(ต่อ)
“แม่ครับ” พี่ส่งเสียงเรียกแม่มาแต่ไกล แล้ววิ่งเข้าไปกอดเป็นการใหญ่
“อะไรกันอิน นึกไงมาอ้อนแม่ตอนนี้ ไม่อายน้องหรือไง?” แม่พี่หัวเราะร่วน วันนี้สีหน้าดูสดใสกว่าวันนั้น และไม่ได้นั่งวิลแชร์
“สวัสดีฮะ” ผมยกมือไหว้
แม่พี่กับป้าทัยที่เพิ่งออกมาก็รับไหว้
“พาน้องไปนั่งเล่นที่สวนก่อนสิลูก เดี๋ยวแม่ไปช่วยป้าทัยยกน้ำยกขนมมาให้ พอดีจิตมันไปซื้อของที่ตลาดน่ะ”
“เดี๋ยวผมไปช่วยป้าทัยเองดีกว่า แม่ไปนั่งกับน้องนะครับ”
“เอางั้นก็ได้ เพชรมากับป้าทางนี้ลูก”
ผมหันไปมองพี่ที่พยักหน้าให้ แล้วเดินอ้อมบ้านตามแม่พี่ไปที่สวนซึ่งอยู่อีกฟาก
“พี่เขาบังคับเรามาหรือเปล่าเนี่ย?” แม่พี่ถามยิ้มๆ ระหว่างเดินข้ามสะพานไปยังศาลาไม้หลังเล็ก ข้างล่างเป็นบ่อปลาคาร์ฟขนาดใหญ่พอสมควร เห็นมีปลาคาร์ฟว่ายวนอยู่เป็นฝูง
“เปล่าฮะ”
ก็แค่รับขึ้นรถมาก่อน แล้วค่อยบอกจุดหมายทีหลัง
“ป้าก็เปรยๆ กับพี่เขาว่าเหงาล่ะนะ พ่อก็ไปดูงานเป็นอาทิตย์ คุณย่าที่เคยอยู่เป็นเพื่อนคุยกันก็ไปค้างบ้านน้องสาวซะแล้ว ส่วนเจ้าอิฐตัวเอะอะโวยวายก็ไปเข้าค่ายอีก เจ้าอิฐปีนี้ก็ ม.6 แล้ว เห็นตั้งอกตั้งใจจะเข้าสถาปัตย์มหา’ลัยเดียวกับเพชรกับอินนี่แหล่ะจ้ะ” แม่พี่พูดถึงลูกชายคนเล็กไปก็ยิ้มไป
“.........”
“มานั่งใกล้ๆ นี่สิ” คนพูดตบที่นั่งข้างตัวเรียกผม
“ส่วนอินก็รีบออกจากบ้านตั้งแต่เช้า กว่าจะกลับก็ค่ำมืดทุกวัน บอกว่าต้องไปเฝ้าเพชร ไม่รู้จะหวงอะไรนักหนานะลูกคนนี้ นี่ยังดีที่มีป้าทัยกับจิต เด็กทำงานในบ้านอยู่เป็นเพื่อน ไม่งั้นเงียบเหงาแย่เลย”
“ผมขอโทษฮะ”
“อุ๊ย ป้าไม่ได้โทษเพชรหรอกจ้ะ แค่บ่นไปเรื่อยตามประสาคนแก่น่ะ แล้วก็ห่วงอินด้วย กลัวว่าคอยไปเฝ้าทุกวันๆ แบบนี้จะถูกเพชรเบื่อขี้หน้าเอาซะก่อนน่ะสิ”
“ไม่หรอกฮะ”
ถึงผมจะพูดแค่เบาๆ แต่พี่แม่ก็ยิ้มกว้างพลางลูบหัวผมอย่างเอ็นดู
“จริงสิ เห็นอินบอกว่าวันอาทิตย์เพชรเพิ่งไปเยี่ยมน้องนาฏมา เป็นยังไงบ้าง ใกล้รับกลับบ้านได้หรือยัง?”
“.........” คุณแม่..
“มีอะไรหรือเปล่าลูก?”
“เราต้องทบทวนเรื่องรับคุณแม่กลับบ้านกันใหม่ฮะ”
ผมเสตาไปมองปลาคาร์ฟตัวใหญ่ในบ่อ
“.........”
“คุณแม่มีปฏิกิริยากับผม ..ในทางลบ”
มืออุ่นที่วางทาบลงบนหัวอีกครั้งทำให้ผมต้องหันไปมองเจ้าของมือ
“ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างต้องอาศัยเวลาและความพยายาม ป้าเชื่อว่าความพยายามของเพชรกับคุณธัชจะทำให้น้องนาฏดีขึ้นได้”
“.........” ผมไม่เคยสงสัยในความพยายามของคุณป๋าเลย
แต่ตัวผมเองล่ะ? ผมเคยพยายามทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้จริงหรือเปล่า? ผมอยากให้คุณแม่กลับมาจริงๆ หรือเปล่า?
บางทีแม่พี่อาจจะมองผมในแง่ดีเกินไป..
“มาแล้วครับ” พี่ยิ้มร่าถือถาดเดินข้ามสะพานมา
“อินอยู่เป็นเพื่อนน้องนะ เดี๋ยวแม่ไปดูกับข้าวในครัวก่อน เพชรอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า? บอกป้าได้นะ” คุยกันต่ออีกพักหนึ่งแม่พี่ก็ลุกขึ้น
“ผมทานอะไรก็ได้ฮะ ขอบคุณฮะ”
“น้องทานง่ายครับแม่” พี่ยิ้มเอาใจทั้งแม่ทั้งผม
“งั้นแม่ขอตัวนะ”
“แม่พี่เป็นคนดีจังเลยนะฮะ” ผมมองตามหลังคนที่เพิ่งแยกไป
อาจจะดีเกินไปด้วยซ้ำ ..เหมือนกับคุณแม่
“อยากจะฝากตัวเป็นลูกอีกคนไหมล่ะ?” ตาร้ายๆ เป็นประกายขึ้นมาอีกแล้ว ผมเบือนหนีจากภาพนั้นไปที่ปลาในบ่อแทน
“ไม่หรอกฮะ ผมมีแม่มาสองคนแล้ว”
พอเถอะ..
“ตัวเล็ก..” พี่ขยับมานั่งข้างๆ ก่อนโอบหัวผมให้ไปอิงกับอกของพี่
วันนี้มือพี่อุ่น แต่ก้อนเนื้อในอกของพี่ยังเต้นดังเหมือนเดิม ราวกับต้องการบอกว่ายังมีอีกคนอยู่ใกล้ๆ
“.........” ผมหลับตาลง ฟังเสียงหัวใจของพี่อย่างตั้งใจ
ขอแค่ตอนนี้ ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว..
“คุณอินคะ”
“มีอะไรเหรอพี่จิต?”
“.........” เสียงคนคุยกันเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกตัว ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ หันมองรอบตัวก็เห็นว่าเริ่มสลัวลงบ้างแล้ว
“มีแขกมาค่ะ คุณผู้หญิงเลยให้มาบอกว่าอย่าเพิ่งพากันเข้าไปในบ้านตอนนี้” พี่จิตคนนั้นมองมาทางผมอย่างไม่แน่ใจนัก
“แขก?” ตอนแรกพี่ขมวดคิ้ว แต่ครู่เดียวก็ดูเหมือนจะเข้าใจคำสั่งแปลกๆ นั่น “อืม พี่จิตกลับไปทำงานต่อเถอะ”
“ค่ะ” แล้วพี่คนนั้นก็กลับเข้าไปในตัวบ้าน
ผมสงสัยว่าทำไมพี่ถึงได้ดูกังวลกับการมาของ ‘แขก’ นัก แต่ก็ไม่ได้ถาม
“.........” ไม่สิ ผมคิดว่าผมรู้คำตอบ
“ไปเดินเล่นกันไหม?” แม้จะปั้นหน้ายิ้มแต่แววกังวลก็ยังมีให้เห็นอยู่
“ข้างหลังนี่มีสวนสาธารณะใหญ่อยู่ ถ้าเราออกประตูเล็กนั่นไป เดินอีกราวสองร้อยเมตรก็ถึงแล้ว ไปไหม?”
“ฮะ” ผมรับคำง่ายๆ พี่ยิ้มกว้างแล้วคว้ามือผมจูงเดิน
แต่ยังไปไม่ทันถึงประตูเล็กที่ว่าเรื่องมันก็เกิด..
“น้องเพชร?” เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้เราทั้งคู่หยุดชะงัก
ไม่จำเป็นต้องหันไปก็รู้ดีว่าใครยืนอยู่ตรงนั้น
“.........” แต่ผมก็หันกลับไป
พี่นทมองหน้าพวกเรา มองมือที่จับกันของพวกเรา
“อิน?” พี่นทเรียกเสียงแผ่ว แสดงสีหน้าแบบคนต้องการคำอธิบาย
“ผมขอโทษ”
และกับประโยคแค่นั้น ก็เหมือนจะทำให้พี่นทเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
“อิน!” พี่นทพุ่งเข้ามาเร็วมากจนพี่ตั้งตัวไม่ทัน หมัดแรกถูกปล่อยออกไปกระแทกหน้าพี่จนล้มไปบนพื้นหญ้า และพี่นทยังตามไปคร่อมอีก ส่วนพี่เพียงแค่ปัดป้อง ไม่ได้มีท่าทีว่าจะตอบโต้กลับ
“ทำแบบนี้กับพี่ได้ยังไง? ทำได้ยังไง?!”
“.........” เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพี่นทดูคลุ้มคลั่งแบบนี้
พี่นทที่มักใจดีและสุภาพกับทุกคนอยู่เสมอ..
“กรี๊ดดดดด ตานท ตาอิน หยุดเดี๋ยวนี้นะ! แม่บอกให้หยุด ตานท!!”
หลังจากนั้นทุกอย่างดูวุ่นวาย ทุกคนเข้าไปช่วยแยกพี่นทกับพี่ออกจากกัน
“แกอีกแล้ว!” แต่ป้านีเลือกที่จะปรี่มาหาผมก่อน ฝ่ามือหนักๆ ฟาดลงบนหน้าผมไม่ให้ทันตั้งตัวเช่นกัน
“ยังยืนดูเฉยอยู่ได้ ปั่นหัวผู้ชายนี่งานสนุกของแกเลยสินะ สารเลว!”
“.........” ทุกอย่างหยุดนิ่ง ไม่จำเป็นต้องมีคนห้ามพี่กับพี่นทก็แยกออกจากกันโดยอัตโนมัติ
“อย่าค่ะพี่นี!” พอป้านีเงื้อมือขึ้นอีกรอบ แม่ของพี่ก็ถลาเข้ามาห้ามไว้
“อย่าห้ามพี่! พิม พี่จะเอาเลือดชั่วมันออกซะบ้าง เธอปล่อยให้มันเข้ามาเป็นเสนียดในบ้านทำไม มันเป็นตัวซวย เป็นตัวกาลกินี เป็นงูพิษ นี่แน่ะๆๆ”
ป้านียังพยายามฟาดมือฟาดเท้าเข้ามาให้โดนผมให้มากที่สุด ดูเสียสติคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าพี่นทเมื่อครู่อีก
“หยุดเถอะครับคุณป้า!”
“แม่อย่าตีน้อง ผมขอร้อง!”
ทุกคนมามะรุมมะตุ้มอยู่ที่ผมจนรู้สึกอึดอัด
อึดอัดไปหมด..
หายใจไม่ออก..
ปวดหัว..
ปวดเหมือนหัวจะระเบิด..
ไม่เอา.. ไม่เอา.. ไม่เอาแล้ว!
อย่ามายุ่งกับผม! ถอยไป! ถอยไปให้หมด! หลีกไป!!!
“ว้าย!”
ผลจากการหลับหูหลับตาผลักมั่วซั่วของผมคงทำให้ใครบางคนล้มลงไป
“แม่! / น้าพิม! / คุณผู้หญิง!”
ผมวิ่งออกโดยไม่หันกลับไปมองใครทั้งนั้น ทั้งคนดี คนบ้า คนไหนก็ช่าง ผมไม่สนแล้ว! ไม่เอาแล้ว! ผมจะไปจากที่นี่!
ผมต้องไปจากที่นี่!!
“เพชร! อย่าเพิ่งไป เพชรกลับมาก่อนลูก!”
“มันทำเธอขนาดนี้ยังจะเรียกมันกลับมาทำไม เธอบ้าไปแล้วเหรอพิม?!”
“อิน ไปตามน้องกลับมา อิน!”
“ตานทกลับมาเดี๋ยวนี้นะ ไม่ได้ยินที่แม่สั่งหรือไง?!”
ไม่ได้..
ผมอยู่ไม่ได้
ผมต้องไป! ต้องรีบไป!
หนีไปให้พ้น!!!
เอี๊ยดดดดด!!
!!..
เสียงล้อรถบดกับถนนดังลั่นทำให้ผมได้สติ หันมองรอบตัวก็พบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่กลางถนน อีกฟากฝั่งเป็นสวนสาธารณะ รถหรูสีดำคันใหญ่คุ้นตา จอดห่างออกไปแค่ไม่กี่เมตร
“อยากตายหรือไง?” คนขับเปิดประตูลงมาด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ตัวเล็ก! / น้องเพชร!” ผมสะดุ้งหันไปมองสองคนที่วิ่งตามมาทัน
“ไม่เป็นไรใช่ไหมตัวเล็ก?”
“ปลอดภัยดีนะครับน้องเพชร?”
ผมไปหลบอยู่หลังเจ้าของรถสีดำ ทำให้สองคนนั้นทำหน้าแปลกใจ
“คุณเป็นใคร?” พี่นทเป็นคนถามก่อน
“หลานคุณหมอที่ดูแลน้องอยู่” พี่อินเป็นคนตอบ
“ขอน้องเพชรคืนให้ผม” พี่นทขยับเข้ามา
“.........” ผมกำชายเสื้อคนที่ใช้ต่างกำแพงเอาไว้แน่น ได้ยินเสียงอีกฝ่ายถอยหายใจเบาๆ
“ไม่รู้หรอกนะว่าพวกคุณมีเรื่องอะไรกัน แต่ดูเหมือนว่าเด็กนี่จะอยากไปกับผมมากกว่า”
“คุณไม่เกี่ยว” พี่นทเสียงเย็น ขยับจะเข้ามาอีก
“น้องไว้ใจเขา” พี่ยกมือห้าม
พี่นทปัดมือออกแสดงความไม่เป็นมิตรชัดเจน แต่ก็ยอมหยุดอยู่ที่เดิม
“อย่าหาว่าสอดเลยนะ แต่ผมว่าพวกคุณไปเคลียร์กันก่อนดีไหม? ส่วนเด็กนี่ผมจะพาไปส่งบ้านให้เอง” ผู้มาใหม่เสนออย่างไร้อารมณ์ร่วม สายตาเย็นชาจับจ้องทีละคนคล้ายจะบอกว่ารำคาญ
“.........” พี่นทพยักหน้ารับอย่างจำใจเมื่อมองมาที่ผม
“ผมฝากด้วยนะพี่” พี่บอกกับเจ้าของรถ ก่อนหันหน้าช้ำๆ มายิ้มปลอบใจผมอีกที
“รีบขึ้นรถเหอะ ป่านนี้บรรพบุรุษนอนสะดุ้งอยู่ในหลุมกันแล้วมั้ง” เจ้าของรถรุนหลังผม ขณะที่รถคันหลายคันบีบแตรใส่เหมือนกำลังด่า
“ทำไมฉันต้องมาเจอนายในสภาพที่ย่ำแย่ทุกทีเลยนะ” พอขึ้นรถพี่หมอจี้ก็พึมพำเบาๆ คล้ายพูดกับตัวเอง
“.........” แต่ถึงพูดกับผม ผมก็คงไม่มีคำตอบให้
“ขอบคุณฮะ” พอมาถึงหอผมก็หันไปบอกขอบคุณ
ตลอดทางนี่เป็นประโยคแรกระหว่างพวกเรา
“หน้านายซีดมาก ไปที่คลินิกด้วยกันไหม?” พี่หมอเอาหลังมือมาแตะหน้าผากผม จับชีพจรที่คอผม
“ผมแค่ปวดหัว” ผมส่ายหน้า “อยากทานยาแล้วนอนพัก”
“กินข้าวหรือยัง?”
“.........” ผมส่ายหน้าอีก
“จะกินยาต้องกินข้าวก่อน งั้นไปกินข้าวกัน” พี่หมอลงจากรถ
ผมลงตามแต่ยังยืนยิ่ง “ผมไม่หิว”
“ไม่หิวก็ต้องกิน เดี๋ยวยากัดกระเพาะ”
“งั้นผมไม่ทานยาแล้วก็ได้”
“แล้วจะหายปวดหัวได้ยังไง?”
“แต่ผมไม่อยากทานข้าว”
“สักสองสามคำก็ยังดี”
“ไม่เอา”
“อย่าให้ฉันหมดความอดทน”
พี่หมอเข้ามาคว้าข้อมือกึ่งดึงกึ่งลากให้เดินตามโดยไม่ยอมฟังเสียงอีก
พอไปถึงร้านข้าวพี่หมอก็สั่งข้าวผัดจืดๆ มาจานกับน้ำซุปอีกถ้วย จากตอนแรกที่บอกว่าสองสามคำก็บังคับให้ผมทานไปเกินสิบ จากนั้นก็แกะยาจากแผงที่หยิบติดมาจากในรถแบ่งให้สองเม็ด นั่งดูผมจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาส่งถึงหน้าหอ
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปหาคุณพิณที่คลินิก?”
“ยังไม่ถึงนัดครั้งต่อไปนี่ฮะ”
“ไม่ถึงก็ไปได้ ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ..หรือจะสบายใจดีก็เหอะ ขอแค่นายอยากพูด ไปที่นั่นได้เสมอ คุณพิณยินดีรับฟัง ..ฉันเองก็เหมือนกัน”
แม้สายตาจะยังเย็นชา แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
“ถ้าคืนนี้นายไม่อยากนอนคนเดียว จะไปนอนที่คอนโดฉันอีกก็ได้”
“ผมอยู่ได้ฮะ ขอบคุณมาก ผม..ขอกอดพี่หน่อยได้ไหมฮะ?” ผมเงยหน้าขึ้นขอตรงๆ พี่หมอไม่พูดแต่อ้าแขนออก ผมเลยเดินเข้าไปหาอ้อมกอดที่อบอุ่น กลิ่นที่ทำให้ผมหลับสนิท
แต่วันนี้ผมยังไม่อยากพูด..
“ทำไมวันนี้ฉันถึงได้รู้สึกเป็นห่วงนายจังเลยนะ?” เสียงคนที่กอดผมไว้พึมพำเบาๆ
“.........”
“แน่ใจว่าจะอยู่คนเดียว?” พอผละออกพี่หมอก็ถามอีก
“ตะนอยก็อยู่ห้องใกล้ๆ”
“โอเค ถ้ามีอะไรก็ไปเคาะห้องตะนอยแล้วกัน หมอนั่นไว้ใจได้”
“ฮะ”
“งั้นก็ไปนอนเหอะ” พี่หมอจับหัวผมโยกเบาๆ แล้วไล่ขึ้นไปข้างบน
ผมเดินขึ้นบันไดมาได้หลายขั้น แต่พอหันไปมองก็ยังเห็นพี่หมอยืนอยู่ที่เดิม ผมหันกลับทางเดิม ฝืนสั่งให้ขาก้าวเดินต่อไป ทั้งที่แทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว..
“ฮือ..”
ผมรู้สึกตัวอีกทีหลังผ่านไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง อาการปวดหัวยังไม่ทุเลา แถมยังดูเหมือนจะหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ ผมคิดว่าจะต้องทานยาอีก แต่ห้องผมไม่มียา
ต้องไปห้องตะนอย ยาอยู่ที่ห้องตะนอย
ผมเดินเปะปะฝ่าความมืดไปจนถึงประตู พอเปิดออกก็ต้องหรี่ตาให้กับความจ้าของไฟจากทางเดิน
“ตะนอย! ตะนอย!!” เสียงที่ผมพยายามตะโกนอยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงพูดปกตินัก ทุบประตูหลายครั้งก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว
ตะนอยคงออกไปข้างนอก หรือยังไม่กลับมา ผมเอากุญแจที่หยิบติดมือมาพยายามจะไข แต่มือที่สั่นเพราะอาการปวดหัวทำให้เสียบผิดเสียบถูกอยู่หลายครั้งหลายครา
“อ่ะ!” แล้วในที่สุดประตูก็ยอมเปิดออก
ผมควานไปตามผนังเพื่อหาสวิตซ์ไฟ พอเปิดไฟได้ก็ไปควานหายาต่อ จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เห็นมันอยู่ตรงนั้น แต่พอไปหาก็ไม่มี ดูตรงนี้อีกก็ไม่มี ตรงนู้นตรงโน้นรื้อค้นกระจุยกระจายจนสุดท้ายก็ไปเจอกระปุกยาหล่นอยู่ในซอกโต๊ะหนังสือ
“อือ..” ผมเดินไปหาน้ำ เทยาใส่ฝ่ามือสั่นๆ หยิบทานเข้าไปสองเม็ด ไม่รู้สึกว่าดีขึ้น เลยทานเข้าไปอีกสองเม็ด ก็ยังไม่ดี ..อีกเม็ด ..ลองอีกเม็ด ..อีกเม็ด ...อีกเม็ด .....อีกเม็ด ........อีกเม็ด ............อีกเม็ด .................อีกเม็ด ......................... ไม่หาย....ยังไม่หาย........ต้องมากกว่านี้............ต้องทานให้มากกว่านี้...
...ต้องทานเข้าไปอีก..
....................มากกว่านี้...
..............................................................................................ให้มากกว่านี้..
นึกออกแล้ว..
ผมนึกออกแล้ว
ผมโกหก
ไม่ใช่!
ผมไม่ได้กลัวว่าจะมีใครมุดเข้ามา
ไม่ใช่เลย!
ผมกลัวว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายมุดออกไปต่างหาก
มุดออกไปตามรูโหว่บนกำแพงพวกนั้น..
ผมกลัวที่จะได้รู้
กลัวที่จะได้เห็น
ผมจึงต้องอุด.. ต้องรีบอุดเอาไว้
ต้องขังตัวเองเอาไว้
เพราะข้างนอกนั่น.. ที่ข้างนอกนั่น
ไม่มีที่สำหรับผม
ไม่มี!
ไม่เคยมี..
“แกมันไม่ควรจะเกิดมาด้วยซ้ำ!”TBC. 