● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 37 – น้องชายคนเล็ก
คิมหันต์เดินเตะก้อนหินไปด้วยตลอดทาง ตั้งแต่ก้าวขาลงจากรถสามภพจนถึงลานจอดรถของร้านเค้กทานตะวัน สายตากวาดมองหามอเตอร์ไซค์ที่เขามาฝากไว้ตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ไม่คุ้นนักกับความเงียบเชียบบริเวณร้านต่างจากเวลาปกติแม้เพิ่งเป็นตอนเย็น
เด็กหนุ่มเหลือบมองประตูกระจกหนา มีป้ายแขวนไว้ด้านหน้าระบุว่าร้านปิด คงเพราะเจ้าของและสมาชิกไปเยี่ยมน้องสาวของปิ่นหยกที่โรงพยาบาล ความเวิ้งว้างว่างเปล่าเข้าเกาะกุมจิตใจอยู่ครู่หนึ่งจนโหวงเหวงไปทั้งร่าง
เขาลองมานึกดูแล้ว ในความโชคร้ายของปิ่นหยก ก็อาจมีเรื่องโชคดีตรงที่รอบตัวมีแต่คนพร้อมให้ความช่วยเหลือ ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นผลมาจากความขยันแบบซื่อ ๆ ของเจ้าตัวซึ่งทำให้มักได้รับความเอ็นดู เขายังนึกไม่ออกเลยว่าหากเป็นตัวเองมาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันจะเป็นอย่างไร มองแบบเป็นกลางจากนิสัยส่วนตัว เดาว่าคงต้องมีคนเกลียดขี้หน้ารอสะใจมากกว่าแหง ๆ
แต่ก็นั่นแหละ..ใช่ว่าเขาจะสนเรื่องพวกนั้นเท่าไร
เด็กหนุ่มสตาร์ทเครื่อง หมุนคอพาหนะประจำตำแหน่งแล้วพาออกมาด้านนอกช้า ๆ ถอนหายใจยาวเหยียดไปด้วยเมื่อคิดถึงเรื่องเพื่อนรักของตัวเอง แต่แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อมาได้ถึงหน้าร้าน
รถของสามภพยังจอดรออยู่ที่เดิม “...”
“ไอ้ตี๋”
เป็นชายหนุ่มที่ทักขึ้นก่อน แต่หลังจากนั้นก็เงียบไปเหมือนไม่รู้ควรพูดอะไรต่อ เอาแต่จ้องหน้าเขาอยู่อย่างนั้นจนเริ่มรู้สึกมือไม้เกะกะไม่รู้จะวางตรงไหนขึ้นมาดื้อ ๆ ทั้งที่มันก็วางอยู่บนแฮนด์รถดีแล้วมาตลอด
พวกเขาจ้องหน้ากันอย่างลังเลอยู่ครู่ใหญ่ ถึงอยากซิ่งหนีอย่างไร แต่กลับอดไม่ได้จะไปแวะจอดใกล้กับประตูฝั่งคนขับซึ่งเปิดกระจกคล้ายกำลังรออยู่แล้ว บางครั้งเด็กหนุ่มก็ค่อนข้างแปลกใจตัวเองที่อยู่ในอารมณ์ก้ำกึ่งระหว่างอยากหนีกับอยากเข้าไปเกาะแกะสามภพอยู่ตลอดเวลา ติดตรงช่วงหลังมานี้คอยจะรู้สึกกระดากใจเมื่อนึกขึ้นได้เสมอว่าไม่ค่อยดีแล้วนั่นเอง
“ผมกลับแล้วนะ”
เขาพึมพำตัดบทความเงียบอันชวนให้เงอะงะอย่างไม่ทราบสาเหตุ ยกมือขึ้นโบกน้อย ๆ แล้วปั้นยิ้มยียวนที่มุมปากให้อีกฝ่ายซึ่งคล้ายจะส่งสายตาเอ็นดูกลับมา เกิดอยากทำตัวเป็นผู้ใหญ่น่าหมั่นไส้อะไรตอนนี้
“พี่ก็จะกลับแล้ว”
“อ่าฮะ”
ม่านความเงียบโรยตัวลงห้อมล้อมพวกเขาอีกครั้ง มันไม่น่าอึดอัดนัก แต่ออกไปทางขัดเขินอยู่มากกว่า ขณะที่ยังไม่มีพาหนะของใครเคลื่อนออกจากจุดเดิมแม้แต่นิ้วเดียว ทั้งที่ต่างก็บอกว่ากำลังจะกลับกันทั้งคู่
คิมหันต์ขยับตัวยุกยิก ก่อนจะยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองแก้เก้อ ไม่แน่ใจว่าควรหัวเราะหรือแยกเขี้ยวใส่สามภพจึงเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้มากกว่ากัน
“พี่ไม่ไปอะ”
“แล้วเราไม่ไปหรือ?”
“จากนี่ถึงบ้านผมแค่แป๊บเดียว”
เขายักไหล่ ขณะที่คนฟังเพียงแต่หัวเราะแผ่วเบาในลำคอ
“จากนี่ถึงคอนโดพี่ก็ไม่นานเหมือนกัน”
“พี่พูดย้อนผมหลายรอบแล้ว” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว เชิดคางขึ้นนิดหน่อยแล้วกดสายตาลงต่ำ ด้วยได้ใจว่าตำแหน่งตัวเองซึ่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่สูงกว่าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ “คิดจะหาเรื่องกันหรือไง”
สามภพจ้องเขาอยู่ครู่หนึ่ง และความพยายามเพ่งสายตาตอบของเขาก็เรียกว่าทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว แม้จะยังหน้าร้อนหูร้อนอยู่บ้างแต่ขอสรุปอย่างเข้าข้างตัวเองว่าสมน้ำสมเนื้อ เป็นฝ่ายคนเริ่มเองต่างหากที่ทนไม่ไหว (หรือไม่ก็เบื่อจะเล่น) หันไปถอนหายใจแผ่วเบา รอยยิ้มน้อย ๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก โคลงศีรษะพร้อมกับพึมพำหน้าพวงมาลัยรถตัวเอง
“ไอ้ลูกหมา ทั้งที่เป็นฝ่ายเรียกคนอื่นออกมาเองแท้ ๆ”
คิมหันต์ทำหน้ายุ่ง
“อะไรวะ...ใครเรียกกัน!?”
อ้อ..ใช่ เขาเรียกเอง “โอเค ไม่ได้เรียก” สามภพพยักหน้าแบบขอไปที “พี่มาเอง”
ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง (ซึ่งแน่นอนว่าไม่จริง) แต่ไอ้การที่เลิกต่อปากต่อคำแล้วหันไปเปลี่ยนเกียร์ ทำท่าเหมือนจะออกรถหนีของชายหนุ่มแบบนี้ไม่เห็นสนุก สามภพควรเถียงเขาไม่ใช่หรือ แล้วไหนจะกระจกรถซึ่งเลื่อนปิดช้า ๆ ต่อหน้าต่อตานั่นอีก
“เดี๋ยวดิเฮียเพี้ยน!”
พลั้งปากไปเสียแล้ว กระจกซึ่งกำลังเลื่อนขึ้นจนเกือบสุดกลับชะงักอยู่แค่นั้น ใช้ความพยายามในการเพ่งมองสักหน่อยจึงเห็นว่าอีกฝ่ายนั่งมองเขาจากในรถเช่นกัน
“ทำไม?”
“เปล่า” เด็กหนุ่มอ้อมแอ้ม เสียใจการกระทำของตัวเองขึ้นมากะทันหัน “ไม่มีอะไร”
อีกครั้งที่สามภพทำเพียงคลี่รอยยิ้มบางเบา น่าหงุดหงิดเหลือเกิน
“ไม่มีก็ไม่มี”
“...ความจริงก็มี...”
“....”
สามภพนั่งเงียบ คล้ายกำลังรอฟังว่าเขาตั้งใจจะพูดอะไรต่อ ทำใจอีกครู่ใหญ่จึงเอ่ยออกไปเสียงเบาหวิว
“ขอบคุณครับ” อาจเป็นคำนี้ก็ได้ที่เขาอยากบอก
ตัวรถหยุดการเคลื่อนไหวโดยสมบูรณ์ ก่อนกระจกรถจะเลื่อนลงอีกครั้งจนสุด สามภพยังอยู่ในสีหน้าคล้ายว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินนัก แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานก็หัวเราะออกมานิดหน่อยพร้อมกับเลื่อนสายตามาหยุดบนใบหน้าเขา พึมพำบางสิ่งให้ได้ยินถึงหู
“..บางทีก็เป็นเด็กดีจนน่าแปลกใจ”
คิมหันต์ย่นจมูก ส่งเสียง “ชิ” ออกมาเบา ๆ ด้วยเข้าใจว่านั่นไม่ใช่คำชมเสียทีเดียว ฟังดูติดจะประชดประชันอย่างไรบอกไม่ถูก
"เฮ่อ..." ชายหนุ่มระบายลมหายใจยาว อยากดึงร่างคนตรงหน้ามากอดแน่น ๆ แบบที่ทำในลานจอดรถของโรงพยาบาลอีกสักที ทั้งหนักอึ้งและอิ่มใจอย่างไรบอกไม่ถูก เจ้าเด็กแสบตรงหน้าทำอะไรกับชีวิตเขากันนะ “เอาละ...ตี๋น้อย”
“..หือ?”
สามภพสบตาเด็กหนุ่มเพียงแวบหนึ่ง แม้รู้สึกอยากอยู่นานกว่านี้ แต่ก็เข้าใจดีว่าหมดธุระกันแล้ว
“กลับบ้านดี ๆ” เขาทิ้งท้าย
“เดี๋ยวก่อน!”
“??”
คิมหันต์ไม่รู้ตัวเลยว่าเอื้อมมือไปขวางไว้ระหว่างช่องกระจกของประตูรถที่กำลังจะปิดตั้งแต่เมื่อไร แต่ก็ทำไปแล้ว เด็กหนุ่มเม้มปากแน่นอย่างชั่งใจ คิ้วขมวดมุ่นอยู่เหนือดวงตาซึ่งฉายแววครุ่นคิด อ้าปากพยายามจะพูดอะไรออกมาเป็นประโยคยาว ๆ แต่กลับรู้สึกถึงทิฐิรุนแรงเกินกว่าจะทำได้อย่างนั้น สุดท้ายจึงมีเพียงประโยคสั้น ๆ อ้อมค้อมที่ฟังดูผิดที่ผิดเวลาอย่างน่าประหลาด
“พี่หิวปะ?”
สามภพเลิกคิ้ว จากหางตามองเห็นตัวเลขดิจิตอลของนาฬิกาในรถบอกเวลาสี่โมงกว่าเท่านั้นเอง
“ไม่นี่”
“อ้อ...” เด็กหนุ่มพยักหน้าแก้เก้อ “นั่นสินะ ยังไม่เย็นเลย”
เขาเงยขึ้นมองใบหน้าคิมหันต์นิ่งงัน พวงแก้มขาวจัดปรากฏสีชมพูจาง ๆ ขึ้นในเวลาอันรวดเร็วจนสังเกตได้ ไม่อยากเข้าข้างตัวเองนัก แต่เขาคิดว่าตัวเองรู้ว่าเด็กหนุ่มต้องการพูดถึงอะไร กระนั้นก็ยังตีสีหน้าไม่เข้าใจส่งกลับไปหาเจ้าตัวแสบ
“ทำไมหรือ?”
คิมหันต์เสมองไปทางอื่น เส้นผมสีทองด้านข้างปรกนัยน์ตาจนคนที่นั่งอยู่ในรถมองเห็นมันไม่ชัดนัก เด็กหนุ่มหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมาสวม ส่งเสียงตอบเบา ๆ คล้ายไม่เต็มใจ พร้อมกับขยับมอเตอร์ไซค์โดยไม่เหลือบไปทางคนฟังสักนิด
“..ถ้าเผื่อหิว ที่บ้านน่าจะมีข้าวเย็นพอ..”
เขารีบกัดปากตัวเอง จะพูดมากเกินไปแล้ว
“..ช่างเหอะ”
คิมหันต์ตัดจบเพียงแค่นั้นก็รีบออกรถอย่างรวดเร็วก่อนสามภพจะมีโอกาสได้ส่งเสียงตอบ
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจหนัก ๆ ออกมาขณะที่ลอบมองกระจกส่องหลัง รถเก๋งสีบรอนซ์ทองซึ่งมองเห็นจากภาพสะท้อนเบี่ยงตัวออกจากจุดเดิมช้า ๆ เขานึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะกลับเลยตามที่บอกหรือเปล่า เพราะหากว่ากันตามจริง การมาตามคำร้องขอปากเปล่าของเขาโดยไม่ได้มีอะไรตอบแทนสักนิดก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้ อีกอย่าง..สามภพอาจยังมีธุระต้องกลับไปจัดการหลังจากมาอยู่กับเขาตลอดบ่ายอีกก็ได้
รถของชายหนุ่มออกตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามดังคาด เขาเผลอถอนใจด้วยความรู้สึกบางอย่างซึ่งคล้ายกับผิดหวังทั้งที่ก็เดาไว้อยู่แล้วแท้ ๆ
ทว่าตอนกำลังคิดจะเลิกสนใจ วีออสคันเดิมกลับหักเลี้ยวตรงซอยใกล้ ๆ เพื่อกลับหัว ก่อนจะเปลี่ยนทิศแล้วเร่งความเร็วไล่หลังมอเตอร์ไซค์ของเขามาจนใกล้พอจะมองเห็นใบหน้าของคนขับ จากนั้นจึงตามมาเรื่อย ๆ ตลอดทางโดยไร้วี่แววว่าจะแซง
ใต้หมวกกันน็อคซึ่งสวมอยู่ คิมหันต์ลอบยิ้มน้อย ๆ โดยไม่รู้ตัว -=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
วัสสานะพรมนิ้วเบา ๆ บนโต๊ะทำงาน ปากกาด้ามโปรดยังอยู่ในมืออีกข้าง แต่กลับไม่ได้ใส่ใจมองตัวเลขในสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายของร้านยาที่เธอเป็นเจ้าของสักนิด
สายตาหญิงสาวหยุดนิ่งอยู่กับรูปถ่ายครอบครัวเมื่อนานมาแล้วที่วางไว้หลังชั้นวางหนังสือ ถึงกระนั้นหากว่ากันตามจริงแล้วเธอก็ไม่ได้กำลังจับจ้องมันเป็นพิเศษ ทำเพียงแต่เหม่อนึกถึงเรื่องน้องชายคนเล็กของเธอ แล้วบังเอิญไปพักสายตาตรงตำแหน่งที่ว่าตามความเคยชินเท่านั้น
คิมหันต์กับสามภพสนิทกันตั้งแต่เมื่อไรนะ?
เรื่องนั้นเด็กหนุ่มไม่เคยเล่าให้เธอฟัง ต่างจากกับปิ่นหยกที่เธอค่อนข้างเข้าใจความสัมพันธ์ของทั้งคู่ชัดเจน แต่รายนี้มารู้เรื่องอีกทีก็เหมือนว่าพวกเขาจะสนิทกันอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นไปเรียบร้อย มีทั้งไปเที่ยวกันและกลับมาพร้อมร่องรอยแปลก ๆ เต็มคอ มารับไปโรงเรียน สอนการบ้าน? ติวข้อสอบ? (ถ้าจะว่ากันตามที่คิมหันต์เคยบอก) แล้วครั้งล่าสุดนี้ก็ยังมาเข้าครัวและร่วมมื้อเย็นที่บ้านอีก
อีกเรื่องที่น่าสงสัย..น้องชายของเธอไม่ได้จีบสาวเป็นเรื่องเป็นราวมานานเท่าไรแล้ว?
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เคยโดนผู้หญิงตบเสียแก้มเป็นรอยนิ้วแดงแจ๋กลับมาบ้าน เด็กหนุ่มก็ไม่เคยมีทีท่าจะพูดถึงเพื่อนหญิงคนใดในเชิงชู้สาวให้เธอได้ยินจริงจังเลยสักครั้ง โผล่มาอีกทีก็มีหนุ่มร่างใหญ่หน้านิ่งจากไหนไม่รู้มาวนเวียนอยู่รอบ ๆ พร้อมกับบรรยากาศประหลาดซึ่งอธิบายลำบาก พวกเขาดูไม่เหมือนคนที่กำลังคบกันแบบพี่น้องเลยด้วยเหตุผลบางประการที่เธอก็ไม่แน่ใจนักว่าคืออะไร
หญิงสาวขบริมฝีปากจนซีดขาว บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอระแวงมากเกินไปหรือเปล่า แต่ป๊ากับม้าของเธอไว้ใจให้เป็นคนดูแลน้อง ๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นหน้าที่ของเธอจะคอยเฝ้าระวังให้เขาเดินไปตามทางที่เหมาะสมไม่ใช่หรือ?
“ไม่เอาน่า...” เธอเผลอห่อไหล่ รูปถ่ายตรงหน้าที่เพียงแต่เหม่อมองในคราวแรกเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อสายตาไปหยุดอยู่กับใบหน้าเด็กผู้ชายในรูป “ป๊ากับม้าเหลือนายเป็นลูกชายคนเดียวนะ”
“เจ้ใหญ่!”
หญิงสาวสะดุ้ง รีบหันไปมองตามต้นเสียง แล้วยังเผลอแสดงอาการหวาดระแวงโดยไม่รู้ตัวออกไปอีก คิมหันต์กำลังหรี่ตามองเข้ามาในส่วนที่จัดไว้สำหรับทำงานของเธอด้วยความสงสัยใคร่รู้
“เป็นไรอะเจ้” เขาถาม เคี้ยวขนมตุ้ย ๆ อยู่ในปากไปด้วยขณะที่เดินตรงเข้ามาใกล้ “ตกใจเหมือนเห็นผมเป็นผีเลย”
“ปากหรือเจ้าเด็กคนนี้” เธอบ่นอุบอิบพร้อมกับส่ายหน้าไปด้วย “โผล่มาไม่ให้สุ้มให้เสียง เจ้กำลังทำงานอยู่เห็นไหม?”
คิมหันต์ก้มลงมอง
งาน ที่ว่าของพี่สาว แต่ก็เห็นเพียงหน้ากระดาษว่าง ๆ ในสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายเล่มประจำของเธอ “ไม่เห็นได้ทำอะไรเลย” เขาเถียงหงุงหงิง “แหนะ! เหม่องี้ไม่ใช่ว่ามีหนุ่มมาจีบที่ร้านใช่ปะ?”
“จะบ้าหรือ”
“เดี๋ยวฟ้องพี่โรจน์เลย” เด็กหนุ่มยิ้มกริ่ม ยกชื่อแฟนหนุ่มของพี่สาวขึ้นมากล่าวอ้าง เกือบโดนฟาดป้าบเข้าให้ที่ต้นแขนแล้วแต่เอี้ยวตัวหลบได้ทัน “ฮ่า ๆ ๆ ไม่แซวก็ได้ ผมแค่จะถามเฉย ๆ ว่าเห็นเสื้อพละผมเปล่า”
วัสสานะถอนหายใจเฮือก พ่อน้องชายตัวแสบช่างไม่ยอมเตรียมไว้แต่เนิ่น ๆ จะใส่พรุ่งนี้อยู่แล้วยังมาวิ่งเที่ยวหาเสื้อผ้าตอนดึกอย่างนี้อีก
“หลังบ้านได้ดูหรือยัง?”
“ดูแล้ว”
“รื้อตู้ตัวเองดีแล้วหรือ?”
เด็กหนุ่มยักคิ้ว “ทุกซอกทุกมุม”
หญิงสาวนิ่งคิด “งั้นอาจจะหลงอยู่ในตู้เจ้ ลองไปดูซิ”
คิมหันต์พยักหน้า เตรียมตัวหันหลังกลับ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไปก็โดนผู้เป็นพี่สาวดึงแขนไว้ก่อน
“ครีม”
เขาทำตาปริบ ๆ ก้มลงมองเธอซึ่งกึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่กับเก้าอี้เพราะโน้มตัวมาคว้าแขนเขาไว้
“เจ้มีอะไรหรือเปล่า?”
วัสสานะดึงแขนน้องชายให้นั่งลงบนเก้าอี้ด้านข้าง กวักมือให้เขาย้ายตัวเองพร้อมกับเก้าอี้เลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ พิศมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่งระหว่างที่ยังนึกไม่ออกว่าจะเริ่มพูดอย่างไรดีจนพ่อน้องชายเริ่มอยู่ไม่สุข
“เจ้เป็นไรอะ?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้วน้อย ๆ เอียงหน้ามองตอบเธออย่างไร้เดียงสา ความสงสัยฉายชัดในแววตาที่คุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ยังไม่วายใส่ถ้อยคำล้อเล่นไว้ท้ายประโยค “แค่ชุดพละเอง อย่าซีเรียสดิ เดี๋ยวหน้าเหี่ยว”
เธอตีเขาเบา ๆ ทีหนึ่งพร้อมกับส่ายหน้าอ่อนใจ กระนั้นยังอดยิ้มออกมาไม่ได้กับความทะเล้นของเด็กหนุ่ม ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของบ้านที่นอกลู่บ้างแต่ไม่เคยนอกทางนั่งยิ้มแฉ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาว จนกระทั่งเธอเริ่มนำเข้าสู่บทสนทนานั่นเอง
“เรื่องพี่ภพน่ะ”
คิมหันต์ชะงักไปนิดหน่อย และรอยยิ้มร่าก็คล้ายว่าเจื่อนลงแวบหนึ่งก่อนมันจะกลับมาเป็นปกติในเวลาอันรวดเร็ว เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่เช่นเดิมคล้ายรอดูท่าทีขณะที่เธอพูดต่อ
“เหมือนว่าจะสนิทกันมากเลย”
เขายักไหล่เบา ๆ แต่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
วัสสานะสูดลมหายใจเข้าลึก เธอเองก็เริ่มตันอยู่กับคำพูดที่ไม่รู้จะเอ่ยออกไปอย่างไรดี แม้เป็นคนดึงน้องชายให้นั่งอยู่ตรงนี้แต่กลับรู้สึกยังเลือกสิ่งที่จะยกมาคุยไม่ได้แน่ชัด
“เจ้เหมือนมีอะไรอยากพูด” คิมหันต์เหลือบมองพี่สาว บอกตัวเองให้นิ่งไว้ เขามั่นใจว่าไม่เคยทำอะไรประเจิดประเจ้อกับสามภพให้เธอเห็น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความมั่นใจของเขาจะถูกต้องแล้ว มื้อเย็นล่าสุดก็ดูปกติดี เพราะฉะนั้นจึงไม่มีประโยชน์จะร้อนตัวแล้วออกอาการให้เธอต้องเป็นกังวล
“จำได้ไหม พวกเราพี่น้องตกลงกันว่ามีปัญหาอะไรให้พูดออกมาเสมอ”
เขาพยักหน้า หาข้อแก้ต่างในหัวตัวเองว่าตอนนี้เขายังไม่ได้มีปัญหา เพราะฉะนั้นไม่บอกก็ไม่เห็นแปลก
“เจ้รู้สึกว่ามันดูไม่ค่อยปกติ”
“ยังไง?”
“ไม่รู้สิ” เธอส่ายหน้าน้อย ๆ มองผ่านเขาไปยังกรอบรูปหลังชั้นหนังสือ “เจ้แค่คิด...อาจจะคิดมากไป แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้อะไรไม่ดีเกิดขึ้นใช่ไหม.. เขาดู...เรียกว่ายังไงดี...ดูแบบ...”
คิมหันต์รอฟังด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ค่อนข้างลำบากทีเดียวกับการแสดงสีหน้าท่าทางเป็นปกติในบทสนทนาซึ่งไม่ปกติเช่นนี้ เขาจ้องมองพี่สาวที่กำลังทำหน้ายุ่ง หัวคิ้วขมวดมุ่นเหมือนกำลังพยายามสรรหาคำเหมาะ ๆ มาพูด และดูท่าแล้วเธอจะเลือกออกมาได้ในที่สุด แม้มันอาจฟังไม่ค่อยเข้าท่านักสำหรับเขา
“ดู..อาลัยอาวรณ์กับนายเป็นพิเศษ” เขาใจหายวาบไปครู่หนึ่งทีเดียว ทวนคำพี่สาวออกมาเสียงแหบพร่า
“...อาลัย..อาวรณ์?”
“ใช่..” วัสสานะพยักหน้าถี่ ๆ กับตัวเองอย่างวิตกจริต “ราว ๆ นั้น”
“เจ้คิดมากไปแล้ว”
“เขาเป็นเกย์หรือเปล่า?”
“ห๊ะ!?”
เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ไม่นึกว่าผู้เป็นพี่สาวจะมาไกลซ้ำยังตรงประเด็นถึงขั้นนี้ เขาส่งเสียงหัวเราะแห้ง ๆ ทำเหมือนเป็นเรื่องขบขัน ขมวดคิ้วไปด้วยพร้อมกับพยายามแก้ต่างให้ “ไม่มั้ง ได้ยินว่าก็เคยคบหญิงนะ”
“แล้วทำไมถึงตามเอาใจนายนัก”
วัสสานะยังไม่ทิ้งความคลางแคลงใจเรื่องเดิมง่าย ๆ แค่นึกภาพว่ามีเกย์ล่ำจ้องงาบน้องชายเธอก็คล้ายว่าจะประสาทขึ้นมาเสียแล้ว ทางคิมหันต์เองก็คงไม่ได้เป็นไปด้วยหรอกใช่ไหม ถึงจะปากดีบางครั้ง ชอบแต่งเนื้อแต่งตัว เสื้อผ้าเครื่องประดับเต็มตู้อย่างไร แต่นิสัยอย่างอื่นก็เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปไม่ผิดเพี้ยน
“ถูกใจที่อยากเข้าคณะเดียวกันมั้ง” เขาแถเรื่อยเปื่อย โยกตัวไปมาอย่างร่าเริงเกินจำเป็น ขณะที่มองหาช่องทางจะชิ่งหนีจากการสอบปากคำของพี่สาวไปด้วย “อ่าเจ้...ดึกละ ผมไปดูเสื้อพละก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ไม่มีชุดใส่” ว่าแล้วก็รีบกระโดดผลุงขึ้นจากเก้าอี้
แต่ยังไม่ทันได้ก้าวขาก็มีสุ้มเสียงเป็นกังวลของพี่สาวรั้งไว้อีกแล้ว
“ครีม” เธอเอ่ยแผ่วเบา แทบไม่ดังไปกว่าเสียงกระซิบ “นายรู้ใช่ไหม? ป๊าไม่ชอบพวกเบี่ยงเบนทางเพศ"
"..."
"..ลืมเรื่องเฮียไปแล้วหรือ?”
เขาชะงักไป ก้มลงมองใบหน้าพี่สาวก็พบกับสายตาเป็นห่วงเจือความกังวลมองตรงมา เงาของตัวเขาเองซึ่งสะท้อนอยู่ในนั้นไหวระริกจนเริ่มพาเขาหวั่นไหวไปด้วย ก่อนจะคิดได้ว่าเขาก็ไม่ได้ทำตัวเบี่ยงเบนอะไรสักหน่อย
“อย่าห่วงเลยน่า” เด็กหนุ่มพึมพำกลั้วเสียงหัวเราะเฝื่อน "ผมไม่เป็นงั้นหรอก”
วัสสานะถอนหายใจยาวเหยียด บอกตัวเองว่าคงคิดมากเกินไปจริง ๆ
“ดีแล้ว..” เธอทำหน้าลำบากใจ “ความจริงเจ้ไม่อยากเจ้ากี้เจ้าการเลย..”
หญิงสาวยกมือขึ้นเสยผมอ่อนแรง มองเลยไปยังรูปถ่ายในกรอบ สีของมันเริ่มซีดจางไปตามวันเวลา แต่พี่น้องสี่คนซึ่งยืนกอดคอกันอยู่ตรงกลางก็ยังส่งยิ้มสดใสอยู่เช่นเดิม แม้คนหนึ่งในนั้นจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว
“เหลือแค่นายเป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน ป๊าถึงได้คาดหวังไว้มาก..”
คิมหันต์มองตามสายตาของพี่สาวไปยังรูปถ่ายใบนั้น รู้ดีถึงความห่วงใยของคนเป็นพี่ใหญ่ และเขามั่นใจว่าจะไม่ทำให้เธอต้องผิดหวัง ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลเลย
“รู้แล้วน่า”
เสียงกระซิบของเขาล่องลอยในอากาศ มันแผ่วเบาและจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่คำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้จะคงอยู่เช่นนั้นตลอดไป
“ผมไม่เป็นแบบเฮียหรอก”- หมดยกที่ 37 –
-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-
มาต่อแล้วค่าา >3<
ช่วงนี้งานยุ่ง + เน็ตเน่าตลอด เลยอัพได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 1-2 ตอนเท่านั้นเอง จะพยายามไม่ให้นานกว่านี้นะคะ Orz
*กอดฟัดคนอ่าน* ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ

แล้วพบกันตอนหน้าเน้อ
ของแถมรีพลายถัดไปโลดค่า
