ฉลามขาว กับ หอยนางรม by「aonair」
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ฉลามขาว กับ หอยนางรม by「aonair」  (อ่าน 71147 ครั้ง)

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 21
คลี่คลาย

 

รเณศโอบเอวเปมไว้แน่น เพราะหากไม่ทำแบบนี้คนตัวเล็กก็คงทรุดลงไปกับพื้นเป็นแน่ เพราะดูเหมือนเวลานี้การันต์จะหงุดหงิดยิ่งกว่าปกติจนแผ่รังสีน่ากลัวออกมาแบบไม่หยุดหย่อน ทำเอาสัตว์ตัวเล็กที่ไม่เคยชินอย่างเปมหายใจไม่สะดวกเอาดื้อๆ

“ท่านรเณศ!”

เสียงเรียกอย่างโมโหของเด็กสาวด้านนอกยังดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนการันต์นึกรำคาญจึงเดินไปเปิดประตูออกเสียงดัง กรองขวัญที่ตั้งใจจะพุ่งเข้ามาทันทีกลับต้องสะดุดเมื่อเห็นแววตาสีเหลืองวาวของเจ้าของบ้าน เด็กสาวก้าวถอยหลังอย่างควบคุมไม่ได้ก่อนที่แขนสองข้างจะเริ่มปกคลุมไปด้วยเส้นขนขนาดใหญ่ ไม่นานนักก็ปรากฏออกมาเป็นปีกนกสีน้ำตาลปลายแดงที่กำลังกระพือขึ้นลงด้วยความหวาดหวั่น อีกทั้งเสียงแหลมที่เปล่งออกมาก็กลายเป็นเสียงร้องของวิหคแทน

“ธิดาเหยี่ยวแดงเรอะ” อินทรีหนุ่มมองครึ่งคนครึ่งปักษาตรงหน้าด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะเลื่อนไปหยุดอยู่ที่เด็กผู้ชายซึ่งกำลังยืนตัวสั่นอยู่ด้านหลัง

“ทำไมอินทรีถึงอยู่ที่นี่!” กรองขวัญเริ่มตั้งสติได้และกลับมาใช้เสียงมนุษย์ตามปกติ แต่ปีกสีสวยทั้งสองข้างก็ยังกระพือต่อไปไม่หยุดด้วยความเกรง

“แล้วเจ้ามาที่นี่ได้ยังไง”

ถึงจะถามออกไปแบบนั้น แต่ในใจก็รู้คำตอบอยู่แล้ว เพราะสายตาของการันต์ยังคงจับจ้องไปที่เด็กหนุ่มที่เอาแต่หลบสายตาเขามาตลอด เจ้าของเส้นผมประหลาดสีน้ำตาลอ่อนแซมเทาและส้มคอยยกแขนขึ้นเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าอยู่เนืองๆ กว่าจะรู้ตัว การันต์ก็เดินผ่านกรองขวัญตรงมาหยุดอยู่ที่หน้าของเขาเสียแล้ว

“ชากร ใครบอกให้เจ้าพาคนแปลกหน้ามา” มือใหญ่ของการันต์ยกขึ้นเชยคางมนของเด็กที่ชื่อชากรขึ้นให้หันหน้ามาหาตน

“ตะ..แต่ว่า นั่นคือ ธิดาของกษัตริย์”

“หา!? กษัตริย์ของเจ้าน่ะไม่ใช่ข้าหรือไง”

“อุ่ก!”

ทั้งสามคนที่เหลือดูเหมือนจะถูกดึงความสนใจไปที่สองคนตรงหน้าบ้านเสียอย่างนั้น เมื่อไม่มีใครเริ่มขยับตัว ยกเว้นแต่เจ้าของบ้านแสนน่ากลัวที่กำลังบีบกรามของชากรอย่างแรง จนแม้แต่คนเห็นก็ยังรู้สึกเจ็บแทน

“น่ารำคาญ...สัตว์ตัวเล็กอย่างเจ้านี่มัน น่ารำคาญจริงๆ!!”

“กรี๊ดดด!”

กรองขวัญที่พยายามควบคุมสติจนกลับมาอยู่ในรูปลักษณ์มนุษย์ได้ครบทั้งตัวแล้ว ต้องเผลอกรีดร้องออกมาดังลั่นเมื่อจู่ๆการันต์ก็ออกแรงเหวี่ยงร่างเล็กของชากรออกไปจนไกลถึงขอบผา เด็กหนุ่มเบิกตากว้างเมื่อรู้สึกได้ว่ารอบกายไร้ที่ยึดเหนี่ยวหรือแม้กระทั่งผืนดินจะเหยียบย่ำ

รเณศกับเปมที่สังเกตการณ์อยู่ในตัวบ้านยังต้องรีบวิ่งออกมาด้วยความเป็นห่วง โดยแทบลืมไปว่ากรองขวัญก็ยืนอยู่ข้างๆ ทุกคนหันไปในทิศทางที่ร่างของชากรกระเด็นไป แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงความว่างเปล่าจนน่าใจหาย กรองขวัญที่ทำท่าจะกรีดร้องออกมาอีกรอบแทบจะทรุดตัวลงกับพื้น เมื่อมองเห็นนกโรบินยุโรปตัวเล็กกำลังกระพือปีกสุดแรงเพื่อพาตัวเองกลับขึ้นมาจากหน้าผา ก่อนที่ร่างกะปอมนั้นจะค่อยๆแตกเซลล์ออก กลับมาเป็นรูปร่างของเด็กผู้ชายนามว่าชากรอีกครั้ง

เด็กหนุ่มปัดฝุ่นตามเสื้อผ้าออกเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ก่อนจะเดินหน้าซีดกลับมาอยู่ข้างๆการันต์ดังเดิม “ข้าขอโทษ ท่านรันอย่าโกรธข้าเลยนะ”

“เรื่องบ้าอะไรวะเนี่ย”

รเณศสบถออกมาอย่างอารมณ์เสียเพราะเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ยังทำเอาคนใจเย็นอย่างเขาตกใจไปได้มากเหมือนกัน แต่ดูเหมือนตอนนี้คงถึงคราวของทั้งสามคนที่เหลือที่จะต้องมาจัดการปัญหาต่อ เมื่อกรองขวัญเริ่มกลับมามีท่าทีเป็นปกติอีกครั้ง พลางจ้องหน้ารเณศกับเปมสลับกันไปมาอย่างโกรธา

“คนที่ปราสาทบอกข้าว่า ท่านกับเปมทัต เป็นคนรักกันอย่างนั้นเหรอ!”

“มะ..”

“ใช่! ข้ากับรเณศ เรารักกันนะ!”

เปมชิงขัดขึ้นก่อนที่รเณศจะได้ทันปฏิเสธ แถมยังกล้าๆกลัวๆดึงแขนของปลาหมึกข้างๆมาแนบกับตัวอย่างถือวิสาสะ ทำเอากรองขวัญยิ่งชักสีหน้าโกรธแค้นมากขึ้นไปอีก

“ทุเรศ! เป็นแค่สัตว์ตัวเล็กแท้ๆ แถมยังเป็นตัวผู้อีก แต่กลับมาให้ท่าท่านรเณศแบบนี้ น่าทุเรศจริงๆ!!”

เด็กหญิงตวาดเสียงแข็งก่อนที่จะผิวปากเสียงดัง ไม่กี่วินาทีต่อมา ปักษายักษ์ขนแดงเพลิงที่ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เปมเคยพบเจอมาก็ค่อยๆกระพือปีกมาหยุดอยู่เหนือหัวของทุกคน การันต์รีบกระชากร่างบางของชากรเข้ามาแนบอก ก่อนจะขยับไปรวมกลุ่มกับรเณศและเปมที่กำลังจับจ้องสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ตรงหน้าด้วยความหวาดหวั่น

“ฆ่า!!”

สิ้นเสียงหนักแน่นของกรองขวัญ เจ้านกเพลิงก็แผดเสียงร้องอย่างนึกสนุก ก่อนจะฟาดปีกใหญ่ๆลงมา คว้าเอาร่างของเปมขึ้นมารัดไว้แน่นจนคนตัวเล็กต้องตีสีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ทันที่จะมีใครว่าอะไร เจ้านกยักษ์ก็เหวี่ยงปีกแรงๆหนึ่งที พาเอาตัวของเปมลอยออกไปจนใกล้พ้นขอบหน้าผา

ท่ามกลางความตกใจของทุกคน รเณศรีบเปลี่ยนแขนของตัวเองให้กลายเป็นหนวดปลาหมึกทันที พร้อมทั้งออกตัววิ่งไปที่ขอบผาอย่างไม่คิดชีวิต หนวดสีทรายขนาดใหญ่พุ่งตรงไปที่ร่างของเปมซึ่งกำลังลอยคว้างอยู่กลางอากาศ แต่ต่อให้เร็วแค่ไหน ระยะทางแบบนี้ก็ไม่มีทางตามทัน

“บ้าเอ๊ย!!”

องครักษ์หนุ่มสบถพลางชักสีหน้าอย่างเดือดดาล จะว่าเพราะกรองขวัญก็ใช่ แต่ก็เพราะโกรธแค้นตัวเองด้วย โกรธตัวเองที่เอาแต่พาเปมเข้ามาตกอยู่ในอันตราย

พริบตานั้นเองที่การันต์ปล่อยมือออกจากชากร และค่อยๆเปลี่ยนร่างทั้งร่างของตัวเองให้กลายเป็นพญาอินทรีย์ขนาดใหญ่ ความเร็วที่เหนือกว่าปักษานักล่าชนิดใดทำเอาสายตาของคนปกติแทบจะมองตามไม่ทันเลยทีเดียว

แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น.. การันต์ก็พุ่งตัวลงไปตามแนวหน้าผา และคว้าเอาคอเสื้อของเปมไว้ได้อย่างฉิวเฉียด ก่อนจะกระพือปีกกลับขึ้นมาอย่างอาจอง แววตาอาฆาตแห่งเจ้าสัตว์ปีกที่แท้จริงจิกลงที่เจ้าปักษาขนแดง จนแม้แต่สัตว์เลี้ยงขนาดมหึมาก็ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันมหาศาลที่การันต์แผ่ออกมาได้ จึงต้องล้มตัวลงได้ที่สุด แต่ที่แย่กว่าเห็นจะเป็น เปมกับชากรที่เอาแต่ทรุดตัวลง โดยที่ทั้งร่างสั่นเทิ้มคล้ายว่าสติสตังจะหลุดลอยไปได้ทุกเวลา ทำให้รเณศที่เพิ่งจะโล่งใจได้ไม่ทันไรต้องรีบหันไปเอ็ดเจ้าอินทรีที่ยังคงกระพือปีกอยู่กลางอากาศ

“จะฆ่าเปมกับชากรหรือไง!”

การันต์ส่งเสียงแปลกๆอย่างพวกวิหคออกมา ก่อนจะร่อนลงต่ำและกลายกลับมาเป็นร่างของมนุษย์ผู้ชายดังเดิม แต่ดูเหมือนความโกรธเกรี้ยวและเลือดร้อนของพญาอินทรีคนนี้จะยังไม่ระงับ ถึงได้ย่างเท้าตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าของกรองขวัญซึ่งกำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ให้ร่างตัวเองนั้นสั่น

“เพื่อนของเพื่อนก็คือเพื่อนของข้า..”

“อึ่ก”

รเณศที่กำลังประคองร่างของเปมกับชากรที่ใกล้จะหมดสติเต็มทีไปพิงประตูบ้าน เหลือบตามองการกระทำของการันต์อยู่อย่างเป็นห่วง เพราะรู้ถึงความเกรี้ยวกราดของเพื่อนคนนี้ดี และก็เป็นอย่างที่กลัวเมื่อการันต์ตรงเข้าคว้าแขนเล็กๆของกรองขวัญขึ้นมาพิจารณาด้วยสายตาเหยียดหยาม

“ดูเหมือนเหยี่ยวอย่างเจ้า จะมาหาเรื่องผิดคนซะแล้ว”

“โอ้ยย!”

กรองขวัญร้องเสียงดังเมื่อการันต์เริ่มบีบแขนบางเสียแน่น รเณศที่กำลังจะลุกขึ้นไปห้ามกลับถูกรั้งไว้ด้วยมือเล็กของเปม ดูเหมือนเจ้าหอยนางรมจะไม่ยอมหมดแรงไปง่ายๆ คงเพราะกังวลว่าจะช่วยรเณศไม่ได้น่ะสิ

“ข้าน่ะ เกลียดเด็กอย่างเจ้าที่สุด!!”

“อ๊ากกกกกก!!!!!!”

“การันต์!!!”

รเณศร้องขึ้นแข่งกับเสียงโอดครวญจะเป็นจะตายของกรองขวัญที่ขณะนี้ล้มตัวลงไปเกลือกลิ้งอยู่ที่พื้นเสียแล้ว จุดที่ควรจะเป็นแขนข้างซ้ายกลับว่างเปล่าและเต็มไปด้วยเลือดสีแดงข้นที่ทะลักออกมาไม่หยุด ในมือของการันต์กำลังบีบมือเล็กสีซีดที่ขาดออกจากลำตัว ก่อนที่จะปาแขนข้างนั้นออกไปจนสุดขอบผา

“อ๊ากกกก!!! อะ..อ้ากก กก.. ก !!!!!!” เด็กสาวที่ยังปีกกล้าขาแข็งอยู่จนถึงเมื่อครู่ บัดนี้กลับเอาแต่กรีดร้องอย่างทรมาน ทั้งร่างกำลังดีดดิ้นคลุกฝุ่นไปมาอย่างน่าเวทนา

รเณศรีบผละตัวออกจากเปมและตรงเข้าประคองร่างของกรองขวัญขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ร่างเล็กเอาแต่ดิ้นทุรนทุราย ดวงตากลอกไปมาเหมือนคนเสียสติ ปากอ้าค้างอยู่อย่างนั้น สภาพดูไม่ต่างอะไรจากปลาขาดน้ำ

“อ..อ่อกก!”

เปมที่กำลังมองภาพตรงหน้าด้วยใจสั่นรัว ความกลัวตรงเข้าเล่นงานทั่วทั้งอณูในร่างกาย จนขับออกมาเป็นของเสียผ่านทางช่องปาก หอยนางรมน้อยอาเจียนออกมาอย่างห้ามไม่ได้ โดยที่ร่างกายก็สั่นเทิ้มไปหมด

การันต์เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะก้มลงอุ้มร่างของชากรขึ้นพาดไหล่และกลับเข้าไปในตัวบ้านนิ่งๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่างกับรเณศที่กำลังพยายามห้ามเลือดจากแขนที่ขาดออกไปของกรองขวัญอย่างสุดความสามารถ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเด็กสาวที่ดังขึ้นต่อเนื่องไม่หยุด

เปมอดทนกลั้นอาเจียนระลอกใหม่ไว้ ก่อนจะค่อยๆคลานมาหยุดอยู่ใกล้กรองขวัญที่เบิกตากว้างอย่างโกรธแค้น มือขวาที่เหลือตรงเข้าคว้าคอเสื้อของเปมและกระชากอย่างแรง เจ้าหอยนางรมไม่โต้ตอบ เพียงแต่นั่งนิ่งน้ำตาเอ่อขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยว่าทั้งกลัวทั้งสงสาร

มือสองข้างของเปมยกขึ้นใกล้ๆจุดที่เลือดข้นไหลออกมาไม่หยุด ลมอุ่นๆถูกปล่อยออกมาเหมือนอย่างทุกที เพื่อช่วยสมานแผลชั่วคราว

กรองขวัญที่เห็นอย่างนั้นก็ยิ่งโมโห เพราะไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนที่เกลียด จึงออกแรงฟาดมือเล็กลงกับแก้มเนียนตรงหน้า ถึงอย่างนั้นเปมก็ยังคงนั่งนิ่งเหมือนเดิมและพยายามทำการรักษาแผลต่อไป โดยมีรเณศคอยช่วยจับตัวกรองขวัญที่เอาแต่ดิ้นไปมา

“ข..ขอโทษ..”

“อึ่ก!”

เลือดที่ทะลักออกมาจากปากแผลเมื่อครู่ค่อยๆแข็งตัว แผลกว้างอาการหนักก็เริ่มสมานตัวเอง ก่อนที่ความเจ็บปวดจะคลายลง คนรักษายังคงทำหน้าที่หมอที่ดีต่อไปพลางกล่าวขอโทษซ้ำไปซ้ำมา น้ำตาที่เอ่อขึ้นค่อยๆไหลออกมาช้าๆ

“ข้าคิดว่าเจ้าคงรักรเณศมาก แต่ว่า.. ข้าก็รักรเณศมากเหมือนกัน”

“...”

“ฉะนั้น อย่า.. อย่าพาเขาไปเลยนะ”

ธิดาเหยี่ยวแดงมองสีหน้าและการกระทำของเปมอย่างอึ้งๆ พลางส่งเสียงไม่พอใจในลำคอเมื่อความเจ็บปวดเริ่มจางหาย ตอนนั้นเองที่ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เด็กเอาแต่ใจอย่างเธอ เพราะรู้ดีอยู่แล้ว ว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของรเณศ ไม่ใช่และไม่มีวันด้วย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังดึงดันที่จะครอบครองตัวเขาให้ได้ โดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของใครเลย นั่นสิ บางที.. มันอาจถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องยอมรับความจริง...

“ทำไม...”

“หึ?”

“ทำไมถึงช่วยรักษาข้า?” กรองขวัญยันตัวเองขึ้นนั่งด้วยความช่วยเหลือจากรเณศ ก่อนจะจ้องเปมด้วยสายตาจริงจัง

“ก็เจ้าบาดเจ็บนี่”

“หะ? ทั้งที่ข้าพยายามจะฆ่าเจ้านะ”

“อื้อ”

“หา!?”

ธิดาเหยี่ยวลุกขึ้นยืนพลางเอื้อมมือเข้าประคบแผลที่ความเจ็บปวดจางไปมากแล้ว รเณศเองเมื่อเห็นว่ากรองขวัญกลับมาเป็นปกติ ก็ได้โอกาสเดินเข้าไปคว้าร่างบางของเปมมาไว้ใกล้ตัว มือใหญ่ยกขึ้นเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าของชายตัวเล็กออกอย่างเบามือ

“เจ้านี่มันบ้าจริงๆ คนบ้าก็สมควรอยู่กับคนบ้าแล้วล่ะนะ ฮึ ก็ขอให้โชคดีแล้วกัน!”

กรองขวัญผิวปากทำให้ปักษาเพลิงที่หมดสติไป เริ่มกลับมายืนได้ปกติอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะรีบพาตัวเองขึ้นไปบนหลังของมันและเตรียมตัวบินขึ้น เปมเงยหน้าขึ้นตะโกนตามหลังเด็กหญิง

“ดะ..เดี๋ยวสิ นี่หมายความว่า?”

“อือ ข้าจะไม่ยุ่งกับท่านรเณศหรือเจ้าอีก”

“ละ..แล้วข้าจะส่งยาไปให้!”

เปมเผยรอยยิ้มกว้างพลางโบกมือลากรองขวัญที่ค่อยๆหายเข้าไปในกลุ่มเมฆ คนตัวเล็กยังคงยืนมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้นต่อไปอีกสักพัก จนเมื่อเสียงทุ้มปนเจ้าเล่ห์ของคนข้างๆดังขึ้น ก็ทำเอาเขาสะดุ้งสุดตัว

“ข้าก็รักรเณศมากเหมือนกัน งั้นเหรอ..ฮึ”

“อ..อ๊า! ไม่ใช่นะ ข..ข้าพูดแบบนั้นเพื่อให้กรองขวัญยอมถอนตัวจากเจ้าต่างหาก!”

“อืม ขอโทษนะ.. ขอโทษ...”

คนตัวสูงเปลี่ยนจากน้ำเสียงล้อเล่นกลับมาเป็นจริงจังเสียเฉยๆ ก่อนจะโน้มตัวลงมาลูบผมเปมอย่างอ่อนโยน สีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและเจ็บปวดแปลกๆยิ่งทำให้เปมรู้สึกไม่ดี

“ขอโทษที่ทำให้เจ้าต้องมาเจอกับเรื่องแย่ๆแบบนี้”

“รเณศ...”

เปมเอ่ยชื่อของคนตรงหน้าออกไปเสียงแผ่ว มือเล็กค่อยๆเอื้อมขึ้นไปจะสัมผัสใบหน้าเรียว แต่ก่อนที่จะไปถึง เสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าเป็นเตชัส จารวี และวาสินีที่กำลังโดยสารปักษายักษ์สีดำตรงมาทางนี้

เจ้าชายฉลามรีบกระโดดลงมาก่อนที่นกยักษ์จะร่อนลงเสียอีก เมื่อเห็นอย่างนั้นเปมเลยต้องรีบผละตัวออกจากรเณศและตรงเข้าไปหาคนตัวใหญ่ที่กำลังเดินมาด้วยใบหน้ามุ่ย

“เปม ทำไมมีเลือด นี่เจ้า!!”

“ไม่ใช่นะ!” เปมรีบห้ามเตชัสที่ตั้งใจจะพุ่งตัวเข้าใส่รเณศ พลางปล่อยหมัดเล็กเข้าไปที่หน้าท้องแกร่งอย่างห้ามปราม

“ข้าไม่ได้เป็นอะไร ทุกอย่างมันคลี่คลายแล้ว กรองขวัญยอมถอนตัวกลับไปแล้ว”

“งั้นเหรอ แล้ว.. ไอ้โรคจิตนั่นได้ทำอะไรเจ้าหรือเปล่า”

“อ้ะ! ป..เปล่า เปล่าเลยยย”

เตชัสกระตุกหนังตาด้วยความสงสัยเมื่อเห็นท่าทีลนลานของคนตรงหน้า แต่ก่อนจะได้เอาความอะไรต่อ จารวีกับวาสินีก็ตรงเข้ามาดึงตัวเปมไปเสียก่อนด้วยความเป็นห่วง

สุดท้ายทั้งสี่คนก็ขึ้นหลังปักษาดำมาด้วยกันเพื่อตรงกลับปราสาท ทิ้งให้รเณศยืนอยู่หน้าบ้านของการันต์เพียงลำพัง เปมที่ถูกจารวีกันให้ไปนั่งห่างจากเตชัสที่สุด ได้แต่ก้มหน้าลงมาสบสายตากับองครักษ์หนุ่ม.. สายตาคู่นั้น ที่ดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน

แต่ก่อนที่จะได้เป็นห่วงรเณศ อาจจะต้องเป็นห่วงตัวเองเสียก่อน ว่าจะทำยังไงถึงจะหลุดพ้นการซักถามล้านแปดของเตชัสที่จะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ถ้าปล่อยให้รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เตชัสคงต้องอกแตกตาย หรือไม่ก็ได้ไปฆ่าใครสักคนให้ตายนี่แหละ ไม่ว่าจะเรื่องที่โดนรเณศจูบแถมยังเหลือเถิดจนเกือบจะแย่ หรือเรื่องที่ถูกเหวี่ยงจนตกหน้าผาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดนั่นอีก ไม่ว่าเรื่องไหนก็ปล่อยให้เตชัสรู้ไม่ได้เด็ดขาดเลย

แต่ก็พอจะเดาออกว่าถ้าหลีกเลี่ยงไม่ยอมบอกออกไป เจ้าชายจอมเอาแต่ใจก็ต้องงอนเป็นเด็กๆอีกตามเคย แล้วปัญหาที่หนักใจยิ่งกว่าอะไรก็เห็นจะเป็น การที่ต้องคอยตามง้อเตชัสนี่แหละ เฮ้อ.. แค่คิดถึงก็เหนื่อยจะแย่แล้ว!

------------------------------------------

> ช่วงนี้ไม่มีเวลาเลย งานเยอะมากๆ สอบด้วย จะบ้าตาย TT เหนื่อยจริงๆค่ะ
> ไม่ได้ต่อนิยายเลย อาจจะมาช้า (มาก) อย่าเพิ่งลืมกันไปน้า~

 :z10: :z10:

nOsTrAdamUsz

  • บุคคลทั่วไป
เจิมๆๆๆๆ  :L2: :L2:

ออฟไลน์ Still_14OC

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2041
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +180/-7
อึนหน่อยๆ หอยน้อยน่ารัก

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 22
ง้องอน

 

“ทำยังไงดี เตไม่ยอมคุยกับข้ามาสองวันแล้วนะ” หอยนางรมตัวเล็กทึ้งผ้าห่มบนเตียงของวาสินีเป็นว่าเล่นพลางตีหน้ามุ่ยอย่างหนักใจ

“ก็แล้วทำไมเจ้าไม่ยอมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านเตชัสฟังเล่า”

“ถ้าข้าเล่าไป ทั้งรเณศ ทั้งกรองขวัญก็คงได้ตายกันหมดพอดี”

“ก็จริง แต่ข้าคิดว่าการปิดบังมันแย่ยิ่งกว่าอีกนะ” วาสินีดึงผ้าห่มในมือของเปมออก ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ ในหัวก็เอาแต่คิดหนทางง้องอนเจ้าชายฉลามให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ

“แต่เจ้าก็รู้ว่าเตใจร้อนยิ่งกว่าไฟ ไม่ทันได้ห้ามก็คงพุ่งไปทำอะไรโง่ๆอีก”

“เจ้าเพิ่งด่าเจ้าชายว่าโง่”

“เออ!”

“ก็เข้าไปคุยบ่อยๆ เดี๋ยวก็ลืมโกรธเองแหละ.. มั้ง”

วาสินีพยายามจะช่วยลดความว้าวุ่นใจของเปมให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนยิ่งช่วยยิ่งแย่ ยิ่งคิดยิ่งตัน เพราะนี่ก็ถือว่าแปลกพอสมควรที่เตชัสไม่คุยอะไรกับเปมเลย ก็ปกติถึงจะทะเลาะกัน แต่ก็ต้องแพ้ความน่ารักของเปม กลับมาคุยด้วยไม่ทันข้ามคืนทุกที

“ก็พยายามอยู่นะ แต่วันนี้ก็ออกไปทำงานให้กษัตริย์เตชินท์ทั้งวัน ยังไม่กลับเลย”

ชายร่างเล็กเบ้ปากอย่างอารมณ์เสีย ยิ่งทำให้วาสินีนึกเห็นใจ ปกติเห็นแต่เตชัสมาง้อเปม พอเห็นเปมมานั่งคิดไม่ตกแบบนี้บ้างก็แปลกดีแฮะ

“งั้นเราไปทำอาหารเย็น รอรับท่านเตชัสกันไหม เขาคงดีใจนะ”

“แต่ข้าคงทำไม่อร่อยเท่าพี่วีหรอกนะ” เปมหลุบสายตาลงทันที นิ้วชี้เขี่ยเตียงไปมาเหมือนเด็กๆ วาสินีก็เลยฉุดแขนเปมให้ลุกขึ้นเสียเลย

“แต่เตชัสต้องดีใจที่เจ้าทำให้มากกว่าอยู่แล้ว”

นางสนมฉุดกระชากลากถูเปมมาจนถึงห้องครัว ก่อนจะลงมือสั่งเด็กรับใช้ให้คอยเตรียมอุปกรณ์เครื่องปรุงต่างๆสำหรับอาหารเย็นวันนี้ และก็นับว่าเป็นโอกาสดีและอาจจะเป็นโอกาสเดียว ที่ตอนนี้จารวีออกไปเสริมสวยที่ร้านในตัวเมืองพอดี ก็เลยไม่มีใครมาคอยขัดการประกอบอาหารในครั้งนี้ เพราะถ้าจารวีอยู่ล่ะก็ ไม่แคล้วต้องเข้ามาแย่งเปมทำอาหารให้เตชัสเป็นแน่

“จะทำอะไรล่ะ” วาสินีหันมาถามเปมที่ยังคงงงๆกับการถูกลากเข้ามาเฉยๆแบบนี้ หลังจากยอมรับสถานการณ์ได้และคิดจนดีแล้ว ก็หันไปบอกกับเด็กรับใช้สองสามคนที่ยืนรอรับคำสั่งสำหรับวัตถุดิบ

“เอ่อ... ไก่อบน้ำผึ้ง”

“ดี ไปเอาไก่มา!”

เปมหันมองวาสินีอย่างอึ้งๆในท่าทีกระตือรือร้นของเธอ ดูเหมือนเพื่อนคนนี้จะดียิ่งกว่าที่เปมคาดคิดเสียอีก นอกจากจะไม่รังเกียจที่เปมชอบเพศเดียวกัน ยังยอมรับและคอยช่วยเหลือถึงขนาดนี้ จะว่าไปแล้ว วาสินีก็เป็นอีกคนที่สำคัญในชีวิตรักของเขาและเตชัส ถ้าไม่มีเธอ ก็อาจจะประคองกันมาถึงตอนนี้ไม่ได้ก็ได้

“วาสินี ข้าขอบใจเจ้ามากนะ” ชายหนุ่มหันไปฉีกยิ้มกว้างให้เพื่อนรักคนนี้ที่ก็กำลังยิ้มตอบกลับมาด้วยความจริงใจ ก่อนที่วาสินีจะส่ายหน้าช้าๆเหมือนจะสื่อว่า ไม่เป็นไรเลย

เมนูไก่อบน้ำผึ้งที่ตั้งใจไว้ ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ จากความช่วยเหลือของเปม วาสินี และเด็กรับใช้คนอื่นๆ เวลาผ่านไปนานพอตัว อาหารจานใหญ่ก็ถูกย้ายมาใส่จานสีเงินวาวพร้อมเสิร์ฟ หลังจากที่วาสินีปล่อยให้เด็กรับใช้ออกไปเตรียมโต๊ะอาหาร เปมก็หันมาถามหน้าวิตก

“ถ้าเตไม่ยอมกินอาหารของข้าล่ะ?”

“อย่าคิดงั้นสิ ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ไม่มีทางที่ท่านเตชัสจะไม่กินอาหารฝีมือเจ้ามากกว่า”

“ถ้าเขาไม่ได้โกรธอยู่ ก็คงคิดแบบนั้นหรอกนะ”

“ข้าว่าเจ้าเลิกกังวลแล้วไปยืนรอรับหน้าประตูดีกว่า”

“ทำไมต้องหน้าประตูด้วย” เปมรีบร้อนถามเมื่ออยู่ดีๆวาสินีก็อ้อมไปด้านหลังและออกแรงผลักเปมให้เดินออกไปจากห้องครัวอับๆที่เต็มไปด้วยกลิ่นเครื่องปรุง

“ก็รอถามท่านเตชัสว่า ‘จะกินข้าวก่อน หรือกินข้าก่อนดี?’ ไง”

“หา!? จ..จะบ้าเรอะ!!”

เจ้าหอยนางรมรีบหันหลังกลับมาหาวาสินีที่เอาแต่หัวเราะคิกคักในท่าทีเขินอายของคนตรงหน้า เปมได้แต่ชี้นิ้วไปทางโน้นทีทางนี้ที ตัวสั่นด้วยความอายถึงขีดสุดเมื่อจินตนาการไปถึงภาพตัวเองที่ต้องพูดประโยคชวนขนลุกแบบนั้น ใบหน้าทั้งหน้าแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศเสียอีก

“จริง ลองดูดิ ท่านเตชัสหายโกรธแน่ ไม่เชื่อข้าเหรอ”

“เชื่อก็บ้าแล้ว!”

เสียงหัวเราะของวาสินียังคงดังตามหลัง เปมที่รีบก้าวขาไปที่หน้าประตูปราสาท ทหารที่คุมประตูหลบออกไปเมื่อวาสินีโบกมือไล่ จนเมื่อเสียงกระพือปีกรุนแรงด้านนอกดังขึ้น นางสนมคนสวยก็จรลีเข้าไปรอในห้องอาหาร และปล่อยให้เปมยืนลุกลี้ลุกลนอยู่คนเดียวเสียแล้ว

คนตัวเล็กกระโดดหยองแหยงอย่างกังวลใจ จนเมื่อประตูขนาดใหญ่ตรงหน้าค่อยๆอ้ากว้างขึ้น เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ของชายคุ้นเคยถึงสองคน เตชัสและรเณศพากันก้าวขาเข้ามาในปราสาทพร้อมกับทหารน้อยใหญ่ด้วยหน้าตาเหน็ดเหนื่อยจากราชการวันนี้ เจ้าชายฉลามหยุดมองเปมครู่หนึ่งก่อนจะตั้งท่าเดินผ่านไป แต่ก็ถูกรั้งไว้ด้วยมือเล็กๆนั้นก่อน

“ตะ เต!”

“...”

สายตาเรียบเฉยระคนรำคาญใจถูกส่งมาให้อย่างที่เปมไม่นึกต้องการ ทหารที่เดินตามมาค่อยๆหลบเข้าไปด้านหลังปราสาท ผิดกับรเณศที่ยังคงเฝ้าจับตามองทั้งคู่อยู่ไม่ละสายตา

“จ..จะ..”

จะกินข้าวก่อนไหม? ทั้งที่เป็นแค่คำถามง่ายๆ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้มันกลับไม่ง่ายเลย มือเล็กที่ยังคงรั้งแขนเสื้อของเตชัสไว้เริ่มสั่นน้อยๆ แต่ก็ยังทำใจดีสู้ฉลาม เอ่ยต่อไปอย่างตะกุกตะกัก

“จะก..กิน กินข้าว ก่อนไหม?”

“อ่า”

เตชัสตอบปัดๆพลางสะบัดมือออกจากการเกาะกุม เขาสาวเท้าผ่านหน้าเปมตรงไปยังทิศของห้องอาหาร ทิ้งให้เปมได้แต่มองตาม หัวใจเจ็บแปล็บขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

เสียงถอนหายใจเบาๆดังขึ้นด้านหลัง ก่อนที่ความรู้สึกหนักจะถูกกดลงตรงบ่าของเจ้าหอยนางรม รเณศพยักหน้าน้อยๆเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะดันหลังเปมตามเข้าไปด้านใน จนในที่สุดทุกคนก็มารวมกันอยู่บนโต๊ะอาหารขนาดยาว ซึ่งบัดนี้กลับเต็มไปด้วยรังสีน่ากลัวประหลาดที่แผ่ออกมาจากตัวของเจ้าชาย

เด็กรับใช้นางหนึ่งเดินกล้าๆกลัวๆเข้ามาวางจานไก่อบน้ำผึ้งขนาดใหญ่ตรงหน้าเตชัสพอดิบพอดี ไม่นานหลังจากนั้นจารวีตัวปัญหาก็ได้ฤกษ์กลับมาจากตัวเมือง และทันเวลาอาหารค่ำอย่างประจวบเหมาะ

วาสินีที่นั่งตรงข้ามเปมเริ่มส่งสัญญาณผ่านสายตาและใบหน้า พยักเพยิดให้เขารีบทำอะไรสักอย่าง เปมเลยค่อยๆยืดตัวขึ้นเพื่อเรียกความกล้า ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา แต่ทว่าชัดเจน

“เอ่อ ไก่อบน้ำผึ้งนี้ ข้าเป็นคนทำเอง เต...ทานเยอะๆนะ”

ไม่พูดเปล่า ยังลุกขึ้นตักไก่น่องใหญ่ที่สุดลงไปในจานข้าวกล้องของคนที่หัวโต๊ะ ซึ่งเอาแต่มองตามการกระทำของเปมนิ่งๆโดยไม่แม้แต่จะแสดงความรู้สึกอะไรเลย

ความเงียบแผ่เข้าปกคลุมทั่วทั้งห้องอาหารแห่งนี้ นางสนมทุกคนเริ่มละความสนใจจากจานอาหารไปที่เจ้าชายแทน แม้แต่จารวีจอมจุ้นก็ยังยอมสงบปากสงบคำเพื่อรอดูท่าทีต่อไปของเตชัสที่ยังคงนิ่งเฉยผิดวิสัย ส่วนคนที่ถูกดดันจนแทบจะสำรอกออกมาก็คงไม่พ้นเปมที่เริ่มซับเหงื่อบนใบหน้าออกอย่างยากเย็น แววตาสั่นไหวพยายามจับจ้องไปตรงมือที่ถือช้อนเงินของคนหัวโต๊ะ

“ข้าไม่อยากกิน”

เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับใช้ช้อนเขี่ยน่องไก่ในจานออกห่าง สายตาจับจ้องอยู่ที่เม็ดข้าวสีสวย ไม่กล้าแม้แต่จะเหลือบตามอง เพราะรู้แก่ใจดีว่าคำพูดเมื่อครู่น่ะโหดร้ายเพียงใด แล้วสีหน้าเสียใจของเจ้าหอยตัวเล็กนั่นก็ใช่ว่าอยากจะเห็น แต่ให้ทำอย่างไรล่ะ ถ้าไม่โกรธจริงๆจังๆเสียบ้าง ต่อไปก็คงไม่ยอมบอกอะไรให้รู้อีกแล้วกระมัง แค่เรื่องรเณศกับกรองขวัญยังไม่เล่าให้ฟังสักแอะ มันก็แปลว่าต้องเกิดเรื่องที่ไม่สมควรบอกแน่อยู่แล้ว สำหรับเด็กดื้อที่เอาแต่ปกป้องคนอื่นด้วยการปิดบังคนรักตัวเองแบบนี้ มันก็ต้องโดนบ้างล่ะ

“ท่านเตชัส!”

“อุบ!”

วาสินีที่เฝ้ามองเหตการณ์ถึงกับเลือดขึ้นหน้าแทนเพื่อนรักที่เอาแต่นั่งหงอยน้ำตาคลอเบ้า นางพรวดพราดลุกขึ้นท่ามกลางสายตาประหลาดใจทุกคู่ ไม่กี่วินาทีต่อมา ไก่อบน้ำผึ้งชิ้นที่เพิ่งถูกเขี่ยออกก็โดนวาสินีใช้ส้อมเงินจิ้มใส่ปากเจ้าชายฉลามเสียดื้อๆ ดวงตากลมโตของทุกคนในห้องอาหารเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจอย่างไม่ได้นัดหมาย ก่อนที่จารวีจะรีบรุดเข้าไปคว้าตัววาสินีกลับมานั่งที่ตามเดิม พร้อมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคออย่างยากเย็น ทั้งห้องเงียบกริบ...

เวลาดูจะผ่านไปนานพอตัว จนทุกสายตาถูกกดดันให้หันกลับไปสนใจอาหารในจานตัวเองกันหมดแล้ว เตชัสถึงยอมขยับตัว ยอมกัดเนื้อไก่ในปากออกด้วยท่าทางไม่พอใจระคนเขินอาย สุดท้ายบรรยากาศก็กลับมาสู่ความสงบ โดยที่แฝงรอยยิ้มของเจ้าหอยตัวเล็กที่เอาแต่มองตามเตชัสทุกครั้งที่ตักไก่เข้าปาก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ก็ดูเหมือนว่าเตชัสจะยังไม่ยอมแม้แต่สบตากับเขาด้วยซ้ำ

หลังจบเวลาอาหารเย็นซึ่งชวนปวดหัว เหล่านางสนมทั้งหลายก็แยกย้ายกันกลับห้องบรรทมของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่จารวีจอมยุ่ง ที่ช่วงนี้กลับทำตัวว่านอนสอนง่ายผิดหูผิดตา ที่ยังเดินรั้งท้ายรออยู่เห็นจะมีแต่วาสินีที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในวงโคจรความรักของฉลามหอยเข้าเต็มตัวเสียแล้ว

“เรียบร้อยแล้วนะ” หญิงสาวเดินมาอยู่เคียงเปมซึ่งเดินหน้าอิ่มออกมาจากห้องอาหารเกือบเป็นคนสุดท้าย

“หะ เรียบร้อยอะไร?”

“เมื่อกี้ข้าบอกรเณศไปแล้วว่าให้เตรียมตัวตาย... หมายถึง ให้ระวังตัว แล้วก็ส่งจดหมายไปบอกกรองขวัญให้เตรียมรับมือแล้วด้วย”

“พูดอะไรของเจ้า ข้าไม่เข้าใจ ทำไมต้องให้สองคนนั้นเตรียมรับมืออะไรด้วย”

“บ้าจริง ทำแบบนี้เพื่อที่เจ้าจะได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านเตชัสรู้ได้ยังไงล่ะ” ทั้งสองคนสาวเท้าไวขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงรังสีแปลกๆจากเตชัสที่ส่งผ่านมาจากด้านหลัง จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพักของเปมที่ไร้แววผู้คน

“จะบ้าเหรอ ถ้าเล่าไปแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แน่”

“แต่ความลับไม่มีในโลก สักวันท่านเตชัสก็ต้องรู้อยู่ดี บอกไปเถอะ ไม่งั้นเจ้าอาจจะโดนท่านเตชัสโกรธตลอดไปก็ได้”

วาสินีจงใจจี้จุดที่คิดว่าเจ็บที่สุดสำหรับเปมในตอนนี้ และดูเหมือนจะได้ผล เมื่อชายตัวเล็กเริ่มมีสีหน้าแปลกไป พลางหยุดคิดทบทวนเรื่องราว ความจริงเขาก็อยากบอกทุกอย่าง แต่ก็เป็นห่วงสองคนนั้น แต่ถ้าเรื่องมันดำเนินมาถึงป่านนี้ ถ้ารังแต่จะเก็บซ่อนความจริง ก็มีแต่จะบ่อนทำลายความเชื่อใจที่มีให้กัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สมควรเล่าทุกอย่าง... แต่ไม่ว่ายังไง ก็จะต้องเป็นคนคอยปรามไม่ให้เตชัสทำอันตรายใครได้

“ก..ก็ได้ ข้าจะบอกความจริงกับเตชัสเอง”

“ดีมาก ข้าจะจัดทหารเฝ้ายามให้มากขึ้น ถ้าเกิดเรื่องอะไร ก็ตะโกนได้เลย”

“มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า..”

“การที่เจ้ากับท่านเตชัสไม่พูดคุยกันแบบนี้ ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน”

นิ้วเรียวดีดลงตรงหน้าผากของเปมเต็มแรง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร ยิ่งบวกกับสีหน้ามุ่งมั่นที่แฝงความห่วงใยเปี่ยมล้นของคนตรงหน้า ก็ยิ่งช่วยเรียกความกล้าของตนให้มีมากขึ้น ถ้าทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ก็คงดีนะ และคนที่จะลืมไม่ได้ตลอดชีวิตก็คงเป็นวาสินีนี่แหละ

“ขอบใจเจ้ามากนะ”

“อือ คืนดีกันให้ได้ล่ะ”

เปมพยักหน้า จนวาสินีเริ่มมั่นใจจึงยอมถอยกลับห้องตัวเองไป ทิ้งให้เปมใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อรวบรวมความกล้าจนพ้นช่วงหัวค่ำไปแล้ว เมื่อไม่เห็นใครเผ่นผ่านนอกจากพวกทหารยาม เปมจึงถือโอกาสย่องออกไป จนมาหยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่คุ้นเคย

คนตัวเล็กยืนถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้น พลางลากสายตาไปตามรอยแยกของประตูไม้ หัวใจดวงน้อยกลับเต้นถี่แรงจนน่ากลัว มือบางค่อยๆกำแน่นและเอื้อมออกไปอย่างสั่นเทา ไม่นานนัก เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นชัดเจน ฟังดูน่าใจหาย เปมรีบชักมือกลับทันที และตั้งท่าว่าจะเดินกลับ แต่ไม่ทันได้ทำตามที่หวัง ประตูบานใหญ่ก็ค่อยๆเปิดออกพร้อมร่างสูงของเจ้าชายฉลาม ซึ่งกำลังชะโงกร่างกายท่อนบนซึ่งเปลือยเปล่าออกมาสังเกตการณ์ เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ก็ได้แต่เลิกคิ้วสูงอย่างสงสัย

ผิดกับทางด้านคนตัวเล็กที่แค่ได้เห็นใบหน้ายู่ยี่ด้วยความง่วงของเตชัสแล้วก็เกิดขวัญหนีดีฟ่อ อยากจะวิ่งกลับห้องตัวเองเสียเดี๋ยวนั้น ดูเหมือนทั้งคู่จะสบตากันอยู่นาน จนเปมทนไม่ไหวได้แต่หัวเราะแห้งๆและก้มหัวถี่เหมือนอยากขอโทษที่มารบกวน

แผ่นหลังบางหันออก ตั้งท่าจะวิ่งหนีเต็มที่ แต่คนตัวใหญ่ที่เริ่มได้สติและชินกับความมืดกลับตรงเข้าคว้าคอเสื้อของเปมไว้อย่างรวดเร็ว และลากร่างบางเข้าไปในห้องทั้งอย่างนั้น

“วะ..เหวออ” หลังจากจัดการปิดประตูลงกลอน เตชัสก็หันกลับมาผลักคนตัวเล็กให้ลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่บนเตียงเหมือนทุกที

“ว่าไง?”

“อะ.. เอ่อ...”

เปมอ้ำๆอึ้งๆ พลางดันตัวเองให้ลุกออกจากเตียง แต่ไม่ทันไร ก็ถูกเตชัสตรงเข้าดันร่างให้ล้มลงกับเตียงเหมือนเดิม แถมยังตามมาคร่อมไว้ไม่ให้หนีไปไหนได้อีก เปมที่ไม่เคยนึกจะชินกับสถานการณ์แบบนี้ได้แต่เบือนหน้าหนีสายตาดุดันตรงหน้า

“ข้ายอมเล่าเรื่องทั้งหมดแล้ว... ก็ได้”

“อ้อ ดีนี่ เพิ่งคิดได้เหรอ”

“ฮึ้ยย!” เปมรีบตวัดสายตากลับมาหาดวงตาคู่สดที่เต็มไปด้วยความสนุก ก่อนจะออกแรงผลักอกกว้างตรงหน้าออกพลางขยับตัวถอยหนี

“ข้าจะเล่าทีเดียวนะ ฟังดีๆล่ะ แล้วก็ห้ามไปเอาเรื่องใครเด็ดขาดด้วย ไม่งั้นข้า..”

“...ทำไม?”

“ข้าจะไปจากเจ้าจริงๆด้วย...” แววตาเมื่อครู่ของเตชัสกลับมาเย็นชาอีกครั้งหลังจากที่เปมเอ่ยออกมาเสียงแผ่ว ไม่ว่าคำพูดนั้นจะจริงหรือไม่ แต่ความเจ็บปวดเมื่อได้ยินคือเรื่องจริง

เตชัสรีบรุดไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าหอยตัวน้อยที่ได้แต่ก้มหน้างุด ปลายจมูกฝังลงไปกับซอกคอขาว พร้อมกับมือใหญ่ที่รวบข้อมือเล็กไว้หลวมๆ

“เปม.. ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”

ยามเมื่อใบหน้านี้ ร่างกายนี้ มาอยู่ตรงหน้าใกล้ถึงเพียงนี้ ก็ไม่อาจทำให้เตชัสข่มแรงปรารถนาที่กักเก็บมานานไว้ได้อีกต่อไป ความโหยหาแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์รักร้อนแรง ไม่ปล่อยให้คนข้างล่างได้ทันตั้งตัว เตชัสก็ชิงมอบรสจูบอันแผดเผาให้เสียก่อน

ข้อมือเล็กทั้งสองข้างอ่อนระทวยลงแทบจะทันทีที่ลิ้นสัมผัสลิ้น มือใหญ่สอดเข้าไปในเสื้อตัวบาง และเริ่มวนไปมาแถวตุ่มไตที่ชูชันขึ้นมาทั้งสองข้าง มือที่ว่างลากไล้ไปตามแนวนูนบริเวณเป้ากางเกงของคนตัวบาง พร้อมกับที่ทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงพิศวาสของสองชาย

“อ้ะ! เต.. ยะ อย่าจับตรงนั้นนะ”

ใบหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าผมมะเขือเทศของเปมดูเหมือนยิ่งเร้าอารมณ์ความต้องการของเตชัสให้พุ่งสูงขึ้น คนตัวใหญ่ไม่คิดจะสนใจเสียงปรามของคนตัวเล็กแม้แต่น้อย กลับกระชากเสื้อนอนของเปมออก พร้อมทั้งดึงกางเกงและชั้นในลงต่ำจนเผยให้เห็นแก่นกายสีหวาน

“เต ไม่เอา!”

“ทั้งที่เจ้าก็รู้สึกขนาดนี้แล้วเนี่ยนะ”

คนตัวใหญ่กระตุกยิ้มอย่างผู้ชนะ จนเปมทนไม่ไหวได้แต่นอนสั่น มือสองข้างยกขึ้นปิดบังใบหน้าด้วยความเขินอายถึงขีดสุด ไม่กี่วินาทีต่อมา ร่างบางก็กระตุกไปตามสัมผัสที่ได้รับ ลิ้นร้อนของเตชัสลากวนไปตามส่วนปลายของเปม ก่อนจะดูดดันอย่างมีชั้นเชิง

“เต..อ๊ะ จ..จะไม่ไหว แล้ว..”

เตชัสเหลือบตามองสีหน้าสุขสมของคนตัวเล็กที่นอนตัวเกร็ง พร้อมทั้งมือเล็กที่จิกลงกับหมอนสุดแรง ก่อนจะยอมถอนปากออกมา ไม่ทันไรของเหลวสีขุ่นก็พุ่งตามออกมาจากปลายแท่งเล็กๆตรงหน้า พร้อมกับร่างของเปมที่กระตุกแรงๆ

“ฮ้า...ฮั่ก ก ฮัก...” เตชัสตามขึ้นไปจูบเปมที่เอาแต่หอบถี่ พร้อมเค้นสะโพกมนไปเรื่อยๆเพื่อกระตุ้นอารมณ์ใคร่ให้ลุกขึ้นอีกครั้ง

“เต.. อย่าทำอะไรรเณศกับกรองขวัญเลยนะ”

“แล้วพวกมันทำอะไรเจ้าบ้างล่ะ” ปากพูดคุยเหมือนปกติ แต่มือใหญ่กลับง่วนอยู่กับจุกทับทิบสีสวย อีกข้างช้อนตัวร่างบางขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะใช้นิ้วเรียววนแกล้งอยู่บริเวณช่องทางด้านหลัง

“เอ่อ... กรองขวัญผลักข้าตกหน้าผาน่ะ”

“หา!?”

เตชัสหยุดการกระทำทั้งหมดแทบจะทันที และทำท่าเหมือนจะพุ่งตัวออกไปเสียเดี๋ยวนั้น แต่ก็ถูกเปมคว้าข้อมือไว้ได้ทันการ คนตัวเล็กรีบประมวลผลในหัวจนแทบจะระเบิด สุดท้ายก็คิดได้แต่แผนสกปรกที่ไม่คิดอยากจะทำเลยจริงๆ

มือเล็กทั้งสองข้างรั้งมือใหญ่ของเตชัสไว้อย่างแรงไม่ให้เขารุดไปเอาเรื่องใครได้ เปมพยายามตีหน้ายั่วยวนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พลางก้มลงดูดนิ้วเรียวของคนตรงหน้า ทำเอาเตชัสถึงกับตาโตด้วยความประหลาดใจ

“อุ..อื้.ม...”

เมื่อเห็นว่าคนตัวใหญ่สตั๊นไปแล้ว เปมจึงค่อยถอนปากออกมาพร้อมน้ำลายเหนียวหนืดที่ยืดออกเป็นสาย คนตัวเล็กนั่งพับขาตัวสั่นด้วยความอาย ก่อนจะค่อยๆช้อนตาขึ้นไปสังเกตสีหน้าของเตชัสอีกครั้ง ซึ่งดูเหมือนจะยังตกใจกับท่าทีของตนเมื่อครู่อยู่ ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกได้ถึงความพอใจในแววตาคู่นี้

“แต่ข้าก็ยังมีชีวิตอยู่นี่..”

“จ..เจ้านี่มัน!” เตชัสชักมือตัวเองออกพลางตีสีหน้าเคืองๆ แต่ก็ถือว่าลดอารมณ์โกรธของตนได้มากโขทีเดียว

ไม่ทันที่เจ้าชายฉลามจะได้โต้ตอบ เปมก็เป็นฝ่ายกดเตชัสลงกับเตียงนุ่ม พลางขยับขึ้นมาคร่อมร่างสูงใหญ่ของเขาไว้ทันทีด้วยใบหน้าที่แดงจัด ลามไปจนถึงใบหูและต้นคอ มือเล็กค่อยๆถกกางเกงนอนของคนข้างล่างลงอย่างกล้าๆกลัวๆ ร่างทั้งร่างสั่นไปหมด

เตชัสที่เห็นอย่างนั้นก็รีบยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง โดยยังมีเปมนั่งคร่อมระหว่างขาทั้งสองข้างอยู่ พอดีกับที่แก่นกายขนาดใหญ่น่ากลัวโผล่พ้นขอบกางเกงออกมาให้เห็น

“เฮ้ย! เปม..”

“ร..รเณศ..มายุ่งกับ ร่างกายข้า...”

สิ้นเสียงสั่นของเปม เตชัสก็แทบจะกระโจนลงจากเตียงเสียเดี๋ยวนั้น หากว่าไม่มีคนตัวเล็กนั่งทับอยู่แบบนี้ ดวงตาสองข้างเบิกกว้างด้วยความเดือดดาล ด้วยเข้าใจถึงคำพูดของเปมดี เลือดในกายมันแล่นพล่านพร้อมกับกล้ามเนื้อที่เต้นตุบๆพร้อมจะระเบิดความโกรธออกมาทุกเมื่อ

และเพราะว่ารู้ดีถึงเหตุการณ์แบบนี้ เปมถึงต้องยอมทำในสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต เพราะนี่อาจจะเป็นทางเดียวที่จะทำให้เตชัสลดอารมณ์โกรธลงได้

“เต! อย่าทำอะไรรเณศเลยนะ เราไม่ได้มีอะไรเกินเลยกันสักหน่อย ถึงยังไงข้าก็ไม่ยอมอยู่แล้ว ข้ารักเจ้าคนเดียวนี่น่า!”

“แต่มัน!”

“ถ้าเป็นรเณศ ข้าคงไม่ยอมทำแบบนี้ จริงไหม”

“เปม!!”

ในขณะที่กำลังสับสนด้วยคำพูดแสนตรงไปตรงมาเมื่อครู่ เตชัสก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ๆ เปมก็โน้มตัวลงพร้อมเอาผมทัดหู ก่อนจะพยายามครอบปากเล็กๆลงกับแก่นกายของตัวเองด้วยใบหน้าที่แดงจัดชัดเจน น้ำตาเอ่อขึ้นมาที่ดวงตาทั้งสองข้างด้วยความใหญ่โตของสิ่งที่อยู่ในปาก

“เปม เจ้าไม่ต้องทำแบบนี้!”

เตชัสใช้แขนข้างหนึ่งยันตัวเองไว้เมื่อโดนสัมผัสหวานจู่โจมจนแทบจะล้มตัวลงไป แขนอีกข้างพยายามดันไหล่ร่างบางที่ได้แต่ตีสีหน้าทรมานเพราะความไม่เคย แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อเปมยิ่งรุกไล่มากขึ้นด้วยการวนลิ้นเล็กไปมาอย่างเก้ๆกังๆ ถึงอย่างนั้นก็ทำเอาคนตัวสูงเผลอครางต่ำออกมาอย่างลืมตัว

“อึ่ก...เปม..”

ดูเหมือนปากเล็กๆของเปมจะทำได้แค่ดุนดันเข้าออกที่ส่วนหัวของเตชัสเท่านั้น เขาจึงเริ่มใช้มือช่วยรูดขึ้นลง ยิ่งกระตุ้นอารมณ์ในตัวของเตชัสให้เพิ่มมากขึ้นจนแทบจะระเบิดออกมา

“อึ๊!”

เตชัสรีบช้อนใบหน้าของเปมขึ้นจนแก่นกายหลุดออกมาจากปากบางซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบของเหลว ดวงตาปรือทั้งสองข้างยิ่งทำให้เตชัสอยากที่จะบดขยี้ร่างบางตรงหน้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องกลั้นอารมณ์รุนแรงในตัวไว้ และค่อยๆกดร่างของเปมราบลงกับผิวเตียงอย่างเบามือ

“ครั้งสุดท้าย..”

“หะ?” เปมยกแขนขึ้นดันอกของเตชัสที่กำลังโน้มต่ำลงมาตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนการกระทำของตนเมื่อครู่ จะไม่อาจหยุดอารมณ์ร้อนแรงในตัวของฉลามตรงหน้าได้อีกต่อไปแล้ว

“นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ข้ายอมให้อภัยรเณศ”

“อ๊ะ!”

ลิ้นร้อนของเตชัสลากลงกับแผงอกบางทันทีที่พูดจบ ขาเนียนทั้งสองข้างของเปมถูกแยกออกช้าๆ ก่อนที่บทเพลงรักอันแผดเผาจะถูกบรรเลงขึ้นตลอดทั้งคืนแบบไม่มีหยุดพัก จนเกิดคำถามหนึ่งขึ้นในใจของเจ้าหอยนางรมตัวเล็กว่า มันดีแล้วจริงๆไหม ที่เขาแก้ปัญหาด้วยการกระทำแบบนี้... แม้จะไม่ได้รังเกียจ แต่ก็เจ็บ แม้จะรู้สึกดี แต่ก็เหนื่อย ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของเปมจะถูกไอ้เจ้าชายบ้าดูดกลืนไปอีกแล้ว...

แต่ถ้าการทำแบบนี้ จะช่วยรั้งตัวของเตชัสไว้ได้ ไม่ให้ออกไปทำร้ายใครอีก แม้จะต้องแลกด้วยวิญญาณทั้งหมด หรือแม้ร่างกายนี้จะต้องขาดสะบั้น เขาก็พร้อมจะทำ.. จะยอมทำเพื่อปกป้องมือใหญ่คู่นี้ไว้ให้จงได้...

----------------------------------------------------

> ทำไมคนเขียนหื่นจังคะ รับไม่ได้ค่ะ  :serius2: 5555555
> ว่าจะเลิกหื่นแล้วค่ะ เบื่อบ้างอะไรบ้างค่ะ หลังจากนี้จะเข้าภาคสุดท้ายของเรื่องแล้วค่ะ
> หลังจากนี้จะได้ต่อไวหรือไม่ ต้องรอดูเกรดมิดเทอม (ที่เพิ่งสอบเสร็จไป) ก่อนนะคะ เพราะรู้สึกทำไม่ค่อยได้ ถ้าเกรดห่วยมาก อาจจะต้องตั้งใจเรียนแบบจริงจัง แล้วพักตรงนี้ก่อนค่ะ ><'
> แต่ยังไงก็ขอฝากติดตามกันต่อจนจบด้วยนะคะ :D
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 10-03-2013 21:20:30 โดย mooaiir »

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 23
พักผ่อน

 

หญิงสาวผู้มีทรวดทรงอันงดงามภายใต้เสื้อผ้าน้อยชิ้น ไม่ได้ทำให้จิตใจของสองหนุ่มหวั่นไหวแต่เพียงใด ทว่า หุ่นขี้ก้างของเด็กผู้ชายซึ่งเอาแต่หลบอยู่หลังเสาเรือขนาดใหญ่ กลับเร้าความรู้สึกได้มากกว่า วันนี้ดูจะเป็นอีกวันสบายๆที่ไม่ได้หาได้ง่ายนักของเหล่าสมาชิกในปราสาทใหญ่ เตชัสกับรเณศนำทัพ จารวี วาสินี และเปมออกเรือมาถึงแนวปะการังที่ขึ้นชื่อแห่งเขตสัตว์น้ำ เพื่อพักผ่อนให้สมกับที่ทำงานหนักมาตลอดเวลา เพราะในที่สุดเตชัสกับรเณศก็สามารถเจรจาเซ็นสัญญาค้าขายกับเขตสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกจอมโหดเหี้ยมจนได้

ซ่าาา!

เสียงสาดน้ำดังขึ้นเรียกความสนใจของชายตัวเล็กที่ยังเอาแต่หลบแดดตัวสั่น ที่จุดหนึ่งของผืนน้ำสีน้ำเงิน จารวีกับวาสินีกำลังเล่นสาดน้ำกันไปมา จนแทบจะกลายเป็นสงครามขนาดหย่อมเมื่อจารวีดันสาดน้ำเค็มเข้าตาของวาสินีเข้าโดยไม่ตั้งใจ ตอนนี้เลยได้แต่ว่ายน้ำหนีเพื่อนสาวที่พยายามจะเข้ามากระชากเสื้อตัวเล็กออกไปเพื่อแก้แค้น คนที่มองอยู่ถึงกับหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แต่ดูเหมือนจารวีจะยอมแพ้เรื่องเตชัสแล้ว ถึงได้ทำตัวนิ่งเฉย ไม่เข้ามาวอแวเช่นทุกที แถมช่วงนี้ยังดูสนิทกันดีกับวาสินีมากยิ่งขึ้น ก็ทำให้หมดปํญหาไปได้มากโขทีเดียว แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ควรเรียกว่าจารวีพยายามจะตัดใจเรื่องเตชัสมากกว่า เพราะหลายครั้งหลายครา ก็ยังได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของนางอยู่เหมือนกัน

“เปม!”

“ว..เหวอออ!!” คนถูกเรียกยิ่งหลบเข้าไปส่วนท้ายของเรือมากขึ้นอีก เมื่ออยู่ดีๆก็มีฉลามขาวตัวยักษ์โผล่หัวออกมาจากผิวน้ำ พร้อมทั้งทำหน้าทำตาน่ากลัว (แบบที่เขาคงไม่รู้สึกตัว) แล้วเรียกชื่อกัน

บ้าชะมัด นี่มันเรื่องบ้าอะไร หรือเป็นนิสัยแปลกๆอะไรเหรอ ที่พวกสัตว์ตัวใหญ่ถึงต้องแปลงร่างเป็นร่างสัตว์เวลาที่สัมผัสกับน้ำทะเลด้วย ภาพที่เห็นตอนนี้มันจึงเป็นภาพที่แปลกพิสดารชอบกล เมื่อมีหญิงสาวสองคนกำลังว่ายน้ำเล่นอย่างเริงร่า ขณะที่มีฉลามขาวตัวใหญ่ กับปลาหมึกตัวยักษ์ ว่ายวนอยู่รอบๆ

“ลงมาสิ ทำตัวเป็นลูกหมาไปได้”

“อะ..”

ไอ้เจ้าชายบ้านี่ ไม่ได้รู้บ้างเลยว่าเขาไม่ได้ทำตัวเป็นลูกหมา แต่ที่ไม่อยากจะลงไปเล่นน้ำด้วยก็เพราะต้องอยู่ในสภาพที่เปลือยท่อนบน (ที่ไม่น่ามองสักนิด) แบบนี้น่ะสิ ใครจะไปหุ่นดีเหมือนเตชัสกับรเณศล่ะ ถึงอย่างนั้นก็เหอะ ไอ้พวกที่หุ่นดีได้โล่กลับอยู่ในร่างสัตว์น้ำซะอย่างงั้น

ไม่ทันที่เปมจะได้พูดอะไรต่อ หนวดปลาหมึกสีทรายขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้ามาตรงหน้า คล้ายกับจะบอกว่าไม่ต้องกลัว อย่างนั้นแหละ ส่วนเจ้าตัวก็กำลังลอยตัวอยู่ใกล้ๆตัวเรือแถมตีสีหน้าที่แปลไม่ออกอีกต่างหาก ไม่สิ ไม่ใช่แปลไม่ออก แต่มันแปลไม่ได้ ก็เพราะเขาอ่านสีหน้าปลาหมึกไม่เป็นนี่น่า

“บ้าจริง”

เปมพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะผลักหนวดปลาหมึกตรงหน้าออก เนื่องจากมีสายตาน่ากลัวกำลังเพ่งเล็งมาทางนี้ เขาพยายามอย่างมากที่จะข่มความอายเอาไว้และแบกร่างบางๆกับผิวขาวจนแทบจะสะท้อนแสงได้ออกไปหยุดทำใจอยู่ที่ขอบเรือ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ค่อยถนัดเรื่องว่ายน้ำเท่าไร แม้จะเป็นลูกชาวประมงก็ตามที่ แต่พื้นฐานแล้วหอยนางรมน่ะจะอยู่ตามชายฝั่งหรือเขตน้ำตื้น ไม่ได้แหวกว่ายเหมือนเจ้าปลาพวกนี้ จะยกเว้นก็แต่จารวีแล้วกันที่ชอบเรื่องพวกนี้เหลือเกิน

“ขึ้นมา”

เตชัสว่ายมาเทียบขอบเรือนิ่งๆพลางออกเสียงต่ำราวกับนั่นคือคำสั่ง แต่เปมก็คงขัดอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถึงต้องยอมหยั่งขาลงไปแตะน้ำอุ่นๆเพราะแสงแดดของวัน ก่อนจะปล่อยตัวเองให้ไปนั่งคร่อมอยู่บนร่างฉลามยักษ์ ผิวเนื้อลื่นๆทำให้เปมต้องเลี่ยงไปเกาะเอาที่ครีบแข็งๆที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาแทนอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนที่เตชัสจะหัวเราะน้อยๆและค่อยออกตัวว่ายไปรอบๆบริเวณ โดยมีรเณศคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด

“ชะ.. ช้าๆหน่อยสิ” เปมรีบบอกเมื่อเตชัสเริ่มเพิ่มความเร็วตามประสาของเจ้าทะเล แต่มันทำเอาคนไม่ชินอย่างเปมเวียนหัวได้เลยทีเดียว แต่คำที่ตอบกลับมากลับทำให้เปมรู้สึกอยากจะถีบฉลามแถวนี้ให้คอหัก แล้วจับไปทำอาหารเสียเลย

“อยากได้ยินคำนี้บนเตียงจัง”

ปั่ก!

เปมทุบกำปั้นเล็กๆลงกับผิวฉลามทันที แต่ด้วยแรงแค่นั้นก็คงไม่ทำให้เตชัสรู้สึกอะไรอยู่แล้ว ถึงได้พูดต่อไปหยุดปาก จนคนที่นั่งอยู่อยากจะกระโดดน้ำแล้วกลั้นหายใจตายของความเขินอายเสียเดี๋ยวนั้น

“นี่เจ้ากำลังขี่ข้าอยู่นะ รู้ตัวหรือเปล่า”

“อ..ไอ้บ้านี่!”

เปมที่ไม่สามารถปกปิดความเขินอายที่แสดงออกมาผ่านสีหน้าได้ ก็เอาแต่ระบายลงกับการพยายามหักครีบที่ตนเกาะอยู่ จนไม่ทันสังเกตว่าตอนนี้เตชัสกำลังเหลือบตามองตัวเองอยู่ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่โดนแรงกระแทกแรงๆ เพราะหัวฉลามดันไปชนเข้ากับโขดหินสูงใหญ่แถวนั้นน่ะแหละ

เตชัสกระเด็นกลับมาเล็กน้อยก่อนที่ร่างสัตว์จะค่อยๆคลายกลายเป็นร่างมนุษย์ตามเดิม ทำให้เปมตกลงไปในน้ำเพราะแรงผลัก แต่ไม่กี่วินาทีก็ตะกายตัวขึ้นมาสูดเอาอากาศหายใจเข้าปอดจนได้ ถึงอย่างนั้นก็เกร็งพอตัวเพราะความไม่ชินกับบริเวณน้ำลึก

ไม่ทันจะได้เปล่งเสียงขอความช่วยเหลือ หนวดปลาหมึกสีทรายก็พุ่งตรงมาจากด้านหลัง ก่อนจะคว้าร่างเปมเข้าไปจนตาสองคู่แทบจะชนกัน เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น รเณศก็แปลงร่างกลับมาเป็นมนุษย์เหมือนเดิม ซึ่งกำลังใช้แขนแกร่งโอบรอบเอวบางของเปมไว้ด้วยมือเดียวพลางรั้งให้ชิดตนมากขึ้น จนใบหน้าสีแดงระเรื่อของเปมเข้าแนบกับอกกว้างอย่างช่วยไม่ได้

แรงรั้งอย่างฉับพลัน ทำให้ต้นขาด้านนอกของเปมไปสัมผัสเข้ากับสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่ยื่นออกมาข้างใต้น้ำ ยิ่งเร่งให้อุณภูมิในร่างกายของคนตัวเล็กพุ่งสูงขึ้นจนแทบจะเดือดน้ำรอบๆ ไม่ต้องบอกเลยว่าเมื่อกี้เขาชนเข้ากับอะไร... ในเมื่อรเณศแปรงร่างกลับเป็นคนแล้ว ตอนนี้เขาก็ต้องเปลือยทุกส่วนอยู่เป็นแน่ ถ้าเช่นนั้น เมื่อกี้ก็คง....

“//////”

“เปม”

รเณศกระชับอ้อมกอดเข้ามาอีกพลางส่งเสียงเรียกอย่างเป็นห่วง เมื่อจู่ๆเปมก็หน้าขึ้นสีจัดชัดเจนจนดูน่ากลัวแปลกๆ แถมยังรู้สึกเหมือนมีควันพุ่งออกมาจากหูทั้งสองข้างอย่างไรก็ไม่ทราบ

“อ้ะ!”

ก่อนที่คนตัวเล็กจะทันได้ตั้งสติ มือใหญ่ที่คุ้นเคยของเจ้าชายฉลามซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในร่างเปลือยเช่นเดียวกัน ก็เอื้อมเข้ามาดึงเอวบางของตนเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่น

“เปมของข้า ให้ข้าดูแลเองเถอะ”

รเณศส่งเสียงไม่พอใจในลำคอก่อนจะเปลี่ยนร่างกลับเป็นปลาหมึกสีทรายตัวใหญ่ และหายตัวลงไปใต้น้ำ ทิ้งให้เตชัสลอยตัวโอบกอดร่างบางที่กำลังจะเป็นลมตายแหล่มิตายแหล่

“ใส่..กา..”

“หะ?”

“ใส่กางเกงก่อนจะได้ไหม ////”

คนตัวเล็กพยายามดันตัวออกห่างจากอกกว้าง พลางก้มหน้างุดด้วยความเขินอายถึงขีดสุด เตชัสหัวเราะร่ากับท่าทีน่ารักของคนตรงหน้า ก่อนจะแกล้งขยับร่างกายเข้าไปใกล้ จนส่วนสงวนไปชนเข้ากับเป้ากางเกงของเจ้าหอยทะเลน้อย

เปมสะดุ้งสุดตัว และพยายามยืดตัวขึ้นสูงหวังจะหลบสิ่งแปลกปลอมข้างใต้ให้พ้น ท่ามกลางสายตาของหญิงสาวทั้งสองที่เริ่มหยุดสู้กันและหันมามองอย่างงุนงน

“เจ้าความรู้สึกไวขึ้นนะ”

“อึ่ก!”

คนตัวเล็กสะดุ้งแรงๆอีกครั้ง เมื่อเตชัสกระชับแขนแกร่งเพื่อรั้งเอวบางเอาไว้ พร้อมกับใช้มืออีกข้างที่ว่างลงบีบคลึงแก่นกายของเปมที่เริ่มชูตั้งขึ้นมาภายใต้เนื้อผ้า ร่างกายส่วนล่างของเจ้าชายฉลามขยับไปมาอย่างจงใจกลั่นแกล้งคนในอ้อมกอด ที่เริ่มอ่อนระทวยไปตามสัมผัส

“ยะ..หยุดนะ เต..”

เปมส่งเสียงออกไปอย่างยากลำบาก และพยายามอย่างมากที่จะไม่ร้องครางออกมา เขาไม่ได้มีแรงพอจะผลักอกแกร่งตรงหน้าออกไปได้อีกแล้ว หากแต่เป็นฝ่ายที่โน้มตัวลงซบไหล่กว้างของเตชัสเสียเองอย่างไร้แรงจะต้าน แขนบางทั้งสองข้างยกขึ้นเกาะกุมร่างกายของคนตัวใหญ่อย่างห้ามไม่ได้ พร้อมกับใบหน้าลำตัวที่เริ่มออกสีชมพูชัดเจน

“อือ.. อืมม”

เตชัสเอี่ยวคอไปมองหน้าเปมให้ชัดๆ ก่อนจะไล้ลิ้นไปตามแนวกราม จนเข้าครอบครองริมฝีปากบางสีสวย ทั้งคู่แลกจูบกันอย่างเชี่ยวชาญ จนผู้หญิงทั้งสองคนที่จ้องมองอยู่ถึงกับต้องเบือนหน้าหลบด้วยความตกใจระคนเขินอาย ผิดกับรเณศที่ยอมโผล่หัวกลับขึ้นมาบนผิวน้ำและจ้องเตชัสกับเปมเขม็ง

ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกันไปมาอยู่พักใหญ่ จนคนตัวเล็กเริ่มขาดอากาศหายใจจนต้องผละออกตัวสุดแรง และคว้าจังหวะนี้ว่ายหนีให้ห่างจากเจ้าฉลามโรคจิต

เตชัสส่งเสียงไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะว่ายไปใกล้ๆเรือและพรวดพราดก้าวขาขึ้นทั้งๆที่ยังเปลือยทุกส่วนอยู่เช่นนี้ จารวี วาสินี และเปมต่างพากันส่งเสียงร้องอย่างตกใจพลางรีบหันหน้าหนี ผิดกับเตชัสที่เอาแต่เดินขึ้นเรืออย่างไร้ยางอาย ไม่สนใจว่าคนอื่นจะต่อว่าอะไรกลับมาบ้าง

“กรี๊ดด ท่านเตชัสน่าเกลียดที่สุด!”

“เตทุเรศ โรคจิต!!”

“อุบาทว์”

เสียงทุ้มของรเณศดังขึ้นแทบจะพอดีกับที่เตชัสปาแก้วน้ำจากบนเรือเข้าใส่หัวปลาหมึกเต็มๆ เมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไปสักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าเตชัสได้ใส่เสื้อผ้ากลับเรียบร้อยแล้ว ทั้งสามคนจึงค่อยหันหน้ากลับมา แต่ได้โล่งใจแค่ไม่นานก็ต้องตกอกตกใจกันยกใหญ่อีกครั้ง เมื่อจู่ๆรเณศก็ตวัดหนวดข้างหนึ่งไปจับขอบเรือไว้ และค่อยๆกลายร่างกลับเป็นคนดังเดิม พร้อมก้าวขาขึ้นเรืออย่างโจ่งครึ้ม ไม่ได้ต่างอะไรจากผู้ชายโรคจิตคนเมื่อกี้สักเท่าไร

“ว้าย! ท่านรเณศ!”

“บ้าชิบ มีแต่พวกโรคจิต” เปมกลั้นใจดำน้ำลงไปทันทีที่ผิวเนื้อขาวๆของรเณศโผล่พ้นผิวน้ำ ส่วนหญิงสาวทั้งสองก็รีบตรงเข้าโอบคอกันหันหลังอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายก็จบลงที่เปมต้องไปว่ายน้ำเล่นกับสองสาว ขณะที่เตชัสและรเณศนั่งสังเกตการณ์อยู่บนเรืออย่างไม่วางสายตา

“ถ้าเปมไม่ขอไว้ล่ะก็ เจ้าได้ตายไปแล้ว” เจ้าชายฉลามเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนากับอริตัวสำคัญ ซึ่งยังคงตีหน้าเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด

“ข้าไม่ตายด้วยฝีมือกระจอกๆแบบเจ้าหรอก”

“ไอ้นี่!” เตชัสแทบจะพุ่งตัวเข้าหารเณศอยู่แล้ว ถ้าไม่เป็นเพราะถูกสายตาจับผิดของเปมส่งมาปรามไว้จากพื้นน้ำไกลๆ

“แต่ได้ยินแบบนี้แล้วดีใจแฮะ แปลว่าเปมเป็นห่วงข้ามากขนาดนั้นเลยสินะ”

“เปมก็เป็นห่วงทุกคนนั่นแหละ อย่าได้ใจนัก”

รเณศไม่ตอบอะไร จนบทสนาขาดห้วงไปเป็นเวลานาน สายตาทั้งสองคู่ของชายร่างสูงทอดตรงไปที่คนคนเดียวอย่างสื่อความหมายมากมายไม่แพ้กัน ดวงตายังคงจับจ้องไปที่ใบหน้ายิ้มแย้มของคนรัก พลันปากขยับเอื้อนเอ่ยคำถามที่ฟังดูจริงจังยิ่งกว่าครั้งไหน ทำเอาคนฟังถึงกับต้องละสายตาจากเปมหันกลับมามองหน้าผู้ตั้งคำถามอย่างสงสัย

“ถ้าข้าไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ เจ้าจะได้ขึ้นแทนใช่ไหม?”

“ไม่รู้สิ… แต่ข้าก็ไม่คิดจะขึ้นเป็นกษัตริย์เช่นกัน”

“เพราะอะไร?” เตชัสยอมละสายตาจากเปม และหันมาจ้องหน้ารเณศนิ่ง ทั้งสองคนหยุดอยู่แบบนั้นเป็นเวลานานราวกับต้องการจะเพ่งเข้าไปให้ทะลุถึงจิตใจของอีกฝ่าย

“เจ้ารู้คำตอบดีอยู่แล้ว”

ไม่มีคำพูดใดๆหลุดรอดออกมาอีก นอกจากเสียงคลื่นทะเล สายลม และเสียงพูดคุยที่ดังขึ้นไม่ใกล้ไม่ไกล นี่อาจเป็นชั่ววินาทีเดียวจากทั่งชั่วชีวิตนี้ ที่เตชัสและรเณศรู้สึกเข้าใจกันและกันอย่างแท้จริง เพราะเหตุผลที่ไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์นั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว...

 

เพราะกษัตริย์ต้องมีพระชายาและทายาท...

พระชายาและทายาท... ที่เขาทั้งสองไม่สามารถมีให้ได้ นับตั้งแต่ได้พบกับเด็กผู้ชาย... ที่ชื่อเปมทัต...

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 24
ผู้ต้องหา

 

“สนุกไหม”

เปมลูบหัวเจ้าปักษายักษ์ขนน้ำตาล หรือ ลูกชายของตนกับเตชัสอย่างเอ็นดู พลางออกปากถามอย่างแจ่มใส ตอนนี้เขากำลังพาลูกชายตัวน้อยขึ้นหลังปักษายักษ์ขนดำที่ยืมเตชัสมาเพื่อออกบิน ให้ลูกชายทำตัวชินกับบรรยากาศด้านบนเผื่อจะได้เริ่มฝึกบินกันเสียที หลังเอาแต่ทำตัวสบายอยู่ภายในกรงมานาน

“ว่าแต่ ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย ฮึ?”

เปมโน้มตัวลงและตบหลังคอเจ้าปักษาขนาดใหญ่เบาๆ มีเพียงเสียงร้องอย่างมีความสุขที่ดังกลับมา และก็ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย เพราะยังไงเปมก็ฟังภาษานกไม่ออกอยู่แล้ว จึงได้แต่ยืดตัวกลับและพยายามสอดส่องไปทั่วบริเวณที่ไม่คุ้นชิน

แผ่นดินเบื้องล่างถูกปกคลุมไปด้วยหญ้าอ่อนๆ กับพื้นทรายและเศษหิน ไม่ว่าที่ไหนก็ไร้กลิ่นของน้ำทะเล แอ่งน้ำจืดตื้นบ้างลึกบ้างปรากฏให้เห็นเป็นบางส่วน

สายตาเจ้ากรรมของเจ้าหอยทะเลพลันหยุดลงที่สัตว์สี่ขาขนาดใหญ่ สีขนและลวดลายโดดเด่นมาแต่ไกล จนเมื่อเปมส่งสัญญาณให้เจ้านกยักษ์ร่อนลงจอดและถลาลงไปพินิจใกล้ๆ จึงได้พบว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือเสือโคร่งเบงกอลขนาดใหญ่ที่กำลังนอนตะแคงท่าทางทรมาน บริเวณลำตัวอาบไปด้วยเลือดสีข้นพร้อมธนูด้ามหนาที่ปักเข้าไปลึกถึงเนื้อชั้นใน

“เฮ้ย!!”

คนตัวเล็กรีบรุดเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะกลั้นใจดึงธนูออกมาท่ามกลางเสียงแผดร้องของเจ้าเสือตรงหน้า กรงเล็บแหลมตะกุยไปมาจนเฉียดใบหน้าของเปมไปหลายที แต่ความเจ็บปวดคงมากเกินไป สัตว์ร้ายนี้ถึงได้แต่จิกเล็บหนาลงกับพื้นหญ้าอย่าเจ็บปวด เปมรีบทาบมือลงบริเวณปากแผลใหญ่ ลมอุ่นๆลอยขึ้นมาเหมือนทุกที แต่สิ่งที่ต่างออกไปกลับเป็นประสิทธิภาพในการรักษา ซึ่งดูเหมือนว่าจะช่วยอะไรได้ไม่มากนัก นี่อาจเป็นเพราะเขามาช้าไป

เปมยังคงพยายามช่วยเหลือสุดความสามารถ โดยมีปักษายักษ์ทั้งสองคอยสังเกตการณ์อยู่ไม่ห่าง เสือร้ายที่ตอนนี้เป็นเหมือนลูกแมวไร้กำลังนอนสงบนิ่งไปเป็นเวลานาน หยาดเหงื่อจากคนตัวเล็กไหลลงหยดแล้วหยดเล่า เวลาผ่านไปพอตัว ก่อนที่ลมหายใจร้อนๆของเสือโคร่งตรงหน้าค่อยๆแผ่วลง แผ่วลง แผ่วลง.. จนกระทั่งหายไป

“ดะ..เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ!!”

เปมตะโกนลั่นทันทีที่เสียงหายใจครั้งสุดท้ายดับลง ปักษายักษ์ส่งเสียงตกใจออกมาเล็กน้อย พอดีกับที่หมอเทวดาที่เพิ่งช่วยเหลือหนึ่งชีวิตไม่ทันเริ่มสติแตกไม่มีชิ้นดี สายตาของเปมกวาดไปทั่วบริเวณเหมือนต้องการจะหาคำอธิบายกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า มือสองข้างที่เปื้อนเลือดยกขึ้นอย่างสั่นเทา จนเมื่อไรไม่รู้ ที่น้ำตาหยดใสค่อยๆไหลลงมาอาบแก้ม

สติสตังที่ราวกับจะหลุดลอยไปแล้วถูกดึงกลับคืนมาอีกครั้งด้วยเสียงร้องและกระพือปีกของปักษายักษ์ทั้งสองตัว พร้อมกับเสียงกระทบกันของเหล็กและไม้

ชายร่างเล็กที่ยังคงนั่งนิ่ง เนื้อตัวสั่นเทิ้มค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาเหล่าผู้มาเยือน ตรงหน้าปรากฏให้เห็นดวงตาอาฆาตซึ่งเต็มไปด้วยรังสีน่ากลัวนับสิบคู่กำลังพุ่งตรงมาทางเขาพร้อมๆกับอาวุธนานาชนิดที่กำลังตีวงล้อมเข้ามา น่าแปลกที่การปรากฏตัวนี้ไม่ได้อยู่ในรัศมีความรู้สึกที่เปมสามารถสัมผัสถึงได้เลย หนึ่งในผู้แปลกหน้าตวัดสายตามองศพของเจ้าเสือโคร่งตัวใหญ่อย่างเจ็บปวดก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าเปมเขม็งพลางตะคอกดังลั่น

“ข้าขอจับกุมตัวเจ้า ข้อหาปลงพระชนม์พระญาติในกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก!!”

 

“แค่ก แค่ก!”

หอยนางรมตัวเล็กสำลักของเหลวรสชาติแปลกๆออกมาพร้อมสัมผัสความเจ็บปวดจากข้อมือทั้งสองข้าง เปลือกตาหนักอึ้งพยายามอย่างมากที่จะปรือขึ้นเพื่อมองบริเวณโดยรอบ ดวงตาใสใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะปรับภาพได้ เผยให้เห็นกรงเหล็กเก่าๆอยู่ตรงหน้า ล้อมรอบด้วยกำแพงหนาทึบ ห้องโล่งๆไร้สิ่งของใดๆ และมีเพียงเปมคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ที่นี่

“อึ่ก!”

เปมพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างของตนกลับร่วงลงไปนั่งแหมะอยู่ตามเดิมด้วยความรู้สึกเจ็บช้ำบริเวณข้อเท้า เสียงเหล็กกระทบกันไปมาดังก้องอยู่ภายในห้องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าตัวเองกำลังถูกล่ามอยู่ด้วยโซ่ขนาดใหญ่ลักษณะน่ากลัว ข้อมือทั้งสองถูกแรงเสียดสีจนเริ่มมีเลือดซึมออกมา แม้อยากจะตะโกนขอความช่วยเหลือ หรืออย่างน้อยก็คำอธิบายเหตุการณ์บ้าๆนี่ แต่เสียงที่ควรจะเปล่งออกไปได้ กลับถูกดูดกลืนหายไปเฉยๆ

“แอ้ะ! แอ้ะ!”

ไม่มีจริงๆ เสียงที่ตั้งใจจะเปล่งออกมามันออกมาไม่ได้จริงๆ ทำไม... พูดไม่ได้!? ดวงตากลมโตทั้งสองข้างกลอกไปมาอย่างตกใจ ครั้นจะทำการรักษาตัวเองก็ทำไม่ได้เพราะมือถูกล่ามเอาไว้อย่างแน่นหนา แต่ที่รู้ตอนนี้ก็คือ ความเจ็บปวดทั่วร่างกายอันเกิดจากการถูกล่ามโซ่บริเวณข้อมือ โดนตัดเอ็นที่ข้อเท้า และของเหลวแปลกๆที่สำลักไปเมื่อครู่ จะต้องเป็นตัวที่ไปกระทบหลอดลมหรือกล่องเสียงเป็นแน่

โหดร้าย! ทั้งๆที่เขาเองยังคงตกใจกับเหตุการณ์สิ้นชีวิตของเสือโคร่งเบงกอลตัวเมื่อครู่ไม่หาย กลับต้องถูกพาตัวมาทรมานแบบนี้ ถูกจับกุมข้อหาฆ่าเสือตัวนั้นน่ะเหรอ? ทั้งที่เขาพยายามจะช่วยต่างหาก นี่มันบ้าสิ้นดี ทำไมการมาบินเล่นธรรมดาๆของเขาถึงต้องมาเจอกับเรื่องบ้าๆแบบนี้ด้วย!

จะว่าไป ที่ต้องทำขนาดนี้เพราะพวกคนที่เข้าล้อมเปมเมื่อครู่เข้าใจผิดว่าเขาฆ่าเสือตัวนั้น และบอกว่าเสือตัวนั้นคือพระญาติของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บกสินะ บ้าชิบ! ถูกเข้าใจผิดในเรื่องใหญ่หลวงขนาดนี้ซะได้ ถึงจะไม่กลัวที่จะต้องโดนทำร้ายก็เถอะ แต่หากใช้มือรักษาตัวเองไม่ได้แบบนี้ ก็มีสิทธิ์ทนความเจ็บปวดไม่ไหว แล้วตายไปได้เหมือนกันนะ! แล้วมันอะไรกันล่ะ พวกเขตสัตว์บกมันป่าเถื่อนกันขนาดนี้เลยเหรอ ปรักปรำคนอื่นเพียงแรกมอง โดยที่ไม่คิดจะซักถามหรือสอบสวนอะไรเลยเนี่ยนะ

แกร๊ก

ไม่ทันจะได้ด่าว่าพวกเขตสัตว์บก(ในใจ)จนจบ เสียงประตูกรงขังก็เปิดออก พร้อมกับทหารอารักขาที่กรูกันเข้ามาล้อมรอบตัวเปมอีกครั้งราวกับเขาเป็นนักโทษประหาร เฮ้ย หรือเขาจะถูกประหารงั้นเหรอ.... แต่ตอนนี้ที่สำคัญกว่าเห็นจะเป็นร่างสูงของชายอายุราว 30 ต้นๆ หน้าตาผิวพรรณดูดีเกินปกติ แต่งตัวเต็มยศ ใบหน้าใสแฝงเร้นไปด้วยความน่าเกรงขาม ไม่ผิดแน่... นี่จะต้องเป็น กษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก!!

“สวัสดีผู้ต้องหา”

ผู้ต้องหา? นี่พวกนี้ป่าเถื่อนขนาดทำร้ายทารุณผู้ต้องหาขนาดนี้เชียวหรือ นี่ขนาดเป็นแค่ผู้ต้องหานะ คิดภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเกิดเขาทำผิดจริงขึ้นมา จะโดนประหารอย่างโหดเหี้ยมสาหัสเพียงใด

“...”

เปมไม่ได้ตอบอะไร หรือแม้อยากจะตอบก็ไม่อาจส่งเสียงออกไปได้ เขารีบเบือนหน้าหลบทันทีที่กษัตริย์ผู้น่ากลัวโน้มตัวเข้ามาใกล้พลางเสยเส้นผมหนาสีน้ำตาลทองขึ้นอย่างวางมาด ดวงตาสีทองสุกใสจ้องไปตามเรือนผมและใบหน้าของเปมเขม็ง จมูกโด่งเป็นสันย่นขึ้นเล็กน้อยเป็นการสูดดมกลิ่นกายของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่เปมสัมผัสได้ใบตอนนี้มีเพียง ลมหายใจอุ่นๆที่รดลงข้างแก้มกับความกดดันแปลกๆที่แผ่ออกมาจากชายผู้สูงศักดิ์คนนี้

“ทำไมไม่ตอบล่ะ?” นิ้วเรียวลากไปตามแนวคางของเปมอย่างเบามือ สายตาเจ้าเล่ห์ถูกส่งมาไม่ห่าง ขณะที่เปมยังคงพยายามจับจ้องสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ดวงตาน่ากลัวคู่นี้

“...”

“เย่อหยิ่ง..”

เพียะ!!

น้ำเสียงน่ารังเกียจเปล่งออกมาพร้อมกับแรงตบที่แก้มเนียนๆ ทำเอาเปมเผลอกัดริมฝีปากตัวเองด้วยความเจ็บปวด ผู้ชายคนนี้คงบ้าไปแล้ว จะให้เขาตอบอะไรได้อย่างไรในเมื่อเขาโดนทำร้ายจนพูดไม่ได้แบบนี้ แล้วสายตานั่นก็น่ากลัวเกินกว่าจะกล้าสบตาตรงๆ นี่หรือกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก ราชาแห่งสัตว์ป่าที่ไม่มีใครกล้าหาเรื่องด้วย แท้จริงเป็นชายที่โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ

“เสือโคร่งเบงกอลที่เจ้าทำการสังหารไปนั้น คือพระญาติคนสนิทของข้า เจ้ารู้หรือไม่?” เจ้าป่าตรงหน้ายอมผละตัวออกไปและกล่าวน้ำเสียงแค้นเคือง

เสียงโซ่กระทบกันดังขึ้นขัดจังหวะการพูดของกษัตริย์สิงห์ จนสายตาน่ากลัวคู่นั้นต้องหันมาจับจ้องที่ผู้ต้องหาซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่อีกครั้ง คราวนี้เจ้าหอยทะเลตัวน้อยทำใจกล้าหันหน้ามาสบตากับกษัตริย์ผู้นี้เขม็ง ราวกับต้องการจะปฏิเสธทุกคำพูดที่ได้ฟัง

“เจ้าอาจปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่คนลงมือ แต่สถานการณ์ในตอนนั้น....”

กษัตริย์แห่งเขตสัตว์บกไม่สนใจท่าทีของเปม แต่ยังคงร่ายยาวต่อพร้อมเดินวนไปรอบๆห้อง ช่วงนั้นเองที่เปมมีโอกาสผลิตเม็ดไข่มุกออกมาจากใต้ลิ้น ก่อนจะตวัดมันลงคอ เวลาผ่านไปสักพักความเจ็บปวดตามร่างกายจึงเริ่มคลายลง ลำคอโล่งขึ้นและดูเหมือนจะเปล่งเสียงออกมาได้แล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะเงียบปากไว้เสียจะดีกว่า ที่ต้องทำมีเพียงแค่รอ รอให้ตัวยาที่กลืนลงไปไปรักษาเอ็นที่ข้อเท้า ก่อนจะวางแผนหลบหนีออกไปให้ไวที่สุด เพราะสถานที่นี้ดูจะอันตรายเกินไปเสียแล้ว ยิ่งกับกษัตริย์ผู้นี้...เขาคิดว่าชีวิตของเขาคงไม่ปลอดภัยสักเท่าไรนัก

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่ได้ฟังข้าเลยนะ ทหาร!” กษัตริย์สิงห์หันมากล่าวกับเปมเสียงดุ ก่อนจะตวัดสายตาไปทางทหารอารักขาจนพวกนั้นพากันกรูเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น “ปลดโซ่ให้เด็กนี่”

ความหวังแล่นขึ้นมาจ่ออยู่ที่ดวงตากลมใสของเปมซึ่งเริ่มมีน้ำใสๆเอ่อขึ้นมาด้วยความรู้สึกสับสนหลากหลายอย่าง ทหารสองนายตรงเข้ามาด้านหลังและเริ่มไขกุญแจปลดโซ่หนาออกให้อย่างว่าง่าย ถึงกระนั้นก็ยังคงกุมข้อมือเล็กของเปมไว้แน่นไม่ให้ขยับไปไหนได้ แต่แล้วความหวังที่เคยได้รับกลับถูกดูดหายไปเสียเฉยๆ เมื่อทหารอีกนายรี่เข้ามาพร้อมกุญแจมือขนาดใหญ่ ไม่นานนัก แขนสองข้างของเปมก็ถูกจับไขว้หลังและล็อคอย่างแน่นหนาด้วยเจ้ากุญแจเหล็กที่ว่า ก็ถ้าจะทำแบบนี้ ไม่ต้องปลดโซ่ให้เลยยังดีกว่า บ้าเอ๊ย!

แต่ว่านี่ล่ะคือโอกาส ซึ่งอาจจะเป็นแค่โอกาสเดียวของเปมที่จะได้หนีออกไปก็ได้ ในเมื่อความเจ็บที่ข้อเท้าเริ่มบรรเทาลงแล้ว หวังแค่ว่าจะมีช่องว่างให้ได้วิ่งหนีไปเท่านั้น... แม้จะรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะหนีออกไปตรงๆจากพื้นที่ของกษัตริย์สิงห์ผู้โหดร้ายแต่ถ้าไม่ไปตั้งแต่ตอนนี้ มีหวังถูกจับประหารชีวิตก่อนเป็นแน่ เพราะงั้น แม้จะแค่เปอร์เซ็นเดียวที่จะรอดก็ยังดี ขอลองเสี่ยงดูสักหน่อยแล้วกัน

“จับมันลุกขึ้น”

ทหารที่เพิ่งปลดโซ่ให้เปมออกเมื่อครู่พยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะตรงเข้ามาช้อนแขนของเปมขึ้น เสี้ยววินาทีนั้นเองที่ชายตัวเล็กเสี่ยงกระทุ้งข้อศอกย้อนไปทางด้านหลังและรีบพุ่งตัวออกมาด้วยความไว จะเป็นต่อหน่อยก็ด้วยความคล่องแคล่วเพราะตัวเล็กนี่แหละ

สัมผัสน่ากลัวอย่างที่สุดแผ่ออกมาจากตัวกษัตริย์ผู้นี้ทันทีเมื่อเปมวิ่งฝ่าทหารที่พยายามจะกรูกันเข้ามาจับตัวไว้ สายตาแห่งราชสีห์ยังคงจับจ้องไปที่กำแพงห้องเบื้องหน้าโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมามองผู้ต้องหาซึ่งกำลังกระโจนตัวออกไปจากกรงขังอย่างบ้าบิ่น มีเพียงรัศมีโหดร้ายที่ราวกับกำลังไล่ตามเปมเข้าไปใกล้เรื่อยๆ

ความวุ่นวายกำเนิดขึ้นไปทั่วชั้นใต้ดินแห่งนี้ ซึ่งให้เดาคงเป็นภายในปราสาทของเขตสัตว์บกนี่แหละ อะดรีนาลีนไหลไปทั่วร่างของเจ้าหอยนางรมซึ่งกำลังอยู่ในวินาทีแห่งความเป็นและความตาย สายตาพุ่งตรงไปยังทางข้างหน้าลูกเดียว แต่แล้วกลับมีทหารนายหนึ่งโผล่ออกมาขวางไว้จากด้านหน้า ในมือถือปืนสั้นกระบอกหนึ่ง ก่อนที่จะลั่นไกใส่หน้าแข้งของเปมทันทีอย่างเด็ดเดี่ยว ตามมาด้วยทหารนายอื่นซึ่งวิ่งตามกันมาจากด้านหลัง ร่างของเปมค่อยๆล้มลงนอนกับพื้น ตัวงอด้วยความเจ็บปวด เสียงคำรามใหญ่โตดังก้องขึ้นมาจากที่ไกลๆ วินาทีต่อมากษัตริย์เจ้าป่าก็มาหยุดลงตรงหน้าของเปมแล้วด้วยความเร็วที่สายตาไม่สามารถจับได้ทัน

ดวงตาสีทองจ้องมองลงมาราวกับจะกรีดหัวใจของเจ้าหอยน้อย ย่างก้าวอันหนักแน่นและน่าเกรงขามตรงเข้ามาใกล้ร่างของเปมซึ่งทำได้เพียงนอนสั่นเทิ้ม กษัตริย์สิงห์แสยะยิ้มพลางยกรองเท้าขัดมันปลายแหลมขึ้นเชยคางที่เกือบติดพื้นของเปมขึ้น

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” เสียงหัวเราะที่ไม่มีใครสนุกด้วยดังก้องไปทั่วทั้งชั้น ทหารหลายนายแอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยสีหน้าหวาดกลัว เพราะต่างรู้ดีว่าท่าทีแบบนี้ของเจ้านายตัวเอง มันไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย

“ฮั่ก..ฮั่ก...”

“น่าสนใจ! เป็นเด็กที่น่าสนใจจริงๆ!”

“อั่กกก!” รองเท้าราคาแพงซึ่งเชยคางของเปมอยู่ด้วยท่าทีเหยียดหยามถึงที่สุด ถูกยกออกก่อนจะถีบลงกับแผงอกบางจนร่างของเปมพลิกไปตามแรง น้ำเสียงเย็นเยียบเอ่ยขึ้นชัดเจนให้ทุกคนได้ยินทั่วกัน

“จนกว่าการตรวจสอบจะเสร็จสิ้น เจ้าจะต้องมาเป็นของเล่นของข้า”

 :z3: :z3: :z3:

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 25
กษัตริย์สิงห์

 

“ชื่อเปมทัต ลูกครึ่งหอยนางรม เป็นหมออยู่แถบชายฝั่งทะเล เขตสัตว์น้ำ บิดาคือ...”

ทหารนายหนึ่งกำลังรายงานข้อมูลเกี่ยวกับตัวเปมให้กษัตริย์ฟังภายในห้องบรรทมอันโอ่อ่า ส่วนคนที่ถูกพูดถึงน่ะ กำลังนอนเปลือยเปล่า ข้อมือข้างหนึ่งถูกโซ่ติดกุญแจขนาดใหญ่ล่ามให้ติดกับเสาเตียง เอ็นข้อเท้าที่เพิ่งสมานไปหมาดๆถูกตัดออกอีกครั้ง รวมทั้งโดนบังคับกรอกยาแปลกๆนั่นจนพูดไม่ได้เหมือนเดิม ถึงอย่างไรความเจ็บปวดที่ได้รับก็ไม่ได้มากกว่าความกลัวที่กำลังเผชิญ ในหัวมีแต่เรื่องของครอบครัว ปราสาทใหญ่ และใบหน้าของเตชัสเท่านั้น

“ทำไมทำท่าหมดอาลัยตายอยากแบบนั้นล่ะ” กษัตริย์สิงห์โบกมือให้ทหารออกไปได้หลังจากการรายงานแบบละเอียดยิบ

“...”

เปมไม่ตอบอะไร พลางเอื้อมมือที่ว่างอยู่ไปดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดบังร่างกายตัวเอง เรียกรอยยิ้มประหลาดของกษัตริย์ผู้นี้ได้เป็นอย่างดี

“เปม.. ข้าเรียกอย่างนี้คงไม่ผิดนะ ข้าขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ข้าชื่อสิงหรัตน์ เป็นราชสีห์...กษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก”

“...”

“ข้อขอโทษที่ต้องล่ามเจ้าไว้ และทำให้ขยับขาไม่ได้ เพราะเจ้าอาจจะหนีไปอีก.. ข้าขอโทษที่ต้องทำให้เจ้าพูดไม่ได้ เพราะข้ากลัวจะรำคาญ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ต้องเปลือยตัวเจ้าแบบนี้ เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะซ่อนอาวุธอะไรไว้ อีกอย่าง.. ถ้าเปลือยแบบนี้ก็คงลำบากในการหลบหนีออกไปภายนอกใช่ไหมล่ะ”

สิงหรัตน์เผยรอยยิ้มน่ารังเกียจออกมาอีกครั้ง พร้อมกดสายตาดุดันลงมา ทำเอาเปมต้องรีบเบือนหน้าหนีเช่นทุกที ตอนนี้แม้อยากจะรักษาความเจ็บปวดตามร่างกายก็ทำไม่ได้ เพราะเดิมทีไข่มุกจากหอยนางรม ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะขึ้นรูปได้ และเปมเองก็ผลิตไข่มุกได้แค่อย่างมากอาทิตย์ละครั้งเท่านั้น

“ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสังหารญาติของข้าจริงหรือไม่ แต่ถ้าตรวจสอบออกมาพบว่าจริง ชีวิตเจ้าจบไม่สวยแน่” สิงหรัตน์กระโดดขึ้นมาบนเตียง มือข้างหนึ่งเอื้อมไปเชยคางของเปมขึ้น ขณะที่คนตัวเล็กก็พยายามส่ายหน้าหนีเต็มที่

“ปักษายักษ์ตัวนั้น ข้าเคยเห็นมาก่อน”

“อึก..”

เปมตวัดสายตาตกใจกลับมาที่ใบหน้าดุดันของสิงหรัตน์เมื่อเขาเริ่มพูดถึงปักษายักษ์ที่ขี่มาด้วย ในใจเต็มไปด้วยความกลัวว่าเรื่องนี้อาจใหญ่โตจนทำให้เตชัสหรือเขตสัตว์น้ำต้องเดือดร้อน

“นั่นคือพาหนะคู่ใจของเจ้าชายเตชัส รัชทายาทอันดับหนึ่งแห่งเขตสัตว์น้ำ... แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือ ทำไมสัตว์ตัวเล็กๆอย่างเจ้าถึงได้ขี่ปักษายักษ์ตัวนั้นได้”

“...”

ถามมา แล้วคิดว่าจะตอบได้ไหมล่ะ ก็ในเมื่อเปมถูกทำให้พูดไม่ได้แบบนี้ แต่ถึงพูดได้ก็คงไม่บอกอยู่ดี เขาไม่อยากพูดอะไรที่จะทำให้เรื่องวุ่นวายบ้าบอนี่เกี่ยวโยงไปถึงเตชัสได้ แต่ดูเหมือนการแกล้งเซมองไปทางอื่นของเขาจะยิ่งทำให้สิงหรัตน์เกิดข้อสงสัยมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้ว่าอะไร

“หรือว่าเจ้าจะไปป่วนที่เขตสัตว์น้ำมาเหมือนกัน เจ้าเป็นพวกโจรเรอะ”

“อะ อ้า!” เปมพยายามอย่างมากที่จะส่งเสียงอะไรบางอย่างออกไปพร้อมตีสีหน้าโกรธเคืองเพื่อให้สิงหรัตน์รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นโจร ไม่ได้ขโมยอะไร และไม่ได้ฆ่าใครด้วย

“แล้วเจ้ามีความแค้นอะไรกับญาติของข้า เอ๊ะ หรือกับตัวข้า!? แต่ข้าไม่เคยรู้จักเจ้านะ”

“...”

“ไม่จริงน่า หรือว่าเจ้าจะชอบข้า แล้วอิจฉาที่ข้าสนิทกับญาติมาก.. บ้าไปแล้ว!”

“...”

“ข้าเข้าใจนะเรื่องรสนิยมของคน แล้วก็ไม่แปลกใจถ้าเจ้าจะชอบข้า เพราะข้าออกจะดูหนุ่มแน่นหน้าตาดีแม้อายุขนาดนี้ก็ตาม”

“...”

เส้นเลือดเริ่มปรากฏชัดเจนบริเวณขมับทั้งสองข้างของคนที่นอนเปลือยอยู่ นิ้วเท้ากระดิกไปมาตามแรงสูบฉีดเลือดภายในร่างกายซึ่งกำลังตอบสนองต่อคำพูดชวนหงุดหงิดและน่าหมั่นไส้ของกษัตริย์สิงห์ตรงหน้า ถ้ายังทนฟังแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมีหวัง เขาได้เผลอยกขาขึ้นถีบคนแถวนี้เป็นแน่

แกร็บ..

เปมไม่ได้สนใจที่จะฟังคำของสิงหรัตน์เลยแม้แต่น้อย กลับเอื้อมมือข้างที่เป็นอิสระไปคว้าเอาม้วนกระดาษกับปากกาขนนกบนโต๊ะข้างเตียงมา ก่อนจะลงมือเขียนอะไรบางอย่างลงไปอย่างทุลักทุเล สิงหรัตน์หยุดพูดไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แต่ตอนนี้เขากำลังจับจ้องไปที่กระดาษในมือของเปมอย่างสงสัย ไม่นานนักกระดาษม้วนนั้นก็ถูกปาเข้าใส่อกกว้างของตัวเอง เจ้าป่าขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางคลี่กระดาษออกอ่าน

‘พูดมาก รู้ว่าข้าตอบไม่ได้ก็ยังจะถามอยู่ได้ น่ารำคาญ!’

“หา!?”

“...”

“รู้ตัวใช่ไหมว่าเจ้าเป็นใคร แล้วข้าเป็นใคร”

เจ้าหอยนางรมยักคิ้วขึ้นแทนคำตอบ ก่อนจะรีบเอนตัวนอนราบไปกับแนวเตียงพลางดึงผ้าห่มขึ้นคลุมโปงทั้งตัว ริมฝีปากแห้งผากด้วยความกลัว ทั้งๆที่พยายามจะข่มไว้แล้วก็ตามที เขาไม่ได้บ้านะที่แสดงกิริยาที่ไร้มารยาทและหยาบโลนแบบนั้นออกไปต่อหน้ากษัตริย์ผู้น่ากลัว แต่ลองมาอยู่ในสถานการณ์ตอนนี้มันช่วยไม่ได้จริงๆ ไม่เคยนึกหงุดหงิดมนุษย์คนไหนบนโลกมากขนาดนี้มาก่อนเลย ชายผู้นี้เป็นกษัตริย์แน่เหรอ แล้วเป็นชายวัยสามสิบกว่าจริงหรือเปล่า ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหนังหน้าที่เหมือนเด็กเพิ่งโตนั่นนะ แต่สมองน่ะสมอง รู้สึกจะเด็กกว่าตัวไปหน่อยหรือเปล่า

“เปมทัต!”

ไม่ทันสิ้นเสียงแข็งๆที่เรียกชื่อตัวเองดี ผ้าห่มที่คลุมร่างกายอยู่ก็พลันถูกกระชากออกไป จนคนตัวเล็กต้องรีบคดตัวเข้าหากันและพลิกตัวตะแคงข้างทันทีตามสัญชาตญาณความอาย แต่มันก็เป็นช่วงว่างที่ปล่อยให้สิงหรัตน์รุดเข้ามาคร่อมร่างของเปมไว้ได้ทันที ใบหน้าโมโหร้ายราวกับเด็กที่ถูกแย่งของเล่นโน้มต่ำลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆซึ่งเป่ารดอยู่ที่คอ

“ถ้ารำคาญนัก งั้นข้าจะไม่พูด... แต่จะ’ทำ’แทน ดีไหม?”

“อ้ะๆ!”

ไม่รอให้สมองของเปมประมวลผลได้ทัน เจ้าป่าใจร้อนก็ขบฟันแหลมลงกับหัวไหล่เนียนของตนเสียแล้ว มือบางข้างหนึ่งเจ็บแสบด้วยแรงกระชากจากโซ่ ส่วนอีกข้างที่ว่างก็ถูกมือใหญ่ของคนด้านบนรวบไว้อย่างง่ายดาย

ลิ้นสากค่อยๆแทรกตัวออกมาจากแนวฟัน ลากไล้ไปตามแนวแขนบางที่กำลังสั่นระริก หยุดลงตรงมือเล็กๆซึ่งถูกเกาะกุม ก่อนที่สิงหรัตน์จะเริ่มโลมเลียไปตามซอกนิ้วแต่ละนิ้วอย่างช้าๆ แม้คนตัวเล็กพยายามขัดขืน แต่ก็ไม่มีกำลังพอจะต่อต้านแรงมหาศาลของราชสีห์ผู้นี้ได้ อีกทั้งยิ่งดิ้นมากเท่าไร ข้อมือที่ถูกล่ามไว้ก็ยิ่งถูกเสียดสีจนเจ็บปวดมากเท่านั้น

“แอะ แอ้ะ!!”

“หึ..หึ คราวหน้าคราวหลัง ก็คิดให้ดีก่อนจะทำอะไรเสียด้วย!”

ก่อนที่ทุกอย่างจะแย่ไปมากกว่านี้ สิงหรัตน์ก็เป็นฝ่ายหยุดการกระทำทั้งหมดลงเองเสียดื้อๆ ก่อนจะผละตัวออกไปยืนมองเปมจากปลายเตียง คนตัวเล็กรีบเช็ดนิ้วมือของตัวเองกับผ้าห่มด้วยท่าทางรังเกียจจนคนมองต้องเผลอกระตุกสายตาขึ้นอย่างเคืองๆ

แววตาที่กลัวอย่างจริงจัง อีกทั้งน้ำใสๆที่เริ่มเอ่อขึ้นมา พร้อมทั้งร่างกายที่สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ของคนบนเตียง อาจจะไปกระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของเจ้าป่าผู้นี้ ถึงทำให้เขาต้องรีบเบือนหน้าหนีภาพของเปมและเอ่ยเสียงต่ำ

“ข้าขอโทษ”

เปมดึงผ้าห่มขึ้นคลุมทั้งร่างของตัวเองอีกครั้งพลางคดตัวเหมือนคนเป็นไข้ แม้คำขอโทษของสิงหรัตน์จะทำให้เขาผ่อนคลายขึ้นบ้างแต่ก็ยังกลัวไม่หาย เขาไม่ต้องการจะถูกทำแบบนั้นอีก ไม่ต้องการถูกสัมผัส หรือถูกกระทำโดยใครคนอื่นที่ไม่ใช่เตชัส ทั้งกลัว ทั้งรังเกียจ ทั้งรู้สึกผิด ไม่ชอบเลยจริงๆ

สิงหรัตน์เหลือบตากลับมามองคนบนเตียงอีกครั้ง แต่ก็ต้องรีบตวัดสายตากลับไปเหมือนเดิม สุดท้ายก็ทนบรรยากาศกดดันแปลกๆภายในห้องไม่ไหวจนต้องเดินออกไปสูดลมหายใจข้างนอก ทิ้งให้เปมนอนสั่นอยู่เพียงคนเดียวในห้องอันกว้างขว้างจนแลดูเงียบเหงาอย่างประหลาด ตอนนั้นเองที่สติของหอยนางรมน้อยกลับคืนมา และเริ่มทบทวนทุกสิ่งเมื่อครู่อีกครั้ง...

สิงหรัตน์ไม่ใช่คนเลว นั่นคือคำตอบที่ได้... เขาไม่จำเป็นต้องพูดว่าขอโทษก็ได้ แต่ก็ยังทำ และอีกอย่างที่น่าเห็นใจขึ้นมา ก็คือ การที่กษัตริย์ผู้นี้ช่างดูโดดเดี่ยวเหลือเกิน...?

 

“เด็กจากเขตสัตว์บก!?”

“ใช่ครับ”

เปมค่อยๆปรือตาขึ้นหลังจากผล็อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ เสียงพูดคุยรบกวนดังลอดเข้ามาภายในห้อง เปมจึงค่อยๆยันตัวเองลุกขึ้นพลางขยี้ตาน้อยๆ บทสนทนาแปลกๆด้านนอกยังคงดำเนินต่อไป

“ก็ดีเหมือนกัน ทำให้มันเป็นแพะไปซะ”

“ครับ”

“ส่วนเป้าหมายต่อไปที่ต้องจัดการ.. ก็เหลือแค่สิงหรัตน์เท่านั้น”

สองมือเล็กของเปมยกขึ้นปิดปากตัวเองตามความเคยชิน ในหัวพยายามตีความคำพูดที่ได้ยินอย่างรวดเร็ว คนที่ต้องจัดการคือสิงหรัตน์งั้นเหรอ นี่มันหมายความว่ายังไงกัน คนข้างนอกนั่นเป็นใคร แล้วทำไมถึงจะจัดการกับสิงหรัตน์ ไม่สิ ที่แย่ยิ่งกว่าก็คือ การที่จงใจจะให้ตนเป็นแพะรับความผิดนั่นแหละ แบบนี้ก็แสดงว่า.. นั่นคือคนร้ายตัวจริง ที่ฆ่าเสือโคร่งเบงกอล!

แกร๊กๆๆ...

แย่ละ! เพราะว่าขยับตัวมากไป เลยเกิดเสียงดังระหว่างโซ่! สายตาของเปมกลอกไปมาอย่างลนลาน ขณะที่เสียงฝีเท้าด้านนอกดังขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเข้ามาตอนนี้ ต้องรู้แน่ว่าเขาได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ แล้วก็อาจจะถูกฆ่าก็ได้!

ไม่.. อย่าเข้ามานะ..

ตึก ตึก..

อย่าเข้ามา!

แอ๊ดด...

“อ้ะ!!”

เปมพยายามส่งเสียงออกไปพลางหลับตาปี๋ ทันทีที่เสียงประตูห้องเปิดออก พร้อมกับเสียงผีเท้าหนักแน่นที่ตรงเข้ามาใกล้ เวลาราวกับหยุดนิ่งไปหลายวินาที จนเปมรู้สึกถึงการกดตัวของฟูกถึงค่อยๆทำใจกล้าหรี่ตาขึ้นมอง เมื่อเห็นว่าภาพตรงหน้าเป็นใคร ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างโล่งใจ

สิงหรัตน์...

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”

มือใหญ่ตรงเข้ามาจะแตะหน้าผากของเปม แต่คนตัวเล็กกลับรีบพุ่งตัวไปยังโต๊ะไม้ข้างเตียงและคว้าเอาม้วนกระดาษและปากกาด้ามเดิมขึ้นมาจดอะไรยุกยิก ก่อนจะส่งให้สิงหรัตน์หน้าตาตื่น

‘มีคนในวังคิดจะสังหารเจ้า’

“อะไรของเจ้า” สิงหรัตน์เลิกคิ้วสูง ตั้งท่าจะปากระดาษในมือทิ้งแต่ก็ถูกชิงกลับไปเขียนอะไรต่อเสียก่อน เปมส่งกระดาษแผ่นเดิมกลับมาอีกครั้ง

‘ข้าได้ยินคนคุยกันเมื่อครู่ ที่หน้าประตู’

“ไม่มีใครคิดจะฆ่าข้าหรอก”

“แอ้ะๆ!”

มือข้างที่เป็นอิสระของเปมรั้งข้อมือใหญ่ของคนตรงหน้าไว้พลางเขย่ารุนแรง สายตาจริงจังสื่อออกไปเพื่อขอความเชื่อ แต่ดูเหมือนสิงหรัตน์จะไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย กลับยกมือเล็กของเปมออกจากแขนตัวเองและขย้ำกระดาษในมือทิ้งไป

“เมื่อครู่...ข้าไม่เห็นใครอยู่ที่หน้าประตูเลยนะ”

ไม่จริง !!?

---------------------------------------

> อีก 4 ตอน ก็จะจบแล้ว !? ไวมากๆ 5555 หลังจากยืดมานานอะนะ  :hao7:
> ช่วงนี้คงได้ลงถี่ แม้ไม่มีคนอ่าน แบบว่า ไหนๆแต่งจบแล้ว ก็ลงให้จบไปเลย 555
> แอบแพลนเรื่องใหม่ไว้แล้ว อยากให้ฝากติดตามกันด้วยนะค้า จะพยายามพัฒนาฝีมือให้ดีกว่านี้  :katai5:

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 26
มติของที่ประชุม? มติของใจ?

 

‘มีใครที่สามารถเดินเข้ามาถึงบริเวณห้องบรรทมนี้ได้บ้าง?’

“ก็พวกทหารเวร เด็กรับใช้ในวัง ไปจนถึงขุนนางชั้นสูงนั่นแหละ”

สิงหรัตน์วางหนังสือในมือลงและหันมาเผชิญหน้ากับเปม ซึ่งกำลังเห่อกระดานชนวนที่ตนมอบให้เพื่อสื่อสารกัน คิดไปคิดมาปล่อยให้ไอ้เด็กนี่พูดได้ปกติ อาจจะยังน่ารำคาญน้อยกว่านี้ด้วยซ้ำ

‘มีใครน่าสงสัยบ้างไหม?’

“ไม่มีทั้งนั้น เจ้าเลิกคุยกับข้าเรื่องนี้ได้แล้ว รำคาญ”

เปมทำปากยื่นอย่างไม่พอใจ แต่ก็ยังไม่ยอมวางกระดานชนวนลง และคงเขียนอะไรยุกยิกต่อไป จนสิงหรัตน์ต้องถอนหายใจยาวออกมาอย่างหน่ายใจ

“อะไรอีก...”

‘พระชายาของเจ้าอยู่ที่ไหน?’

“...”

ความเงียบเข้าปกคลุมไปทั่วบริเวณห้อง เมื่อเปมส่งคำถามนี้ออกไป ด้วยตาที่เหนื่อยใจเมื่อครู่ของสิงหรัตน์แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด บัดนี้ เขามีสีหน้าตกใจอย่างที่เปมไม่คาดว่าจะได้เห็นมาก่อน ร่างทั้งร่างราวกับถูกมนตร์สะกดให้หยุดนิ่ง มีเพียงเสียงหายใจที่ดังขึ้นชัดเจน

กระดานชนวนถูกวางลงบนตัก นิ้วเรียวชี้ไปที่รูปภาพเล็กๆบนตู้เสื้อผ้าใกล้ๆเตียง เมื่อสิงหรัตน์หันไปตามนิ้วก็พบกับรูปภาพใบหนึ่งที่ถูกเผาจนหายไปเล็กน้อย แต่ก็ยังเห็นอยู่ว่านั่นคือรูปของสิงหรัตน์ กำลังยืนเคียงคู่อยู่กับหญิงสาวนางหนึ่งแม้จะไม่เห็นใบหน้าของนางก็ตาม แต่รอยยิ้มจริงใจของฝ่ายชายน่ะ กำลังฉายอยู่ภายใต้กรอบใสอย่างคนที่มีความสุขมาก ผิดกับสิงหรัตน์ในเวลานี้ที่ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่ย ไม่มีรอยยิ้มใดๆเผยออกมาให้เห็น...

“อย่าถามข้าเรื่องนี้อีก”

นั่นคือคำตอบเดียวที่เปมได้รับ ก่อนที่สิงหรัตน์จะชิงทิ้งตัวลงบนหมอนและหลับตาลง ไม่ส่งเสียงใดๆมองมาอีก

โดดเดี่ยวจริงๆด้วย... ผู้ชายคนนี้โดดเดี่ยวจริงๆ...

สิงหรัตน์หลับไปนานพอตัว กว่าจะตื่นขึ้นก็ตอนที่ทหารนายหนึ่งเคาะประตูเพื่อมารายงานเรื่องของเปมนั่นแหละ ฟังไปฟังมาก็อยากจะเถียง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยกกระดานชนวนในมือค้างที่คำว่า ‘ข้าไม่ใช่คนร้าย’ เอาไว้

“ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยองครักษ์มือขวาของกษัตริย์เตชินท์ นามว่า รเณศ และยังสืบทราบว่ามีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตัวรัชทายาทลำดับที่หนึ่ง เตชัส อีกด้วย”

“เป็นคนของปราสาทใหญ่จริงๆเหรอเนี่ย”

‘ข้าไม่ใช่คนร้าย’

กระดานชนวนในมือยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้สิงหรัตน์สนใจข้อความบนนั้นได้เลย กลับร่ายต่ออย่างคิดเองเออเองเหมือนคนบ้า

“เราไม่เคยมีปัญหากับเขตสัตว์น้ำเสียหน่อย ทำไมถึงส่งคนมาทำเรื่องแบบนี้”

เมื่อเปมเห็นว่าสิงหรัตน์ไม่ยอมรับฟังตนเสียที จึงปากระดานในมือออกไปอย่างแรง แต่ถึงอย่างนั้นกษัตริย์สิงห์ก็ดูจะมีทักษะที่เหนือกว่า ถึงรับมันไว้ได้อย่างสวยงาม ก่อนจะปากลับไปกระแทกหัวคนบนเตียงเสียงดังปัก

ทหารที่มากล่าวรายงานถูกไล่ให้ออกไป จนทั้งห้องกลับมาเงียบสนิทอีกครั้ง จะมีก็เพียงเสียงแบใบ้ของเปมที่พยายามจะเปล่งออกมาเพื่อระบายความเจ็บปวดที่ขมับ สิงหรัตน์มองเห็นอย่างนั้นก็ได้แต่ใจอ่อนอีกครั้ง ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปนั่งข้างๆคนตัวเล็กและยกมือขึ้นลูบรอยแดงอย่างอ่อนโยน

“ข้าอยากจะเชื่อว่าเจ้าไม่ได้ทำ แต่ข้าจะหาหลักฐานอะไรดี”

สิ้นเสียงอบอุ่นประหลาด เปมก็รีบผลักสิงหรัตน์ออกพลางกระชับกระดานชนวนเข้าหาตัว และเริ่มเขียนอะไรบางอย่างอีกครั้ง

‘หาตัวคนร้ายตัวจริงสิ!’

“ถ้าข้ารู้แล้วข้าจะมานั่งโง่อยู่ต่อหน้าเจ้าแบบนี้ไหมล่ะ”

‘คนที่ฆ่าญาติเจ้า คือคนที่วางแผนจะฆ่าเจ้า’

สิงหรัตน์ถอนหายใจเป็นครั้งที่หนึ่งร้อยหกสิบแปดได้ หลังจากเห็นข้อความที่เปมโต้ตอบกลับมา เจ้าเด็กนี่ยังไม่ยอมเลิกพูดถึงเรื่องบ้าๆนี่อีกเรอะ

“ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าที่นี่ไม่มีคนทรยศ”

“...”

คนตัวเล็กขมวดคิ้วเข้าหากันจนแทบจะเป็นโบ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาลากดินสอพองลงกับตัวกระดานสีดำอีกครั้ง ไม่นานก็เงยหน้าขึ้นส่งสายตาโกรธเคืองไปให้คนตรงหน้า พร้อมยกระดานขึ้นจ่อหน้าจนแทบจะทะลุเบ้าตากษัตริย์สิงห์อยู่แล้ว

‘หากมองเห็น จะเรียกว่าคนทรยศได้อย่างไร’

ราวกับหัวใจของสิงหรัตน์กำลังถูกมัดด้วยด้ายเชือก และตัวอักษรที่ปรากฏสู่สายตาก็คือแรงดึงที่กระตุกเชือกในหัวใจให้สั่นคลอน คนทรยศในเขตสัตว์บกที่เขาเชื่อมาตลอดว่าไม่มี... เปมทัต.. สิ่งที่เจ้าสงสัย มันคือความจริง จริงๆเหรอ?

 

“ข้าผิดหวังในตัวท่านมาก!”

“มติในที่ประชุมคือที่สุด ต่อให้เจ้าเป็นกษัตริย์ แต่ก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของที่นี่ จำเอาไว้ด้วย”

“ถ้าเป็นพ่อของเจ้า คงตัดสินใจได้เด็ดขาดกว่านี้”

ตึก ตึก ตึก ตึก..

เสียงฝีเท้าและการฟาดฝีปากมากมายดังระงมอยู่บริเวณหน้าห้องบรรทมของสิงหรัตน์ในช่วงบ่ายของวันถัดมา หลังจากที่ช่วงเช้าได้มีการประชุมเกี่ยวกับคดีเสือโคร่งเบงกอล ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้มีทหารคนสนิทของสิงหรัตน์ แอบมารายงานเปมไปแล้วว่ามติของที่ประชุม เห็นตรงกันว่าเปมคือคนร้าย จากสภาพการณ์ในตอนนั้นซึ่งมีแค่เปมที่อยู่ใกล้ศพที่สุดเป็นคนสุดท้าย แถมยังมีรอยนิ้วมือของเขาปรากฏอยู่เต็มด้ามมีด อีกทั้งไม่มีพยานหรือหลักฐานที่จะช่วยเปมได้เลย แต่ทหารก็ยังบอกอีกว่า มีเพียงสิงหรัตน์คนเดียวที่ปฏิเสธ ถึงอย่างไร..เขาก็ไม่ได้มีอำนาจมากพอ เพราะกฎหมายของเขตสัตว์บกจะใช้ความเป็นประชาธิปไตยมาก ต่างจากเขตอื่นๆ

แกร๊ก..

เสียงเปิดประตูดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงของสิงหรัตน์ซึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าเหนื่อยๆ เขาล้มตัวลงบนเตียงทันทีพลางเหลือบตาขึ้นมองเปมที่กำลังจ้องเขากลับเช่นกัน

“ข้าจัดกองทหารลับกลุ่มหนึ่ง ให้ออกสืบหาคนร้ายตัวจริงแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทันการณ์หรือไม่”

“...”

“ข้าคงเป็นกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บกที่อ่อนแอที่สุดที่เคยมีมา การที่ข้ายิ่งใหญ่ขึ้นมาได้เป็นเพราะบารมีเก่าของพ่อและปู่ทั้งนั้น ท่านทั้งสองชอบการสงคราม และมีฝีมือการรบเหนือชั้นกว่าใคร จนทำให้เขตสัตว์บกรุ่งเรืองมาได้ถึงขนาดนี้”

“...”

เปมนั่งฟังอย่างตั้งใจ เมื่อสิงหรัตน์เริ่มยันตัวเองขึ้นมานั่งเล่าดีๆด้วยสายตาจริงจัง

“พวกขุนนางที่มีเสียงในที่ประชุม ล้วนเป็นคนเก่าแก่ที่เคารพต่ออำนาจพ่อข้า พวกคนแก่เหล่านั้นรอคอยมาตลอด ที่จะได้ประมือเพื่อยึดดินแดนของเขตอื่นๆ เพราะมีแต่ความโลภที่ต้องการเพียงแต่อำนาจ ข้าถึงไม่ชอบเลย”

“...”

“ครั้งนี้ก็เช่นกัน พวกนั้นด่วนตัดสินเรื่องของเจ้า เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเปิดสงครามกับเขตสัตว์น้ำ”

“!!!”

ขณะที่เปมกำลังตกใจจนลูกตาแทบจะกลิ้งออกมาจากเบ้า สิงหรัตน์กลับลุกขึ้นจากเตียงและตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าออก พอดีกับที่ประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง และมีทหารที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีโผล่เข้ามาสามนาย

เสื้อผ้าชุดหนึ่งถูกโยนลงบนหัวของเปมพอดีเป๊ะ จนคนตัวเล็กต้องรีบสบัดหัวหน้ามุ่ย พลางตีสีหน้าคำถามไปให้สิงหรัตน์และทหารนายหนึ่งที่กำลังเดินอ้อมมาหยุดอยู่ข้างๆเตียง ก่อนที่กุญแจเหล็กดอกใหญ่จะถูกสอดเข้าไปในรูของแม่กุญแจติดโซ่ซึ่งเคยล่ามเปมไว้เป็นเวลาหลายวัน

“ดื่มนี่ซะ”

เมื่อโซ่ที่ล่ามอยู่หลุดออกไป เปมก็ได้แต่ลูบข้อมือแสบแดงของตัวเองอย่างช้าๆ แต่ก็ยังไม่วายสงสายตางุนงงอย่างหนักไปที่คนตรงหน้า แทนที่จะได้คำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ กลับมีแก้วยาส่งมาตรงหน้าแทน คนตัวเล็กที่กำลังกลอกตาไปมาอย่างสงสัยก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร จึงได้แต่ยกน้ำแปลกๆในแก้วนั้นขึ้นดื่มอย่างว่าง่าย เวลาผ่านไปชั่วครู่หนึ่งเปมก็สำลักจนแสบคอ แต่พอรู้ตัวอีกที เสียงของเขาก็กลับมาแล้ว

“นี่มันอะไรกัน?”

“ข้าจะให้เจ้าหนีออกไปจากที่นี่”

“หา!?”

ไม่ทันได้โต้ตอบอะไรกลับไปมากกว่านี้ ทหารที่เพิ่งปลดโซ่ให้เปมก็เข้ามาจัดแจงใส่เสื้อให้คนตัวเล็กอย่างทุลักทุเล เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกก่อนที่ทหารอีกนายจะตรงเข้ามารายงาน

“เหล่าขุนนางทั้งหมดออกไปพ้นเขตปราสาทครบแล้วครับ”

“ดีมาก”

สิงหรัตน์ตอบรับสั้นๆ พลางเข้ามาคว้าตัวเปมให้ลุกขึ้นหลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างบางของเปมก็เข้าไปอยู่ในวงล้อมของเหล่าทหารเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครรอให้เปมได้พูดอะไรหรือแม้แต่จะร่ำลา ก็ถูกผลักให้เดินออกไปจากห้องเสียแล้ว

“ทำไมสิงหรัตน์ต้องช่วยข้า?”

“ท่านอาจจะไม่รู้ แต่เพราะใบหน้าที่ออกจะดูหวานไปเสียหน่อย...นั่นทำให้แม้แต่พวกเราก็ยังตกใจ”

“ใช่แล้ว เพราะใบหน้าของท่านเปมทัต ช่างคล้ายกับพระชายาของท่านสิงหรัตน์เสียเหลือเกิน”

“อะไรนะ?” เปมทวนคำตอบเมื่อครู่ด้วยใบหน้าตกใจ นี่คือเหตุผลที่เขาถูกปล่อยตัวอย่างนั้นเหรอ เพราะผู้ชายคนนั้นกำลังคิดถึงคนรักของตัวเองอย่างนั้นเหรอ.. ทำไม สิงหรัตน์ ทำไมถึงได้โดดเดี่ยวถึงเพียงนี้!

“แล้วหากข้าหนีออกไป สิงหรัตน์จะไม่เป็นอะไรเหรอ”

ทหารทั้งหมดที่กำลังเดินล้อมเพื่อป้องกันตัวเปมไว้ต่างชะลอฝีเท้าลงและหันมองหน้ากันสีหน้าหนักใจ ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะยอมกล่าวออกมาเสียงต่ำ

“ก็คงถูกปลดออกจากตำแหน่งกษัตริย์”

“ว่าไงนะ!?”

เปมร้องขึ้นและหยุดฝีเท้าลงทันที ทำให้ทหารทั้งหมดต้องรีบกรูกันเข้ามาโอบล้อมไว้ด้วยความตกใจ เรื่องนี้มันบ้าไปแล้วใช่ไหม หากยอมเดินตามเส้นที่เหล่าขุนนางต้องการ สิงหรัตน์ก็จะยังเป็นกษัตริย์ แต่สงครามก็จะเกิดและเปมก็จะกลายเป็นแพะ แต่ถ้าเลือกปล่อยตัวเปมไป อาจระงับสงครามได้ แต่สิงหรัตน์ก็จะเดือดร้อน...จะยอมแบกรับความเดือดร้อนไว้คนเดียวอย่างนั้นเหรอ!?

“ท่านเปมทัต!”

เสียงทหารหลายนายดังขึ้น เมื่อเปมตัดสินใจหันหลังกลับและวิ่งตรงไปยังทางที่ผ่านมา เสียงฝีเท้าดังไปทั่วทางเดินเกิดความวุ่นวายขึ้นเล็กน้อย ไม่ทันที่ทหารจะไล่คว้าตัวเปมไว้ได้ทัน ประตูห้องบรรทมของกษัตริย์สิงห์ก็ถูกคนตัวเล็กกระชากออก

“เปม...!?”

“ฮั่ก..ฮั่ก...”

เจ้าหอยนางรมเอาแต่หอบถี่ แต่สายตาก็ยังจับจ้องไปที่ใบหน้าตกใจของสิงหรัตน์ซึ่งกำลังยืนค้างอยู่กลางห้อง ใบมือถือกระดาษเล็กๆแผ่นหนึ่ง

“เจ้ากลับมาทำไม!”

“ถ้าเจ้าต้องเดือดร้อน ข้าจะไม่ไป!!”

เปมพุ่งเข้าไปหยุดตรงหน้ากษัตริย์สิงห์ทันที พลางทุบกำปั้นเล็กๆลงกับอกแกร่ง ก็จะให้ทำยังไงล่ะ จะให้ทิ้งผู้ชายคนนี้ไป แล้วปล่อยให้เขาถูกทำลายลงอย่างโดดเดี่ยวแบบนั้นน่ะเหรอ ในฐานะคนที่รู้จักกันแล้ว เขาทำไม่ได้หรอก!

“...”

แสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา กระทบกับเบื้องหลังของเจ้าป่าตรงหน้าแลดูสวยงามพิกล แววตาสีทองกำลังสั่นไหวด้วยความตกใจ น้ำใสๆพาลจะเอ่อขึ้นมาอยู่เรื่อย ไม่ทันที่ใครจะได้ทำอะไรต่อ สิงหรัตน์ก็คว้าเอวบางของเปมไว้ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงมา จนคนตัวเล็กถึงกับดิ้นพล่านด้วยความตกใจเป็นทวีคูณ

“อุ..อุ๊บ..”

ยิ่งเปมลงแรงกับอกกว้างตรงหน้ามากเท่าไร สิงหรัตน์ก็ยิ่งกระชับเอวบางเข้ามามากเท่านั้น แม้แต่ทหารในห้องก็ยังนั่งอึ้งไปเป็นแถบ ไม่มีใครกล้าพูดหรือว่าอะไรออกมาทั้งนั้น เรี่ยวแรงของเปมถูกดูดออกไปเรื่อยๆด้วยลีลาจูบที่ทั้งเร่าร้อนและอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

“อื้มม...”

“ฮั่ก.. ฮั่ก...”

คนตัวเล็กรวบรวมพลังทั้งหมดทุบลงไปที่แนวไหล่ทั้งสองข้าง จังหวะเดียวกับที่สิงหรัตน์ยอมผละตัวออกพอดี แม้อยากจะต่อว่าขนาดไหน แต่ถ้าได้เห็นใบหน้าเจ็บปวดแปลกๆในตอนนี้ของสิงหรัตน์ เป็นใครก็ต่อว่าไม่ลงทั้งนั้น บ้าชะมัด เล่นไม้นี้เหมือนรเณศไม่มีผิด บ้าเอ๊ย!

“เปม..”

“เฮ้ย!”

เปมร้องขึ้นมาทันทีที่ตัวของเขาถูกรวบเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่น แน่นในที่นี้คือแน่นจริงๆ แน่นมากจนระดูกแทบจะแหลกคามือสิงหรัตน์ได้อยู่แล้ว แต่เมื่อสังเกตจากร่างกายที่สั่นเทา ระดับการหายใจ และน้ำเสียงแล้ว ก็พอจะเดาได้ว่ากษัตริย์สิงห์ผู้ยิ่งใหญ่ กำลังหลั่งน้ำตาอยู่เป็นแน่ เขาจึงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้สิงหรัตน์กอดตัวเองไว้อย่างนี้ต่อไป มือเล็กๆยกขึ้นลูบหลังเพื่อเป็นการปลอบ พอดีกับที่เสียงทุ้มดังขึ้นชัดเจนในโสตประสาท

“มันคงดีกว่าถ้าเราไม่ได้พบกันใช่ไหม...”

“...”

ทหารทั้งห้องแทบจะหงอยลงไปทันทีที่เห็นภาพตอนนี้ เวลาล่วงเลยไปหลายนาทีกว่าที่สิงหรัตน์จะยอมคลายอ้อมกอดออก ก่อนจะส่งกระดาษเล็กๆใบมือเมื่อครู่ให้เปมอ่านดู คนตัวเล็กรับมามือสั่น

“มันเพิ่งถูกส่งมาเมื่อครู่นี้เอง”

 

‘เราขอให้ปล่อยตัวคนของเขตสัตว์น้ำออกมาภายใน  2 ชั่วโมง ไม่เช่นนั้นจะเคลื่อนพลไปชิงตัวมา’

เตชัส!!?

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 27
การปะทะ

 

ตึก ตึก ตึก..

“ดูพวกขุนนางสิ เอาแต่ยิ้มร่า เป็นหมาชูคอ”

“หวังว่าจะไม่เกิดความเสียหายมากนักนะ”

ตึก ตึก ตึก ตึก..

“คุ้มครองท่านสิงหรัตน์ให้ดีด้วย”

“ทหาร มารวมกลุ่มทางนี้!”

ตึก ตึก ตึก..

เสียงจอแจสลับกับเสียงส้นรองเท้าหนาๆกระทบกับพื้นขัดมันของตัวปราสาทดังก้องไปทั่วบริเวณ สิงหรัตน์กำลังจัดองค์ทรงเครื่องรบแบบครบชุด ดูมีมาดขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันกลับเป็นมาดที่เปมไม่นึกอยากจะเห็นเลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อต้องรู้ว่า เขากำลังจะแบกมาดกษัตริย์ไว้บนบ่า แล้วเดินหน้าออกไปปะทะกับคนรักของตนนี่แหละ

“ตอนนี้เหล่าขุนนาง เดินทางกลับมารวมตัวกันที่หอหลักเรียบร้อยแล้วครับ!”

เสียงทหารหนุ่มดังขึ้นทันทีที่ประตูไม้ของห้องบรรทมเปิดออก กษัตริย์สิงห์พยักหน้ารับรู้ เตรียมตัวจะก้าวเท้าออกจากห้อง โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมามองเด็กชายผู้เป็นต้นเหตุของการปะทะกันครั้งนี้ เปมจ้องกลับด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

“ข้าขอติดตามไปด้วย” ไร้เสียงตอบรับ ยกเว้นคิ้วหนาที่ขมวดมุ่นเป็นสัญญาณห้าม เปมจึงตรงเข้าไปคว้าแขนข้างหนึ่งของสิงหรัตน์ไว้พลางเขย่าแรงๆ “ข้าต้องได้พบเตชัส ข้าจะได้อธิบายเรื่องทั้งหมด”

“แต่ข้าเป็นห่วงเจ้า”

“ข้าจะให้เตชัสหยุดการปะทะ และช่วยเจรจากับเหล่าขุนนาง ได้โปรด พาข้าไปพบเตชัสด้วย!”

เปมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง จากการประมวลผลอย่างหนักหนาภายในหัวสมอง จนคิดได้ว่านี่อาจเป็นทางที่ใช้ได้ที่สุด เริ่มจากสิงหรัตน์ไม่ต้องปล่อยตัวเปม ทำให้เหล่าขุนนางเชื่อมั่นและพอใจ จะได้ไม่มีข้ออ้างจะปลดเขาออกจากตำแหน่งกษัตริย์ ขณะเดียวกันก็สั่งการรบ ค่อยๆเดินไปตามหมากของเหล่าขุนนางผู้กระหายสงครามให้พวกนั้นได้ใจ ก่อนที่จะชิงจังหวะเข้าอธิบายกับเตชัสเพื่อขอให้ทางเขตสัตว์น้ำเป็นฝ่ายหยุดการปะทะเอง หลังจากนั้นค่อยให้เตชัสช่วยเจรจาเรื่องความบริสุทธิ์ของเปมก็คงยังไม่สายไป

“...”

ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไรแล้ว ที่ความเงียบเข้าช่วงชิงพื้นที่แทบทุกตารางนิ้วในบริเวณนี้ คนตัวใหญ่ในเครื่องแบบเต็มยศหลุบตาต่ำลงอย่างใช้ความคิด แม้จะรู้แก่ใจดีว่านี่คือหนทางที่ดีที่สุด เพราะหากไม่ทำให้สักฝ่ายเย็นลงก่อน สถานการณ์ก็มีแต่จะเลวร้ายขึ้นเป็นแน่ และถ้าให้องค์ชายเตชัสเข้าเจรจาด้วยตัวเอง อย่างน้อยๆพวกขุนนางหัวดื้อสุดแสนละโมบนั่น ก็ต้องยอมฟังกันบ้าง แต่ว่าความเป็นห่วงในความปลอดภัยของคนตรงหน้าก็มีมากมายไม่แพ้กัน เพราะรู้ดีกว่าในสนามรบ ความเป็นตายเท่ากัน และคนตัวเล็กก็คงรู้ดีถึงความบ้าระห่ำขององค์ชายฝั่งนู้น

ทั้งสองคนต่างปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเสียหลายนาที จนทหารนายหนึ่งต้องถือวิสาสะขยับเข้าสะกิดสิงหรัตน์น้อยๆ เมื่อเริ่มได้ยินเสียงอึกทึกที่ด้านนอกปราสาทแว่วเข้ามาบ้างแล้ว

“ห้ามออกห่างจากข้าเด็ดขาด”

นั่นคือคำพูดสุดท้ายก่อนที่สิงหรัตน์จะคว้าข้อมือเล็กของเปมไว้และเร่งสาวเท้าออกจากบริเวณปราสาท มีทหารบางนายรีบคว้าเอาเครื่องป้องกันวิ่งตามมาสวมใส่ให้เปมทั้งๆที่ยังก้าวขากันอยู่ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงลานโล่งๆซึ่งมีประตูท่อนซุงขนาดใหญ่ปิดกั้นเอาไว้จากพื้นที่ด้านนอก

ช้างพลายสีเทาหม่น รูปร่างใหญ่กำยำกำลังยกงวงขนาดยาวของมันขึ้นเป็นสัญญาณบางอย่าง ทหารกลางช้างและควาญช้างช่วยกันพาดบันไดไม้ไผ่ขึ้นไปกับลำตัวช้าง ก่อนที่สิงหรัตน์และเปมจะขึ้นไปนั่งประจำตำแหน่ง ทหารสี่นายเข้าประจำเท้าช้างทั้งสี่ข้าง เมื่อทุกฝ่ายเตรียมตัวพร้อมแล้ว จึงค่อยๆเลื่อนประตูด้านหน้าขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นรูปขบวนของเหล่าขุนนาง และพลทหารที่เพิ่งถูกปล่อยตัวออกจากลานอีกฝั่ง รวมทั้งแนวรบของเขตสัตว์น้ำที่มองเห็นมาแต่ไกล

คชสารเชิดกะโหลกขึ้น ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าขนาดใหญ่ออกไปประจำที่หัวขบวนรบ เปมถูกจับให้นั่งอยู่ด้านหลังสิงหรัตน์ เนื้อตัวและหัวถูกปกปิดมิดชิดด้วยเครื่องปกป้องชั้นดีแต่หนักเอาเรื่อง เสียงร้องของปักษายักษ์หลากหลายขนาด พร้อมทั้งเสียงฝีเท้าของพลรบมหาศาลที่ดูอย่างไรก็ยิ่งใหญ่เกินเรื่องดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าทางว่าพลรบในครั้งนี้คงถูกต้อนมาด้วยความเอาแต่ใจของเตชัสอีกเป็นแน่

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว...

โล่ขนาดใหญ่ในมือของสิงหรัตน์ยกขึ้นกำบังทั้งตัวเขาและคนด้านหลังทันทีที่อีกฝ่ายส่งกองทัพธนูเข้าเล่นงานเป็นอันดับแรกเพื่อหยั่งเชิง แต่ทางด้านหลังของฝั่งนี้เองก็ใช่ย่อย พวกขุนนางหน้าโหดสั่งการเสียงดังจนแทบได้ยินกันทั่วเขต ว่าให้เตรียมยิงหินขนาดใหญ่พร้อมจุดไฟได้

หัวใจของเปมสั่นระรัวด้วยความกลัวและกังวลถึงขีดสุด ถ้าเป็นไปได้ เขาจะต้องเข้าประชิดตัวเตชัสให้ได้ไวที่สุด ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายมากไปกว่านี้ เพื่อให้เรื่องจบลงโดยไว และเพื่อไม่ได้เกิดการบาดเจ็บสูญเสียมากเกินไปด้วย

“เจ้าไม่รู้ศักยภาพของเขตสัตว์น้ำเลยเรอะ”

สิงหรัตน์ที่ค่อยๆลดโล่ในมือลง ขยับตัวเล็กน้อยพลางเอี่ยวตัวกลับมากระซิบใกล้ๆ แต่เปมก็ได้แต่ทำตาแป๋วตีหน้างงต่อไป จะให้เขารู้อะไรได้ล่ะ ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยอยู่ในการรบแบบจริงจังขนาดนี้สักครั้ง แล้วศักยภาพของเขตสัตว์น้ำคืออะไร?

ฟิ้วววว!!

ซ่า!!!!

ความสงสัยเมื่อครู่อยู่ได้เพียงไม่นาน ภาพตรงหน้าก็คลี่คลายความอยากรู้อยากเห็นของเปมจนหมดสิ้น เมื่อขุนนางจากเขตสัตว์บกสั่งสัญญาณปล่อยลูกหินขนาดยักษ์ที่ลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงดูน่ากลัวจนใจหาย คิดว่าลูกไฟนั้นคงตกลงคร่าชีวิตของทหารเขตสัตว์น้ำได้มากโขทีเดียว แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่า พวกกองทหารในชุดโค้ทสีดำสนิทต่างก้าวเท้าขึ้นมาเป็นแนวหน้าอย่างรวดเร็ว ก่อนที่สายน้ำจะพวยพุ่งออกมาจากโพร่งปากของพวกเขา ตรงเข้าปะทะกับลูกหินไฟก้อนนั้นจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆภายในไม่กี่วินาทีเท่านั้น จริงด้วยสิ กองทหารในเครื่องแบบนั้น ถ้าจำไม่ผิดก็คือ... พวกลูกครึ่งวาฬ !!

“พร้อมไหม?”

คนข้างหน้าหันมากระซิบถามเปมอีกครั้ง คนตัวเล็กกระชับร่างกายขึ้นเล็กน้อยพลางก้มหน้าตอบรับ สิงหรัตน์หันกลับไปที่เบื้องหน้า ก่อนจะส่งเสียงดังเพื่อให้ควาญช้างด้านหลังจัดการให้เจ้าพลายศึกออกตัว ฝีเท้าหนักแน่นแทบจะบดขยี้พื้นดินจนแหลกละเอียด เปมต้องใช้ความพยายามอย่างมากให้การเกาะกุมลำตัวของสิงหรัตน์ไว้ ไม่ให้ร่างตัวเองไถลตกไปตามแรงวิ่งของพาหนะเชือกนี้

ตลอดทางที่วิ่งผ่าน ล้วนเต็มไปด้วยภาพของพลทหารทั้งสองฝ่ายต่างกรูเข้าโรมรันซึ่งกันและกันอย่างเดือดดาล ทั้งที่ปัญหาของเรื่องนี้มันเล็กนิดเดียวแท้ๆ เป็นแค่เด็กผู้ชายคนเดียวแท้ๆ กลับต้องลากเหล่าทหารให้มาฆ่าฟันกันแบบนี้ ไม่รู้ต้องโทษตัวเองที่โชคร้ายหาเรื่อง โทษเหล่าขุนนางหน้าสงคราม หรือโทษความใจร้อนของเจ้าชายฉลามคนนี้ดี!

“สิงหรัตน์!!!”

เสียงคำรามคุ้นเคยดังอยู่ใกล้ๆเปมเพียงไม่กี่เอื้อมมือ ก่อนที่แรงหมัดมหาศาลจะถูกกดทับลงมาผ่านโล่ขนาดใหญ่ สิงหรัตน์ตัวเอนลงจนร่างเปมถูกทับแทบจะแบนเป็นกล้วยปิ้ง เขาได้ยินเสียงเปราะดังๆพอให้เดาได้ว่าโล่ในมือคงใช้การไม่ได้อีกต่อไป ทำเอาใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม

แต่ก่อนที่หมัดที่สองจากเตชัสจะพุ่งตรงเข้ามา พร้อมๆกับสิงหรัตน์ที่ลุกขึ้นยืนในร่างของราชสีห์ แผงคอขยายออกอย่างข่มขู่พร้อมฝังเขี้ยวขนาดใหญ่ลงไปทุกเมื่อ เปมก็รีบพาตัวเองลุกขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนจะเข้าตะครุบคอหนาของสิงโตตรงหน้าไว้ได้ทัน แทบจะพอดีกับที่หมัดรุนแรงของเจ้าชายฉลามหยุดลงกลางคัน ด้วยตาเต็มไปด้วยความตะหนกขึ้นขีดสุด ทหารที่อยู่ละแวกใกล้ๆเผลอหยุดการปะทะชั่วคราวเพื่อจ้องมองเหตุการณ์แปลกๆในตอนนี้

เสียงฝุ่นกระจายจากหนวดปลาหมึกสีทรายดังขึ้นปิดท้าย ก่อนที่ทั่วทั้งสนามรบอันดุเดือดและวุ่นวายเมื่อครู่จะถูกสะกดให้หยุดนิ่ง และปล่อยให้ความเงียบเริ่มทำงานอีกครั้ง

“เปม!?”

“หยุดการรบเดี๋ยวนี้!”

เสียงหอยนางรมน้อยดังก้องไปทั่วบริเวณ ทหารหลายนายจากทั้งสองฝ่ายต่างพากันตีสีหน้างุนงง แต่คนที่สับสนจนแทบจะคลั่งตายน่าจะเป็นเตชัส ที่กำลังมองหน้าคนรักอย่างไม่เข้าใจ ทั้งที่เป็นห่วงแทบจะตายอยู่แล้ว พอมาเจอหน้ากลับถูกตะคอกกลับมาเช่นนี้น่ะเหรอ

“ว่าไงนะ?”

“เฮ้ยยย!”

สิ้นเสียงคำถามของเตชัส หนวดปลาหมึกขนาดใหญ่ที่คุ้นเคยกันดีก็พุ่งตรงมาจากบนหลังปักษายักษ์สีขาวที่ค่อยๆบินขึ้นสูงพอให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกับคนบนหลังช้าง ร่างบางของเปมถูกรวบเอาไว้อย่างรวดเร็ว จนแม้แต่ความไวของสิงหรัตน์ก็ยังคว้าเอาไว้ไม่ทัน ก่อนที่รเณศจะปล่อยตัวเปมลงบนหลังของปักษายักษ์ที่เตชัสกำลังโดยสารอยู่ ไม่รอให้เปมทรงตัวดี เตชัสก็เข้ามาคว้าตัวเขาเข้าไปไว้ในอ้อมกอดแน่นเสียแล้ว

“เต ฟังข้า! ข้าถูกเข้าใจผิดว่าทำการสังการพระญาติของสิงหรัตน์ และเหล่าขุนนางตัดสินให้ข้ามีความผิดจริง พวกเขาใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อก่อสงคราม แต่สิงหรัตน์อยู่ข้างข้า และเจ้าจะไปเต้นตามขุนนางพวกนั้นไม่ได้ ต้องหยุดการรบและเข้าเจรจา!” เปมพยายามตัดทอนให้เหลือแค่ใจความสำคัญที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในขณะที่เตชัสยังคงตีสีหน้าไม่เข้าใจ

“ถอยทัพ!”

เปมผลักคนในอ้อมกอดออกอย่างอารมณ์เสีย ก่อนจะหันมาประกาศกร้าว แต่ท่าทีของทหารกลับนิ่งเฉย บ้างก็สับสนไม่เข้าใจในสถานการณ์ พอดีกับที่ขบวนม้าของเหล่าขุนนางบ้าๆนั่นกำลังตรงใกล้เข้ามา ไม่กี่วินาทีต่อมา ดูเหมือนเจ้าชายฉลามจะพอเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง จึงลุกขึ้นยืนและส่งเสียงออกไปดังก้อง

“ถอยทัพ!!”

“นี่มันอะไรกัน สิงหรัตน์!” หนึ่งในขุนนางฝั่งนั้นแผดเสียงดังลั่นจนเปมเองยังได้ยินชัดเจน กษัตริย์สิงห์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อย แต่ก็ปั้นหน้านิ่งเป็นปกติได้โดยไว

“ทางฝ่ายนั้นชิงตัวไปได้”

“ทุเรศ!!”

“เตชัส! คนของเจ้าลอบเข้ามาสังหารพระญาติของกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก ข้าขอให้เจ้าส่งตัวมันมารับโทษตามกฎหมาย” ขุนนางอีกคนควบม้าขึ้นมาอยู่แนวหน้าพลางกล่าวเสียงเด็ดขาด แต่เตชัสก็ไม่ได้มีท่าทีเกรงกลัวแต่อย่างใด กลับพาปักษายักษ์ร่อนต่ำลงตรงหน้าของพวกนั้น

“ข้าขอยืนยันว่าคนของข้าไม่มีความผิด และทางเราไม่ได้มีความประสงค์จะก่อสงคราม”

“ไม่มีสิ่งใดจะยืนยัน ว่าเด็กนั่นไม่ใช่คนผิด...อุ่ก!!”

“!!!!”

เหล่าทหารล้วนแตกฮือกันออกไปเป็นวงกว้าง เมื่อจู่ๆก็มีธนูก้านยาวพุ่งเข้าตัดขั้วหัวใจของขุนนางที่เพิ่งกล่าวใหญ่โตเมื่อครู่ สายตานับร้อยนับพันตวัดไปตามที่มาของอาวุธ แนวป่าทึบใกล้ๆนั้นค่อยๆปรากฏร่างของสัตว์น้อยใหญ่ที่โผล่ออกมาจากเงามืดทีละนิด ไม่นานนักขบวนรบขบวนที่สามก็ถูกจัดรูปเตรียมพร้อมที่จะบุกเข้ามาทุกเมื่อ ท่ามกลางความตื่นตกใจของทั้งเขตสัตว์บกและเขตสัตว์น้ำ โดยเฉพาะพวกขุนนางปากกล้าที่บัดนี้กลับอ้าปากไม่ขึ้น เมื่อรู้ว่าหน้าตาของศัตรูตัวจริงเป็นใคร..

“บ้าน่า..”

“พวกแก!!”

“พญากุมภีร์!”

“พวกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก!!”

-------------------------------------------------

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
ยังไงกันนะนั่น

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 28
ศัตรูที่แท้จริง

 

นั่นอาจจะไม่น่าตกใจเท่าไร ถ้ารู้ว่าศัตรูที่แห่กันออกมามีแค่พวกเขตสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ถ้าไม่ใช่ว่าหนึ่งในพวกนั้นดันมีคนที่แตกต่างจากพวกอยู่ด้วย นั่นคือขุนนางชั้นสูงผู้หนึ่งที่ทำงานรับใช้พ่อของสิงหรัตน์มาเป็นเวลานาน อีกทั้งเป็นสหายร่วมคิดมากับพวกขุนนางคนอื่นๆที่เอาแต่เบิกตาโพลง

“เป็นโอกาสดีที่เราจะได้บดขยี้พวกเขตสัตว์น้ำและเขตสัตว์บกในคราวเดียว”

กษัตริย์กุมภีร์แปรงหางจระเข้ขนาดใหญ่ออกมาพลางฟาดลงไปกับพื้นดินอย่างข่มขู่ งูขนาดยักษ์ที่งับคนทั้งตัวเข้าปากได้อย่างสบายๆค่อยๆเลื่อยออกมาจากกลุ่มคน ก่อนจะช้อนร่างของแม่ทัพฝั่งนั้นขึ้น พร้อมแยกเขี้ยวคำราม เป็นที่รู้กันดีว่าเขตสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก จะนับรวมพวกสัตว์เลื้อยคลานด้วย แต่ไม่ถูกขานชื่อเนื่องจากกษัตริย์ผู้ปกครอง เป็นพวกครึ่งบกครึ่งน้ำ

ไม่ต้องรอให้มีพิธีรีตองอะไรมาก หัวงูยักษ์ตรงหน้าก็พุ่งกรากเข้ามาประชิดตัวเปมและเตชัส แต่ยังดีที่ปักษาไม่คุ้นหน้าที่กำลังโดยสารอยู่นั้นมีทักษะการหลบเลี่ยงที่ว่องไวเป็นพิเศษ พวกขุนนางของฝั่งเขตสัตว์บกกัดฟันกรอดเมื่อเห็นหน้าคนทรยศ ก่อนจะควบม้าเข้าไปส่งสัญญาณกับสิงหรัตน์ และเตชัสเองก็ดูเหมือนจะมองสถานการณ์ออก จึงรู้ว่าขณะนี้ ทั้งสองเขตควรจะผนึกกำลังกันปราบเขตสะเทินน้ำสะเทินบกเสีย

รูปขบวนของสองกองทัพถูกผนวกเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วตามคำสั่งอันเด็ดขาดของสองกษัตริย์ ก่อนที่ทั้งสามเขตจะบุกเข้าโรมรันกันอย่างดุเดือด ฝุ่นตลบขึ้นมาจนทิวทัษน์เบื้องล่างแทบจะถูกดูดกลืนหายไป มีเพียงคนใหญ่คนโตบนหลังช้าง หลังนก และงูยักษ์เท่านั้นที่ยังพอมองภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน

สิงหรัตน์พาคชสารร่างใหญ่ฝ่ากลุ่มทหารในหมอกฝุ่นเข้าไปประชิดแทบข้างของงูยักษ์ ก่อนที่งวงยาวของมันจะเข้ารวบตัวงูไว้จนพญากุมภีร์ต้องรีบคว้าร่างลื่นๆของพาหนะตัวเองไว้เป็นที่มั่น เจ้างูตัวยาวบิดตัวด้วยความเจ็บปวดจากแรงรัด แต่ไม่ทันไรก็ตวัดหัวใหญ่ๆ ฝังคมเขี้ยวลงกับขาขวาหน้าของช้างสีเทาจนมันยกตัวขึ้นสูงตามสัญชาตญาณ ทำเอาสิงหรัตน์และทหารอีกสองนายด้านบนกลิ้งไปกระจุกกันที่เดียว จนแทบจะไหลตกตัวช้างลงไป

เมื่องวงที่รัดแน่นถูกคลายออก งูยักษ์ก็คว้าจังหวะที่คชสารกำลังเพลี่ยงพล้ำ หวังจะฝังเขี้ยวซ้ำลงไปอีกครา แต่ก็ถูกรั้งไว้ได้ทันท่วงทีจากหนวดปลาหมึกสีทราย ซึ่งกำลังบังคับปักษาสีขาวให้ร่อนตรงเข้ามา

“รเณศ ระวัง!!”

ไม่ทันที่เสียงแหลมของเปมจะส่งไปถึง ซาลาแมนเดอร์ตัวยาวผิดปกติก็กระโดดของมาจากกองฝุ่นเบื้องล่าง และงับเอาหนวดปลาหมึกของรเณศจนเกิดเป็นแผลเหวอะหวะ องครักษ์หนุ่มยกมือขึ้นขยับแว่นตาใบหน้าคร่ำเครียด ก่อนจะต้องตัดใจถอนหนวดออกมาจากการเกาะกุมหัวงู

เสียงคำรามดังก้องไปทั่วบริเวณออกมาจากปากกว้างๆของสิงหรัตน์ซึ่งพาตัวเองกลับขึ้นมายืนดีๆบนหลังช้างได้ตามเดิม และดูเหมือนปากของเขาจะอ้ากว้างขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่สุดก็ปรากฏเป็นร่างชองราชสีห์ขนสีน้ำตาลทองสวยกำลังแผ่แผงคอข่มขู่อยู่บนหลังช้าง

สิงหรัตน์หยั่งเท้าไปด้านหลังเพียงครู่หนึ่งก่อนจะควบอุ้งตีนทั้งสี่อย่างรวดเร็ว พุ่งออกมาจากหลังช้างและตรงเข้าตะครุบตัวของพญากุมภีร์ได้สำเร็จ เจ้างูยักษ์ตกใจจนบิดตัวเล็กน้อย ทำให้สิงหรัตน์เผลอปล่อยตัวศัตรูในคมเขี้ยวไปเพียงชั่ววินาที พญากุมภีร์สบถร้ายกาจ และเอี่ยวตัวฟาดหางหนักแน่นเข้าที่กลางลำตัวของกษัตริย์สิงห์

“อ๊ากก!!”

สิงหรัตน์แผดเสียงร้องดังลั่น แต่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ รีบหาจังหวะถีบตัวเองให้พ้นรัศมีหางจระเข้ ก่อนจะพุ่งกลับไปงับเอาแขนข้างหนึ่งของศัตรูตรงหน้าไว้ สายตาดุดันสีทองกำลังเปล่งประกายของผู้เหนือกว่า เมื่อเขาออกแรงกระชากสุดตัวจนแขนข้างที่ว่าหลุดออกมาตามแรงกัด

“ฮว๊ากกกกกก!!!!”

คราวนี้เป็นเสียงของพญากุมภีร์ที่ดังขึ้นอย่างทรมาน แต่ความดีใจก็ไม่ได้คงอยู่นาน เมื่อซาลาแมนเดอร์ตัวที่เพิ่งเล่นงานรเณศกลับโพล่งออกมาเกาะหลังราชสีห์ไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจโยนทั้วตัวมันและสิงหรัตน์ให้ตกลงจากหลังงูพร้อมๆกัน

“สิงหรัตน์!!/ท่านสิงหรัตน์!!”

เสียงของเปมดังขึ้นพร้อมกับพวกทหารที่มองเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเวลามามัวห่วงสิงหรัตน์ที่หล่นลงไปอยู่ในเขตตะลุมบอนเบื้องล่างแล้ว เมื่อเจ้างูยักษ์เริ่มกลับมามีท่าทีเกรี้ยวกราดอีกครั้ง พร้อมกรากเขี้ยวเข้ามาเฉียดร่างของเตชัสและเปมหลายครา

“อั่กก!!”

ศัตรูชิ้นโตตรงหน้ายังไม่เคลียร์ จู่ๆเสียงต่ำคุ้นหูของรเณศก็ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อหันไปก็เห็นว่าเขากำลังถูกโจมตีจากกองทัพตะพาบน้ำที่แบกอาวุธมาอย่างครบชุด ถ้าเป็นปกติ คนระดับรเณศคนไม่แพ้ง่ายๆแน่นอน แต่นี่เล่นแห่กันมาเป็นหมู่บ้านตะพาบขนาดนี้ แต่ให้เป็นกษัตริย์เตชินท์ก็ยังต้องหนาว

เปมเริ่มวอกแวกไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นเสียงแว่วๆของสิงโตที่ดังมาจากเบื้องล่าง ภาพพลทหารกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดและวุ่นวายจนแทบแยกไม่ออกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ความเพลี่ยงพล้ำของรเณศ แล้วยังจะมีพวกขุนนางปากกล้าที่กำลังไล่ปล้ำอยู่กับสุนัขจิ้งจอกตัวใหญ่ ซึ่งก็คือไอ้คนทรยศของเขตสัตว์บกนั่นแหละ

“เปม หลบไป!! อึ่กก!”

“เต!!”

เปมมองภาพตรงหน้าดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ เตชัสกำลังใช้แขนข้างเดียวรั้งปากใหญ่ๆของงูยักษ์ที่ตรงเข้ามาหวังจะเขมือบพวกเขาเข้าไปทีเดียว ส่วนแขนอีกข้างก็ผลักไล่เปมให้หลบไปไกล

เตชัสรีบชักแขนอีกข้างขึ้นช่วยกั้นคมเขี้ยวขนาดใหญ่ที่กำลังจะฝังลงบนตัวของเขาอยู่ร่อมร่อ เปมเกาะลำตัวของปักษายักษ์ไว้แน่นเมื่อมันเริ่มขยับปีกไปมาด้วยความตระหนกใจ ยิ่งทำให้เตชัสทรงตัวลำบากและเกือบพลาดท่าอยู่หลายครั้ง จนท้ายที่สุดต้องแปลงส่วนหัวให้เป็นฉลาม ก่อนจะยกหัวขึ้นงับส่วนจมูกของเจ้างูยักษ์ไว้อย่างแรง

“ซืออ! ซืออ! ฟ่ออ!!”

งูยักษ์ยอมผละตัวกลับไปทันทีที่เตชัสคลายแรงกัดออกพลางบิดตัวไปมาจนพญากุมภีร์แทบจะไหลลงไปติดพื้น เสียงร้องดังขึ้นเป็นระยะๆจากความเจ็บปวดเมื่อครู่ แต่ขณะที่เตชัสกำลังได้ใจและหันหลังให้ศัตรู ตรงเข้ายื่นมือเพื่อฉุดตัวเปมให้ลุกขึ้น เจ้างูยักษ์ซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น ก็คว้าโอกาสนี้ กัดฟันพุ่งตัวเข้าชนเตชัสอย่างแรง จนคนตัวสูงถูกปัดกระเด็น ตกไปอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารที่กำลังรบกันพันตูอยู่เบื้องล่าง

“ไม่! เตชัส!!!”

เปมทรุดตัวลงแทบจะทันทีที่ภาพของคนรักกระเด็ดพ้นสายตา หัวใจเต้นรัวด้วยความกลัวและตกใจ ขาสองข้างแม้สั่นเทิ้มไปหมด แต่กลับมีเสียงข้างในตัวดังขึ้นให้ก้าวลงไปๆ

“ฟ่อออ!”

เสียงขู่น่ากลัวของงูยักษ์ดังขึ้นใกล้ๆ เมื่อเปมหันหน้ากลับไปก็พบว่าตัวเองอยู่ห่างจากโพร่งปากของงูนั่นเพียงไม่กี่นิ้ว พร้อมที่จะถูกกัดกินได้ทุกเมื่อ

“อ๊ากก!!!”

สัญชาตญาณบอกให้เปมรีบคนตัวทันที พลางยกสองแขนขึ้นกำบังร่างกายเอาไว้ ดวงตาหลับปี๋พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงเร็วจนแทบกระดอนออกมาจากอก วินาทีต่อมาที่คิดว่าร่างของแหลกละเอียดไปแล้ว กลับหลงเหลือเพียงแค่เสียงหัวใจหนักแน่นของตัวเอง โดยไร้ซึ่งความเจ็บปวดหรือแรงกระทบใดๆ

เปมค่อยๆปรือตาขึ้นมองภาพตรงหน้า แล้วก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แต่ก็โล่งใจในขณะเดียวกัน ปักษาใหญ่ยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติกาล ขนสีแดงเพลิงขนาดยาวสวยพริ้วไหวอยู่กลางท้องฟ้า เหนือหัวของเปมขึ้นไปไม่ใกล้ไม่ไกล ในปากคาบเอาซากงูยักษ์ที่ไร้เรี่ยวแรงเอาไว้ โดยที่พญากุมภีร์กลับพุ่งตัวไปขี่หลังเจ้าซาลาแมนเดอร์ตัวควายเมื่อครู่แทน

มือเล็กยกขึ้นป้องดวงตาจากแสงแผดเผาของดวงอาทิตย์ในยามนี้ เปมพยายามหรี่ตามองภาพตรงหน้าให้ชัดเจน ก่อนที่จะค่อยๆเผยรอยยิ้มหนึ่งเดียวของวันนี้ออกมา ร่างเล็กๆที่แสนคุ้นตากำลังยืนเท้าสะเอวตีสีหน้าหงุดหงิดเหมือนทุกทีอยู่บนหลังของเจ้าวิหคตัวบักเอ้ก ผมยาวสีน้ำตาลแดงปลิวไสวไปตามแรงลม บวกกับรอยแผลที่จำกันได้ดี ไม่ผิดแน่!

“กรองขวัญ!”

“ว่าไง ปวกเปียกเหมือนเคยเลยนะ”

“แกว๊กกก!”

ไม่ทันจะได้ทักทายกันจบ เสียงร่อนลมรุนแรงของดังขึ้นพร้อมเสียงร้องทรงพลังอย่างวิหค เมื่อหันไปตามที่มา ก็พบกับอินทรีย์ขนาดใหญ่ที่ดูภูมิฐานมากกว่านกตัวไหนๆ หากเพ่งสายตาให้ดีก็จะพบมาว่านกโรบินสีแปลกตาเกาะอยู่ที่หลังของมันด้วย แน่นอนว่าจะต้องเป็น การัตน์กับชากร!

“นี่มันอะไรกัน!!?”

พญากุมภีร์มีสีหน้าตกใจมาก คงด้วยว่าการปรากฏตัวของเหล่าสัตว์ปีกไม่ได้อยู่ในแผนการที่มันวางเอาไว้ หมอกฝุ่นที่เคยตลบอบอวลจากการตบเท้าของทหารเบื้องล่างค่อยๆจางหายไป เมื่อทั่วทั้งบริเวณถูกความเงียบเข้าจู่โจมอย่างกระทันหัน ทุกสายตาของทุกฝ่ายแหงนขึ้นมองบนฟากฟ้าจนแทบจะหลอมเป็นสายตาเดียว

นกนานาพันธุ์ ในขนาดและสีสันแตกต่างกันไป ต่างกรีดปีกเคลื่อนขบวนเข้ามาใกล้จากฝากหนึ่งของแผ่นฟ้า ก่อนจะปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณ แทบจะบังแสงอาทิตย์จนมิด เสียงผิวปากของใครบางคนดังขึ้นเป็นสัญญาณ วินาทีต่อมา วิหคแนวหน้าก็พุ่งหลาวตรงไปที่ซาลาแมนเดอร์ยักษ์ซึ่งมีพญากุมภีร์เกาะหลังอยู่

“อ๊ากกก! ออกไปนะโว้ย!!”

เสียงกรีดร้องดังแทรกออกมาจากมวลเคี้ยวเล็บและเสียงจิกทึ้งของกลุ่มนกขนาดกลางสีขนดำขลับ ดูเหมือนทหารของฝ่ายสะเทินน้ำสะเทินบกและพวกลูกไล่เลื้อยคลานต่างก็เริ่มขวัญผวากันไปเป็นแทบ และเริ่มขยับขาถอยหลังตามกันไปเป็นลำดับๆ

“บ้าเอ๊ย!”

เสียงสบถดังออกมาจากปากของเจ้าจิ้งจอกทรยศ มันกำลังจะใช้โอกาสที่ทุกคนตะลึงงันกับภาพความโหดร้ายเบื้องหน้าเพื่อหลบหนี แต่หนึ่งในเหล่าขุนนางก็ใช้อุ้งมือหมีควายตะปบตัวไว้ได้ทันท่วงที ก่อนที่ทหารคนอื่นๆจะกรูกันเข้ามาช่วยรวบตัวไว้

“ฮว๊ากกก!!”

หนวดปลาหมึกยักษ์ซัดเอาร่างของพวกตะพาบน้ำจนกระเด็นกันไปคนละทิศละทาง เมื่อเขาเริ่มหมุนตัวด้วยความเร็วผิดมนุษย์มนา คลับคล้ายเครื่องเล่นหวาดเสียวในสวนสนุกก็ไม่ปาน สาบานได้ว่าแววตาโกรธแค้นที่เคยเพลี่ยงพล้ำพวกสัตว์ตัวเล็กๆของรเณศ จะเป็นแววตาสุดท้ายที่เปมอยากจะเห็นในช่วงชีวิตนี้

“พอแล้วๆ!”

เสียงสั่งการจากกรองขวัญดังขึ้น ทำให้พวกเหล่าอีกาหยุดจงอยปากไว้แค่นั้น ก่อนจะกรูกันบินขึ้นไปตั้งแถวบนฟ้าตามเดิม พอดีกับที่ร่างสูงโปร่งซึ่งบัดนี้เต็มไปด้วยบาดแผลของชายสองคน ก้าวออกมาพ้นจากบริเวณพลทหารที่ยังคงแน่นิ่ง

สิงหรัตน์และเตชัสต่างง่วนอยู่กับการปัดฝุ่นตามเนื้อตัวออก ก่อนจะไปหยุดสายตาอยู่ที่เศษซากซาลาแมนเดอร์ยักษ์ที่คงสิ้นลมเป็นแน่แล้ว บนหลังมีพญากุมภีร์ที่เต็มไปด้วยแผลเหวอะตามตัว เลือดข้นกระจายไปทั่วบริเวณด้วยสภาพไม่น่ามอง

“ข้าในนามกษัตริย์แห่งเขตสัตว์บก..” สิงหรัตน์หันกลับมาเผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพที่ตอนนี้ยืนปนกันมั่วไปหมด แต่ก็ไม่ได้มีใครกล้าขยับเท้าแม่แต้ก้าวเดียว

“ข้าในนามรัชทายาทลำดับที่หนึ่งแห่งเขตสัตว์น้ำ..”

“และข้าในนามทายาทแห่งเขตสัตว์ปีก.. เอ่อ แล้วก็ขอพูดแทนอดีตผู้ปกครองเหล่าปักษาทั้งหลาย..”

เตชัสและกรองขวัญส่งเสียงขึ้นตามมาเป็นลำดับ โดยที่กรองขวัญก็ไม่ลืมที่จะหันไปกล่าวถึงผู้ยิ่งใหญ่ตัวจริงเสียงจริงแห่งเขตสัตว์ปีก ที่ยอมเข้าร่วมศึกในครั้งนี้อย่างการันต์ด้วย

“พวกเราทั้งหมดขอประกาศ ตัดความสัมพันธ์ที่เคยมีทั้งหมด กับสมาชิกสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก และสัตว์เลื้อยคลาน ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป!!”

เสียงประกาศของทั้งสามกษัตริย์ดังกู่ก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ก่อนที่เสียงปรบมือและโห่ร้องดังลั่นจะตามขึ้นมาขนานใหญ่ พร้อมๆกับความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของพวกศัตรู ที่จำต้องยอมถอยทัพ และบางส่วนก็ถูกจับกุมจนได้...

---------------------------------------------------

จะจบแล้วววว  :katai5:

mooaiir

  • บุคคลทั่วไป
บทที่ 29
ตราบนานเท่านาน

 

“พวกข้าต้องขอโทษด้วยที่ไม่เชื่อใจ และเอาแต่คิดถึงเรื่องศึกสงคราม” เหล่าขุนนางกลับใจ เหมือนตัวร้ายในละครตอนจบ เดินเรียงหน้ากันเข้ามาขอโทษขอโพยสิงหรัตน์เป็นการใหญ่ ก่อนจะก่นด่าไอ้คนทรยศต่ออย่างระบายปาก คนฟังยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เงียบ

“ข้าไม่รู้ว่าพวกท่านทำงานกับพ่อข้าอย่างไร แต่ภายใต้การปกครองของข้า จะต้องไม่มีสงครามที่ไม่จำเป็น”

พวกขุนนางก้มหน้ารับฟังแต่โดยดี ไม่นานบทสนทนาก็จบลงโดยที่ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปดูแลความเสียดายและจัดการพื้นที่ สิงหรัตน์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อจบปัญหาพลางถอดชุดเกราะออกยื่นให้ทหารนายหนึ่งแถวนั้น สายตากวาดไปทั่วบริเวณจนไปหยุดอยู่ที่ชายร่างเล็กซึ่งกำลังถูกผู้ชายตัวใหญ่สองคนล้อมหน้าล้อมหลังเอาไว้

“เปม”

“สิงหรัตน์!”

“สวัสดีเตชัส พ่อสบายดีเหรอ?”

“ก็เหมือนเดิมแหละ แล้วท่านล่ะ?”

“อืม.. ก็ดีนะ” สิงหรัตน์ทำท่าคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเหล่ตามองไปทางเปมและฉีกยิ้มออกมา ยิ่งสร้างความสงสัยให้กับเตชัสมากยิ่งขึ้น

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม” เปมแทรกบทสนทนาขึ้นมา จนเจ้าชายฉลามต้องกระเหม่นตาอย่างไม่สบอารมณ์

“เรียบร้อยดี ต้องขอบใจเจ้านั่นแหละ”

“อะ อื้อ”

เปมเริ่มมีท่าทีเกร็งเล็กน้อย เมื่อจู่ๆสิงหรัตน์ก็ขยับเข้ามาใกล้และขยี้หัวเปมเล่น ไม่ได้เกร็งเพราะสิงหรัตน์นะ แต่เกร็งเพราะรังสีแปลกๆที่แผ่ออกมาจากตัวเตชัสนี่แหละ

“ท่านรเณศ ไม่ได้พบกันนาน สบายดีนะ”

รเณศที่ยืนอยู่ใกล้ๆยิ้มรับแบบเรียบง่าย แต่นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ทำให้เปมตื่นเต้น เพราะเขาไม่รู้มาก่อนว่าจริงๆแล้ว แต่ละเขตก็รู้จักกันดี แม้จะไม่ได้ดูสนิทกันมากเท่าไรก็เถอะ สิงหรัตน์หันซ้ายหันขวาอีกครั้งและออกปากถามด้วยน้ำเสียงเสียดายแปลกๆ

“กรองขวัญไปไหนแล้วล่ะ”

“กลับไปแล้ว”

“อ้าวเหรอ... แต่ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าการันต์ก็จะมาร่วมกับเขาด้วย”

“อันนี้ข้าก็ผิดคาดเหมือนกัน แต่พอดีมันสนิทกับรเณศน่ะ เลยยอมช่วย” เตชัสว่า พลางหันมองรเณศแวบหนึ่ง

“ข้าว่าเราควรจะกลับไปรายงานเรื่องวันนี้ให้กษัตริย์เตชินท์ทราบ” รเณศแทรกขึ้นมากลางคัน ซึ่งดูเหมือนนี่จะเป็นอีกครั้งในจำนวนหายากที่เตชัสก็เห็นดีเห็นงามไปกับความเห็นของเขาด้วย

“ข้าเช่นนั้นพวกเราขอตัว และต้องขอโทษด้วยที่คนของเรามาก่อเรื่องไว้มากมาย”

“ไม่หรอก เปมไม่ได้ก่อเรื่องอะไรเลย ข้าดีใจที่ได้พบเขา”

“อ่า..”

เตชัสถึงกับไปต่อไม่พูด เมื่อเจอคำพูดที่ดูสนิทสนมแปลกๆยามสิงหรัตน์พูดถึงเปม แถมยังเหลือบตามองกันเป็นระยะอย่างน่าสงสัย ถึงอย่างนั้นเขาก็เลิกที่จะไม่ทำตัวใจร้อนตอนนี้

“ต้องขอโทษและขอบใจในหลายๆเรื่องเลย” สิงหรัตน์ถือวิสาสะคว้ามือเล็กของเปมมากุมไว้

“ไม่เป็นไร ดูแลตัวเองด้วย ไว้ข้าจะมาเยี่ยม”

กษัตริย์สิงห์เผยรอยยิ้มจริงใจที่สุดเท่าที่เปมเคยเห็น ก่อนจะยอมปล่อยมือเปมให้เป็นอิสระ เตชัสและรเณศยิ้มน้อยๆแทนคำอำลา พลางต้อนขบวนทัพกลับแหล่งที่มา ไม่นานนักพวกเราทั้งหมดก็กลับคืนสู่เขตสัตว์น้ำอันสงบเงียบ

เปม เตชัส และรเณศ กับทหารแนวหน้าบางนายถูกเรียกตัวเข้าพบกษัตริย์เตชินท์ทันทีที่ถึงปราสาท ไม่มีแม้โอกาสให้เปมได้พูดคุยกับจารวีและวาสินีที่มารอดักตั้งแต่ปักษายักษ์ยังไม่ร่อนลงจอด

“ทำได้ดีมากนะ คงถึงเวลาขึ้นครองราชย์แล้วมั้ง”

กษัตริย์เตชินท์ยิ้มร่ากับผลงานอันน่าภาคภูมิใจในครั้งนี้ของลูกชายทั้งสอง ก่อนจะลูกขึ้นและพยักหน้าถามเตชัสที่เอาแต่เงียบไป เจ้าชายฉลามหลุบตาลงเล็กน้อยและปล่อยให้เวลาล่วงผ่านไปหลายวินาที ก่อนที่จะรวบมือเปมมากุมไว้แน่นและจ้องหน้าผู้เป็นพ่อด้วยสายตาจริงจัง

“ข้า...ขอถอนตัวออกจากการเป็นรัชทายาทแห่งเขตสัตว์น้ำ”

“...”

ความเงียบยังทำงานได้ดีเหมือนเดิม เมื่อจู่ๆทั้งห้องก็ไม่หลงเหลือซุ่มเสียงใดนอกจากลมหายใจ เตชินท์นิ่งไปนานเหมือนคนเพิ่งโดนตบจนหน้าชา พยายามอย่างมากที่จะระงับอารมณ์คุกรุ่นในตัวเอาไว้

“ทำไม?”

“ข้ารักเปม”

ปึงงง!!

คำพูดสั้นๆแต่ได้ใจความอันบีบหัวใจของคนฟังยิ่งนัก เตชินท์กดฝ่ามือทั้งสองลงกับโต๊ะทำงานเรียบหรูเพื่อระบายอารมณ์ เกิดเสียงกรอบแกรบของเนื้อไม้อยู่เพียงพักหนึ่ง โต๊ะทั้งตัวก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ทำเอาทหารบางนายสะดุ้งไปเล็กน้อย

“ออก-ไป”

เตชินท์คำรามเสียงดุร้ายชัดถ้อยชัดคำอย่างที่เปมไม่เคยเจอมาก่อน และไม่นึกอยากจะได้ยินอีก เพราะนั่นแทบจะทำให้เขาขาดอากาศหายใจตายเพราะแรงกดดันมหาศาลในระยะใกล้ เตชัสไม่รอรี่ รีบดึงตัวเปมมาประชิดตัวและสาวเท้าออกจากห้องทำงานอันอึมครึมของผู้เป็นพ่อทันที

ทั้งสองคนจับมือกันวิ่งลงมาตามบันไดวน สายตาสองคู่เหลือบมองกันเป็นระยะๆ โดยที่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทั้งที่มีเรื่องให้คิดมากมายในหัวสมอง แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่เชื่อใจเท่านั้น

 

เวลาผ่านไปรวมสองอาทิตย์ที่เตชัสและเปมต้องทนใช้ชีวิตอันแสนอึดอัดอยู่ในปราสาท โดยที่เตชินท์ก็ทำตัวเหมือนพวกเขาเป็นแค่อากาศธาตุ ในที่สุดกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็ดูจะยอมรับและใจเย็นลงได้ ในระดับหนึ่ง จึงเรียกทั้งคู่ รวมทั้งรเณศเข้าพบอีกครั้ง

“เรื่องของพวกเจ้า... ข้าคงต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอีกสักพัก” เตชินท์เริ่มพูดจากเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเตชัสกับเปม ก่อนจะเลื่อนสายตามีความหวังไปทางรเณศที่กลับเป็นฝ่ายหลุบตาลงในครั้งนี้

“ถ้าเตชัสไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ ข้าก็จะให้รเณศรับตำแหน่งนี้แทน ว่ายังไง?”

“เอ่อ.. ข้า.. ข้าก็ขอถอนตัวเช่นกัน”

“อย่าบอกนะว่าเพราะเปมทัตเหมือนกัน”

“...”

ไม่มีคำตอบใดๆจากปากของรเณศยิ่งทำเอาทุกอย่างกระจ่างชัดเสียยิ่งว่าคำพูดใดๆ กษัตริย์เตชินท์กำหมัดแน่นเพื่อข่มอารมณ์เดือดพล่านในตัวไว้

“เปมทัต!!”

ไม่ทันได้ตั้งตัว หัวฉลามขาวหน้าตาดุร้ายก็ปรากฏแทนที่ใบหน้าของชายชราเตชินท์ ร่างใหญ่พุ่งปราดเข้ามาประชิดตัวเปมซึ่งกำลังตกใจภาพตรงหน้าจนขยับตัวไม่ได้ เตชัสซึ่งอยู่ข้างๆตวัดสายตาตามร่างของพ่อที่เพิ่งพุ่งเข้ามารวดเร็วเกินระดับสายตามนุษย์ทั่วไป แขนของเจ้าชายฉลามยื่นออกไปหวังจะปกป้องเปมไว้

วินาทีอันรวดเร็วนั้น กลับมีมือของใครบางคนที่ยื่นเข้ามาไวกว่าความคิด แรงมือของชายแปลกหน้านั้นผลักเข้ากลางอกของเตชินท์ จนร่างทั้งร่างกระเด็นกลับไปปะทะเข้ากับผนังอีกฟากอย่างหมดมาดกษัตริย์ ดวงตาดุร้ายเหลือบขึ้นมองผู้มาใหม่ทันที แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป

“วิภาคย์!!”

ทุกคนในห้องจับจ้องไปที่ผู้มาเยือนเป็นสายตาเดียว ชาวร่างสูงโปร่งในชุดผ้าแพรอย่างผู้ดี กำลังยืนกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่เบื้องหน้าของเปม มือสวยยกขึ้นเสยผมสีชาของตัวเองไปทางด้านหลัง ทุกท้วงท่าถูกกรีดกรายออกมาอย่างงดงามดุจเจ้าชายฝั่งตะวันตก

“สวัสดีครับ คุณพ่อ”

ผู้ชายที่ชื่อวิภาคย์สะบัดชายเสื้อลากยาวของตัวเองไปทางด้านหลัง พลางสาวเท้าไปฉุดเตชินท์ให้ลุกขึ้น ทั้งที่อีกฝ่ายยังคงมีสีหน้าตื่นตะลึงไม่หาย

“มาได้ยังไง?”

“ขี่นกมา รเณศบอกให้มารับตำแหน่งกษัตริย์” พูดจาหน้าเป็น แถมยังไม่สนใจสีหน้าอ้ำอึ้งของคนในห้องเลยแม้แต่น้อย วิภาคย์ยิ้มร่าหันหน้ากลับมาผงกหัวให้รเณศเป็นเชิงทักทายน้อยๆ

“ว่าไงนะ?” เตชินท์มองหน้าวิภาคย์กับรเณศสลับกันไปมาจนคนมองเริ่มปวดหัว จึงต้องก้าวเท้าขึ้นมาและอธิบายเรื่องราวตรงหน้าให้เข้าใจกัน

“เพราะข้าจะไม่ขึ้นเป็นกษัตริย์ สิทธิ์นั้นจึงต้องตกทอดไปยังรัชทายาทคนถัดไป ก็คือวิภาคย์ บุตรในสนมเอกของท่าน”

กษัตริย์ฉลามเงียบไปนาน ทิ้งให้ทั้งห้องจมลงสู่ความอึดอัดและกดดันแปลกๆ เตชัสดึงมือของเปมมากุมไว้หวังจะส่งผ่านกำลังไปให้ได้บ้าง ไม่รู้จริงๆว่าบรรยากาศชวนกระอักกระอ่วนนั้นปกคลุมไปนานเท่าไร แต่ในที่สุดก็มีเสียงตอบรับแทรกผ่านริมฝีปากสีส้มของเตชินท์ออกมาจนได้

“พิธีสืบทอดจะมีขึ้นภายในอาทิตย์นี้ ทุกคนแยกย้ายกันออกไปได้แล้ว”

รอยยิ้มปรากฏชัดเจนบนใบหน้าของทุกคนในห้อง โดยเฉพาะวิภาคย์ที่ดูเหมือนจะรอโอกาสนี้มานานแล้ว

เตชัสลากมือเปมลงไปตามทางบันได และปล่อยให้เด็กหนุ่มได้พูดคุยกับจารวีและวาสินี ซึ่งกำลังเดินออกมาจากห้องครัวหน้าตาเคร่งเครียด

“ว่ายังไงบ้าง?” วาสินีถามขึ้นทันทีที่เข้าประชิดตัวเปม

“บุตรชายของสนมเอกปรากฏตัวขึ้น และเขาจะเป็นผู้สืบทอดเขตสัตว์น้ำต่อไป”

ไม่มีเสียงใดๆหลุดรอดออกมา ยกเว้นแต่ใบหน้าโล่งใจเสียเต็มประดาจากสองสาว วาสินีถอนหายใจยาวเหมือนคนเพิ่งผ่านเรื่องราวหนักหนาในชีวิต ส่วนจารวีก็เผยรอยยิ้มจริงใจนับครั้งได้ออกมา พร้อมคว้ามือของเปมมากุมไว้แน่นอย่างสื่อความหมาย

“ข้ายอมรับในความรักของเจ้าจนได้”

“ต้องขอบคุณพี่มากกว่า วาสินีด้วย ที่ทำให้ข้ามาถึงจุดนี้ได้”

ทั้งสามคนยิ้มรับให้แก่กัน ก่อนที่จารวีจะปล่อยมือจากเปมช้าๆ พลางดันหลังให้ชายตัวเล็กเดินเข้าไปหาเตชัสซึ่งกำลังยืนรออยู่ตรงประตูปราสาท

เปมวิ่งตรงเข้าไปหาคนรัก พอดีกับที่ประตูขนาดใหญ่ตรงหน้าค่อยๆเปิดออก แสงอาทิตย์อ่อนๆค่อยๆแทรกตัวผ่านเข้ามาจนแผ่ขยายไปทั่วห้องโถงแห่งนี้ นำพาเอาความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิให้มาผลิบานอยู่ใต้หลังคาสีทองอร่าม

สองมือของเตชัสและเปมเกาะกุมกันไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งคู่พากันก้าวขาออกไปพ้นประตูปราสาท จนพบกับปักษายักษ์ขนดำที่แสนคุ้นเคย มีเจ้าลูกชายขนน้ำตาลที่ยังโตไม่เต็มวัยเกาะอยู่ที่หลัง เตชัสอุ้มร่างบางของเปมขึ้นนั่งบนหลังของนกยักษ์ ก่อนที่ตัวเองจะตามขึ้นไปซ้อนหลังและส่งสัญญาณให้พาหนะคู่ใจออกตัว

ปีกสีดำขลับเป็นประกายรับแสงแดด สยายออกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มแรงกระพือมากขึ้นเรื่อยๆ พาเอาคนทั้งคู่ลอยตัวขึ้นกลางอากาศ

“ข้ารู้สึกโล่งใจยังไงไม่รู้” เปมเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้นก่อน สายตาเหลือบมองคนด้านหลังแวบหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าดวงตาคู่นั้นก็กำลังจับจ้องที่เขาเช่นนั้น จึงได้แต่ตวัดสายตากลับมาอย่างขวยเขิน

“ข้าก็เหมือนกัน.. ความรบจบไป ความรักกลับมา อารมณ์ประมาณนี้กระมัง”

“จะใช้คำว่า ความรักกลับมาได้อย่างไร” คนตัวเล็กส่งเสียงแย้งขึ้นมาทันที เว้นช่วงหายใจเพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกไปไปเต็มปากนัก “...ในเมื่อข้าไม่เคยจากไป”

“หึ..”

เสียงหัวเราะดังขึ้นจากด้านหลัง ทำเอาเปมถึงกับหน้าขึ้นสีจนใบดูร้อนไปหมด เตชัสยิ้มกว้างพลางเขยิบตัวเข้ามาใกล้มากขึ้น แผ่นหลังบางกระชับแนบไปกับแผงอกกำยำ ก่อนที่เปมจะค่อยๆเอี่ยวคอกลับไปมองดวงหน้าผ่องของชายที่รักให้เต็มสองตา

ทั้งคู่ประสานสายตากันเนินนานภายใต้แสงเรืองรองแห่งอาทิตยา ลมอุ่นๆผ่านต้องร่างกายราวกับต้องการชะโลมจิตใจให้อุ่นตาม ความรู้สึกมากมายถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางดวงตาของทั้งสองฝ่าย อย่างจริงใจ และแฝงความหมายยิ่งใหญ่

คนตัวสูงเผยรอยยิ้มอบอุ่นที่ดูแล้วไม่สมกับนิสัยใจคอของเจ้าตัวเสียเท่าไร จนคนตัวเล็กอดอมยิ้มไปกับความพริ้มพรายของคนเบื้องหลังไม่ได้ ไม่ต้องมีคำพูดหรือสัญญาณใดๆ.. เตชัสค่อยๆโน้มหน้าลงต่ำ ก่อนจะเข้าครอบครองริมฝีปากบางของคนในอ้อมแขน กดแช่อยู่อย่างนั้นด้วยความรู้สึกรักเต็มเปี่ยม

เจ้าชายฉลามขาวและหอยนางรมน้อยค้างท่านั้นอยู่นาน โดยไม่ได้สนใจว่าเวลาจะล่วงเลยผ่านไปแค่ไหน รู้แค่ว่าในตอนนี้มีเพียงเรา มีเพียงความรัก ความคิดถึง และความปิติ เอ่อล้นออกมาจากหัวใจทั้งสองดวง.. นานพอตัวกว่าที่เตชัสจะยอมผละออกไป หัวใจเต้นรัวทั้งสองฝ่าย

เปมยังคงเงยหน้ามองเตชัสไม่วางสายตา ขณะที่คนด้านหลังเริ่มกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น พลางเกยคางมนไว้กับไหล่บาง ดวงตาเหลือบประสานกันอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงร้องแห่งท้องฟ้า ก่อนที่เตชัสจะเผยอปากออก เอื้อนเอ่ยวาจาที่ราวกับจะตรึงจิตใจของทั้งคู่ไว้ให้เป็นหนึ่งเดียว...

“ชั่วนิรันดร์นั้นไม่มีจริง... แต่ข้าสัญญาได้ว่า...”

“...”

“จะรักเจ้า ตราบนานเท่านาน...”




(จบบริบูรณ์)

------------------------------------

จบแล้ว โฮกกก ขอบคุณทุกๆคนที่หลงเข้ามาอ่านนิยายวายเรื่องแรกของเรานะคะ
สัญญาว่าจะพยายามพัฒนาฝีมือให้ดียิ่งขึ้นค่ะ

มีคนแอบบอกว่า ตัดจบได้ไม่ดี ก็ขอน้อมรับไว้ค่ะ
และจะนำไปพัฒนาปรับปรุงในผลงานชิ้นต่อๆไป

ถ้ายังไงขอฝากนิยายเรื่องต่อไปไว้ด้วยเลยนะคะ
ใช้ชื่อเรื่องว่า 'รอ.สระออ ● ธอ.สระเออ' ค่ะ
ตอนนี้ เริ่มลงไป 2 ตอนแล้ว แบบไร้นักอ่าน 55555
ไม่เป็นไร ยังไงก็ยังอยากลง อยากแต่งต่อไปค่ะ =D


 :mc4: :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-04-2013 19:12:42 โดย mooaiir »

ออฟไลน์ jimmyFG

  • Ich Liebe dich.
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +203/-4
    • @Facebook
จบแล้ว ไม่อยากให้จบเลย

จะรอติดตามผลงานต่อไปนะ

ว่าแต่ไหงสองคน มันต้องสามสิจ๊ะนเรศไปไหน
ขอตอนอนพิเศษอีกได้มั้ยอ่ะ

ออฟไลน์ punchnaja

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +383/-5
ช่วงหลังๆงงๆดำเนินเรื่องเร็วไปนิดส์

สงสารรเณศ หาคู่ให้เค้าเต๊อะะะะ

ออฟไลน์ maru

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +162/-7
สิงห์ราชชอบกรองขวัญสินะนั่น การันท์นกโรบินใช่ไหมนะ

ออฟไลน์ sukaz

  • I Will Love You Unconditionally
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1431
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3

ออฟไลน์ Ice_Iris

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1226
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +74/-0
จบแล้ว อ่านรวดเดียวจบ

ออกจะแปลกใจกับชื่อเรื่อง และพล็อตเรื่อง

ก็แหมท่านช่างมีจินตนาการบรรเจิดยิ่งนัก

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ

ปล.อยากได้น้องหอยนางรมมาเก็บไว้บ้าง ไม่รู้พี่ฉลามจะว่าไง กั่กๆๆๆๆ

ออฟไลน์ wi_OoO_wi

  • payaaa payaaa padazz taa
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-1

ออฟไลน์ ~ณิมมานรฎี~

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1070
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-2

ออฟไลน์ KARMI

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-2

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ZAIRYLA_MAY

  • บุคคลทั่วไป
จบแล้ววววววววววว

ขอบคุณผู้แต่งมากค่ะ เรื่องนี้สนุกมาก จริงๆ จากใจเลย .♥

Backroom

  • บุคคลทั่วไป
สนุกมากอะ แอบปันใจให้องครักษ์ปลากหมึก อิอิ


อยากให้ปลาหมึกมีคู่จังน้อ อิอิ


ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายแฟนตาซีสนุกๆ ให้อ่าน ;)


ออฟไลน์ raviiib❁

  • คนเขียนนิยาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1
สนุกกกค่ะ แฟนตาซีดี555555
แอบอยากอ่านคู่นกอินทรีย์เบาๆ #หะ
ติดตามเรื่องต่อไปจ้ะ

ออฟไลน์ aisen

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +75/-1
อ่านนแล้วหยุดไม่ได้เลยนะนี่เรื่องนี้ ชอบๆๆๆ

ออฟไลน์ pp_song

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 863
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-1

soteen94

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ เกริด้า(๐-*-๐)v

  • ไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3191
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +349/-29
Re: ฉลามขาว กับ หอยนางรม by「aonair」
«ตอบ #176 เมื่อ15-06-2014 14:51:31 »

น่าจะ 3P นะเรื่องนี้ เคะน้อยน่ารักๆเสน่ห์แรงขนาดนี้น่าจะโดนประกบมากกว่า แถมเรื่องนี้เขียนซะน่าจะให้เป็น 3P ก็ไม่เป็นไร ไม่รู้สึกแย่เลยนะ ชอบซะอีกอ่ะ 555+ เหมือนเรื่องนี้ยังไม่จบยังไงก็ไม่รู้สิ มาต่อพิเศษแบบจบเราสามคนหน่อยสิ นะๆๆๆ :กอด1: :mew1:

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3130
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9
Re: ฉลามขาว กับ หอยนางรม by「aonair」
«ตอบ #177 เมื่อ18-06-2014 14:09:57 »

หัวใจหล่นลงตาตุ่มก็บ่อยครั้งเพราะคิดว่าเปมจะโดนรเณศเขมือบซะแล้ว

แต่ก็ดีที่จบลงแบบนี้ ขอบคุณสำหรับเรื่องจ้า

ออฟไลน์ plengpit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 347
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2
Re: ฉลามขาว กับ หอยนางรม by「aonair」
«ตอบ #178 เมื่อ28-06-2014 16:09:57 »

สนุกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

ออฟไลน์ Seilong2

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 366
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
Re: ฉลามขาว กับ หอยนางรม by「aonair」
«ตอบ #179 เมื่อ09-01-2016 09:44:44 »

 o13 o13 o13

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด