ผ่านไปหลายชั่วโมง คนเมาเริ่มเลื้อยตามโซฟา เปรมถึงกับส่ายหน้า เวลาคนเมามันหมดสภาพแบบนี้นี่เอง ถึงจะหล่อหน้าตาดีแค่ไหนก็ไม่ไหวเหมือนกัน
“อย่าเพิ่งหลับ ไปหลับที่บ้าน”
“ไม่เอา” เคียงแดนเหมือนเด็กสามขวบที่โดนขัดใจ นอกจากไม่ยอมง่ายๆแล้วยังล้มตัวนอนไม่อายใครอีกต่างหาก สาบานเลยว่าเปรมจะไม่มาที่นี่เป็นซ้ำสอง ต่อให้เป็นผับหรูหราก็เถอะ..
“นี่ไม่ใช่เตียงนอนนะ”
“งั้นก็อุ้มไปนอนสิ”
เปรมถอนหายใจเฮือก พอเขาทำหน้าโมโห อีกคนก็ทำเหมือนจะร้องไห้..นี่ขนาดเมายังแผลงฤทธิ์ได้ ไม่อยากคิดตอนมีสติว่าเขาจะโดนอะไรนอกจากตบหน้าเต็มแรง
ชายหนุ่มปล่อยให้อีกคนขึ้นขี่หลัง รูปร่างพวกเขาใกล้เคียงกัน และมันก็เป็นการยากหากจะเดินแบบไม่เซไปชนคนอื่น แน่นอนว่าเคียงแดนไม่แม้แต่อยู่นิ่งๆ ทั้งกัดทั้งจิกเขา ซ้ำร้ายยังขยุ้มหัวไหล่จนเจ็บอีกต่างหาก
“คุณหมออยู่นิ่งๆ”
“ไอ้หมาบ้าเปรม ไอ้เส็งเคร็ง!” เคียงแดนอ้าปากกัดคออีกฝ่ายเป็นการระบายอารมณ์ “ไอ้ไม่มีหัวใจ ใจร้าย!”
วิศวกรหนุ่มถึงกับหมดแรง เขาปล่อยอีกฝ่ายลงดื้อๆจนคุณหมอล้มก้นกระแทกพื้น ต่อให้เคยเป็นนักกีฬาแข็งแรงแค่ไหน ถ้าต้องมาหอบผู้ชายรูปร่างใกล้เคียงกัน สาบานได้ว่ากระดูกเขาไม่หักก็บุญแล้ว
“ปล่อยทำไม เจ็บนะ!”
“ผมก็เจ็บเหมือนกัน คุณเล่นทั้งกัดทั้งจิก ตกลงเป็นหมอหรือเป็นหมากันแน่”
ดวงตาสีเข้มตวัดมองอย่างขุ่นเคือง ก่อนพยายามลุกขึ้นอย่างทุลักทุเลจนเปรมอดขำไม่ได้ ใครจะคิดว่าวันหนึ่งคุณหมอจะมีสภาพแบบนี้ล่ะ หากคุณเสือมาเห็นคงคิดไม่ต่างกันหรอก
“ผมช่วย”
อีกฝ่ายขืนตัวหนีน้อยๆแม้จะทรงตัวไม่อยู่ก็ตาม ตอนมีสติว่าดื้อแล้ว ตอนไม่มีสติดื้อยิ่งกว่า กว่าเขาจะอุ้มคุณหมอพาดบ่าได้ก็เล่นเอาแผ่นหลังชุ่มเหงื่อ เจ้าตัวไม่ยอมท่าเดียว แถมพอเข้าใกล้ก็ฟาดมือถีบเท้าใส่เขาไม่ยั้ง
“ถ้ารู้ว่าเมาแล้วเป็นแบบนี้กูจับมัดไว้ที่บ้านตั้งนานแล้ว” เปรมบ่นพลางปาดเหงื่อ เขาโยนคุณหมอร่างโปร่งไว้หลังรถ คนอื่นอาจจะมองว่าเขาใจร้ายแต่ถ้าไม่เป็นเปรมไม่มีทางรู้แน่ๆ กว่าจะลากกว่าจะดึงเคียงแดนขึ้นมาได้..เหนื่อยพอๆกับเถียงไอ้ตุลย์เลย
ภายในบ้านเปิดไฟไม่กี่ดวง เพราะป๊ากับม๊าเดินทางไปยุโรปแล้ว ลูกชายอย่างเปรมเลยทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าบ้าน จะว่าสบายก็ใช่ แต่ตอนนี้คงไม่เพราะมีตัวปัญหาที่คอยดิ้นอยู่บนไหล่ของเขา แม้จะหยิกก้นเจ้าตัวไปหลายครั้ง..แต่สิ่งที่ได้กลับขึ้นมาคือเจ้าตัวเตะเขาเต็มแรง
เฮ้อ..ขนาดนี้ยังมีแรงทำไมไม่เดินเองวะ!
เปรมวางคุณหมอตัวขาวไว้บนโซฟา เขาปาดเหงื่อพลางหันหลังกลับ ทว่าฝ่ามืออุ่นคู่นั้นกลับรั้งกันไว้..ด้วยเหตุผลบางอย่าง
“ไอ้เปรม..ไอ้หมาบ้า!” เขามุ่นคิ้วเมื่อได้ยินคำด่าทอจากคุณหมอ ถ้าใจร้ายเพราะเรื่องที่เขาล่วงเกินล่ะก็..เปรมยินดีขอโทษ แต่คงไม่ใช่ตอนอีกฝ่ายเมาแอ๋แบบนี้
เปรมส่ายหน้าแล้วรีบดึงมือออก ตอนนี้เกือบตีสามแล้ว..ถ้าขืนอยู่ต่อคงไม่ได้นอนกันพอดี ทว่าฝ่ามือคู่นั้นกลับเพิ่มแรงบีบกระชับราวกับเด็กหวงของเล่น
“ซื่อบื้อ..ไอ้..”
ก่อนคุณหมอจะพูดอะไร เปรมก้มลงกดปากแนบแน่น เขาขี้เกียจฟังคุณหมอบ่นแล้ว ปลายลิ้นแตะโลมเลียกลีบปากช้ำอย่างอ่อนโยน อีกคนตอบรับเป็นอย่างดี แขนขาวโอบรัดคอเขา สัมผัสล้ำลึกจนแทบลืมหายใจ ครั้งนี้แตกต่างออกไปจากครั้งก่อน..ตรงที่ทำด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ทำเพราะแรงอารมณ์
“คุณหาว่าผมไม่รู้สึกอะไร แน่ใจเหรอที่พูด” เปรมกระซิบข้างหู เคียงแดนจะได้ยินหรือไม่..แต่เขาพูดออกไปแล้ว “คิดไปเองทั้งนั้น สนุกนักหรือไง”
ปลายนิ้วบีบบ่ากว้างแน่น เคียงแดนเริ่มหายใจไม่ออกเมื่อความร้อนผ่าวสัมผัสบริเวณซอกคอ ขนของเขาลุกซู่ทันทีที่ฝ่ามืออุ่นสอดเข้ามาในเสื้อ
“อ้ะ..”
“แค่บอกว่าไม่..ทุกอย่างจะหยุด” เปรมนิ่ง รอฟังคำตอบจากคนขี้เมา ทว่านี่ก็นานเกินไปแล้ว..เขาเลยหยัดตัวขึ้นแล้วมองอีกฝ่ายอย่างเสียอารมณ์ กำลังเข้าได้เข้าเข็มแต่ดันมาชิงหลับก่อน!
ให้ตายเถอะคุณหมอ!
แสงอาทิตย์ส่องลามเลียปลายเท้าเปลือยเปล่า คุณหมอร่างผอมขยับเท้าหนีความร้อน ความจริง..มันร้อนทั้งแผ่นหลังของเขาเลยล่ะ ดวงตาสีเข้มค่อยๆปรือขึ้นแล้วหลุบมองอ้อมแขนขาวคุ้นตานั่น ไม่ใช่ใครอื่น..นอกเสียจากนายเปรม
เคียงแดนขยับตาหนี..เมื่อนึกถึงคำพูดไม่คิดของอีกฝ่าย แต่สิ่งที่ทำให้เขาแปลกใจคือขยับหนีเท่าไหร่ คนข้างหลังกลับดึงเข้าไปกอดเหมือนเดิม
“คุณหมอ..ผมง่วง” เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังเรียกรอยยิ้มมุมปากของเคียงแดนได้เป็นอย่างดี เขาซุกคอหนีเมื่อปลายจมูกกดที่หลังคอ..ถึงอีกฝ่ายจะทำอย่างเผลอไผลหรืออะไรก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าก็ยังไม่เลือนหาย
เมษานั่งเบ้หน้าตรงลานเกียร์ รู้สึกหงุดหงิดผู้ชายตรงหน้าเหลือเกิน ความจริงแล้วเจ้าตัวจะวิ่งขึ้นรถกลับบ้านตั้งแต่เห็นรถเมล์วิ่งผ่านแล้ว ทว่าเมื่อกำลังจะก้าวขึ้นรถฝ่ามือคู่หนึ่งก็ดึงไหล่เขาไว้ พอทำหน้าจะหันไปด่าสักหน่อยก็รีบหุบปากฉับทันที
เด็กหนุ่มนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายจนใครบางคนสังเกตได้ แน่นอนว่า..มันไม่เคยรอดพ้นสายตาอีกฝ่ายสักนิด
“ถ้าจะทำหน้าเบื่อหน่ายเพราะผมบ่น ก็อย่าทำให้ผมบ่นสิครับ”
ดวงตาดุจเหยี่ยวปรายตามาหาเมษา เมื่อโจทก์เก่าแสดงท่าทีท้าทาย เอาเข้าจริง..เมษาก็กลัวเหมือนกัน ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกเหลือบมองแล้วสู้สายตาไม่ลดละ
เกลียดชะมัด!
แม่เพิ่งโทรมาบอกน้องเมษว่าปุ้มปุ้ยโดนรถจักรยานเด็กข้างบ้านเฉี่ยวเอา แค่นี้เมษาก็อยากกลับไปดูสุนัขสุดที่รักแล้ว ทว่าผู้ชายสายตาน่ากลัวนั่นกลับทำให้เขาพลาดโอกาสนั่นไป!
“ที่เรียกมาผมแค่ก็อยากให้พวกคุณช่วยกันทำงานเท่านั้น อย่าให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งทำกลุ่มเดียว”
เมษาเบ้หน้าอีกครั้ง ถ้าจะจงใจพูดกันขนาดนี้ก็พูดชื่อเขาเลยดีกว่า เมษไม่กลัวหรอก..เพียงแค่หลุบตาลงเท่านั้นแหละ
เขานั่งฟังหูซ้ายทะลุหูขวาราวกับคำพูดคนตรงหน้าเป็นเพียงอากาศ พูดไปเถอะ..พูดไปเมษก็ไม่สนใจหรอก เจ้าตัวเขี่ยพื้นเล่น กระทั่งโดนปล่อยกึ่งบังคับให้กลับไปทำงาน ท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่มองมา เมษาสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตน้อยๆนั่น
“ไอ้เมษไปตอกตะปูด้านบนหน่อย กูปีนไม่ไหว” ดวงตากลมกระจ่างใสมองเพื่อนตัวอ้วนแล้วถอนหายใจ ตั้งแต่เกิดมาก็เป็นแค่กินกับเลี้ยงปุ้มปุ้ย ไอ้งานพวกนี้ไม่เคยอยู่สายตาเมษเลย ทว่าตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกแล้วนอกจากรับค้อนและตะปูมาอย่างจำใจ
“ก็ได้”
“ค่อยๆปีนนะเว้ย ถ้าตกลงมากูไม่มีปัญญารับมึงแน่ๆ”
โธ่เอ๋ย..เมษถอนหายใจเฮือก ถ้าพี่ตุลย์อยู่ใกล้คงดีกว่า เอาล่ะ..เมื่อก่อนอาจจะอวดเก่งไปบ้าง แต่เมษยอมรับว่าตัวเองเก่งแต่ปากเท่านั้นแหละ
“เก่ง..ทำอะไร”
“ตอกตะปูครับพี่”
ดวงตาดุจเหยี่ยวเหลือบมองขึ้นไปข้างบน เห็นร่างป้อมของเด็กหนุ่มทำงานเงอะๆงะๆแล้วอดขำไม่ได้
“ยุงเหี้ยอะไรกัดแต่กูวะ” เก่งบ่นกระปอดกระแปด เขาทั้งปัดทั้งตี อีกมือหนึ่งก็จับบันไดไว้ จนแล้วจนรอด..เจ้าตัวถึงกับปล่อยมือทั้งสองข้าง ปล่อยให้เพื่อนผู้โชคร้ายแขวนตัวเองอยู่ด้านบนโดยไม่รู้เลยว่าบันไดเจ้ากรรมกำลังล้มลงมา
เมษโดนยุงกัดไม่แพ้เก่ง แต่มั่นใจเลยว่าฝ่ามือคู่นั้นจะไม่ปล่อยเขาแน่ๆ ทว่าเมษคงต้องกลับมาคิดใหม่ เมื่อที่เขายืนอยู่นั้นเริ่มโงนเงนไปมาจนควบคุมไม่ได้แล้ว “ไอ้เก่ง!..เหวอ!!”
เด็กหนุ่มอ้าปากหวอเมื่อหันหลังมองพื้นด้านล่าง แย่แน่ๆเมษ..ขืนก้นกระแทกพื้นคงเจ็บหน้าดู เจ้าตัวหลับตาปี๋..เตรียมพร้อมสำหรับความเจ็บที่ใกล้เข้ามาแล้ว ทว่า..มันนานเกินไปหรือเปล่า ทำไมเขาไม่รู้สึกอะไรเลย
ดวงตากลมเปิดกว้าง เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดพร้อมขมวดคิ้ว ไม่เจ็บแถมยังนิ่มๆอีกด้วย
“ไอ้เหยี่ยว!”
ร่างเล็กอ้าปากหวออีกครั้ง คราวนี้ทั้งตกใจทั้งตื่นเต้น เมื่อโจทก์เก่ากลายเป็นผู้รับเคราะห์แทนเขา แถมยังนอนมุ่นคิ้วนิ่งๆราวกับกลั้นความเจ็บที่กำลังกัดกลืนแผ่นหลัง
เมษหยัดกายลุกขึ้น สติเริ่มหลุดเมื่อทั้งพี่ทั้งเพื่อนต่างกรูกันเข้ามาช่วยทั้งเขาทั้งชายตรงหน้า
“โห..ไอ้เหี้ยโคตรแมนเลยมึง เป็นยังไงล่ะรับของหนักหลังหักหรือเปล่า”
ถึงแม้ตอนนี้น้องเมษจะอยู่ในอารามตกใจแต่ก็ได้ยินหรอกนะว่าไอ้พี่หน้าตี๋คนนั้นว่าเขาอ้วน เมษไม่ได้อ้วนขนาดนั้นสักหน่อย
“ขอโทษที่อ้วน แต่ผมไม่ได้ขอให้มารับสักหน่อย”
สายตาหลายคู่มองมาในเชิงตำหนิ เมษรู้ว่าพูดไม่ดี แต่เขาไม่ชอบเหมือนกัน จะว่าเมษอะไรก็ได้แต่อย่าหาว่าเขาอ้วน แม่แค่เลี้ยงเมษดีเกินไปเท่านั้นเองหรอก!
“ลุกไหวไหมไอ้หล่อ”
“ไหว” เหยี่ยวลุกขึ้นแต่รู้สึกร้าวไปทั้งแผ่นหลัง เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มร่างอวบเชิงตำหนิก่อนเดินผ่านหน้าเมษาไปอย่างเฉยชา ชั่วขณะหนึ่งที่เมษรู้สึกผิด แม้จะโดนสอนมาว่าให้พูดขอโทษและขอบคุณเป็นนิสัย เอาเข้าจริงเขาก็อยากพูดแต่ติดตรงที่อีกฝ่ายเป็นโจทก์เก่านี่แหละ
“เฮ้อ..”
“ไอ้เมษเป็นไงบ้าง เจ็บหลังไหม”
“ไม่เจ็บ แต่นายปล่อยมือทำไมนะ” เขาแอบกัดเพื่อนนิดๆ พอเห็นแววตาสำนึกผิดก็หายโกรธเลย
“ไม่ตามไปดูเขาหน่อยเหรอ พี่แกอุตส่าห์วิ่งมาช่วย”
เจ้าตัวส่ายหน้า เมษไม่อยากยุ่งกับผู้ชายคนนั้นหรอก อีกอย่าง..จุดประสงค์ที่วิ่งมาช่วยก็น่าสงสัยเกินไป จะบอกว่าชอบก็คงไม่ใช่ เพราะดูสารรูปเมษสิ..ทั้งจืดทั้งหน้าตาไม่ดี
คิดอย่างหงอยๆ..แต่สุดท้ายก็บอกตัวเองว่าช่างมันเถอะ..
พวกเขาทำงานจนถึงสี่ทุ่ม แม่ของเมษโทรมาตามหลายครั้งแล้ว แต่พอเจ้าตัวมองเพื่อนที่ทำงานอยู่ เขาก็จำใจบอกปฏิเสธไปทั้งที่เสียดายใจแทบขาด
อาหารของแม่..อาหารฝีมือแม่!
น้องเมษหงุดหงิดใจไม่น้อย วันนี้เขาคงซื้อข้าวกล่องจากเซเว่นอีกตามเคย ถึงอย่างนั้นเมษอาจจะไม่หงุดหงิดใจเท่าตอนที่มีสายตาหลายคู่มองมาอย่างไม่พอใจ ความคิดของเมษาโลดแล่นไปเรื่อยๆก่อนทุกอย่างจะหยุดลงเพียงเพราะได้ยินเสียงแตรรถจากข้างหลัง
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยงก่อนหันไปมองเจ้าของรถอย่างขุ่นเคือง มันใช่เหรอ..มาบีบแตรใส่รถตอนดึกๆดื่นๆแบบนี้น่ะ!
“ไปไหน” คนในรถลดกระจกลงมาคุยกัน โจทก์เก่าของเขาถามราวกับเป็นเรื่องทั่วไป แน่ล่ะ..เมษไม่คิดหรอกว่ามันเป็นเรื่องทั่วไป
“กลับ”
“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวไปส่ง”
ร่างเล็กส่ายหน้าพลางกอดกระเป๋าแน่ ถ้าให้ไปกับพี่เหยี่ยวเมษจะยอมนอนหน้าคณะกับสุนัขในมอเลย “ไม่เป็นไร” พูดจบก็เดินดุ่มๆไปข้างหน้า อีกคนก็ใช่ว่าจะยอมง่ายๆเช่นกัน
“ช่วงนี้ได้ยินข่าวว่ามีคนโรคจิตในมหา’ลัยด้วยนะ ถือมีดไล่แทงเป็นว่าเล่นเชียว” เหยี่ยวจุดยิ้มมุมปากเมื่อเห็นแววตาท่าทีชะงักของเด็กหนุ่ม ที่จริงมันก็มีความจริงอยู่บ้างในเรื่องโกหกของเขา
เมษเม้มปากแล้วมองรอบข้าง บนกิ่งไม้ไหวก็น่ากลัว แถมกลิ่นอ่อนๆของดอกไม้ยิ่งทำให้เมษฟุ้งซ่าน ตอนกลางวันในมหาวิทยาลัยครึกครื้นไปด้วยผู้คน ตอนกลางคืนวังเวงน่ากลัวเหลือเกิน
เด็กหนุ่มทำท่าครุ่นคิด หากแต่รถยนต์คันนั้นกลับเหยียบคันเร่งออกไปจนเมษเกือบวิ่งตามไม่ทัน “รอด้วย!!” ร่างอวบยกมือโบกไปมาพลางวิ่งสุดแรง เขาไม่น่าปล่อยให้ตัวเองกินจนอ้วนขนาดวิ่งยังลำบากเลย
เหยี่ยวยกยิ้มขำ เขาลอบมองกระจกหลังเมื่อเห็นร่างป้อมๆวิ่งกระหืดกระหอบแล้วกระชากประตูรถออกอย่างแรง
“ไปส่งที่บ้านหน่อย”
“ที่ไหน” หนุ่มหน้าคมถาม เขากลั้นยิ้มสุดฤทธิ์เมื่อได้ยินเสียงหอบหายใจราวกับคนขาดอากาศ
“เดี๋ยวผมบอกทาง!!”
ความจริงแล้วเมษาพยายามหาข้ออ้างที่เข้าข้างตัวเองที่สุด ว่าทำไมเขาต้องวิ่งหน้าตั้งพุ่งมานั่งข้างๆโจทย์เก่าอย่างนายเหยี่ยวอะไรนี่ด้วย ทั้งที่ควรจะขึ้นรถเมล์กลับบ้านอย่างสบายใจ แต่สุดท้ายร่างอวบๆของตัวเองก็มาอยู่ในที่รถอีกฝ่ายจนได้
แน่นอนว่าเมษไม่เคยคิดสักครั้ง..
สวัสดีค่าาาาาาาาาาา ^________^
หลังจากเงียบหายไปนานหลายอาทิตย์ คนเขียนก็กลับมาต่อแบบช้าๆแล้ว
เก๊าขอโทษอย่างแรง ไปสอบมาค่า เป็นลมได้เลยแต่ละวัน เรียนซัมเมอร์นี่เพลียสุดติ่งๆ

แต่คนเขียนมาแล้วนะะะะะะะะะะะะะะะ
คาดว่าอีกไม่กี่ตอนจบแน่ๆ ขอโทษที่มาช้า
ขอบคุณทุกคอมเมนท์เลยนะคะ ฮือออ ไม่ได้ตอบนานเลย ต้องหาเวลาตอบนิดๆหน่อยๆแล้ว

ฝากด้วยนะคะ เข้าไปจิ้มๆกัน
Facebook:
https://www.facebook.com/AUTHOR.ELLETTETwitter:
www.twitter.com/bubblebells