สนใจ”
ธนกฤตแอบขำที่คนตัวเล็กมีสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย แต่เพราะความขี้หึงงี่เง่าของเขา... เลยอยากจะทำให้รู้บ้างว่าคนอารมณ์ดีก็หึงเป็น
“พี่หมอบีม... โกรธจริงๆเหรอนะ” ร่างเล็กเขย่าแขนของอีกฝ่ายไปมา
“ใครจะกล้าโกรธที่รันได้เจอแฟนเก่าล่ะ ใครจะกล้าน้อยใจที่รันไม่สนใจ...เอาแต่ยิ้มให้คนอื่น ใครจะกล้างอนตัวเล็กที่ทิ้งให้อยู่คนเดียว... ไม่มีหรอก” ธนกฤตยกน้ำที่น้ำแข็งละลายจนหมดขึ้นมาดูดเบาๆ
“สักคนก็ไม่มี”
“พี่หมอ---- กลับห้องกันนะ” ดวงตากลมโตดูหม่นหมองลง
“อุ้มสิ” หมอหนุ่มเกือบหัวเราะออกมาเมื่อคนรักตั้งท่าจะฉุดแขนเขาขึ้นอุ้มจริงๆ
“ไป... ไปงอนตัวเล็กต่อที่ห้องดีกว่า” เจ้าของรอยยิ้มหวานยิ้มอีกครั้งแล้วสปริงตัวขึ้นยืน
รัญชน์รีบเดินไปคว้าเอวอีกคนไว้แล้วเดินตามไปยังห้องพักทันที
เมื่อประตูห้องปิดลง เด็กหนุ่มก็โผเข้ากอดธนกฤต
“อย่าโกรธรันนะ”
“ก็รันพาพี่มาทิ้ง....” ธนกฤตกอดตอบเบาๆแล้วพบว่าคนตัวเล็กยิ่งขยับเข้าซุกหา
“ตัวเล็กก็รู้... ว่าพี่ขี้หึง”
“..... ไม่มีอะไรแล้วซักหน่อยนะ” เด็กหนุ่มว่าเสียงเบา
“แค่อยากรู้... พี่บีมหึงยังไง แต่ไม่เอาแล้วนะ อย่าหึง... อย่าโกรธรันนะ”
“แล้วเอริคยังรักรันอยู่หรือเปล่าล่ะ....ทำไมถึงกอดกันแน่นขนาดนั้น” ธนกฤตมั่นใจว่าคนของเขาเป็นอย่างที่พูด แต่ไอ้แฟนเก่าหน้าตาดีดีกรีนายแบบคนนั้นล่ะ...
“รักอะไรนะ ไม่รักแล้ว เอริคบอกว่าแฟนขี้หึงที่สุดนะ” ใบหน้าหวานที่ดูสวยแปลกตาด้วยเครื่องสำอางเงยขึ้นมอง แม้ว่าจะดูสวยแต่สำหรับเขาแล้ว คนรักที่มีใบหน้าใสๆน่ารักที่สุด
“งั้นก็แล้วไป แล้วนี่มีถ่ายอีกไหม”
“มีกลางคืนอีกเซ็ตนะ แล้วก็เสร็จแล้วนะ” รัญชน์ซุกไซร้กับแผ่นอกกว้าง
“งั้นหน้านี่ลบให้นะ ไม่คุ้นเลย” ชายหนุ่มประคองใบหน้าคนรักขึ้นมาแล้วแตะริมฝีปากที่ผิวแก้ม
“ได้ไหม”
“อื้อ ได้... ไม่ชอบเหรอนะ” เขายื่นหน้าให้อีกฝ่ายได้เช็ดตามใจชอบ
“ก็สวยดี” มือใหญ่คว้าทิชชูเปียกมาเช็ดที่เปลือกตาบางเบาๆ
“แต่รันแบบปกติน่ารักกว่าตั้งเยอะ พี่ชอบแบบนั้นมากกว่า”
“เหรอ... ได้นะ... ชอบรันรักรันเยอะๆนะ” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“จะไม่รักเพราะตัวเล็กชอบไปยุ่งกับคนอื่นนี่แหละ” ชายหนุ่มเช็ดเครื่องสำอางออกให้เบาๆอย่างตั้งอกตั้งใจ
ธนกฤตย่นจมูกใส่แต่รอยยิ้มกลับพรายอยู่บนใบหน้าหล่อเหลา
“ยุ่งอะไรนะ ถ่ายแบบเฉยๆนะ” เด็กหนุ่มว่าก่อนจะเอื้อมแขนขึ้นโน้มอีกฝ่ายให้ก้มลงมา
หมอหนุ่มบีบจมูกรั้นๆของคนช่างเถียงก่อนจะจูบบนผิวแก้มที่ไร้เครื่องสำอางใดๆ
“นัวเนียขนาดนั้น ถ้ารันเห็นพี่นัวเนียกับผู้หญิงคนอื่นรันก็หึงเหมือนกันล่ะน่า”
“ถ้าพี่หมอเป็นนายแบบ รันจะไม่หึง” รัญชน์เอ่ยตอบหน้าตายพลางขยับปลายจมูกโด่งกับข้างแก้มของร่างสูง
“ไม่ต้องมาหอมเอาใจเลย... อย่างงี้ต้องลงโทษ” ร่างสูงจับแฟนหนุ่มอุ้มขึ้นแล้วขบเบาๆที่ลำคอขาวพลางลูบไล้แผ่นหลังแผ่วเบาตามแนวสันกระดูก จนเมื่อร่างเล็กสั่นสะท้านไปทั้งร่างจึงค่อยผละออก
“อ... พี่หมอ....” นัยน์ตาคู่สวยเริ่มสะท้อนไปด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุกปั่นขึ้นมา คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจแกล้ง
“ครับ?” นัยน์ตารูปจันทร์เสี้ยวหยักโค้ง
“ว่าไง... คราวนี้ใส่เสื้อคอกว้างๆโชว์รอยเลยนะ” ปลายนิ้วสากกดย้ำลงอย่างจงใจบนรอยช้ำสีแดงสดที่แสดงความเป็นเจ้าของ
“อือ... ยังไงเขาก็แต่งกลบอยู่ดีนะ...” แขนสองข้างขยับโอบกอดธนกฤตไว้ เรียวขาขาวที่โผล่พ้นชุดเดรสยกขึ้นเกี่ยวเอวไว้แน่น
“ไม่ให้ได้ไหม...เหลือไว้นะ” เรียวขาที่เกี่ยวพาดถูกตีเบาๆ...ดูเด็กคนนี้..
“ทะลึ่งนะรันนะ”
“ทะลึ่งอะไร ก็พี่หมอหึง... รันก็ต้องอธิบายนะ” ไม่พูดเปล่าแต่ริมฝีปากบางกลับอ้าออกก่อนจะงับเบาๆที่ต้นแขนอีกฝ่าย
“แล้วขาที่เกี่ยวนี่ล่ะ” มือหนาตีเบาๆเพื่อย้ำสถานที่ที่อยู่ของเรียวขา
“ไว้งานเสร็จก่อนนะ...เสร็จแน่ตัวเล็ก”
“ไม่อาว....” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอีกครั้ง
“งั้นนอนกอดกันเฉยๆนะ”
“...................ก็ได้”
เอาเหอะ...ถึงจะต้องอดทนหนักสักนิด
.....แล้วค่อยเอาคืนให้สมใจทีหลังแล้วกัน
“แล้วรันตอนนี้ทำอะไรอยู่ล่ะลูก....เรียนจบแล้วใช่ไหม” บิดาของธนกฤตถามขึ้น ก่อนจะเอนร่างพิงโซฟาตัวนิ่ม
“จบนานแล้วครับป๊า” เด็กหนุ่มร่างเล็กเอ่ยตอบก่อนจะขยับมานั่งลงข้างๆ ริมฝีปากบางแย้มรอยยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยต่อ
“แต่เดี๋ยวเดือนหกก็จะเข้า......... มหาวิท... ยาลัยแล้วครับ”
“เหรอ ดีแล้วลูก ขยันไว้จะได้ไม่ลำบาก” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเอื้อเอ็นดู รัญชน์ใช้เวลาไม่นานในการชนะใจเขา...และรวดเร็วที่จะทำให้รักเอ็นดู
“แล้วเตรียมตัวแล้วเหรอ ใกล้แล้วนี่.....เจ้าบีมจะไปส่งหรือเปล่า”
“แหะ... ยังไม่ได้บอกพี่บีมเลยครับป๊า.... เนอะพี่บีม” รัญชน์แหงนหน้ามาหาคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน ที่ใบหน้าตอนนี้ดูจะเต็มไปด้วยอารมณ์ที่บรรยายไม่ถูก
“ป๊า เดี๋ยวบีมขอพาลูกชายคนเล็กป๊าไปคุยแป๊บนะ” ใบหน้าเคร่งขรึมพยายามฝืนยิ้ม ทันทีที่ธงพยักหน้า มือใหญ่ก็ดึงข้อมือคนตัวเล็กลากเข้าไปในห้องส่วนตัวของเขาในบ้านหลังนี้
“รัน....ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่องเรียนต่อเลย”
“ก็........... รันไม่ได้บอก” คนตัวเล็กยิ้มกว้างราวกับเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“ขอคำตอบที่มากกว่านี้ได้ไหม....” ธนกฤตถอนหายใจเหนื่อยอ่อน
ทำไมถึงชอบทำเป็นเล่นอีกแล้ว....
“จะไปอยู่แล้วไม่บอกกันสักคำ”
“ก็... จริงๆรันลืมไปแล้วด้วยซ้ำถ้าไม่ได้อีเมลแจ้งวันเปิดเซเมสเตอร์นะ.... สมัครไว้ตั้งแต่ก่อนเป็นแฟนพี่บีมอีก....” รัญชน์ทำเสียงอ่อนลง
“ถ้าป๊าไม่ถามพี่จะได้รู้เมื่อไหร่ วันรันไปสินะ....” หมอหนุ่มปล่อยข้อมือแล้วเดินไปทิ้งกายบนเตียงกว้าง
...ทั้งที่เข้ากับครอบครัวของเขาได้แล้ว ทั้งที่คิดว่ารู้เรื่องกันและกันดีที่สุด
...แต่เหมือนไม่รู้อะไรเลย...
“รันคิดจะบอกพี่เมื่อไหร่”
“............... ก็ว่าใกล้ๆ... แล้วจะบอก.... รันลืมนะ........ พี่บีม” คล้ายกับเริ่มรู้สึกสำนึกผิด เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงได้เดินตามไปหาถึงข้างเตียง
“พี่บีม....”
ธนกฤตรั้งร่างบอบบางเข้ามากอดไว้เบาๆ แต่ก็แรงพอที่จะให้รับรู้ถึงความรู้สึกที่อัดแน่น
“ไปวันไหน....ให้ไปส่งนะ”
ใบหน้าหวานซุกซบเข้าในอ้อมกอดแทบจะทันที
“ก็... อีกสองอาทิตย์นะ... พี่บีมทำงานยุ่ง...... รันไม่อยากกวน ไม่อยากงอแง... ว่าให้อยู่ด้วยกันนะ”
“ก็เลยไม่ยอมบอกซะเลย” ธนกฤตพูดงอนๆแต่กลับกอดฟัดคนรักด้วยความหมั่นเขี้ยว
“อือ... ก็ จะคิดถึง... มากๆเลยนะ” ตัวขี้อ้อนทำเสียงอ่อนลงกว่าเดิมขณะเอานิ้วจิ้มไปบนผิวแก้มของอีกคน
“ต้องคิดถึงมากๆเหมือนกัน พี่อยู่กับรันจนชิน พอคิดว่าจะไม่ได้เห็นหน้าทุกวันแล้วใจหายยังไงไม่รู้” ปลายนิ้วที่จิ้มแก้มถูกดึงมาจูบทีละนิ้ว
“ใช้skypeได้นะ บีบีนะ ทวิตเตอร์นะ เยอะแยะ” รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวาน
“...........แค่บีบียังตั้งนานกว่าจะใช้เป็น” ธนกฤตบ่นเบาๆ
“แต่จะพยายามนะตัวเล็ก อย่าไปสนใจหนุ่มที่โน่นล่ะ”
“ไม่สนนะ มีpromise ringแบบนี้ ไม่สนแน่ๆ” เขาเอ่ยบอกเสียงเบาพลางเอนศีรษะพิงบนต้นแขนของอีกคน
หมอหนุ่มซึมซับความตื้นตันและความอบอุ่นของร่างกายด้วยอ้อมแขนของตนเอง ริมฝีปากหยักหนาก้มลงจูบเบาๆแทนคำพูด....ว่าจะรักและรอตลอดไป
ธันย์ชนกเปิดประตูตู้เย็นออกมาดูของสดที่มีไว้ ตั้งใจว่าเย็นนี้คงจะทำอาหารง่ายๆอย่างเช่นเคย ดูเหมือนว่าราเมนทร์จะติดใจหมูสับผัดถั่วถึงได้บอกมาว่าอยากทานอีก
มือที่กำลังจะเอื้อมหยิบเนื้อหมูชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เจ้าของห้องยิ้มออกมาเล็กน้อยเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่าย แม้จะมีกุญแจห้องแต่ราเมนทร์ชอบให้เขาเปิดประตูต้อนรับมากกว่า
“มาแล้วครับ” ธันย์ชนกผลักประตูตู้เย็นให้ปิดลงก่อนเดินไปที่ประตูห้องแล้วเปิดออก
“กลับ--!?”
“ไงธัน.....คิดถึงจังเลย” เจ้าของน้ำเสียงทุ้มแหบห้าวพูดเบาๆก่อนจะเอาตัวกั้นประตูที่อีกฝ่ายพยายามปิดสุดชีวิต
“ทักทายแฟนเก่าดุเดือดไปหรือเปล่า....” ภูริพูดพลางเอื้อมมือพยายามดึงธันย์ชนกเข้ามาใกล้
“ม... ไม่บอล..... ก... กลับไป...” น้ำเสียงสั่นระริกเอ่ยสั่นไหว
“ธัน.....ขอเข้าไปข้างในหน่อยสิ” ชายหนุ่มยังคงเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มที่ไม่ต่างไปจากวันวาน
“ไม่นึกว่าธันจะเป็นนักเขียนชื่อดัง... เราไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้วนะ นายรู้ไหมว่าฉันคิดถึงนายตลอดเลยนะ”
“ย... อย่าบอล.... ไม่... เอา... กลับไป...” ถ้อยคำที่เคยทำให้หัวใจสั่นไหวในวันวานทำให้รู้สึกเจ็บปวดในตอนนี้
...พูดออกมาทำไม...
“ไม่เอาน่าธัน....ฉันคิดถึงนายจริงๆนะ รู้ไหมว่าฉันดีใจมากเลยตอนที่เจอนายที่ร้าน” ภูริผลักประตูจะเข้าด้านใน
“จะให้ฉันเข้าไปหรือจะให้บอกเรื่องของพวกเราให้แฟนใหม่นายรู้”
ได้ยินแค่นั้นธันย์ชนกก็นิ่งไป นั่นเป็นเหมือนฝันร้ายสุดท้ายที่เขาอยากรับรู้
“......... ม.... มีอะไร.....”
“ฉันแค่บอกว่า....ฉันคิดถึง...อยากเอาคนของฉันคืน” นัยน์ตาสีเข้มวาววับอย่างน่ากลัว
“เลิกกับมันซะ!”
ชายหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ร่างกายสั่นระริกโดยไม่รับรู้ แววตาที่จ้องมาทำให้เขาไม่สามารถโต้ตอบใดใดได้
...หวาดกลัว
“ม... ไม่.....”
ภูริที่ร่างกายได้เปรียบกว่าผลักประตูเข้ากระแทกโดยแรงแล้วอาศัยจังหวะที่ธันย์ชนกเซล้มเข้ามาในห้องได้อย่างง่ายดาย
“..... รักมันมากกว่าฉัน... ที่เป็นคนแรกของนายหรือไง” น้ำเสียงเย็นเยียบกระซิบข้างหูพลางกอดร่างที่สั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว
“!???” สัมผัสจากร่างสูงไม่ได้สร้างความรู้สึกอะไรให้เลยนอกจากความหวาดหวั่นในใจ คิดว่าจะโต้ตอบอะไรแต่กลับทำไม่ได้แม้แต่เอ่ยพูด
“ไม่ว่าใครก็แทนที่นายไม่ได้จริงๆ....” ภูริพึมพำเบาๆพลางลูบศีรษะกลมมนของอดีตเพื่อนสนิทและคนรักเก่า
ถึงตอนนี้... แม้จะแต่งงานกับผู้หญิงที่ทางบ้านเลือกให้ ก็ยังไม่สามารถลืมช่วงเวลาที่เคยมีธันย์ชนกอยู่ข้างกายได้เลย
“เรื่องวันนั้น..... ไอ้นั่นยังไม่รู้สินะ ถ้ามันรู้... มันจะยังทนคบกับนายได้หรือเปล่า ลองดูไหมธัน ฉันบอกมันให้ว่าตอนที่ได้กอดนายมันรู้สึกดีแค่ไหน”
“ย... อย่านะบอล...... ฉัน... กับนาย.... จบไปแล้ว...... จบแล้ว...” น้ำเสียงสั่นไหวเอ่ยบอกด้วยหัวใจที่หวาดกลัว-- กลัวคนที่รักสุดหัวใจจะรู้เรื่องในอดีตของเขา
...กลัวว่าจะจากไป
“ฉันไม่ยอมหรอก!” ร่างสูงตะโกนก้อง นัยน์ตาวาววับเหมือนสัตว์ร้าย
“ฉันไม่จบกับนายง่ายๆหรอกฉันจะเอานายคืนมาให้ได้”
“!!?? ม... ไม่... ออกไปนะ--!?!!” แม้จะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่แขนสองข้างกลับไม่มีแม้แต่แรงที่จะผลักอีกฝ่ายออกไป
ยิ่งผลักไสภูริยิ่งกอดแน่น เขาดึงร่างบอบบางเข้าแนบชิดพร้อมจุมพิตร้อนแฝงความหยาบคาย
“เกลียดฉันขนาดนั้นเลยเหรอ... จำไม่ได้หรือไงว่าตอนนั้นนายรักฉันมากแค่ไหน...”
“นั่น..... มัน... ตอน..... นั้น....” เขาตอบเสียงแผ่ว น้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจขณะพยายามผลักไสอีกฝ่ายออก
“นาย... รักเขามากหรือไง” ภูริกระซิบถามแล้วปล่อยร่างบอบบางออกจากอ้อมกอด
“ใช่......... ขอร้อง..... นะ” ร่างบางขยับถอยออกพลางเอ่ยปากขอร้องโดยไม่มองหน้า
ภูริแค่นหัวเราะ... เขาประมาทไปหน่อยที่ปล่อยให้เวลามันผ่านนานเกินไป ธันย์ชนกในตอนนั้นที่ว่าง่ายและอ่อนต่อโลกถึงกล้าพูดออกมาได้เต็มปากว่ารักคนอื่นแล้ว
...แต่ของที่เคยอยู่ในกำมือครั้งหนึ่ง ยังไงก็จะไม่ยอมปล่อยแน่..
“แต่เสียใจด้วยนะ ฉันไม่ปล่อยนายไปหรอก” ร่างสูงสืบเท้าเข้าหาแล้วเชยคางอีกฝ่าย
“ฉันยังมีอะไรบางอย่าง... ที่ถ้านายได้เห็นจะไม่มีวันลืม และแน่นอนว่ามันอาจจะหลุดออกมาให้ใครอื่นเห็นก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร..”
โทรศัพท์มือถือถูกยกมาเข้าโหมดดูรูป ก่อนที่ภูริจะยื่นให้ธันย์ชนกดู
“นายยังไม่เปลี่ยนไปเลย.....”
มือเอื้อมคว้าปัดมือถือออกไปจากสายตา ความทรงจำเลวร้ายในอดีตวิ่งกลับเข้ามา
“อย่านะบอล!!! อย่า!!!”
“ฉัน--”
ไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เสียงโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ดังขึ้น ภูริมองรูปและเบอร์โทร เขายิ้มเย้ยก่อนจะกดรับ
“ว่าไงแพร ผมทำงานอยู่”
-วันนี้ต้องไปรับคุณย่ามาทานข้าว บอลอยู่ไหนแล้วคะ-
“ผมทำงานอยู่ใกล้เสร็จแล้วล่ะครับ เดี๋ยวผมแวะรับแพรแล้วเราไปด้วยกันนะ” คำพูดหวานหูถูกพูดออกจากริมฝีปากที่เหยียดยิ้มแย็นชา ชายหนุ่มกดทิ้งแล้วหันกลับมาหาธันย์ชนก
“ดูท่าวันนี้จะไม่สะดวก...ไว้ฉันแวะมาใหม่นะ” ชายหนุ่มก้มลงจูบที่ริมฝีปากบางแล้วขบจนได้เลือด ดวงตาฉายแววพอใจ... ก่อนที่จะยอมเดินจากห้องไป
...ราม...
...ช่วยผมด้วย...
ร่างเพรียวทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง
ไม่อยากเชื่อเลยสักนิดว่าอีกฝ่ายจะหาเขาพบ ทั้งๆที่ย้ายที่อยู่แล้วตัดตัวเองออกจากโลกภายนอกแล้วแท้ๆ
ความหวาดกลัวเริ่มเกาะกินจิตใจจนร่างกายสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง หากราเมนทร์กลับมาแล้วกอดเขาเอาไว้คงทำให้ฝันร้ายกลายเป็นดี ยังไงก็ใกล้ถึงวันเกิดที่จะไปญี่ปุ่นด้วยกันตามสัญญาแล้ว ถ้าจะอ้อนให้อยู่นานขึ้นอีกหน่อยคงไม่เป็นอะไร
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ไม่อยากให้ราเมนทร์รู้เรื่องราวในอดีตเป็นอันขาด ถ้าไปญี่ปุ่นด้วยกันแล้ว ภูริอาจจะล้มเลิกที่จะตามหา ถึงตอนนั้นต้นฉบับคงเสร็จพร้อมพิมพ์ แล้วเขาก็จะเลิกเขียน
...จะหนีไปให้ไกล
To be continued...