● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 21 – เกรียน กัด กอด
ก้อนความอึดอัดบางอย่างขยายตัวพองเอา ๆ เป็นขนมถ้วยฟูในหม้อนึ่ง คิมหันต์ยังยืนตัวแข็งทื่อ และเขาเพิ่งเห็นว่าเด็กหนุ่มอ้าปากค้างเมื่อตอนคลายวงแขนออกมานั่นเอง หน้าตาขณะนี้ให้บอกว่าเป็นไอ้เด็กเวรที่สารพัดจะกลั่นแกล้งผู้คนคงถูกกล่าวหาว่าโกหกแน่นอน
“คิดถึง” สามภพลองเอ่ยซ้ำ และราวกับคำที่ว่าได้กระชากสติอีกฝ่ายกลับเข้าร่างหลังจากอึ้งไปครู่ใหญ่ เด็กหนุ่มผู้ฟังกระพริบตาปริบ ๆ ได้เพียงไม่เท่าไรดวงหน้าขาวติดจะซีดสักหน่อยวันนี้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงซ่านอย่างรวดเร็วจนน่าขำ
“พี่บ้าไปแล้วจริง ๆ”
คิมหันต์เอ่ยตะกุกตะกัก งง เหวอ ขนลุก และพูดไม่ออก ซึ่งนั่นไม่ใช่นิสัยเขาเลย ได้แต่ยืนทำหน้าตาตื่นหลังโดนกอด ซึ่งก็ไม่ใช่ลักษณะปกติของเขาอีกเช่นกันเพราะความจริงเขาควรเป็นฝ่ายกอดคนอื่นอย่างเคยมาตลอดต่างหาก “อยู่บ้านหมาไม่รักรึไง? คิดถึงเชี่ยอะไร ฟังแล้วขนจะร่วง!”
“ถึงฤดูผลัดขนแล้วหรือ?” สามภพยักไหล่ ดึงข้อมือไอ้ตัวแสบซึ่งเริ่มแดงเป็นจ้ำขึ้นมาดูใกล้ ๆ เป็นผู้ชายแท้ ๆ มาทำผิวบางน่าเตะชะมัด “เจ็บไหม?”
เด็กหนุ่มกระตุกแขนกลับแทบจะในทันทีที่เขาพูดจบ จ้องเขม็งพร้อมกับสรรเสริญมาหนึ่งพยางค์ถ้วน “เสือก!”
คงมีแต่เรื่องปากหมานี่แหละที่ดูเป็นเด็กผู้ชายโคตร ๆ เขาปล่อยมือ ยักคิ้วให้คนตรงหน้าซึ่งทำหน้ามุ่ยใส่เขา ชอบใจตรงดูเหมือนตัวเองถือไพ่เหนือกว่าทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งตัดสินใจว่าจะจีบอยู่แท้ ๆ “มัวยืนงั่งอะไร? เชิญแขกเข้าบ้านสิ” เขาสั่ง..อย่างที่ไม่เคยทำให้คิมหันต์ยอมว่าง่ายได้สักครั้ง
“เชิญเข้าบ้าน?” จริงดังคาด เด็กแสบย้อนถามน้ำเสียงหงุดหงิด “บ้าแล้ว ไอ้นิลไม่อยู่พี่ก็ออกไปเสียที ชิ่ว ๆ!”
แต่วิธีไล่แบบนั้นของคิมหันต์ก็ไม่เคยบังคับเขาได้เช่นกัน
“มารยาทแย่จริงไอ้เบื๊อกนี่” เขาโคลงศีรษะพร้อมรอยยิ้มเยาะ ซึ่งมีแต่จะทำให้อีกฝ่ายยิ่งหน้ายุ่งเหมือนคนถูกหวยกินยามสิ้นเดือน จากนั้นก็ถือวิสาสะเดินนำเข้าไปยังตัวบ้านซึ่งคุ้นเคยดีทว่าไม่ยักได้ยินเสียงฝีเท้าใครตามมา หันหลังกลับไปมองจึงพบคิมหันต์ยืนอารมณ์บูดอยู่ริมรั้วที่เดิม กอดอกหน้าเครียดขณะจ้องเขาเขม็งพร้อมกับตะโกนใส่
“ไอ้พี่ภพ เล่นบ้าอะไรเป็นเด็กวะ!”
โดนไอ้เปี๊ยกนี่หาว่าเล่นเป็นเด็กถึงกับอารมณ์สะดุดไปนิดหน่อย เขาจ้องกลับแต่ไม่ได้เถียง ความจริงคือยังคิดไม่ออกว่าจะตอบอะไรมากกว่า คิมหันต์เห็นเข้าก็ได้ทียื่นคำขาดต่อ
“อย่ามายึกยัก!” เจ้าตัวขู่แง่ง ๆ อย่างกับตัวเองน่ากลัวเต็มแก่ “มีอะไรก็คุยตรงนี้แหละ ไม่ต้องเข้าบ้าน”
หรือบางทีเขาควรกลัวสักหน่อย? เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่คนขู่ ติดตรงที่คอยแต่จะขำนี่สิ “ทำไมจะเข้าไม่ได้?”
เด็กหนุ่มยักยิ้มเลือดเย็น ส่วนทางกับอากาศซึ่งเริ่มร้อนและแดดแรงเปรี้ยงปร้างตั้งแต่ยังไม่ทันเที่ยงวันโดยสิ้นเชิง
“เพราะผมเหม็นขี้หน้าพี่”
ให้ตาย..พูดมาได้เต็มปากเต็มคำ“หนึ่งวันที่ประมูลได้จะเมื่อไหร่ก็ว่ามาตรงนี้” คิมหันต์ยังยืนกรานต่อหนักแน่น
“ไปคุยในบ้าน”
“ผมรอฟังอยู่นี่”
สามภพถอนหายใจ เด็กอะไรดื้ออย่างนี้ แต่นั่นแหละ เทียบกับที่ผ่านมายังถือว่าจิ๊บจ๊อย ชายหนุ่มพยักหน้าคล้ายจะบอกว่าเข้าใจเป็นอย่างดี หัวเราะในลำคอโดยคิมหันต์ไม่ได้ยิน เจ้าบ้านหัวทองรู้เพียงหลังจากนั้นเสียงทุ้มของผู้อ้างตัวเองว่าเป็นแขกก็ประกาศกร้าวแบบไม่ง้อเขาสักนิด
“เอาสิ อยากยืนตรงนั้นก็ตามสบาย”
ก่อนจะหันหลังเดินเข้าบ้านคนอื่นหน้าตาเฉย“เฮ่ย!?” เด็กหนุ่มร้องลั่น อยากตะโกนใส่หูอีกฝ่ายว่า
‘นั่นบ้านกรู!’ ทว่ายังไม่ทันได้ทำตามที่คิดกลับถูกชิงตัดหน้าเสียก่อน
“แต่ถ้าเริ่มร้อนแดด จะตามเข้ามาก็ได้”
สามภพหันมายักคิ้วทิ้งท้าย ก้าวขายาว ๆ อีกเพียงไม่เท่าไรก็ไปหยุดอยู่หน้าประตูเรียบร้อย เอาศอกเท้ากรอบวงกบแล้วโบกมือให้เขาซึ่งยืนเหงื่อแตกอยู่กลางแดด พร้อมกับโทนเสียงซึ่งได้ยินแล้วอยากส่งคนพูดออกไปเป็นอาหารน้องนิลเป็นบ้า
“พี่ยินดีต้อนรับครับเด็กน้อย”ว่าพลางยังมาผายมือเชื้อเชิญให้เจ็บใจเล่นอีก ไม่น่าใจอ่อนเปิดประตูรั้วให้เข้ามาเลย
คิมหันต์กัดฟันกรอด รู้อย่างนี้รีบออกไปกบดานอยู่ร้านเค้กที่ประจำแต่เช้าก็ดีหรอก จากตรงนี้มองเห็นสามภพยืนรออยู่ในร่ม สีหน้าสุขใจสบายอารมณ์เกินกว่าระดับปกติชวนคนมองปรอทแตก ได้แต่จ้ำพรวดพราดตามเข้าบ้านตัวเองซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ของตัวเองเข้าไปทุกทีพร้อมกับคำรามฮึ่ม ๆ ด้วยความขุ่นเคือง ทว่ามีแต่จะทำให้อีกฝ่ายยิ่งฉีกยิ้มกว้าง
“พี่แม่งงงง!!”.................................................
............................
“พี่สาไม่อยู่อีกแล้วหรือ?”
คิมหันต์เหลือบตาจากมุมต่ำเพราะสามภพตัวสูงกว่าแล้วยังมีหน้ามายืนค้ำหัวอีก พึมพำเสียดสีหวังจะให้ชายหนุ่มผู้มาเยือนด้วยสาเหตุคลุมเครือคิดอะไรบ้างสักหน่อย “คนอื่นเขามีงานมีการทำ ไม่ได้ว่างมากอย่างพี่”
แต่ดูจากท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของคนฟัง เห็นทีจะหวังผลไม่ได้มากนัก หรือพูดให้ถูกคือสิ้นหวังแล้วต่างหาก
เขาส่งเสียงจิ๊ขัดใจออกมานิดหน่อยก่อนจะก้มหน้าก้มตากลับไปสนใจงานการตัวเองต่อ สามภพเพี้ยนเกินไปแล้ว บอกว่าจะมาตกลงเรื่องประมูลในบ้านแต่จนป่านนี้ก็ยังอิดออดไม่ยอมเข้าเรื่องสักทีอย่างกับอยากถ่วงเวลา....
ถ่วงเวลา...?เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว เกิดเอะใจบางเรื่องซึ่งน่าขนลุกขนพองขึ้นมาอย่างประหลาด เผลอเงยขึ้นมองใบหน้าอีกฝ่ายซ้ำจึงได้รู้ว่าตัวเองถูกจ้องอยู่
“มองทำไม” เขายิงคำถามพลางยักคิ้วหลิ่วตา “ไม่เคยเห็นคนหล่อหรือ?”
ต้องหลงตัวเองในระดับหนึ่งทีเดียวถึงกล้าใช้มุกนี้ วัสสานะเคยกล่าวกับน้องชายคนเล็ก
อีกฝ่ายเลิกคิ้ว ไร้ถ้อยคำต่อล้อต่อเถียงอะไรสักอย่าง(น่าแปลก) ก่อนหันกลับไปนั่งเงียบ ๆ บนโซฟายาว(แน่นอนว่าตัวโปรดเขา..โซฟาทุกตัวในบ้านล้วนเป็นตัวโปรดของเขาทั้งสิ้น) และเด็กหนุ่มเริ่มเหนื่อยจะไล่ อยากนั่งก็นั่งไป เพราะเขาไม่คิดดูแลหาน้ำหาท่าหรือขนมขบเคี้ยวอะไรมาบริการทั้งนั้น เปล่าเป็นคนเชิญเข้าบ้านเสียหน่อย ตราบใดที่นั่งเงียบ ๆ หยุดวุ่นวาย ไม่หาเรื่อง อีกไม่นานคงเบื่อจนถอยทัพกลับไปเอง
“.....”
ทว่ารอตั้งนานก็ยังไร้วี่แววว่าจะกลับนี่สิ!คิมหันต์พลิกหน้าหนังสือซึ่งขนลงจากห้องนอนตัวเองมาอ่านที่ชั้นล่างด้วยต้องคอยลอบสังเกตแผ่นหลังคนตรงหน้าเป็นระยะ ไม่กล้าปล่อยให้คลาดสายตา กลัวเดี๋ยวเป็นเรื่อง เรื่องอะไรก็ไม่รู้แต่สามภพทำตัวประหลาดเช่นนี้คงต้องขอระแวงไว้ก่อน สเปรย์พริกไทยที่เจ้ใหญ่ของเขาเคยมียังเก็บเอาไว้ที่เดิมหรือเปล่านะ? ตั้งแต่ได้ข่าวว่าเหมือนจะเป็นของผิดกฎหมายเธอทิ้งมันไปแล้วหรือยัง? เผื่อจำเป็นต้องใช้ขึ้นมาใครจะรู้
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ที่มีเพียงเสียงหึ่ง ๆ ของพัดลมตั้งพื้นและเสียงพลิกหน้ากระดาษดำเนินควบคู่ไปกับบรรยากาศสีตุ่น ๆ กว่าสามภพจะขยับตัวบนโซฟาแล้วถอนหายใจยาว เบนเสี้ยวหน้าด้านหนึ่งมาทางเขาพร้อมกับที่เด็กหนุ่มรีบก้มหลบแสดงอาการเหมือนกำลังตั้งใจอ่านหนังสือโดยยังไม่ลืมจะแอบชายตามอง ตาตี่มีข้อดีของมันตรงนี้เอง
“....”
ท่าทางอีกฝ่ายคล้ายมีเรื่องอยากพูดแต่กลับก็นิ่งไป หันหลังให้เขาอีกครั้งแล้วปล่อยความเงียบเติมเต็มในบรรยากาศ
บ้า... คิมหันต์ก่นด่าอยู่ในใจ เฮียหมาบ้ามันบ้าไปแล้ว ยื่นขาไปเอานิ้วหัวแม่เท้ากดปุ่มพัดลมเพื่อเปลี่ยนเป็นเบอร์สามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากหลังกว้างตรงหน้า ทำตัวอย่างกับไอ้ปิ่นหยกเพื่อนรักตอนกำลังอยู่ในช่วงเลิฟซิค พิษรักรุมเร้าจนแสดงพฤติกรรมประหลาดสมควรจับเข้าห้องแยกโรค แต่กับคนอย่างสามภพเขาคิดว่าอาจเป็นสาเหตุอื่นมากกว่า จะเอนเอียงไปทางคนกำลังมีความรักก็ดูเป็นมลภาวะทางความคิดจนเกินรับไหวจริง ๆ
“คิม”
เจ้าของชื่อสะดุ้ง เมื่ออยู่ ๆ คนที่เงียบไปตั้งนานจนเกือบคิดว่าหลับกลับเรียกชื่อเขาขึ้นมากลางความว่างเปล่าของมวลอารมณ์ในอณูอากาศ คิมหันต์ยืดหลังตรง วางปลายเท้าสองข้างแตะไว้ที่พื้นในท่าเตรียมพร้อมกระโจนออกจากจุดนั้นได้ทันทีหากมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเกิดกับตัว
“มีอะไร?” เด็กหนุ่มถามเสียงแข็ง เลื่อนเก้าอี้ออกห่างจากโต๊ะเผื่อจะได้ลุกง่ายขึ้น
“....”
“??”
สามภพไม่ได้หันหน้ามาทางเขา ร่างกายตั้งแต่แผ่นหลังช่วงบนขึ้นไปซึ่งโผล่ให้เห็นพ้นพนักพิงโซฟายังนิ่งงันอยู่เช่นเดิม คล้ายว่าได้ยินเสียงพึมพำบางอย่างแผ่วเบาซึ่งไม่แน่ใจว่าได้พูดกับเขาไหม หรือบางทีอาจไม่ได้พูดแต่หลับอยู่และกำลังกรน?
“ว่าไงนะ...งึมงำเบื๊อกอะไรไม่เห็นได้ยิน”
คิมหันต์กระตุ้น เต็มไปด้วยอาการระแคะระคายและอยากรู้อยากเห็น เป็นเรื่องเชื่อยากทีเดียวว่าเขาจะมีโอกาสได้พูดประโยคแบบนี้กับสามภพ หมาบ้าขี้หงุดหงิดทำเสียงงึมงำเป็นกับเขาด้วย นึกว่ารู้จักแต่โวยวายกับกวนประสาท
“พี่ถามว่าเราน่ะ..”
ชายหนุ่มพูดใหม่ ค้างอยู่นิดหน่อยตอนเขาเอามือค้ำโต๊ะ เผลอโน้มตัวไปข้างหน้าพลางเงี่ยหูฟัง ความอยากรู้อยากเห็นกำลังจะฆ่าเขาตาย สามภพจัดการพูดเสียงดังฟังชัดให้ได้ยินตามคำขอ ทว่าเนื้อหานั้นทำแขนสองข้างอ่อนแรงเกือบทรุดลงหน้าทิ่ม
“มีแฟนรึยัง?”“ห๊ะ!?”“หูหนวกรึไง!? ถามว่ามีแฟนยัง”
“มีหรือไม่มีเกี่ยวอะไรกับพี่?” คิมหันต์หรี่ตา ทำหน้าเคร่งขรึมหลังจากใช้เวลาอีกครู่หนึ่งกว่าจะตั้งสติให้นิ่งพอ สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายประหลาดอย่างไรพิกลในคำถามนั้น สังเกตทุกอากัปกิริยาของคนที่ลุกจากโซฟาแล้วเดินตรงเข้ามาประชิดตัวเขาไม่วางตา “ถ้ามีแล้วทำไม จะไปจับแฟนผมเรียกค่าไถ่หรือ?”
เขาประชด แต่สามภพไม่ตอบ ทำเพียงย้อนถามพร้อมกับจ้องเขาเขม็งด้วยสายตาซึ่งไม่คุ้นเคย “พูดงี้คือมีแล้ว?”
เด็กหนุ่มยกมุมปากคล้ายรอยยิ้ม ขยับตัวถอยห่างไปอีกหนึ่งก้าว แฟนเฟินมีที่ไหนกัน แค่สอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นก็แทบไม่มีเวลาแล้ว แต่ไม่ใช่อะไรซึ่งต้องมาคอยตอบคำถามคนอื่น(โดยเฉพาะคนอย่างสามภพ)หรือเปล่า “อยากรู้หรือ? อยากรู้แค่ไหน?” เด็กหนุ่มลอยหน้าลอยตา จงใจก่อกวนด้วยถ้อยคำไร้สาระไปเรื่อยให้คนประหลาดตรงหน้าหงุดหงิดเล่น “จะรู้ไปทำไม? พี่รู้แล้วผมได้ประโยชน์อะไรหรือเปล่า? แล้วถ้าเกิ—!?”
“เงียบซะ!”คิมหันต์สะดุ้งกับเสียงตวาด คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายลงคอไปสิ้น
มือใหญ่เลื่อนมาอยู่ต่อหน้าเขา หยุดอยู่แค่นั้น และมันแย่ที่เขาอาจตกใจเกินกว่าจะขยับหนีไปไกลกว่าเดิมอีกเพราะขาไม่ยอมทำหน้าที่ของมันเอาเสียเลย
“คิมหันต์”
สามภพขมวดคิ้ว มองใบหน้าเด็กหนุ่มซึ่งคล้ายจะซีดลงไปนิดหน่อย คิดจะเอื้อมมือไปลูบผมแต่ก็ชะงักไว้แล้วดึงมือกลับ
“ถือว่าไม่ได้ถาม พี่ขอโทษ”
“..ช่างเหอะ พี่ก็บ้าแบบนี้” คิมหันต์เสมองไม่ทางอื่นชั่วขณะ บอกไม่ถูกว่าเมื่อครู่คืออะไร บางทีคงใกล้เคียงกับความหงุดหงิด เกลียดขี้หน้า งง ตกใจ และคล้ายจะกลัวอีกนิดหน่อย โยนทั้งหมดใส่ลงเครื่องปั่นแล้วกดปุ่มผสมให้เข้ากัน ออกมาเป็นสิ่งที่เขารู้สึกตอนนี้ “ช่วงนี้พี่ทำตัวประหลาด มีใครบอกบ้างหรือเปล่าวะ”
เด็กหนุ่มลากเก้าอี้มาหาตัวเองแล้วทรุดตัวลงนั่ง สายตาซึ่งกลับไปจับจ้องอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความหวาดระแวง และสามภพตอบอยู่ในใจว่าทุกคนรอบตัวเขาก็ล้วนบอกเป็นเสียงเดียวกันเช่นเดียวกับที่คิมหันต์ตั้งข้อสังเกต
“ผมว่าเราควรคุยธุระให้เสร็จ แล้วพี่ก็รีบกลับบ้านได้แล้ว”
“อืม..” ชายหนุ่มพยักหน้า แม้รู้สึกไม่เต็มใจนักแต่ยังเอ่ยสิ่งตรงกันข้ามกับความคิด “พี่ก็ว่างั้น”
“จะเอาเมื่อไหร่?” เด็กหนุ่มพุ่งตรงประเด็นทันทีที่ได้ยิน ท่าทางคงอยากไล่เขาออกจากบ้านเต็มแก่ สามภพมองหน้าคนพูด ยังคงไม่ได้ให้คำตอบจนอีกฝ่ายต้องถามต่อ “ผมหมายถึงเรื่องประมูลยี่สิบสี่ชั่วโมง เผื่อพี่จะลืม”
แน่นอน..เขารู้อยู่แล้วว่าคิมหันต์หมายถึงอะไร และให้ตายเถอะ..จะลืมได้อย่างไรในเมื่อเอาออกจากหัวยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“แต่ถ้าอยากยกเป็นโมฆะผมก็โอเค...” เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเพิ่มคำขยายต่อ “โอเคโคตร ๆ”
“แต่พี่ไม่ยกให้”“ก็ว่าอยู่” คิมหันต์ยักไหล่พลางแค่นหัวเราะ ตกใจนิดหน่อยที่อีกฝ่ายรีบค้านถึงขนาดนั้น “แค้นอะดิ งั้นเมื่อไหร่ก็ว่ามา”
สามภพชะงัก ครุ่นคิดถึงเวลาว่างของตัวเอง หากไม่ใช่เสาร์อาทิตย์นี้อาจยุ่งอีกยาว แถมคิมหันต์ยังทำเป็นใจถึงบอกเมื่อไรก็ว่ามาอีก ฟังแล้วไม่อยากขัดศรัทธา ในเมื่อท้านักก็ย่อมได้
“วันนี้”“!?”
“เดี๋ยวนี้ เก็บของแล้วไปด้วยกัน”
“บ้าเรอะ!?” คิมหันต์เบิกตา กระโจนขึ้นจากเก้าอี้มายืนโวยวาย “แก่แล้วอย่ามาทำเป็นวัยรุ่นใจร้อน เจ้ใหญ่ยังไม่รู้เรื่องเลย!”
“โทรบอกสิ” เขากอดอก ดื้อนักก็ต้องบังคับกันบ้าง “ได้เงินไปแล้วนี่ เห็นว่ามีเปอร์เซ็นต์ให้ด้วยไม่ใช่หรือ?”
“...ผม”
“จะเบี้ยว? หรือว่ากลัว?” สามภพยิ้มเย็น รีบโจมตีต่อตอนอีกฝ่ายยังลังเล สบประมาทอย่างนี้คงได้มีฮึดกันบ้าง “ป๊อดนี่หว่า”
“เชี่ย! ใครป๊อด”
“ให้บอกตรง ๆ ว่าใครก็กลัวน้องครีมจะเสียใจ”
คิมหันต์สูดลมหายใจเหลืออดเหลือทน จ้องคนพูดตาเขียวแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด ยกขึ้นแนบหูเพียงครู่เดียวก็กรอกเสียงลงไปในมือถือทั้งที่ยังแยกเขี้ยวแข่งกับชายหนุ่มตรงหน้า “เจ้ใหญ่ อื้อ ดี กินแล้ว...เจ้ เดี๋ยวผมไปบ้าน....เพื่อน อือ ไปติวหนังสืออะ วันนึงนะ พรุ่งนี้กลับ ใช่ ๆ...อือ รักเจ้นะ...เฮ่ย เปล่าอะ พูดไปงั้น”
สามภพยืนยิ้มกริ่ม มองเด็กหนุ่มเจื้อยแจ้วกับคนในสายยืดยาวอย่างกับจะลาตาย ใช่ว่าเขาจะเอาไปฆ่าแกงเสียหน่อย แม้ในความคิดคิมหันต์อาจรู้สึกอย่างนั้นอยู่ก็ได้ เมื่อเห็นว่าไอ้แสบยังพล่ามไม่ยอมวางเสียทีจึงขยับปากเร่งแบบไม่ได้ออกเสียง ซึ่งเจ้าตัวก็คงดูออกเพราะฮึดฮัดใส่มาหนึ่งยกสั้น ๆ
“เจ้ใหญ่ คนหายจากบ้านเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงนี่แจ้งความได้ใช่ปะ? ...เปล๊า แค่เกิดสงสัยกฎหมายนิดหน่อย แต่ถ้าผมหายเจ้จะตามใช่ไหม? เฮ่ย ล้อเล่น แต่อย่าลืมตามล่ะ ฮ่า ๆ ๆ”
ถึงตรงนี้ชายหนุ่มถึงกับหลุดขำออกมานิดหน่อย เผลอตัวผลักหัวไอ้ตี๋เกรียนทิ่มไปข้างหน้าเบา ๆ ก่อนจะยีผมสีทองจนยุ่งฟู นี่ดูกลัวมากจริงจนถึงกับต้องทั้งร่ำลาทั้งกำชับขนาดนี้เชียว เล่นหัวไปมาก็เริ่มเพลินลากมาเกาคางหวังจะแกล้งให้หยุดคุยสักที แล้วก็ได้ผลเสียด้วย คิมหันต์หลุดด่า
‘เชี่ย!’ ใส่โทรศัพท์ไปหนึ่งครั้งจากนั้นก็ตามด้วยคำแก้ตัวอีกยาวเหยียดเรื่องไม่บังอาจพูดคำหยาบกับเจ้ใหญ่ (ที่น่าเตะคืออ้างว่าเดินสะดุดหมาเลยอุทานนี่แหละ) ก่อนจะรีบตัดบทวางสายแล้วคว้ามือเขามากัดหงับ.....กัดจริงจัง!
กัดแรงด้วยไอ้เด็กเปรต! “เฮ่ย!!!”สามภพสะบัดมือเร่า เมื่อกี้แทบจมเขี้ยวแน่นอน “ไอ้หมานี่!!”
“เออ หมา! ไม่ใช่แมว!!” คิมหันต์ทำตาขวาง ไม่เอามือดันหน้าผากไว้อาจมีงับมาอีกรอบ “แม่งเกาคางอยู่ได้คนจะคุยโทรศัพท์!”
“มัวแต่เวิ่นเว้อนี่หว่า! รอเหงือกจะแห้ง” เขาเถียงข้าง ๆ คู ๆ
“พี่ก็มาเอ้อระเหยอยู่นี่จนจะบ่ายแล้ว รออีกหน่อยจะเป็นไรไปวะ แก่แล้วแม่งก็ใจเย็นมั่งเหอะ”
เด็กเกรียนนี่ก็เดี๋ยวแก่ ๆ ทั้งที่อายุห่างกันแค่สามปีเท่านั้นเอง ชายหนุ่มตั้งท่าจะโบกให้หัวทิ่มสักที แต่เห็นคิมหันต์หดคอหนีแล้วก็เปลี่ยนใจ “ต่อไปนี้ถ้าเกรียนนักจะไม่ตบหัวแล้ว”
พูดจบก็ดึงตัวเด็กหนุ่มมากอดหมับเต็มรัก“จับกอดแม่ง" เขาพึมพำกับกลุ่มผมสีทอง ย่อตัวไปอีกนิดให้เสียงกระซิบปะทะข้างใบหู "ได้ผลกว่าว่ะ”
“ว้อออยยยย!!! กอดเชี่ยไร!!!” คิมหันต์ร้องลั่น ดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในอ้อมแขนเขาเป็นไส้เดือนถูกน้ำร้อน หลังจากโดนมาแล้วสองครั้ง คราวนี้คงเริ่มชินเพราะปราศจากช่วงอึ้งอะไรอีกแล้ว มาถึงก็แหกปากเลยไม่มีเสียเวลากับอาการงงงวย เขารัดแน่นอยู่ได้ครู่เดียวก็เอาคางเขกหัวอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะปล่อยเด็กหนุ่มออกไปยืนกระโดดเหย็ง ๆ โวยวายใส่หน้าเขาต่อเป็นชุด “ขาดความอบอุ่นเรอะ!? น่าสงสาร เอาตุ๊กตาหมีสักตัวไหม ตอนเด็กไม่เคยมีใครซื้อให้เล่นสินะเที่ยวไล่กอดชาวบ้านเนี่ย!?”
“อย่ามาทำว่าคนอื่น ไอ้เบื๊อก” สามภพเอานิ้วจิ้มหน้าผากเหม่ง ๆ ของเด็กหนุ่มตรงหน้า โหวงเฮ้งดีน่าดีดมาเชียว “แกก็ชอบไล่กอดเพื่อนไม่ใช่หรือ?”
“ผมกอดเฉพาะคนที่ผมถูกใจหรอก!” อีกฝ่ายเถียงคอเป็นเอ็นแล้วห่อไหล่ หนีไปยืนลูบแขนตัวเองทำหน้าสะพรึงอยู่ในระยะปลอดภัย ยิ่งระแวงยิ่งน่าแกล้ง หากไม่นับเรื่องเกรียนก็ช่างเป็นเด็กที่ตลกอะไรอย่างนี้
“ก็จริง” เขาพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เห็นด้วยทุกประการกับแนวทางของคิมหันต์
“พี่ก็กอดเฉพาะคนที่ถูกใจเหมือนกัน”เด็กหนุ่มอ้าปากค้าง ส่วนสามภพยักไหล่ บอกกับตัวเองว่าไม่นับสรัญ
..........................................................
..............................
สามภพนั่งเรื่อยเปื่อยบนรถ สตาร์ทเครื่องให้แอร์เย็นฉ่ำระหว่างรอไอ้ตี๋เกรียนที่อ้างว่าขอไปเก็บเสื้อผ้าก่อน แม้เขาบอกแล้วว่าแค่ยี่สิบสี่ชั่วโมงจะอะไรนักหนา ใส่ชุดเดิมยังไม่ทันจะเน่าเลยแต่อีกฝ่ายยืนกรานว่ายังไงก็ขอเวลาหน่อย ได้แต่หวังว่าคงไม่แอบเอาของอันตรายอะไรยัดใส่กระเป๋ามาด้วย หากมีพิรุธ(ซึ่งระดับคิมหันต์คิดว่าคงดูยาก)เดี๋ยวอาจต้องมีค้นกันก่อน
“ช้าจังวะ”
เขาเปิดเพลงเบา ๆ ไม่ได้ใส่ใจเนื้อหาที่นักร้องพยายามสื่อนัก ใจลอยไปเรื่องโน้นเรื่องนี้(ที่เกี่ยวกับคิมหันต์) นึกย้อนไปถึงตอนเขาคุยกับสรัญ หลังจากโดนง้างปากออกมาจนได้เรื่องเด็กหนุ่มผมทองตัวป่วน
พอไอ้เพื่อนเวรรู้ว่าเขาประมูลตัวเด็กนั่นมาได้ยี่สิบสี่ชั่วโมงก็ทั้งแนะนำทั้งค่อนขอดเร็วรัวจนน่ากลัวว่าลิ้นจะพันกัน แต่ละอย่างที่เสนอมาล้วนน่าขนลุกขนพองตามประสบการณ์คลุกคลีกับโลกสีม่วงมาเนิ่นนานเกือบครึ่งชีวิต ตั้งแต่เจ้าตัวรู้ว่าตนเองชอบผู้ชายเมื่อสมัยประถม นับว่าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยแท้
“ชวนน้องไปเดทดิ” นั่นเป็นคำแนะนำในระดับปกติธรรมดาของสรัญหลังจากโดนเขาเบรกหัวทิ่มมาหลายรอบว่าเอาความคิดบ้า ๆ เข้าข่ายพรากผู้เยาว์ปนทำอนาจารอะไรมาเสนอ
“เดท? หน้าอย่างไอ้เด็กตี๋เกรียนนั่นน่ะเรอะจะยอมไป” เขาค้าน
“ไม่ยอมแม่งก็บังคับบ้างอะไรบ้าง ทำเป็นไม่เคยจีบหญิง” เพื่อนเกย์ทำหน้าเซ็งแทบจะยกนิ้วก้อยขึ้นมาแคะขี้มูก “จีบหนุ่มมันก็คล้ายกันนั่นแหละ แต่ผลตอบแทนเร้าใจกว่าเยอะ”
สามภพทำสีหน้าระอาใจ แต่ยังไม่วายงึมงำ “ที่ไหนดีวะ ไม่อยากไปแถวนี้”
“กลัวเจอคนรู้จัก?” สรัญดักคอ สีหน้ารู้ทัน...และนั่นแหละ รู้ทันจริง ๆ
“แสนรู้”
“ควาย! กูอุตส่าห์คิดช่วย ไม่แย่งงาบเองมึงควรกราบตีนกูแล้ว” อีกฝ่ายหัวเราะบอกให้รู้ว่าไม่ได้ด่าจริงจังแม้จะเริ่มขึ้นมึงกู แต่นั่นชวนให้คิดว่าที่บอกจะไม่แย่งก็มีความหมายไม่จริงจังไปด้วยหรือเปล่า
“คิดว่ามีปัญญาแย่งก็ลองดู”“ภพ” สรัญถอยออกไปนิดหน่อย อารมณ์คุยเล่นลดฮวบลงไปหลายจุด “รู้ไหมหน้ามึงน่ากลัวมาก”
“หือ?”
“ช่างเหอะ” หนุ่มผิวแทนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ “อย่าไปทำต่อหน้าน้องละกัน เด็กหนีหมด”
เขานั่งเงียบไปอีกครู่ใหญ่จนคู่สนทนาคงทนไม่ไหวต้องเปิดประเด็นขึ้นมาอีกครั้ง “ว่าแต่ตกลงจะพาน้องไปไหน เอาให้คุ้มนะเว้ย เป็นโอกาสที่จะสร้างช่วงเวลาดี ๆ”
“ไม่รู้ว่ะ” ชายหนุ่มหมุนปากกาไปมา “คิดไม่ออก”
“เคยได้ยินไหม?" สรัญยิ้มกรุ้มกริ่ม "ไปเสม็ดเสร็จทุกราย”
แทบไม่ต้องเดาเลยว่าหมายถึงเสร็จในความหมายไหน เขาจัดการเอาสมุดม้วนแล้วฟาดลงไปป้าบใหญ่ เล็งที่หัวแต่เจ้าตัวหลบทันจึงพลาดไปโดนไหล่ ซึ่งแน่นอนว่าไม่สะเทือนสักนิด แถมยังหันมาพล่ามต่อเสียอีก “แต่ถ้าเบี้ยน้อยหอยน้อย เวลาจำกัด..”
ใช่ว่าอยากตั้งใจฟังอะไรมากมายกับคำพูดที่ค้างไว้(อย่างน้อยเขาก็บอกตัวเองอย่างนั้น) แต่กลับเผลอหยุดนิ่งงดส่งเสียงรอให้อีกฝ่ายพูดต่อเสียแล้ว
“เอาใกล้ ๆ อย่างหัวหิน...ฟินทุกรายเหมือนกัน”
สรัญเกย์หนุ่มว่าพร้อมทำหน้าฟินคอนเฟิร์มเสียงเปิดประตูรถอีกฝั่งทำเขาหลุดจากภวังค์ คิมหันต์มุดเข้ามานั่งแล้วจัดแจงโยนกระเป๋าเป้ใบย่อมไปกองอยู่เบาะหลัง สังเกตว่าทรงผมไม่ได้ยุ่งเหยิงเหมือนอย่างที่เห็นมาตั้งแต่ตอนสายแล้ว สรุปว่าหายไปนานนี่เพราะมัวนั่งจัดผม?
“ไม่ได้เอาของอันตรายมาด้วยใช่ไหม?” สามภพชิงถาม ในเมื่อที่ผ่านมาทำตัวได้ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“มันขึ้นอยู่กับ
'อันตราย' ของพี่มีคำจำกัดความว่ายังไง” เด็กหนุ่มลอยหน้าลอยตาตอบ จัดแจงหาท่านั่งที่สบายแล้วรัดเข็มขัดนิรภัยไม่มีอิดออดสักนิด ทำใจไว้แล้วว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อาจจะถูกเอาคืนแต่คงไม่ถึงกับโดนจับเชือด อย่างน้อยถ้าพรุ่งนี้ยังไม่กลับไม่ว่าด้วยสาเหตุใดวัสสานะคงเอะใจตามตัวเขาสักหน่อย ทิ้งโน้ตไว้แล้วบนโต๊ะทำงานของเธอที่บ้านว่าไปติวหนังสือกับสามภพและหวังว่ามันคงไม่กลายสภาพเป็นจดหมายลาตายในภายหลัง
นอกรถแดดร้อนเปรี้ยง แต่ข้างในเย็นสบาย นาฬิกาบนแผงคอนโซลบอกเวลาสิบสามนาฬิกา คิมหันต์ขานเวลาออกมาให้ได้ยินดัง ๆ เป็นเชิงบอกว่าจะเริ่มนับเวลาตั้งแต่ตอนนี้
“บ่ายโมง”
“เริ่มนับแล้วเรอะ!?”
เด็กหนุ่มยิ้มยียวน “เวลาเป็นเงินเป็นทอง”
เงินเยอะเสียด้วย สามภพช่วยต่อในใจแต่ขี้เกียจเถียงให้หงุดหงิดเปล่า ๆ จะจับกอดลงโทษบนรถคงไม่ถนัดนัก หันไปสนใจเส้นทางตรงหน้า จากกระจกส่องหลังเห็นตัวบ้านสองชั้นสีขาวขนาดเล็กลง ๆ จนหายลับไปจากสายตาเมื่อความเร็วรถไต่ระดับจนพาพวกเขาออกมาไกล
ไม่เท่าไรคิมหันต์ก็เริ่มยุ่มย่าม จิ้มโน่นจิ้มนี่เลือกเพลงสบายอารมณ์ ดูผ่อนคลายลงเมื่อเจอแอร์เย็นฉ่ำ เอ่ยปากถามทั้งที่มือยังกดยุกยิกไม่เจอเพลงที่ถูกใจ “ไม่มีเพลงเกาหลีหรือ? ชายนี่พี่ฟังไหม? ไม่ก็ลินคินพาร์คที่เคยเปิดครั้งก่อน”
“จำได้ด้วย?”
“แหงล่ะ ผม ท่านคิม!” เด็กหนุ่มประกาศเสียงยิ่งใหญ่พลางกดหาต่อ ง่วนอยู่ตั้งนานก็ยังไม่ถูกใจจนชายหนุ่มเจ้าของรถต้องชะลอความเร็วแล้วละสายตามาเลือกให้ พอใจแล้วไอ้ตัวแสบจึงกลับไปนั่งเอนหลังพิงเบาะโดยสารสงบเสงี่ยม “ว่าแต่พี่จะพาผมไปไหน ห้ามเอาไปฆ่านะเว้ย!”
เท้าที่เหยียบคันเร่งอยู่ถึงกับชะงักไปนิดหน่อย จากหางตามองเห็นคิมหันต์กำลังเลิกคิ้วรอฟังคำตอบ
“เรา” สามภพเน้นหนักแน่นว่า
‘เรา’ ก่อนพูดต่อชัดเจนด้วยถ้อยคำสุภาพรื่นหู
“กำลังจะไปหัวหินกันครับ”- หมดยกที่ 21 -
================================
มาต่อแล้วค่าาาา ^o^
ค่อยไปฟิน(?)ต่อที่หัวหินนะคะ 555
ขำคอมเม้นต์ตอนที่แล้วเรื่องดุ๊กดิ๊กไร้ประโยชน์มากเลยค่ะ จริงมาก เจ้าของเลี้ยงอิ่มหน่ำสำราญเกิน สปอยล์หมาสุด ๆ

ขอบคุณคนอ่านที่น่ารัก ทั้งที่มีและไม่มีล็อคอินนะคะ ไม่มีล็อคอินแต่มาให้ล็อคกอดม่ะ //ทุกคนถอยห่าง(ฮา)

พบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปเช่นเคยค่ะ ^o^