(ต่อ)
“ตะนอย..” พอกลับขึ้นหอมาก็เจอตะนอยยืนพิงผนังข้างบันไดรออยู่ ผมก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าเพื่อน ตะนอยทอดสายตามองลงมา ยกวางมือไว้บนหัวผม
“ไม่รู้หรอกนะว่ามีเรื่องอะไร แต่ตอนนี้โอเคแล้วใช่ไหม?”
“อือ.. ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”
“ทีหลังถ้ามีเรื่องไม่สบายใจ มาเคาะประตูห้องเราได้ทุกเมื่อ เพื่อนก็มีเอาไว้สำหรับเวลาแบบนั้นแหล่ะ”
“อือ ขอบใจนะ”
“ฮื่อ อย่าหายไปแบบนี้อีกล่ะ หัวใจจะวาย” ตะนอยจับหัวผมโครงไปมา ก่อนหันหลังเดินขึ้นบันได
“ตะนอย”
“อะไร?”
“เราจะกลับไปอยู่บ้าน”
“เหรอ.. อืม อยู่ที่ไหนก็ไม่ดีเท่าบ้านตัวเองอยู่แล้วล่ะ ถ้าเป็นไปได้เราก็อยากอยู่ที่บ้านตัวเองเหมือนกัน แต่มันไกลไป ขี้เกียจแหกขี้ตาตื่นแต่เช้า”
เราเดินขึ้นบันไดไป คุยกันไป
“รามอินทราเนี่ยนะ?”
“นั่นแหล่ะ ไกลไป บ้านนายอยู่ใกล้มหา’ลัยแค่นี้เองไม่ใช่เหรอ?”
“อือ แต่คงไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก ต้องรอให้คุณป๋าจัดการเรื่องคุณแม่ให้เรียบร้อยก่อน”
“ทำเรื่องขอรับมาพักฟื้นที่บ้านน่ะเหรอ?”
“อือ กว่าจะเสร็จคงหมดเทอมนี้พอดี”
“ก็ดีแล้ว ว่าแต่เมื่อคืนพี่นทคนนั้นมาตามหานายที่นี่ด้วย พอรู้ว่ายังไม่กลับมาก็หน้าเศร้าไป”
“.........” พี่นท..
“แต่อีกคนน่าเป็นห่วงกว่า มานั่งรอตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเช้ามืด เพิ่งจะเดินตาดำกลับไปตอนพ่อนายมาถึงนี่เอง”
“ใคร?”
“เฮียอิน”
“.........” ทำไม?
“คิดแล้วก็แปลก เฮียอินมาถามหานายก่อนใครเลยนะ ตอนนั้นเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายหายไป ตอนพี่นทมาก็แค่ถามว่านายกลับมาหรือยังเฉยๆ ไม่ได้บอกอะไรมากกว่านั้น เราเพิ่งจะมารู้เรื่องก็ตอนที่พ่อนายมาตามหานั่นแหล่ะ”
แล้วพี่รู้ได้ยังไง?
“ไงเพชร เมื่อคืนสนุกไหม? คนนั้นหน้าตาใช้ได้เลยนี่นา” ระหว่างที่นั่งทำงานกลุ่มอยู่ใต้คณะ จู่ๆ แพตตี้ก็เดินมายืนเท้าโต๊ะกลุ่มผม แล้วทักแบบนั้น
“แต่ออกจะหวานไปหน่อยนะ นึกว่าเพชรจะชอบแบบหล่อๆ แมนๆ ซะอีก มิน่าหนุ่มๆ ในคณะเราถึงไม่มีใครเข้าตาเพชรสักคน” อรพูดกลั้วหัวเราะ
คนในกลุ่มผมเริ่มเงยหน้าจากงานมาสนใจกันแล้ว
“.........” ตะนอยกระทุ้งสีข้างผมเบาๆ คงอยากให้พูดอะไรบ้าง
“เอ๊ะ คุยเรื่องอะไรกันเหรอ?” เพื่อนที่แขวนป้าย N’ต๊อกแต๊ก ชะโงกหน้ามาถามจากโต๊ะกลุ่มข้างๆ
“ก็เรื่องแฟนเพชรไง พอดีเมื่อคืนเรากับแพตบังเอิญไปเจอเข้าน่ะ ท่าทาง สวีทเชียว”
“แฟนเพชร..โอ๊ยยย” มือที่เท้าม้านั่งหมิ่นเหม่ของต๊อกแต๊กไถลพรืดจนเจ้าตัวกลิ้งตกลงมาข้างล่าง เรียกเสียงหัวเราะครื้นเครงจากเพื่อนทั้งกลุ่ม
“ไอ้เซ่อเอ๊ย” ตะนอยพึมพำ
“เพชรมีแฟนแล้วเหรอ? ไม่เห็นรู้เลย” ต๊อกแต๊กรีบผุดลุกขึ้นแล้วกระโดดมาเกาะโต๊ะผมโดยไม่สนใจจะปัดฝุ่นตามเนื้อตัวที่เพิ่งลงไปคลุกเมื่อครู่
“ห่านอย ไม่เห็นมึงเคยบอกกู?”
“กูเองก็เพิ่งจะรู้นี่แหล่ะ” ตะนอยตอบหน้าตาเฉย
คนฟังยิ่งดูตกใจเข้าไปใหญ่
“ห๊ะ มึงก็เพิ่งรู้?”
“เอออออ ขนาดคนที่สนิทกับเพชรที่สุดอย่างกูก็ยังไม่เคยระแคะระคายมาก่อน อรกับแพตนี่แสนรู้หูกระดิกกันจริงๆ เลยนะ น่าเอาไปช่วยงานตำรวจ คงจะเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกมากกว่านี้”
จากหน้ายิ้มๆ เมื่อครู่ สองคนที่ถูกพาดพิงก็เปลี่ยนเป็นหน้าหงิกหลังจากได้ยินประโยคหลังๆ ของตะนอย
“เราก็แค่พูดไปตามที่เห็น” แพตตี้พยายามพูดอย่างข่มอารมณ์
“แล้วไปเห็นอะไรมาล่ะ? หรือว่าแค่เห็นเขาคุยกัน จากนั้นก็จินตนาการต่อเองโดยใช้สันดานส่วนตัวเป็นที่ตั้ง?” ตะนอยพูดด้วยท่าทางสบายๆ
แต่เพื่อนๆ แถวนั้นเริ่มมองหน้ากันเองเลิ่กลั่ก
“เฮ้ยไอ้นอย แรงไปแล้ว” ต๊อกแต๊กกระตุกเสื้อตะนอย เตือนเบาๆ แบบเกรงใจทั้งสองฝ่าย
“ทำอะไรไว้บ้างอย่าคิดว่าคนอื่นเขาไม่รู้ทันล่ะ พอดีกินข้าว ไม่ได้กินหญ้า” แต่ตะนอยทำไม่สนใจ ยังคงพูดต่อไปเรื่อย “แล้วเพชรน่ะ ไม่ลดตัวลงไปทำอะไรอย่างที่พวกกรวดขี้อิจฉาชอบทำกันหรอก ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกลอกเลียนแบบ”
“ไอ้ตะนอย!” อรตวาดเสียงแหลม ปรี่เข้ามาหวังสะบัดมือฟาดหน้าตะนอย แต่ผมคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ได้ก่อน
ทุกอย่างนิ่งค้างราวกับถูกใครบางคนกดปุ่ม Pause ...
“ทุกคนใจเย็นก่อนนะ ขอเหอะ เพื่อนกันทั้งนั้น อย่ามาทะเลาะกันเองเลย เราขอร้องนะ นอย อร ..นะ?” ต๊อกแต๊กรีบเข้ามาแทรกกลางไกล่เกลี่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ หมอนั่นพยายามจับข้อมือผมกับอรแยกออกจากกันอย่างเบามือ แต่อรกลับสะบัดมือออกเองโดยแรง
“ฮึก..” เสียงสะอื้นที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนพุ่งความสนใจไปที่ต้นตอ
“.........” แพตตี้ยืนน้ำตาอาบแก้มอยู่ตรงนั้น พอเห็นว่าทุกคนกำลังมองก็รีบปิดหน้าแล้ววิ่งหนีออกไป
“แพตตี้! แพตตี้..” อรกับเพื่อนอีกสองสามคนวิ่งตามออกไปทันที
ต๊อกแต๊กส่งสายตาตำหนิมาให้ตะนอยก่อนจะรีบตามไปอีกคน
“เหอะ ไอ้ตัวกินหญ้ามันวิ่งตามไปแล้ว” ตะนอยพูดเซ็งๆ
“ตอแหล!!” เสียงที่โพล่งขึ้นหลังทุกอย่างสงบลงทำเอาคนทั้งโต๊ะสะดุ้งไปตามๆ กัน
ผมหันไปมองคนพูด เป็นเพื่อนที่แขวนป้ายชื่อ N’จี๊ด
“ตอแหลเก่งจริงๆ ให้ดิ้นตาย เสียดายที่ทำได้แค่เป็นคนดู” จี๊ดตบโต๊ะแบบฮึดฮัดขัดใจ แล้วจู่ๆ ก็เอื้อมมือมาจับมือผมทั้งสองข้าง “อย่าไปยอมยัยจิ้งจอกเก้าพันหางนั่นนะเพชร ต้องการกำลังเสริมเมื่อไหร่ขอให้บอก เราพร้อมหนุนเพชรเต็มที่”
“.........” ผมมองหน้าจี๊ด แล้วหันไปมองตะนอยอย่างขอความเห็น แต่เพื่อนกลับตอบมาแค่ยักไหล่
“จี๊ดก็เคยมีประเด็นกับแม่ดาวเจ้าน้ำตานั่นสินะ?” เพื่อนผู้หญิงอีกคนหนึ่งพูดบ้าง จี๊ดหันไปพยักหน้ารับทันที
“ใช่ คนชอบเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นแบบนั้นน่ะน่ารังเกียจที่สุดเลย”
“เออ ว่าจะไม่เล่าแล้วนะ แต่ขอหน่อยเหอะ ก็เรื่องวันนั้นน่ะ..”
เพื่อนผู้หญิงในโต๊ะขยับมาสุมหัวกันโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเริ่มทรานสเฟอร์เข้าสู่กระบวนการนินทาอย่างเต็มรูปแบบ
“.........” ผมหันไปมองตะนอยอีกครั้ง
และหมอนั่นก็ยังทำแค่ยักไหล่เหมือนเดิม
“ไอ้ตี๋! ได้ยินว่าเมื่อตอนบ่ายมึงไปท้าตบกับดาวคณะเหรอ? แมนมากน้องกู” พี่ฟงฝูพูดเองหัวเราะเอง พวกกลุ่มพี่ปีสามที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็พลอยหัวเราะไปด้วย
เมื่อกี๊ผมกับตะนอยกำลังจะกลับหอ แต่เดินผ่านมาทางโต๊ะของพี่พวกนี้พอดี เลยถูกเรียกเข้ามา
“อ้าวเฮีย มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย? แล้วสามีไปไหนล่ะถึงได้โผล่มาแค่คนเดียว?” ตะนอยถามกลับ ปกติเราไม่ค่อยได้เจอพวกพี่ปีสูงๆ บ่อยนักหรอก
“สามีป๊ามึงดิ กวนส้นตีนอีกแล้วนะตี๋ สงสัยต้องกระทืบสั่งสอนกันสักทีแล้วมั้งจะได้รู้ใครพี่ใครน้อง ที่กูแวะมานี่ก็กะจะมาถามแหล่ะว่าเมื่อคืนมีเรื่องอะไรกันเปล่า เห็นน้าหมอพิณโทรมาถามหาเบอร์พ่อน้องเพชร กูไม่แน่ใจว่ามึงจะมีหรือเปล่าเลยโทรไปถามไอ้อ้อที่อยู่ถาปัดให้แทน แล้วเออ ไอ้ปอมันไปส่องกระเพาะที่โรง’บาล แม่งก็รู้ว่าตัวเองท้องไส้ไม่ค่อยดี เมื่อคืนยังเสือกไปรับคำท้าดวดเหล้ากับเชี่ยนิคอีก ไม่รู้มันเอาสมองหรือง่ามนิ้วตีนคิด”
“ตกลงพี่ปอเป็นสามีพี่จริงๆ ดิ?”
“พูดเชี่ยอะไรวะก๊อง?”
“เอ๊า ก็เมื่อกี๊ไอ้น้องนอยมันยังไม่ได้ระบุเลยว่าใครเป็นสามีพี่ จู่ๆ พี่ก็พูดถึงพี่ปอขึ้นมาเองซะงั้น แล้วจะให้พวกผมเข้าใจว่าไงอ่ะ ใช่ไหมเพื่อนต๊ะ?”
“มึงมาใกล้ๆ นี่หน่อยดิ๊เชี่ยก๊อง ขอกูตบกะโหลกแบบเน้นๆ สักทีเหอะ”
“.........” ผมมองเลยพวกรุ่นพี่ที่กำลังหยอกล้อกันไปเห็นโต๊ะอีกตัวที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ตรงนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งนั่งฟุบหน้าอยู่คนเดียว
พี่อิน..
“ไปดูมันหน่อยสิ”
ผมหันตามเสียงก็เห็นเป็นพี่แว่นแฟนพี่หมิง
“เห็นท่าทางเหมือนคนอดหลับอดนอนมาตั้งแต่เช้าแล้ว” พี่แว่นว่าต่อ
ผมพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปหาพี่ที่โต๊ะ นั่งลงข้างๆ เอื้อมมือข้างหนึ่งไปแตะแขนพี่เบาๆ
“ตัวเล็ก?” พี่เอียงหน้าขึ้นมอง แต่ยังไม่ยอมยกหัวขึ้นมา
“พี่ฮะ”
“ไม่เป็นไรแล้วนะ?” พี่ดึงมือข้างนั้นของผมไปหนุนแทนแขนตัวเอง
“พี่รู้ได้ยังไงฮะ?”
รู้ได้ยังไงว่าผมหายไป รู้ได้ยังไงว่าเกิดเรื่องกับผม?
“.........” พี่นอนนิ่ง ไม่ยอมตอบ
“พี่เป็นใครกันแน่ฮะ?”
พี่รู้จักผมทั้งที่ผมไม่รู้จักพี่เลย
“เป็นคนที่หลงรักตัวเล็ก”
“จะให้เชื่อทั้งที่พี่ไม่ได้พูดความจริงน่ะเหรอฮะ?”
“ไม่มีอะไรหรอก..” เสียงพี่ฟังอู้อี้เพราะกำลังพูดอยู่กับโต๊ะมากกว่ากำลังพูดอยู่กับผม
“ทำไมจนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมเรียกชื่ออีกล่ะฮะ?”
“พี่ไม่อยากเรียก.. ใครๆ ก็เรียกแบบนั้น พี่อยากเรียกอะไรที่พิเศษออกไป เพราะพี่อยากเป็นคนพิเศษ”
“แค่ไม่เหมือนใคร ไม่ได้แปลว่าจะได้เป็นคนพิเศษนะฮะ”
“พี่รู้.. ทำไมตัวเล็กถึงได้ใจแข็งขนาดนี้นะ?” พี่สอดมือเข้ามาใต้มือผม แล้วเริ่มงับนิ้วผมเล่นทีละนิ้ว
“.........”
“พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว รู้ไหม?”
“ผมไม่เห็นว่าพี่จะทำอะไรสักอย่าง นอกจากหยอดผมเล่นไปวันๆ”
“พี่ขี้ขลาดน่ะ กลัวผิดหวัง”
ผมก็ขี้ขลาดเหมือนกัน ถึงได้พยายามปิดกั้นตัวเองอยู่แบบนี้
“ถ้าเพียงแต่พี่รู้..” พี่พูดค้างไว้แค่นั้น แล้วก็เหมือนจะเปลี่ยนใจ
“.........”
“บอกพี่หน่อยสิ.. ตอนนี้ในใจตัวเล็กยังมีใครอยู่หรือเปล่า?” พี่เอียงหน้าขึ้นมองผมอีกครั้ง
ผมไม่แน่ใจ แต่ก็เลือกที่จะส่ายหน้าแทนคำตอบ
“งั้นพี่ก็สบายใจแล้ว” พี่ยอมดีดหัวขึ้นจากโต๊ะในที่สุด พร้อมกับดึงมือข้างเดิมของผมไปถือไว้
“.........”
“ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าควรจะทำยังไงต่อไป” พี่ยิ้มทั้งหน้า ตาร้ายๆ ดูเป็นประกายชีวิตชีวา
พี่..
TBC. ใครอยากรู้ประวัติคร่าวๆ ของหมอจี้กับพี่น้องตระกูลเพลง(ทามิยะ) เชิญไปหาอ่านได้ที่เรื่อง hello! SUNSHINE ในตอนพิเศษชื่อ ‘เด็กชายฟ้าประทาน’ นะคะ (มี 3 ตอนจบ)