บทที่ 22
ง้องอน
“ทำยังไงดี เตไม่ยอมคุยกับข้ามาสองวันแล้วนะ” หอยนางรมตัวเล็กทึ้งผ้าห่มบนเตียงของวาสินีเป็นว่าเล่นพลางตีหน้ามุ่ยอย่างหนักใจ
“ก็แล้วทำไมเจ้าไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านเตชัสฟังเล่า”
“ถ้าข้าเล่าไป ทั้งรเณศ ทั้งกรองขวัญก็คงได้ตายกันหมดพอดี”
“ก็จริง แต่ข้าคิดว่าการปิดบังมันแย่ยิ่งกว่าอีกนะ” วาสินีดึงผ้าห่มในมือของเปมออก ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ ในหัวก็เอาแต่คิดหนทางง้องอนเจ้าชายฉลามให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แต่เจ้าก็รู้ว่าเตใจร้อนยิ่งกว่าไฟ ไม่ทันได้ห้ามก็คงพุ่งไปทำอะไรโง่ๆอีก”
“เจ้าเพิ่งด่าเจ้าชายว่าโง่”
“เออ!”
“ก็เข้าไปคุยบ่อยๆ เดี๋ยวก็ลืมโกรธเองแหละ.. มั้ง”
วาสินีพยายามจะช่วยลดความว้าวุ่นใจของเปมให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งช่วยยิ่งแย่ ยิ่งคิดยิ่งตัน เพราะนี่ก็ถือว่าแปลกพอสมควรที่เตชัสไม่คุยอะไรกับเปมเลย ก็ปกติถึงจะทะเลาะกัน แต่ก็ต้องแพ้ความน่ารักของเปม กลับมาคุยด้วยไม่ทันข้ามคืนทุกที
“ก็พยายามอยู่นะ แต่วันนี้ก็ออกไปทำงานให้กษัตริย์เตชินท์ทั้งวัน ยังไม่กลับเลย”
ชายร่างเล็กเบ้ปากอย่างอารมณ์เสีย ยิ่งทำให้วาสินีนึกเห็นใจ ปกติเห็นแต่เตชัสมาง้อเปม พอเห็นเปมมานั่งคิดไม่ตกแบบนี้บ้างก็แปลกดีแฮะ
“งั้นเราไปทำอาหารเย็น รอรับท่านเตชัสกันไหม เขาคงดีใจนะ”
“แต่ข้าคงทำไม่อร่อยเท่าพี่วีหรอกนะ” เปมหลุบสายตาลงทันที นิ้วชี้เขี่ยเตียงไปมาเหมือนเด็กๆ วาสินีก็เลยฉุดแขนเปมให้ลุกขึ้นเสียเลย
“แต่เตชัสต้องดีใจที่เจ้าทำให้มากกว่าอยู่แล้ว”
นางสนมฉุดกระชากลากถูเปมมาจนถึงห้องครัว ก่อนจะลงมือสั่งเด็กรับใช้ให้คอยเตรียมอุปกรณ์เครื่องปรุงต่างๆสำหรับอาหารเย็นวันนี้ และก็นับว่าเป็นโอกาสดีและอาจจะเป็นโอกาสเดียว ที่ตอนนี้จารวีออกไปเสริมสวยที่ร้านในตัวเมืองพอดี ก็เลยไม่มีใครมาคอยขัดการประกอบอาหารในครั้งนี้ เพราะถ้าจารวีอยู่ล่ะก็ ไม่แคล้วต้องเข้ามาแย่งเปมทำอาหารให้เตชัสเป็นแน่
“จะทำอะไรล่ะ” วาสินีหันมาถามเปมที่ยังคงงงๆกับการถูกลากเข้ามาเฉยๆแบบนี้ หลังจากยอมรับสถานการณ์ได้และคิดจนดีแล้ว ก็หันไปบอกกับเด็กรับใช้สองสามคนที่ยืนรอรับคำสั่งสำหรับวัตถุดิบ
“เอ่อ... ไก่อบน้ำผึ้ง”
“ดี ไปเอาไก่มา!”
เปมหันมองวาสินีอย่างอึ้งๆในท่าทีกระตือรือร้นของเธอ ดูเหมือนเพื่อนคนนี้จะดียิ่งกว่าที่เปมคาดคิดเสียอีก นอกจากจะไม่รังเกียจที่เปมชอบเพศเดียวกัน ยังยอมรับและคอยช่วยเหลือถึงขนาดนี้ จะว่าไปแล้ว วาสินีก็เป็นอีกคนที่สำคัญในชีวิตรักของเขาและเตชัส ถ้าไม่มีเธอ ก็อาจจะประคองกันมาถึงตอนนี้ไม่ได้ก็ได้
“วาสินี ข้าขอบใจเจ้ามากนะ” ชายหนุ่มหันไปฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนรักคนนี้ที่ก็กำลังยิ้มตอบกลับมาด้วยความจริงใจ ก่อนที่วาสินีจะส่ายหน้าช้าๆเหมือนจะสื่อว่า ไม่เป็นไรเลย
เมนูไก่อบน้ำผึ้งที่ตั้งใจไว้ ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ จากความช่วยเหลือของเปม วาสินี และเด็กรับใช้คนอื่นๆ เวลาผ่านไปนานพอตัว อาหารจานใหญ่ก็ถูกย้ายมาใส่จานสีเงินวาวพร้อมเสิร์ฟ หลังจากที่วาสินีปล่อยให้เด็กรับใช้ออกไปเตรียมโต๊ะอาหาร เปมก็หันมาถามหน้าวิตก
“ถ้าเตไม่ยอมกินอาหารของข้าล่ะ?”
“อย่าคิดงั้นสิ ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ไม่มีทางที่ท่านเตชัสจะไม่กินอาหารฝีมือเจ้ามากกว่า”
“ถ้าเขาไม่ได้โกรธอยู่ ก็คงคิดแบบนั้นหรอกนะ”
“ข้าว่าเจ้าเลิกกังวลแล้วไปยืนรอรับหน้าประตูดีกว่า”
“ทำไมต้องหน้าประตูด้วย” เปมรีบร้อนถามเมื่ออยู่ดีๆวาสินีก็อ้อมไปด้านหลังและออกแรงผลักเปมให้เดินออกไปจากห้องครัวอับๆที่เต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องปรุง
“ก็รอถามท่านเตชัสว่า ‘จะกินข้าวก่อน หรือกินข้าก่อนดี?’ ไง”
“หา!? จ..จะบ้าเรอะ!!”
เจ้าหอยนางรมรีบหันหลังกลับมาหาวาสินีที่เอาแต่หัวเราะคิกคักในท่าทีเขินอายของคนตรงหน้า เปมได้แต่ชี้นิ้วไปทางโน้นทีทางนี้ที ตัวสั่นด้วยความอายถึงขีดสุดเมื่อจินตนาการไปถึงภาพตัวเองที่ต้องพูดประโยคชวนขนลุกแบบนั้น ใบหน้าทั้งหน้าแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศเสียอีก
“จริง ลองดูดิ ท่านเตชัสหายโกรธแน่ ไม่เชื่อข้าเหรอ”
“เชื่อก็บ้าแล้ว!”
เสียงหัวเราะของวาสินียังคงดังตามหลัง เปมที่รีบก้าวขาไปที่หน้าประตูปราสาท ทหารที่คุมประตูหลบออกไปเมื่อวาสินีโบกมือไล่ จนเมื่อเสียงกระพือปีกรุนแรงด้านนอกดังขึ้น นางสนมคนสวยก็จรลีเข้าไปรอในห้องอาหาร และปล่อยให้เปมยืนลุกลี้ลุกลนอยู่คนเดียวเสียแล้ว
คนตัวเล็กกระโดดหยองแหยงอย่างกังวลใจ จนเมื่อประตูขนาดใหญ่ตรงหน้าค่อยๆอ้ากว้างขึ้น เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคุ้นเคยถึงสองคน เตชัสและรเณศพากันก้าวขาเข้ามาในปราสาทพร้อมกับทหารน้อยใหญ่ด้วยหน้าตาเหน็ดเหนื่อยจากราชการวันนี้ เจ้าชายฉลามหยุดมองเปมครู่หนึ่งก่อนจะตั้งท่าเดินผ่านไป แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือเล็กๆนั้นก่อน
“ตะ เต!”
“...”
สายตาเรียบเฉยระคนรำคาญใจถูกส่งมาให้อย่างที่เปมไม่นึกต้องการ ทหารที่เดินตามมาค่อยๆหลบเข้าไปด้านหลังปราสาท ผิดกับรเณศที่ยังคงเฝ้าจับตามองทั้งคู่อยู่ไม่ละสายตา
“จ..จะ..”
จะกินข้าวก่อนไหม? ทั้งที่เป็นแค่คำถามง่ายๆ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันกลับไม่ง่ายเลย มือเล็กที่ยังคงรั้งแขนเสื้อของเตชัสไว้เริ่มสั่นน้อยๆ แต่ก็ยังทำใจดีสู้ฉลาม เอ่ยต่อไปอย่างตะกุกตะกัก
“จะก..กิน กินข้าว ก่อนไหม?”
“อ่า”
เตชัสตอบปัดๆพลางสะบัดมือออกจากการเกาะกุม เขาสาวเท้าผ่านหน้าเปมตรงไปยังทิศของห้องอาหาร ทิ้งให้เปมได้แต่มองตาม หัวใจเจ็บแปล็บขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่ความรู้สึกหนักจะถูกกดลงตรงบ่าของเจ้าหอยนางรม รเณศพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะดันหลังเปมตามเข้าไปด้านใน จนในที่สุดทุกคนก็มารวมกันอยู่บนโต๊ะอาหารขนาดยาว ซึ่งบัดนี้กลับเต็มไปด้วยรังสีน่ากลัวประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวของเจ้าชาย
เด็กรับใช้นางหนึ่งเดินกล้าๆกลัวๆเข้ามาวางจานไก่อบน้ำผึ้งขนาดใหญ่ตรงหน้าเตชัสพอดิบพอดี ไม่นานหลังจากนั้นจารวีตัวปัญหาก็ได้ฤกษ์กลับมาจากตัวเมือง และทันเวลาอาหารค่ำอย่างประจวบเหมาะ
วาสินีที่นั่งตรงข้ามเปมเริ่มส่งสัญญาณผ่านสายตาและใบหน้า พยักเพยิดให้เขารีบทำอะไรสักอย่าง เปมเลยค่อยๆยืดตัวขึ้นเพื่อเรียกความกล้า ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา แต่ทว่าชัดเจน
“เอ่อ ไก่อบน้ำผึ้งนี้ ข้าเป็นคนทำเอง เต...ทานเยอะๆนะ”
ไม่พูดเปล่า ยังลุกขึ้นตักไก่น่องใหญ่ที่สุดลงไปในจานข้าวกล้องของคนที่หัวโต๊ะ ซึ่งเอาแต่มองตามการกระทำของเปมนิ่งๆโดยไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกอะไรเลย
ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องอาหารแห่งนี้ นางสนมทุกคนเริ่มละความสนใจจากจานอาหารไปที่เจ้าชายแทน แม้แต่จารวีจอมจุ้นก็ยังยอมสงบปากสงบคำเพื่อรอดูท่าทีต่อไปของเตชัสที่ยังคงนิ่งเฉยผิดวิสัย ส่วนคนที่ถูกดดันจนแทบจะสำรอกออกมาก็คงไม่พ้นเปมที่เริ่มซับเหงื่อบนใบหน้าออกอย่างยากเย็น แววตาสั่นไหวพยายามจับจ้องไปตรงมือที่ถือช้อนเงินของคนหัวโต๊ะ
“ข้าไม่อยากกิน”
เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับใช้ช้อนเขี่ยน่องไก่ในจานออกห่าง สายตาจับจ้องอยู่ที่เม็ดข้าวสีสวย ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามอง เพราะรู้แก่ใจดีว่าคำพูดเมื่อครู่น่ะโหดร้ายเพียงใด แล้วสีหน้าเสียใจของเจ้าหอยตัวเล็กนั่นก็ใช่ว่าอยากจะเห็น แต่ให้ทำอย่างไรล่ะ ถ้าไม่โกรธจริงๆจังๆเสียบ้าง ต่อไปก็คงไม่ยอมบอกอะไรให้รู้อีกแล้วกระมัง แค่เรื่องรเณศกับกรองขวัญยังไม่เล่าให้ฟังสักแอะ มันก็แปลว่าต้องเกิดเรื่องที่ไม่สมควรบอกแน่อยู่แล้ว สำหรับเด็กดื้อที่เอาแต่ปกป้องคนอื่นด้วยการปิดบังคนรักตัวเองแบบนี้ มันก็ต้องโดนบ้างล่ะ
“ท่านเตชัส!”
“อุบ!”
วาสินีที่เฝ้ามองเหตการณ์ถึงกับเลือดขึ้นหน้าแทนเพื่อนรักที่เอาแต่นั่งหงอยน้ำตาคลอเบ้า นางพรวดพราดลุกขึ้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจทุกคู่ ไม่กี่วินาทีต่อมา ไก่อบน้ำผึ้งชิ้นที่เพิ่งถูกเขี่ยออกก็โดนวาสินีใช้ส้อมเงินจิ้มใส่ปากเจ้าชายฉลามเสียดื้อๆ ดวงตากลมโตของทุกคนในห้องอาหารเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่จารวีจะรีบรุดเข้าไปคว้าตัววาสินีกลับมานั่งที่ตามเดิม พร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากเย็น ทั้งห้องเงียบกริบ...
เวลาดูจะผ่านไปนานพอตัว จนทุกสายตาถูกกดดันให้หันกลับไปสนใจอาหารในจานตัวเองกันหมดแล้ว เตชัสถึงยอมขยับตัว ยอมกัดเนื้อไก่ในปากออกด้วยท่าทางไม่พอใจระคนเขินอาย สุดท้ายบรรยากาศก็กลับมาสู่ความสงบ โดยที่แฝงรอยยิ้มของเจ้าหอยตัวเล็กที่เอาแต่มองตามเตชัสทุกครั้งที่ตักไก่เข้าปาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ดูเหมือนว่าเตชัสจะยังไม่ยอมแม้แต่สบตากับเขาด้วยซ้ำ
หลังจบเวลาอาหารเย็นซึ่งชวนปวดหัว เหล่านางสนมทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับห้องบรรทมของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่จารวีจอมยุ่ง ที่ช่วงนี้กลับทำตัวว่านอนสอนง่ายผิดหูผิดตา ที่ยังเดินรั้งท้ายรออยู่เห็นจะมีแต่วาสินีที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในวงโคจรความรักของฉลามหอยเข้าเต็มตัวเสียแล้ว
“เรียบร้อยแล้วนะ” หญิงสาวเดินมาอยู่เคียงเปมซึ่งเดินหน้าอิ่มออกมาจากห้องอาหารเกือบเป็นคนสุดท้าย
“หะ เรียบร้อยอะไร?”
“เมื่อกี้ข้าบอกรเณศไปแล้วว่าให้เตรียมตัวตาย... หมายถึง ให้ระวังตัว แล้วก็ส่งจดหมายไปบอกกรองขวัญให้เตรียมรับมือแล้วด้วย”
“พูดอะไรของเจ้า ข้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้สองคนนั้นเตรียมรับมืออะไรด้วย”
“บ้าจริง ทำแบบนี้เพื่อที่เจ้าจะได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านเตชัสรู้ได้ยังไงล่ะ” ทั้งสองคนสาวเท้าไวขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีแปลกๆจากเตชัสที่ส่งผ่านมาจากด้านหลัง จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักของเปมที่ไร้แววผู้คน
“จะบ้าเหรอ ถ้าเล่าไปแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แน่”
“แต่ความลับไม่มีในโลก สักวันท่านเตชัสก็ต้องรู้อยู่ดี บอกไปเถอะ ไม่งั้นเจ้าอาจจะโดนท่านเตชัสโกรธตลอดไปก็ได้”
วาสินีจงใจจี้จุดที่คิดว่าเจ็บที่สุดสำหรับเปมในตอนนี้ และดูเหมือนจะได้ผล เมื่อชายตัวเล็กเริ่มมีสีหน้าแปลกไป พลางหยุดคิดทบทวนเรื่องราว ความจริงเขาก็อยากบอกทุกอย่าง แต่ก็เป็นห่วงสองคนนั้น แต่ถ้าเรื่องมันดำเนินมาถึงป่านนี้ ถ้ารังแต่จะเก็บซ่อนความจริง ก็มีแต่จะบ่อนทำลายความเชื่อใจที่มีให้กัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สมควรเล่าทุกอย่าง... แต่ไม่ว่ายังไง ก็จะต้องเป็นคนคอยปรามไม่ให้เตชัสทำอันตรายใครได้
“ก..ก็ได้ ข้าจะบอกความจริงกับเตชัสเอง”
“ดีมาก ข้าจะจัดทหารเฝ้ายามให้มากขึ้น ถ้าเกิดเรื่องอะไร ก็ตะโกนได้เลย”
“มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า..”
“การที่เจ้ากับท่านเตชัสไม่พูดคุยกันแบบนี้ ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน”
นิ้วเรียวดีดลงตรงหน้าผากของเปมเต็มแรง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร ยิ่งบวกกับสีหน้ามุ่งมั่นที่แฝงความห่วงใยเปี่ยมล้นของคนตรงหน้า ก็ยิ่งช่วยเรียกความกล้าของตนให้มีมากขึ้น ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ก็คงดีนะ และคนที่จะลืมไม่ได้ตลอดชีวิตก็คงเป็นวาสินีนี่แหละ
“ขอบใจเจ้ามากนะ”
“อือ คืนดีกันให้ได้ล่ะ”
เปมพยักหน้า จนวาสินีเริ่มมั่นใจจึงยอมถอยกลับห้องตัวเองไป ทิ้งให้เปมใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อรวบรวมความกล้าจนพ้นช่วงหัวค่ำไปแล้ว เมื่อไม่เห็นใครเผ่นผ่านนอกจากพวกทหารยาม เปมจึงถือโอกาสย่องออกไป จนมาหยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่คุ้นเคย
คนตัวเล็กยืนถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น พลางลากสายตาไปตามรอยแยกของประตูไม้ หัวใจดวงน้อยกลับเต้นถี่แรงจนน่ากลัว มือบางค่อยๆกำแน่นและเอื้อมออกไปอย่างสั่นเทา ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นชัดเจน ฟังดูน่าใจหาย เปมรีบชักมือกลับทันที และตั้งท่าว่าจะเดินกลับ แต่ไม่ทันได้ทำตามที่หวัง ประตูบานใหญ่ก็ค่อยๆเปิดออกพร้อมร่างสูงของเจ้าชายฉลาม ซึ่งกำลังชะโงกร่างกายท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าออกมาสังเกตการณ์ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ก็ได้แต่เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย
ผิดกับทางด้านคนตัวเล็กที่แค่ได้เห็นใบหน้ายู่ยี่ด้วยความง่วงของเตชัสแล้วก็เกิดขวัญหนีดีฟ่อ อยากจะวิ่งกลับห้องตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนทั้งคู่จะสบตากันอยู่นาน จนเปมทนไม่ไหวได้แต่หัวเราะแห้งๆและก้มหัวถี่เหมือนอยากขอโทษที่มารบกวน
แผ่นหลังบางหันออก ตั้งท่าจะวิ่งหนีเต็มที่ แต่คนตัวใหญ่ที่เริ่มได้สติและชินกับความมืดกลับตรงเข้าคว้าคอเสื้อของเปมไว้อย่างรวดเร็ว และลากร่างบางเข้าไปในห้องทั้งอย่างนั้น
“วะ..เหวออ” หลังจากจัดการปิดประตูลงกลอน เตชัสก็หันกลับมาผลักคนตัวเล็กให้ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงเหมือนทุกที
“ว่าไง?”
“อะ.. เอ่อ...”
เปมอ้ำๆอึ้งๆ พลางดันตัวเองให้ลุกออกจากเตียง แต่ไม่ทันไร ก็ถูกเตชัสตรงเข้าดันร่างให้ล้มลงกับเตียงเหมือนเดิม แถมยังตามมาคร่อมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก เปมที่ไม่เคยนึกจะชินกับสถานการณ์แบบนี้ได้แต่เบือนหน้าหนีสายตาดุดันตรงหน้า
“ข้ายอมเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว... ก็ได้”
“อ้อ ดีนี่ เพิ่งคิดได้เหรอ”
“ฮึ้ยย!” เปมรีบตวัดสายตากลับมาหาดวงตาคู่สดที่เต็มไปด้วยความสนุก ก่อนจะออกแรงผลักอกกว้างตรงหน้าออกพลางขยับตัวถอยหนี
“ข้าจะเล่าทีเดียวนะ ฟังดีๆล่ะ แล้วก็ห้ามไปเอาเรื่องใครเด็ดขาดด้วย ไม่งั้นข้า..”
“...ทำไม?”
“ข้าจะไปจากเจ้าจริงๆด้วย...” แววตาเมื่อครู่ของเตชัสกลับมาเย็นชาอีกครั้งหลังจากที่เปมเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ไม่ว่าคำพูดนั้นจะจริงหรือไม่ แต่ความเจ็บปวดเมื่อได้ยินคือเรื่องจริง
เตชัสรีบรุดไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหอยตัวน้อยที่ได้แต่ก้มหน้างุด ปลายจมูกฝังลงไปกับซอกคอขาว พร้อมกับมือใหญ่ที่รวบข้อมือเล็กไว้หลวมๆ
“เปม.. ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
ยามเมื่อใบหน้านี้ ร่างกายนี้ มาอยู่ตรงหน้าใกล้ถึงเพียงนี้ ก็ไม่อาจทำให้เตชัสข่มแรงปรารถนาที่กักเก็บมานานไว้ได้อีกต่อไป ความโหยหาแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์รักร้อนแรง ไม่ปล่อยให้คนข้างล่างได้ทันตั้งตัว เตชัสก็ชิงมอบรสจูบอันแผดเผาให้เสียก่อน
ข้อมือเล็กทั้งสองข้างอ่อนระทวยลงแทบจะทันทีที่ลิ้นสัมผัสลิ้น มือใหญ่สอดเข้าไปในเสื้อตัวบาง และเริ่มวนไปมาแถวตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมาทั้งสองข้าง มือที่ว่างลากไล้ไปตามแนวนูนบริเวณเป้ากางเกงของคนตัวบาง พร้อมกับที่ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงพิศวาสของสองชาย
“อ้ะ! เต.. ยะ อย่าจับตรงนั้นนะ”
ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าผมมะเขือเทศของเปมดูเหมือนยิ่งเร้าอารมณ์ความต้องการของเตชัสให้พุ่งสูงขึ้น คนตัวใหญ่ไม่คิดจะสนใจเสียงปรามของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย กลับกระชากเสื้อนอนของเปมออก พร้อมทั้งดึงกางเกงและชั้นในลงต่ำจนเผยให้เห็นแก่นกายสีหวาน
“เต ไม่เอา!”
“ทั้งที่เจ้าก็รู้สึกขนาดนี้แล้วเนี่ยนะ”
คนตัวใหญ่กระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ จนเปมทนไม่ไหวได้แต่นอนสั่น มือสองข้างยกขึ้นปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอายถึงขีดสุด ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างบางก็กระตุกไปตามสัมผัสที่ได้รับ ลิ้นร้อนของเตชัสลากวนไปตามส่วนปลายของเปม ก่อนจะดูดดันอย่างมีชั้นเชิง
“เต..อ๊ะ จ..จะไม่ไหว แล้ว..”
เตชัสเหลือบตามองสีหน้าสุขสมของคนตัวเล็กที่นอนตัวเกร็ง พร้อมทั้งมือเล็กที่จิกลงกับหมอนสุดแรง ก่อนจะยอมถอนปากออกมา ไม่ทันไรของเหลวสีขุ่นก็พุ่งตามออกมาจากปลายแท่งเล็กๆตรงหน้า พร้อมกับร่างของเปมที่กระตุกแรงๆ
“ฮ้า...ฮั่ก ก ฮัก...” เตชัสตามขึ้นไปจูบเปมที่เอาแต่หอบถี่ พร้อมเค้นสะโพกมนไปเรื่อยๆเพื่อกระตุ้นอารมณ์ใคร่ให้ลุกขึ้นอีกครั้ง
“เต.. อย่าทำอะไรรเณศกับกรองขวัญเลยนะ”
“แล้วพวกมันทำอะไรเจ้าบ้างล่ะ” ปากพูดคุยเหมือนปกติ แต่มือใหญ่กลับง่วนอยู่กับจุกทับทิบสีสวย อีกข้างช้อนตัวร่างบางขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วเรียววนแกล้งอยู่บริเวณช่องทางด้านหลัง
“เอ่อ... กรองขวัญผลักข้าตกหน้าผาน่ะ”
“หา!?”
เตชัสหยุดการกระทำทั้งหมดแทบจะทันที และทำท่าเหมือนจะพุ่งตัวออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ถูกเปมคว้าข้อมือไว้ได้ทันการ คนตัวเล็กรีบประมวลผลในหัวจนแทบจะระเบิด สุดท้ายก็คิดได้แต่แผนสกปรกที่ไม่คิดอยากจะทำเลยจริงๆ
มือเล็กทั้งสองข้างรั้งมือใหญ่ของเตชัสไว้อย่างแรงไม่ให้เขารุดไปเอาเรื่องใครได้ เปมพยายามตีหน้ายั่วยวนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พลางก้มลงดูดนิ้วเรียวของคนตรงหน้า ทำเอาเตชัสถึงกับตาโตด้วยความประหลาดใจ
“อุ..อื้.ม...”
เมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่สตั๊นไปแล้ว เปมจึงค่อยถอนปากออกมาพร้อมน้ำลายเหนียวหนืดที่ยืดออกเป็นสาย คนตัวเล็กนั่งพับขาตัวสั่นด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆช้อนตาขึ้นไปสังเกตสีหน้าของเตชัสอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนจะยังตกใจกับท่าทีของตนเมื่อครู่อยู่ ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกได้ถึงความพอใจในแววตาคู่นี้
“แต่ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่นี่..”
“จ..เจ้านี่มัน!” เตชัสชักมือตัวเองออกพลางตีสีหน้าเคืองๆ แต่ก็ถือว่าลดอารมณ์โกรธของตนได้มากโขทีเดียว
ไม่ทันที่เจ้าชายฉลามจะได้โต้ตอบ เปมก็เป็นฝ่ายกดเตชัสลงกับเตียงนุ่ม พลางขยับขึ้นมาคร่อมร่างสูงใหญ่ของเขาไว้ทันทีด้วยใบหน้าที่แดงจัด ลามไปจนถึงใบหูและต้นคอ มือเล็กค่อยๆถกกางเกงนอนของคนข้างล่างลงอย่างกล้าๆกลัวๆ ร่างทั้งร่างสั่นไปหมด
เตชัสที่เห็นอย่างนั้นก็รีบยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง โดยยังมีเปมนั่งคร่อมระหว่างขาทั้งสองข้างอยู่ พอดีกับที่แก่นกายขนาดใหญ่น่ากลัวโผล่พ้นขอบกางเกงออกมาให้เห็น
“เฮ้ย! เปม..”
“ร..รเณศ..มายุ่งกับ ร่างกายข้า...”
สิ้นเสียงสั่นของเปม เตชัสก็แทบจะกระโจนลงจากเตียงเสียเดี๋ยวนั้น หากว่าไม่มีคนตัวเล็กนั่งทับอยู่แบบนี้ ดวงตาสองข้างเบิกกว้างด้วยความเดือดดาล ด้วยเข้าใจถึงคำพูดของเปมดี เลือดในกายมันแล่นพล่านพร้อมกับกล้ามเนื้อที่เต้นตุบๆพร้อมจะระเบิดความโกรธออกมาทุกเมื่อ
และเพราะว่ารู้ดีถึงเหตุการณ์แบบนี้ เปมถึงต้องยอมทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เพราะนี่อาจจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เตชัสลดอารมณ์โกรธลงได้
“เต! อย่าทำอะไรรเณศเลยนะ เราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันสักหน่อย ถึงยังไงข้าก็ไม่ยอมอยู่แล้ว ข้ารักเจ้าคนเดียวนี่น่า!”
“แต่มัน!”
“ถ้าเป็นรเณศ ข้าคงไม่ยอมทำแบบนี้ จริงไหม”
“เปม!!”
ในขณะที่กำลังสับสนด้วยคำพูดแสนตรงไปตรงมาเมื่อครู่ เตชัสก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ๆ เปมก็โน้มตัวลงพร้อมเอาผมทัดหู ก่อนจะพยายามครอบปากเล็กๆลงกับแก่นกายของตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงจัดชัดเจน น้ำตาเอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้างด้วยความใหญ่โตของสิ่งที่อยู่ในปาก
“เปม เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้!”
เตชัสใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองไว้เมื่อโดนสัมผัสหวานจู่โจมจนแทบจะล้มตัวลงไป แขนอีกข้างพยายามดันไหล่ร่างบางที่ได้แต่ตีสีหน้าทรมานเพราะความไม่เคย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อเปมยิ่งรุกไล่มากขึ้นด้วยการวนลิ้นเล็กไปมาอย่างเก้ๆกังๆ ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาคนตัวสูงเผลอครางต่ำออกมาอย่างลืมตัว
“อึ่ก...เปม..”
ดูเหมือนปากเล็กๆของเปมจะทำได้แค่ดุนดันเข้าออกที่ส่วนหัวของเตชัสเท่านั้น เขาจึงเริ่มใช้มือช่วยรูดขึ้นลง ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ในตัวของเตชัสให้เพิ่มมากขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมา
“อึ๊!”
เตชัสรีบช้อนใบหน้าของเปมขึ้นจนแก่นกายหลุดออกมาจากปากบางซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบของเหลว ดวงตาปรือทั้งสองข้างยิ่งทำให้เตชัสอยากที่จะบดขยี้ร่างบางตรงหน้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องกลั้นอารมณ์รุนแรงในตัวไว้ และค่อยๆกดร่างของเปมราบลงกับผิวเตียงอย่างเบามือ
“ครั้งสุดท้าย..”
“หะ?” เปมยกแขนขึ้นดันอกของเตชัสที่กำลังโน้มต่ำลงมาตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนการกระทำของตนเมื่อครู่ จะไม่อาจหยุดอารมณ์ร้อนแรงในตัวของฉลามตรงหน้าได้อีกต่อไปแล้ว
“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ข้ายอมให้อภัยรเณศ”
“อ๊ะ!”
ลิ้นร้อนของเตชัสลากลงกับแผงอกบางทันทีที่พูดจบ ขาเนียนทั้งสองข้างของเปมถูกแยกออกช้าๆ ก่อนที่บทเพลงรักอันแผดเผาจะถูกบรรเลงขึ้นตลอดทั้งคืนแบบไม่มีหยุดพัก จนเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจของเจ้าหอยนางรมตัวเล็กว่า มันดีแล้วจริงๆไหม ที่เขาแก้ปัญหาด้วยการกระทำแบบนี้... แม้จะไม่ได้รังเกียจ แต่ก็เจ็บ แม้จะรู้สึกดี แต่ก็เหนื่อย ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของเปมจะถูกไอ้เจ้าชายบ้าดูดกลืนไปอีกแล้ว...
แต่ถ้าการทำแบบนี้ จะช่วยรั้งตัวของเตชัสไว้ได้ ไม่ให้ออกไปทำร้ายใครอีก แม้จะต้องแลกด้วยวิญญาณทั้งหมด หรือแม้ร่างกายนี้จะต้องขาดสะบั้น เขาก็พร้อมจะทำ.. จะยอมทำเพื่อปกป้องมือใหญ่คู่นี้ไว้ให้จงได้...
----------------------------------------------------
> ทำไมคนเขียนหื่นจังคะ รับไม่ได้ค่ะ
5555555
> ว่าจะเลิกหื่นแล้วค่ะ เบื่อบ้างอะไรบ้างค่ะ หลังจากนี้จะเข้าภาคสุดท้ายของเรื่องแล้วค่ะ
> หลังจากนี้จะได้ต่อไวหรือไม่ ต้องรอดูเกรดมิดเทอม (ที่เพิ่งสอบเสร็จไป) ก่อนนะคะ เพราะรู้สึกทำไม่ค่อยได้ ถ้าเกรดห่วยมาก อาจจะต้องตั้งใจเรียนแบบจริงจัง แล้วพักตรงนี้ก่อนค่ะ ><'
> แต่ยังไงก็ขอฝากติดตามกันต่อจนจบด้วยนะคะ 