"ฟ่าง!" เสียงร้องอย่างตกใจดังมาจากหน้าประตูห้องนอน พอผมหันไปมอง พี่โจ้ก็ถามเสียงเครียด "ทำอะไร"
ผมยักไหล่ "ผมไม่อยากไว้ผมยาวแล้ว"
"เลยกร้อนซะเหมือนมอดกัดแบบนี้นะ" พอผมยักไหล่อีกครั้ง พี่โจ้ก็ถอนหายใจเสียงดังเฮือก แล้วบอก "ไป ไปนั่งที่หน้าบ้าน เอาเก้าอี้ไปด้วย"
"เอาไปทำไมครับ" ผมถามงงๆ
"ก็จะตัดผมให้หนะสิ หรือไม่อาย จะเอาไว้แบบนี้ อย่างที่ไอ้นพมันชอบทำ" นพเป็นลูกชายของคนข้างบ้านพี่โจ้ครับ โดนอาจารย์กร้อนมาเหมือนแมลงสาบแทะ แต่น้องเขาก็มั่นมาก ไม่ยอมไปตัด บอกเท่ห์ดี ไม่เหมือนใคร -_-!
ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธ "ตัดครับ ตัด"
"งั้นก็ลากเก้าอี้ไป เดี๋ยวพี่ไปหาอุปกรณ์ก่อน"
ผมพยักหน้า เดินออกจากห้องนอนไป แต่แล้วก็นึกอะไรขึ้นมาได้ "พี่โจ้... พี่โจ้ตัดผมเป็นด้วยเหรอครับ"
"ไม กลัวเหรอ" พี่โจ้ว่าขำๆ ก่อนจะพยักเพยิดมาที่หัวทรงหนูแทะของผมแล้วบอกอย่างหมั่นไส้ "เป็นไม่เป็น อย่างน้อยก็ดีกว่าไอ้ทรงที่เป็นอยู่ละวะ"
"ติดหนังหัวขนาดนี้ ตัดได้ทรงเดียวหละนะ" พี่โจ้บอก ระหว่างที่เอาผ้าขาวม้ามาพาดไหล่ให้เพื่อกันผมร่วงใส่เสื้อผ้า
"ทรงไรครับ"
"สกินเฮด" ผมพยักหน้า เพราะเดาได้อยู่แล้ว แต่ก็ยังกังวล "แล้วมันจะน่าเกลียดป่าวครับ"
"หัวทุยๆ แบบนี้คงไม่น่าเกลียดหรอก"
พอพี่โจ้เริ่มเอาปัตตาเลี่ยนไถ ผมก็หลับตาแน่นเลย กลัวมันจะทิ่มเนื้อ ไม่รู้พี่โจ้ชำนาญขนาดไหน... และพี่โจ้ก็คงจะรู้ว่าผมเกร็ง เลยแซวขำๆ "กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัวน่า รุ่นนี้แล้ว เคยทำเด็กหูขาดคนเดียวเอง"
ผมรีบลืมตามองพี่โจ้ตาโตเลย อีกฝ่ายก็หัวเราะขำ แต่ไม่บอกว่าล้อเล่นหรือพูดเรื่องจริง ทำให้ผมย่นคอทุกครั้งที่พี่โจ้ไถปัตตาเลี่ยนใกล้หู
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ เพราะมัวแต่เกร็งเลยไม่ได้สนใจเวลา พี่โจ้ก็ดึงผ้าขาวม้าไปสบัดผมออก แล้วบอก "ไปอาบน้ำป๊ะ เดี๋ยวจะคัน"
"เฮ้ย พี่ โคตรเท่ห์อะ" เสียงน้องนพ น้องข้างบ้านพี่โจ้ร้องทักขณะที่เดินตรงมาหา แล้วหันไปบอกช่างตัดผมจำเป็น "พี่โจ้ ทำให้นพบ้างดิ"
พี่โจ้จับศีรษะของน้องนพไว้ด้วยมือเดียว แล้วหมุนไปมา ก่อนจะโบกเบาๆ "อย่าตัดเลย หัวแบน ไม่เหมาะ"
"เอ้า แล้วตัดทรงไรเหมาะอะ ทรงเกาหลีได้ป๊ะ"
"อินเทรนด์ไปป๊ะมึง หน้ายังกับเขมรจะตัดทรงเกาหลี" พี่โจ้ว่าอย่างหมั่นไส้ แต่ก็ปนเอ็นดูด้วย เพราะพี่โจ้และนพต่างก็เป็นลูกคนเดียว และชอบเล่นด้วยกัน ทำให้สนิทกันมาก รักกันเหมือนพี่น้อง
"หูยย พี่โจ้อะ ว่าน้อง ไม่สนับสนุนแล้วยังซ้ำเติมอีกนะ" น้องนพทำปากยื่น เลยโดนดีดปากซะเลย "โอ๊ย! เจ็บนะ"
พี่โจ้หัวเราะหึๆ ส่ายศีรษะกับความโอเวอร์แอคติ้งของน้อง แล้วหันมาถามผม "อยู่ที่นี่เป็นไง เบื่อยัง"
"ยังครับ ไม่เบื่อ"
"นึกว่าเบื่อ ว่าจะชวนไปตลาดซะหน่อย งั้นก็ไม่ต้องไปละกันเนาะ"
"ไปๆ ไม่เบื่อแต่อยากไป" ผมรีบคว้าโอกาสไว้
พี่โจ้หัวเราะท่าทางตื่นเต้นของผม ทำเหมือนไม่เคยเจอตลาดมาก่อน "ถ้าจะไป ก็ไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเลย... ไปป๊ะ มึงอะ" ประโยคหลังพี่โจ้หันไปถามน้องนพ ซึ่งก็พยักหน้าตกลงไป
=justasubstitute=
อยู่บ้านพี่โจ้ได้เกือบสามอาทิตย์ ผมเห็นพี่โจ้หยอกกับแม่ตัวเองแล้วก็คิดถึงแม่ จึงตัดสินใจโทรหา...
[ฮัลโหล?]
"แม่ครับ"
[ฟ่าง! ฟ่างหรือเปล่าลูก] แม่เรียกผมเสียงสั่น อีกไม่นานคงจะร้องไห้ และนั่นก็พลอยทำให้ผมน้ำตาซึมไปด้วยเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายเป็นกังวล "ครับแม่ ฟ่างเอง"
[ฟ่างเป็นไงบ้างลูก แล้วนี่หายไปไหนมา ใครๆ เค้าตามหากันให้วุ่น]
"ฟ่างสบายดีครับแม่ ตอนนี้ฟ่างอยู่กับเพื่อน แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ"
[จะไม่ให้แม่ห่วงได้ยังไง อยู่ดีๆ ก็หายไป ข่าวคราวก็ไม่เคยส่งมา] แม่พูดไปสะอื้นไป น้ำที่คลออยู่ในตาค่อยๆ ไหลรินออกมา ผมบอกแม่เสียงเครือ "ฟ่างขอโทษ อย่าโกรธฟ่างเลยนะครับแม่"
[ใครบอกว่าแม่โกรธ แม่แค่เสียใจที่ฟ่างมีปัญหาแล้วแม่ช่วยไม่ได้]
"อย่าพูดยังงั้นสิครับแม่ ฟ่างผิดเองครับที่ไม่ได้บอกแม่ ฟ่างขอโทษ"
ผมได้ยินเสียงแม่สูดน้ำมูก ก่อนจะบอก [เอาเป็นว่าไม่มีใครผิดแล้วกัน เรามาคุยกันเรื่องฟ่างดีกว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหน]
"ฟ่างขอโทษครับแม่ ขอฟ่างไม่บอกได้ไหมครับ"
แม่ถอนหายใจ แล้วเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่ค่อยสั่นแล้ว [เอาเถอะ ถ้าฟ่างยังไม่พร้อมจะบอกก็ไม่เป็นไร แค่รู้ว่าฟ่างสบายดีแม่ก็โล่งใจแล้ว]
"ครับ... แล้วแม่หละครับ สบายดีหรือเปล่า"
[สบายดีจ๊ะ เสียแต่ว่าเป็นห่วงฟ่างเท่านั้น แต่ตอนนี้ได้รู้แล้วว่าฟ่างไม่เป็นไร แม่ก็หายห่วงหน่อย]
"แล้วพ่อหละครับ อยู่หรือเปล่า"
[พ่อก็สบายดีจ๊ะ แต่ตอนนี้ไม่อยู่ ออกไปงานบวชลูกชายเพื่อนตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาเลย]
"อ๋อ ครับ งั้นฝากบอกพ่อด้วยนะครับว่าฟ่างคิดถึง"
[จ๊ะ เดี๋ยวแม่จะบอกให้] แม่รับปาก ก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ผม ทั้งไม่อยากได้ยินและอยากได้ยินในเวลาเดียวกัน [แล้วพี่เหมหละจ๊ะ จะให้แม่บอกพี่เขาว่ายังไง]
ผมเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกลั้นใจถาม "พี่เหม... มาที่บ้านเหรอครับ"
[จ๊ะ มาเกือบทุกเย็นเลย ทานมื้อค่ำด้วยกันแล้วก็กลับ]
"มากับใครครับ"
แม่นิ่งไปนิด คงสงสัยว่าทำไมผมถึงถามอย่างนั้น [ใคร พี่เหมหนะเหรอ มาคนเดียวจ๊ะ]
"แล้ว... พี่เขาสบายดีมั้ยครับ"
[ก็สบายดีนะ แต่ผอมลงไปเยอะเลย]
ได้ยินแบบนั้นแล้วผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ให้ยังไงผมก็ยังรักเขาอยู่ "แม่ก็บังคับพี่เหมให้ทานข้าวเยอะๆ สิครับ"
[ฮื้อ พี่เขาโตแล้ว จะให้แม่ไปบังคับยังไงจ๊ะ]
"โตแต่ตัวอะดิ ดื้อจะตาย" ผมว่าอย่างหมั่นไส้ เพราะตอนที่อยู่ด้วยกัน พี่เหมก็เป็นคนที่ทานข้าวยากมากๆ ต้องจับป้อนยังกับเด็กๆ
[แน๊ะ ไปว่าพี่เขาอย่างนั้นได้ยังไง เค้าอายุมากกว่าเรานะ]
ผมแอบย่นจมูกให้โทรศัพท์ "ก็ดื้อจริงๆ นี่ครับ"
[ยังอีก ว่าพี่เค้าดื้อ งั้นก็คุยกับพี่เค้าเองดีกว่า]
พอประมวลคำพูดของแม่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ร้องออกมาเสียงดัง "เฮ้ย!" ตัดสินใจไม่ถูกว่าจะกดวางสาย หรือคุยกับคนที่ผมคิดถึงตลอดเวลาดี แต่ยังไม่ทันจะคิดทำอะไร เสียงที่ผมโหยหาก็ดังมาตามสาย [ฟ่าง...]
"คะ ครับ" ผมตอบตะกุกตะกัก ตื่นเต้นเหมือนตอนที่ได้รู้จักพี่เหมใหม่ๆ
[เป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า]
"ครับ สบายดี แล้วพี่เหมหละครับ เห็นแม่บอกผอมลงเยอะเลย ไม่ค่อยทานข้าวหรือเปล่าครับ"
[อือ งานเยอะ]
"งานเยอะก็ต้องทานนะครับ เดี๋ยวไม่สบาย"
[ยังห่วงพี่อยู่เหรอ?] พี่เหมถามเสียงเรียบเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ ไม่บ่งบอกว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
'แล้วผมยังมีสิทธิ์อยู่หรือเปล่า' เสียงตะโกนก้องในใจ แต่ผมกลัวคำตอบที่จะได้ยิน เลยบอกตรงๆ ตามความรู้สึก "ครับ ยังห่วง.......เสมอ" คำสุดท้ายผมพูดเสียงเบาจนตัวเองก็แทบจะไม่ได้ยิน ไม่แน่ใจพี่เหมได้ยินหรือเปล่า เพราะเงียบไปเลย หากไม่ได้ยินเสียงลมหายใจดังมาตามสาย ผมคงคิดว่าอีกฝ่ายวางไปแล้ว
[ฟ่าง...]
"ครับ"
[ตอนนี้อยู่ไหน] ผมนิ่งไป ใจหนึ่งก็อยากจะบอกความจริง อยากให้พี่เหมมารับกลับบ้าน แต่อีกใจก็รู้ดีว่าคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อพี่เหมมีพี่มิวอยู่แล้ว บ้านของพี่เหมกับผม ตอนนี้คงกลายเป็นบ้านของพี่เหมกับพี่มิว...
คงไม่เหลือที่ว่างสำหรับผม...
"อยู่บ้านเพื่อนครับ" ผมตัดสินใจไม่ตอบตามความต้องการของพี่เหม
เสียงถอนหายใจดังมาตามสาย ก่อนที่พี่เหมจะบอก [ไม่เป็นไร... ไม่ต้องตอบก็ได้ว่าอยู่ที่ไหน แค่บอกมาก็พอว่าฟ่างอยู่ยังไง ลำบากหรือเปล่า]
"ก็... ไม่ลำบากเท่าไหร่ครับ อยู่ได้"
[อืม... ถ้าต้องการอะไร ก็โทรมาบอกนะ] พี่เหมนิ่งไปนิด ก่อนจะต่อด้วยประโยคที่ผมฟังจนชิน [เดี๋ยวพี่โอนเงินให้]
"ขอบคุณครับ แต่ผมไม่อยากรบกวน"
[พี่พูดเหรอว่ารบกวน] พี่เหมพูดเสียงห้วน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเหมือนเหนื่อย [โทษที พี่ไม่ได้ตั้งใจ]
"ไม่เป็นไรครับ" ผมไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะชินกับอารมณ์ของอีกฝ่าย... พี่เหมไม่ชอบให้ใครขัดใจ
[ถ้าลำบากก็โทรมาหาพี่ เข้าใจไหม]
"ครับ" ผมรับคำ ไม่อยากขัดใจเป็นรอบที่สอง แต่ก็ยังไม่คิดจะขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอยู่ดี แล้วยังไม่ทันจะได้คุยอะไรต่อ เสียงร้องเรียกจากบนเรือนก็ดังขึ้น "ฟ่างเอ้ย มากินข้าวได้แล้วลูก" ผมเอามือถือแนบไว้กับอกแล้วตะโกนตอบไป "ครับแม่ เดี๋ยวฟ่างไป"
"เร็วๆ นะ ชักช้าเดี๋ยวไอ้โจ้มันแย่งกินหมด"
"คร๊าบบบ" ผมตะโกนตอบขำๆ เพราะแม่พี่โจ้มักจะทำกับข้าวที่ไม่ค่อยเผ็ดไว้ให้ผมต่าง แต่พี่โจ้ก็ชอบมาแย่งกินทุกที... แล้วพอแม่พี่โจ้เดินหายเข้าไปในเรือนผมก็ยกมือถือขึ้นมาแนบหูอีกครั้ง "พี่เหมครับ เดี๋ยวผมต้องวางแล้วนะครับ แม่พี่โจ้ตามไปทานข้าวแล้ว"
[ใครคือพี่โจ้] ไม่ต้องเห็น ผมก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่แน่ๆ
"ก็เพื่อนที่ผมบอกว่ามาอยู่ด้วยไงครับ"
[ทำไมพี่ไม่รู้จัก] พี่เหมรู้จักเพื่อนผมทุกคนครับ เพราะเวลาผมไปเที่ยวกับเพื่อน พี่เหมก็มักจะไปด้วยเสมอ
"คนนี้เพื่อนใหม่ครับ พี่เหมยังไม่เคยเจอ" จะเจอได้ไง ก็ผมเพิ่งจะพบพี่โจ้เมื่อสามอาทิตย์ก่อนเอง
[ไว้ใจได้?]
"ครับ ไว้ใจได้" ไว้ใจได้เท่ากับความไว้ใจของน้องชายที่มีต่อพี่ชายคนหนึ่งนั่นแหละ
พี่เหมเงียบไปอีกแล้ว แต่ครั้งนี้ผมรอไม่ได้ จึงตัดบท "งั้น แค่นี้ก่อนนะครับ บายครับ"
[เดี๋ยว!] พี่เหมเรียกไว้เสียงดัง ทำเอาผมสะดุ้งมือถือเกือบตกพื้น "ครับ?"
[เอ่อ... พี่โทรหาฟ่างได้ไหม]
ผมอึ้งไปชั่วครู่ ไม่บ่อยเลยที่อีกฝ่ายจะใช้น้ำเสียงอ้อนวอนแบบนี้ กำแพงที่กำลังพยายามสร้างไว้ก็พังครืนลงมาไม่เป็นท่า "ครับ เบอร์ที่โชว์นั่นแหละครับ"
[พี่ขออีกอย่าง]
ไม่เหลือบ่ากว่าแรงผมก็ยินดีจะทำให้ "ครับ?"
[พูดเหมือนเดิมได้ไหม แทนตัวเองว่า 'ฟ่าง']
นี่พี่เหมกำลังทำอะไร... ง้อผม?
ผมไม่ได้เพ้อไปเองใช่ไหม...
แล้วเพื่ออะไร ในเมื่อมีพี่มิวอยู่ทั้งคน...
ต้องการอะไรแน่ครับ... อยู่ดีๆ ถึงมาพูดดี ผิดวิสัยปกติ
http://www.youtube.com/v/KyWKnVn6MYk?version=3&hl=en_US&rel=0" type==substitute=