● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 8 – รูปถ่ายในมือถือ
คิมหันต์เอาเท้าวางพาดไว้บนโต๊ะ กระดิกนิ้วใต้ถุงเท้าดุกดิกขณะที่กวาดสายตามองรอบตัว
ห้องเรียนเช้าวันจันทร์ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติยังคงดำเนินไปอย่างเคย ซึ่งในที่นี้หมายถึงวงเมาธ์มอยของสาว ๆ เสียงข่มเรื่องบอลเมื่อคืนใครชนะของกลุ่มบ้าบอลหลังห้อง เล่นมือถือ ลอกการบ้าน อย่าคิดว่าเด็กห้องคิงจะไม่มีเหตุการณ์นี้ (ความเก่งกับขยันมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นแต่ใช่จะเป็นเรื่องเดียวกัน) อ่านหนังสือ...ก็มีคนแบบนั้นบ้าง ตีแบด ตบปิงปอง ชู้ตบาส...ใช่แล้ว...ในห้องเรียน หรือแม้กระทั่งสองสามคนที่ฟุบหลับอยู่กับโต๊ะเป็นประจำและวันนี้ก็ยังคงปฏิบัติตามมาตรฐานเดิมของพวกเขาอย่างเคร่งครัด
เด็กหนุ่มมีความสุขกับการนั่งเอ้อระเหยในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนออดเรียกเข้าแถวจะดัง สังเกตความเป็นไปของสมาชิกร่วมห้อง ทักทายเพื่อนที่เดินผ่าน บางครั้งก็ยื่นขาไปออกไปขัดให้เสียหลักเล่น เยาะเย้ยพวกมันบางคนเรื่องบอลแพ้(โดนตบหัวกลับมาบ้างบางที) ล็อคคอเล่นเบา ๆ แล้วเอาการบ้านให้เพื่อนลอกตามคำขอ จะว่าไปก็เขาก็จัดเป็นพวกเพื่อนเยอะ เข้ากับคนง่าย แต่เพื่อนสนิทที่สุดจริง ๆ นั้นมีเพียงคนเดียว..
ร่างโปร่งของใครสักคนที่ส่วนสูงพอกับเขาปรากฏขึ้นตรงหน้าประตู ส่งเสียงบ่นปนตวาดกับเด็กหนุ่มอีกคนซึ่งเดินตามต้อย ๆ เป็นลูกเจี๊ยบตามแม่ไก่ สภาพดูอิดโรยกว่าปกติเล็กน้อย ก็นั่นละ วันหยุดที่ผ่านทั้งสองคนคงจัดหนักจัดเต็มกันน่าดู แต่น่าจะเป็นจัดหนักคนละความหมายกับที่เขาเจอกับไอ้พี่ภพหมาบ้าโดยสิ้นเชิง
“ไอ้ปิ่นนนนนนนน!!!” พร้อมกับเสียงเรียกดังลั่น คิมหันต์กระโจนใส่เจ้าของชื่อเต็มน้ำหนักราวกับไม่ได้พบกันสักชาติเศษ ยื่นหน้าไปคลอเคลียเล่นตามปกติแบบเพื่อนรักพึงกระทำ...หรือแบบนี้เรียกไม่ปกติ? ซึ่งก็ได้ปฏิกิริยาตอบรับแสดงถึงความรักไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันกลับมาให้ชื่นใจด้วยการเอากำปั้นดันคางเขาออกพร้อมกับถ้อยคำสบถเสริมความสัมพันธ์ฉันท์มิตรในแบบฉบับของปิ่นหยก
“ไอ้เวร! ออกป๊ายย”
“เลว แค่นี้ทำรังเกียจเพื่อน”
“ไอ้กร๊วกคิม! ฉันยังไม่หายปวดตัวเลยนะเว้ย!”
“เห...??” คิมหันต์แสร้งทำหน้าซื่อย้อนถามเสียงสูง ซึ่งปิ่นหยกรู้ตัวว่าเสียท่าเพื่อนรักหัวทองเข้าอีกแล้ว
“ไม่ต้องพยายามทำตาโต..ไม่สำเร็จ แล้วก็...ม..ไม่ใช่อย่างที่แกคิด!”
“ร้อนตัว โถ ๆ ฟายปิ่นแม่งลามก” เขาผลักอีกฝ่ายหัวทิ่ม ทำเป็นไม่ได้ยินคำประชดเรื่องตาโตอะไรนั่น “หน้าแดงมาเชียว เสาร์อาทิตย์จัดหนักเลยดิ ไหนมาสารภาพบาปกับท่านคิมดิ๊!”
“ไอ้คิม ไอ้ชั่ว” ปิ่นหยกคำรามลอดไรฟันด้วยความพยายามอย่างยิ่งจะจำกัดอยู่เพียงระดับเสียงกระซิบ “ยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องเจลนั่นเลยนะ”
“เจล?” เสียงซื่ออีกแล้ว ของถนัดเขาเลย รู้ทั้งรู้ว่าปิ่นหยกกำลังหมายถึงเจลหล่อลื่นที่เขาเคยให้กับอาทิตย์ไว้เมื่อไม่นานมานี้เพราะเดาว่าสักวันสองคนนี้อาจได้ใช้...ซึ่งโอกาสใช้งานก็มาเร็วกว่าที่เขาคิดนิดหน่อย “ไม่เป็นไรควายน้อย ถ้าจะขอบคุณขอเป็นโปรโมชั่นโกโก้ปั่นฟรีร้านพี่เอมสักเดือนนึงดีกว่า”
ปิ่นหยกทำหน้าแดงแจ๋เหมือนลูกตำลึงสุกที่ใกล้ถึงจุดระเบิดเต็มทน..ถ้าลูกตำลึงจะระเบิดเองได้ และอาทิตย์ผู้มีส่วนรับผิดชอบอีกครึ่งหนึ่งก็โผล่มาช่วยไว้ได้ทันเวลา “ขอบใจนายมากคิม ช่วยได้เยอะเลย ไม่งั้นปิ่นหยกเจ็บแย่”
หมายถึงช่วยให้ระเบิดตู้มด้วยความอายเร็วขึ้นน่ะ“....ล...เลว....” ไอ้เพื่อนรักก้มหน้าก้มตา ไม่รู้ว่าด่าแฟนตัวเองหรือด่าเขา บางทีอาจจะเหมาสอง? สีแดงเข้มลามไปถึงใบหูเรียบร้อยขณะที่เดาว่าคงกำลังต่อสู้กับความรู้สึกอยากตะกุยพื้นแล้วเอาหน้ามุดหายไปเลย น้ำเสียงตะกุกตะกักทั้งน่าสงสารและน่าแกล้งในเวลาเดียวกันส่งผ่านริมฝีปากสั่น ๆ ก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยคำสาปแช่งเขาอีกครั้ง แบบเดียวกับที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ตอนเขาจับได้ครั้งแรกว่าเพื่อนทั้งสองมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งไปอีกขั้นแล้ว
“ไอ้เวรคิม! แช่งให้มีแฟนเป็นผู้ชาย!”
"อุ๊ย กลัวแย่เลย" คิมหันต์บีบเสียงแล้วยักไหล่ สีหน้ามั่นใจเต็มเปี่ยมขณะที่ปิ่นหยกยังอาฆาตต่อ
“ให้เป็นฝ่ายรับด้วยเลยแม่ง!” อีกฝ่ายปิดท้ายก่อนจะกระแทกเท้าเดินไปที่โต๊ะแต่ยังเห็นว่ายั้งแรงไว้คล้ายกลัวจะเจ็บ ตามด้วยคุณชายอาทิตย์ที่เดินตามต้อย ๆ แต่ไม่ลืมจะหยุดเพื่อตบไหล่เขาเบา ๆ ทีหนึ่ง หันมาขยิบตาให้พร้อมคำขอบคุณอีกครั้ง เห็นทำหน้ามึนตลอดเวลาแต่เป็นถึงน้องชายของอันนาก็เรียกว่าใช่ย่อยโดยเฉพาะตอนอยู่ลับหลังแม่ไก่สุดรักสุดหวง
ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายของเพื่อนซี้เขาที่มาตกหลุมความมึน..เอ้อ...ความรักของท่านชายอาทิตย์ แต่อย่างน้อยทั้งสองคนก็รักกันและเขายินดีช่วยถ้าเห็นปิ่นหยกมีความสุข แม้เจ้าตัวติดจะปากแข็งไปสักหน่อย แถมยังรู้สึกเหมือนโดนแย่งเพื่อนไปอย่างไรชอบกล แต่อย่างว่า ฝนจะตก แดดจะออก คนจะรักกัน ห้ามได้ที่ไหน ถ้ามีใครสักคนมาดูแลเพื่อนโง่ ๆ ของเขาซึ่งน่าเสียดายความฉลาดอันจำกัดอยู่แค่เรื่องเรียนกับคำนวณค่าใช้จ่ายสินค้าลดราคา (ปิ่นหยกงกมากจริง ๆ ) ก็นับเป็นเรื่องสมควรดีใจและแสดงความยินดีต่อให้อีกฝ่ายเป็นผู้ชายด้วยกัน
...เป็นผู้ชายด้วยกัน...“มีแฟนเป็นผู้ชาย...และเป็นฝ่ายรับ?” คิมหันต์ทวนคำกับตัวเอง เวทนาอยู่ในใจว่าเพื่อนรักช่างบ้าไปแล้ว เอาแต่แช่งอย่างนั้นคิดว่าจะได้ผลหรืออย่างไร ถ้าเป็นคำพูดของพวกมีเซนส์สักหน่อยอย่างน้องชายเจ้าของหอพักซึ่งปิ่นหยกอาศัยอยู่ที่ชื่ออุ่นใจค่อยน่ากลัวขึ้นมาบ้าง
เด็กหนุ่มหัวเราะหึ ๆ พร้อมกับส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย บ่นพึมพำออกมาแม้ว่าคนแช่งจะไม่ได้ยืนฟังอยู่ตรงนั้นแล้ว
“ใครมันจะไปบ้าอย่างแกวะไอ้ปิ่น”..................................................................
..................................
“ภพ เอาสรุปแล็บมาลอกหน่อย”
“ส่งไปแล้ว”
“เชี่ย! รีบไปไหน”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แต่คำสบถ
‘เชี่ย’ ของสรัญ เพื่อนร่วมคลาสที่นั่งปั่นสรุปผลแล็บไฟลุกท่วมกระดาษอยู่ข้าง ๆ นั้นกลับทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่พ่นคำนี้ออกมานับครั้งไม่ถ้วนในรอบสองวันหนึ่งคืน...ไม่สิ...แค่สองวันต่างหากเพราะไอ้เด็กนั่นหลับปุ๋ยไปเต็ม ๆ หนึ่งคืน สามภพหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพลิกเล่น ยังเหลือเวลาอีกราวสิบห้านาทีก่อนจะเริ่มคาบถัดไป ตั้งใจจะเล่นเกมซึ่งเคยค้างไว้ระหว่างรอเพื่อนในกลุ่ม แต่ทำไมจึงมาจบที่โฟลเดอร์เก็บรูปในเครื่องได้ก็ยังน่าสงสัย
“เป็นบ้า'ไรวะ หัวเราะคนเดียว”
“หืม?” สามภพส่งเสียงรับอยู่ในลำคอ ไม่ทันได้สังเกตว่าอีกฝ่ายมองข้ามศีรษะเขาซึ่งนั่งอยู่จากด้านหลังมายังภาพบนจอมือถือ และไม่ทันได้สังเกตตัวเองเช่นกันว่ามุมปากกำลังยกขึ้นน้อย ๆ อย่างที่ถูกทักจริง
“เฮ่ย น่ารักดีว่ะ น้องชายแกหรือ?”
“ใคร?”
“ในรูป”
ชายหนุ่มมองตาม แม้ไม่จำเป็นเลยสักนิดเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าสรัญกำลังพูดถึงอะไร “ไอ้ลูกหมาสีทองเนี่ยหรือ?”
“กวนตีนแล้วไอ้ภพ หมายถึงคนในรูปเว้ย ไม่ได้หมายถึงหมา”
สามภพยักไหล่ ไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อน ก้มลงมองรูปเด็กหนุ่มผมทองรัดจุกด้วยยางรัดผมรูปสตรอเบอร์รี่แบบเดียวกับสุนัขโกลเด้นรีทรีฟเวอร์ซึ่งแยกเขี้ยวลิ้นห้อยอยู่ข้างกัน ก่อนจะปิดหน้าจอหนีแล้วหันไปรวบหลอดทดลองและสารเคมีที่เหลือไปเก็บกวาด “หมาทั้งคู่นั่นแหละ”
สรัญหยิบบีกเกอร์ที่เหลือตามมายังอ่างล้างเครื่องมือพลางบ่นกระปอดกระแปดกลั้วเสียงหัวเราะไปด้วย “รู้อะไรไหมไอ้ภพ แกแม่งก็หมาว่ะ”
“พูดเชี่ยไร”
“หมาหวงก้าง”“ควาย” เขาส่งคำด่าด้วยกิริยาสงบ เปิดน้ำแรงขึ้นอีกหน่อยเพื่อชะเอาตะกอนสีน้ำตาลแดงของคอปเปอร์ออกไซด์ซึ่งค้างอยู่ในหลอดแก้วให้หลุดออกไป ซึ่งนั่นคงไม่ใช่การตอบรับที่อีกฝ่ายอยากได้จากเขา
“ตกลงนั่นน้องหรือว่าใคร” สรัญพูดเสียงเบาลง ปิดก๊อกน้ำที่เขากำลังใช้อยู่เรียกร้องความสนใจ “น่ารักว่ะ แนะนำหน่อยดิ”
สามภพหยุดการกระทำที่ค้างอยู่ทั้งหมด หันไปมองหน้าพาร์ทเนอร์แล็บซึ่งถูกจับคู่ภาคบังคับด้วยเลขประจำตัวนักศึกษาอยู่ใกล้กันเลยกลายเป็นต้องร่วมหัวจมท้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ “เซ้าซี้อะไรวะ”
“ไม่ใช่น้องชายใช่ไหม?”
เขาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย ส่งสีหน้ารำคาญเต็มแก่ “ไม่เคยมีน้องชายเป็นหมาว่ะ”
“ไอ้เวรเอ๊ย” สรัญหัวเราะ ดูดีด้วยบุคลิกกันเองผนวกกับรอยยิ้มกว้างเป็นมิตร ผิวละเอียดสีแทน รูปร่างสูงใหญ่แบบที่สาว ๆ เห็นน่าจะชอบใจและพร้อมตกลงยอมเป็นแฟนหากเจ้าตัวร้องขอได้ไม่ยาก แต่ปัญหาอยู่ที่สรัญคงไม่คิดเอ่ยคำเหล่านั้นกับพวกผู้หญิงซึ่งอาจรอฟังอยู่ และพวกเธอควรต้องทำใจว่าได้รอเก้อเป็นแน่
“อ้อมไปอ้อมมาอยู่ได้" หนุ่มผิวแทนพูดต่อ "บอกมาคำเดียวว่าไม่ใช่ก็จบแล้ว ปากหนักอะไรนักหนา”
“เสือก” สามภพเลือกจะวิจารณ์สั้น ๆ
“แนะนำหน่อย หรือหวงวะ” อีกฝ่ายเอาไหล่ซึ่งหนาพอกับเขามากระแทกเบา ๆ “แต่แกไม่ได้ชอบผู้ชายนี่?”
ชายหนุ่มเก็บบีกเกอร์และหลอดทดลองซึ่งล้างเสร็จแล้วคว่ำไว้บนชั้นวาง ทิ้งช่วงให้ความเงียบอีกหนึ่งอึดใจก่อนจะพูดต่อเสียงเย็นชาขณะที่เดินไปรวบหนังสือขึ้นมาแล้วหมุนตัวสาวเท้านำออกจากห้อง “ฉันไม่เหมือนแก”
มีเพียงเสียงหัวเราะชอบใจส่งกลับมา
สรัญชอบผู้ชาย เรื่องนั้นเขารู้นานแล้วเพราะเจ้าตัวเป็นคนเอ่ยปากออกมาเอง โชคร้ายที่เขาโดนจับอยู่กลุ่มเดียวกับอีกฝ่ายเกือบทุกวิชาที่เป็นแล็บ แต่อย่างน้อยก็โชคดีที่เขาไม่ใช่สเปกเพื่อนเกย์ตรงหน้า เขาล่ำไป..สูงไป..ขาดอารมณ์ขันเกินไป..และดูเป็นผู้ชายเกินไป(ซึ่งถูกแล้วเพราะเขาเป็นผู้ชาย)
'หาความน่ารักไม่มี' สรัญเคยว่าไว้อย่างนั้น เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งเพราะลำพังแค่หลบพวกผู้หญิงชีวิตเขาก็วุ่นวายพออยู่แล้ว
“ก็ดี” สรัญยักไหล่ “จะได้ไม่ต้องแย่งกัน”
สามภพกลอกตาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ ไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอย่างอื่นในขณะที่เดินแทรกตัวไปกับเพื่อนนักศึกษากลุ่มใหญ่ซึ่งมีที่หมายเดียวกันในคาบเรียนต่อจากนี้
“หน้าเหมือนเด็กมอปลาย..” อีกฝ่ายพึมพำท่าทางครุ่นคิด “ใช่ปะ”
“อือ”
“หัวทองมาเชียว แม่งชอบว่ะ ทำสีเปรี้ยวไตขนาดนี้เรียนที่ไหนวะ...โอ๊ะ! 'โทษครับ” สรัญหันไปขอโทษขอโพยหนุ่มตัวเล็กสวมแว่นคนหนึ่งซึ่งเพิ่งถูกกระแทกไหล่จนเดินเป๋ขณะที่สวนกัน แต่ไม่ทันได้มองหน้าก็โดนกลืนหายไปกับผู้คนเรียบร้อยพอดีกับที่พวกเขาเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องเลคเชอร์ “แล้วเป็นอะไรกับแก”
ไร้ความลังเล สามภพไม่เสียเวลาแม้แต่จะไตร่ตรองสักนิดด้วยซ้ำ
“ศัตรู”น้ำเสียงเย็นเยียบของสามภพตอนเอ่ยคำนั้นออกมาทำให้พอจะเชื่อได้บ้างว่าอาจเห็นเด็กหนุ่มในบทสนทนาเป็นศัตรูจริง แต่สรัญไม่แน่ใจนักว่าหากเป็นเขาจะเก็บรูปคนที่ไม่ชอบขี้หน้าไว้ในมือถือแล้วเอาออกมาเปิดดูพร้อมกับนั่งยิ้มไปด้วยหรือเปล่า
ชายหนุ่มผิวเข้มสาวเท้าไปจนทันเพื่อน เอามือเกาะไหล่สามภพอย่างพยายามตีซี้ “งั้นขอดิ” ก่อนอีกฝ่ายจะปัดมือเขา หัวคิ้วขมวดมุ่นพร้อมกับหรี่ตาไปด้วยขณะที่จ้องเขม็งกลับมา
“ถ้าเห็นว่ามันกวนตีนขนาดไหนแล้วแกจะไม่พูดอย่างนี้”
“เฮ่ย..งั้นสิดี” สรัญหัวเราะชอบใจ “ตัวเล็ก ๆ นิสัยร้าย ๆ อะ บอกเลยว่าถูกใจว่ะ”
สามภพเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแต่ไม่ได้ตอบอะไร บางทีคุยกับเพื่อนคนนี้ก็คล้ายพูดกับอากาศ ซึ่งเกือบปีที่ผ่านมาเขาก็เริ่มปรับตัวได้ในที่สุด
“นี่ ๆ แล้วตกลงน้องมันชื่ออะไรวะ?” เขาเหมาเรียก
‘น้อง’ ไปแล้วเสร็จสรรพ ยังไม่ละความพยายามจะเค้นอะไรออกมาสักอย่างจากปากหนัก ๆ ของพาร์ทเนอร์แล็บจำเป็น สามภพพ่นลมหายใจออกมาอีกหนึ่งเฮือก ตอบเขาสั้น ๆ เพียงสองพยางค์ก่อนจะเดินนำเข้าไปหาที่นั่งในห้องเลคเชอร์
“ดุ๊กดิ๊ก”“ดุ๊กดิ๊ก?” สรัญเลิกคิ้ว ทวนคำออกมาแผ่วเบาแล้วอ้าปากน้อย ๆ ยืนค้างหน้าประตูอยู่อย่างนั้นจนคนข้างหลังสักคนดันเขาเข้าไปในห้อง ยอมรับกับตัวเองว่าประหลาดใจมากพอดู
ผมทอง ผิวขาว หน้าตี๋ ปากนิดจมูกหน่อย แก้มใสน่าฟัด
แต่ให้ตายเถอะ...ชื่ออย่างกับหมา!.
.
.
.
หน้าชั้นเรียนกำลังมีบรรยายเกี่ยวกับทฤษฎีของลีอองว่าด้วยเรื่องการกดการทำงานของโครโมโซมเอ็กซ์อันนำไปสู่เหตุผลที่ว่าทำไมแมวสามสีมีเฉพาะตัวเมีย นั่นเป็นสิ่งที่สามภพพอจับใจความได้คร่าว ๆ ขณะกำลังเคลิบเคลิ้มกับบทพูดเนิบนาบของอาจารย์ที่เคารพซึ่งนำทางเขาไปเฝ้าพระอินทร์
“ภพ ยืมดูมือถือดิ”
เป็นสรัญเจ้าเก่าพร้อมศอกซ้ายซึ่งถองเข้ามาที่ดึงเขาขึ้นจากภวังค์
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะเบา ๆ ปลุกตัวเองให้ตื่นมาฟังต่อโดยไม่ลืมจะทำหน้าเซ็งโลกใส่เพื่อนเกย์คิงด้านข้างไปด้วย “ยุ่งอะไรเยอะแยะวะ”
“นิดเดียว อยากเห็นหน้าน้องดุ๊กดิ๊กชัด ๆ”
สามภพไม่ได้ตอบอะไร และนั่นเป็นช่องว่างให้อีกฝ่ายตีความในเชิงอนุญาต คว้าเครื่องมือสื่อสารที่วางบนโต๊ะเลคเชอร์ของเขาไปกดเล่นยุกยิกพร้อมกับเสียงทัก “โห..สาวแอดไลน์มาเพียบเลยนะมึง” เป็นระยะ ต่อท้ายด้วย “แต่ไม่อิจฉาว่ะเพราะไม่สน” ในบางที
“อ๊ะ!...นี่...”
“....” ชายหนุ่มหันไปมองเพื่อนที่ส่งเสียงมาแค่นั้นแล้วก็เงียบลงเสียดื้อ ๆ บางทีอาจคิดได้แล้วว่าควรปล่อยให้เขานั่งสงบบ้าง สรัญอมยิ้มมุมปากอยู่ครู่หนึ่งแล้วลงมือพิมพ์อะไรบางอย่างลงไป ได้ยินเสียง
‘ตึ๊ง! ตึ๊ง!’ เบา ๆ ซึ่งเขาไม่ทันได้เอะใจกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่มากขึ้นอีกจนดูมีพิรุธ
“เชี่ยรัญ เล่นอะไรวะ”
“ไอ้ภพ..ทำไมน้องมันใช้ชื่อคิม ไม่ใช่ดุ๊กดิ๊ก?”
สามภพสะดุดกึกกับคำถามนั้น ขณะที่อีกฝ่ายยิ้มแฉ่งเมื่อเขากระชากมือถือตัวเองกลับมาดู หน้าจอค้างอยู่ที่แอพพลิเคชั่นสำหรับแชทยอดฮิตซึ่งปกติเขาไม่ได้ใช้นัก ชื่อคู่สนทนาปรากฏแก่สายตาว่า
‘Kim’ ยืนยันด้วยไอคอนรูปเด็กหนุ่มผมทองตาหยีคนเดียวกับที่แทบตีกันตายเมื่อไม่กี่วันก่อน บทสนทนาบนหน้าจอขึ้นเป็นข้อความจากเขาซึ่งถูกส่งไปโดยฝีมือเกย์หนุ่มผู้หมายมั่นปั้นมือจะงาบเด็กว่า
‘น่ารักจังครับ’ ตบท้ายด้วยสติกเกอร์รูปหมีสีน้ำตาลกับกระต่ายเกรียนสีขาวกำลังกอดกันกลมดิกโดยมีรูปหัวใจดวงโตลอยอยู่เหนือหัว
“ไอ้รัญ...นี่มึง...”
ไม่ทันได้พูดอะไรมากกว่านั้น หน้าต่อข้อความที่ส่งไปซึ่งเคยเป็นที่ว่างปรากฏตัวหนังสือว่า
‘read’ เด้งขึ้นมาต่อหน้าต่อตา สามภพถึงกับนึกคำพูดไม่ออกไปชั่วขณะ แทบปล่อยโทรศัพท์ร่วงหลุดมือ และนายสรัญเพียงแต่ยักไหล่เบา ๆ แล้วส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจ
เป็นอันรู้กันว่าน้องดุ๊กดิ๊กได้เห็นอักขระและสติกเกอร์น่าบัดซบซึ่งถูกส่งไปด้วยชื่อสามภพเป็นที่เรียบร้อย- หมดยกที่ 8 -=================================
อั้ยย่ะ!
ตัวละครใหม่มาแล้วค่ะ แสดงจุดยืนชัดเจนมาเลย (ฮา)
อนึ่ง โทนเรื่องนี้เป็นแนวชวนหัวรั่วหนัก(ยิ่งกว่าลูกเจี๊ยบแม่ไก่) ผลัดกันหยิกแกมหยอกเจ็บ ๆ คัน ๆ ไม่ถึงกับจะฆ่ากันตาย หากอ่านแล้วมีอารมณ์ร่วมเราก็ดีใจแทบกระโดดค่ะ แต่ไม่อยากให้เครียดว่าคนเขียนเข้าข้างพระเอกหรือนายเอกมากกว่ากัน เพราะเรารักทั้งคู่..และเดี๋ยวทั้งสองคนก็ต้องรักกันอยู่ดี นี่พูดเลย 555 ไม่ได้ห้ามเชียร์ใครนะคะ คนอ่านเข้าข้างใครได้ตามสบาย หรือจะนั่งแช่งฝ่ายไหน(หรือแช่งคนเขียน)ก็ไม่ว่า แค่ไม่อยากให้ถึงกับเอามาเป็นอารมณ์ขุ่นเคืองกันเท่านั้นเอง
ถ้าอ่านแล้วหงุดหงิดอยากให้พักสักหน่อย หายใจเข้าออกลึก ๆ หากยังรำคาญใจทำยังไงก็ไม่หาย ลองหาอะไรอย่างอื่นที่ชอบอ่านเพื่อความสบายใจค่ะ เพราะมีความสุขกับแนวที่ชอบน่าจะดีกว่า ไม่อยากให้เครียดเนอะ ^^
แล้วพบกันตอนหน้า ของแถมรีพลายถัดไปค่ะ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ *กอดดดด*