● เล่ห์รักฤดูร้อน ●
ยกที่ 2 – แรกพบ ไม่สบอารมณ์
คิมหันต์เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาสนใจ น่าเศร้าอยู่นิดหน่อย ที่เพื่อนบางคนนิยามนิสัยเยี่ยงนักวิทยาศาสตร์เช่นนั้นอย่างโหดร้ายว่า
‘เสือก’ชีวิตมัธยมปลายของเด็กหนุ่มดำเนินไปตามปกติ เรียน เล่น ยุ่งเรื่องชาวบ้าน มีเพื่อนสนิท เห็นเพื่อนสนิทมีแฟน เข้าไปยุ่งเรื่องเพื่อนสนิทกับแฟนสนองความสงสัยใคร่รู้ส่วนตัว กลับบ้านเลี้ยงหมา เถียงกับพี่สาว อยู่โรงเรียนแอ๊บหล่อ (แม้อยู่บ้านเขาก็คิดว่าตัวเองหล่อแต่ไม่เท่าที่โรงเรียน) ตัดสินใจไปย้อมผมทองอร่ามตั้งแต่เมื่อสองสามปีก่อน ด้วยเห็นบอยแบนด์เกาหลีย้อมผมทองแล้วประทับใจแทบหลั่งน้ำตา แรงบันดาลใจล้นเหลือ ส่งให้เด็กหนุ่มเบนเข็มชีวิตเข้าสู่วิถีแห่งกิมจิด้วยโอปป้าคิมสไตล์ ใคร ๆ จะได้เลิกเรียกเขาว่าไอ้ตี๋ หรือคำอื่นที่ความหมายใกล้เคียงเหมือนตอนอยู่โรงเรียนเก่าเสียที ไม่ได้เกลียดหรอก ก็ตี๋จริงนั่นละ แต่อยากหาอะไรแปลกใหม่ให้ชีวิตบ้าง
โชคดีที่เขาเรียนโรงเรียนเอกชน ห้องคิงเสียด้วย อย่าคิดว่าเอาแต่ห่วงทรงผมกับยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วจะหัวทึบ เขาถูกจัดอยู่ในกลุ่มนักเรียนเกรดดีจากการสอบคัดห้องในทุกปีการศึกษา อยากจะย้อมผมทองหรือทำหัวแดงมาเรียนก็เอา ไม่ใช่เรื่องแปลกในโรงเรียนนี้ซึ่งยืดหยุ่นเรื่องกฎระเบียบเกี่ยวกับทรงผมเหลือเชื่อ
ปกติตอนไปโรงเรียน เด็กหนุ่มมักเซ็ตผมอย่างดี (ยกเว้นตื่นสาย) แต่ตอนนี้เจ้าตัวกำลังนอนอืดท้าอากาศร้อนบนโซฟาตัวโปรด ปล่อยผมเผ้าเป็นกระเซิงเหมือนรังนก กำลังคิดว่าจะงีบสักหน่อย จนกระทั่งได้ยินเสียงหวาน ๆ ของ สิสิร ผู้เป็นพี่สาวคนรองแว่วมา
“คีม...”
เสียงนุ่มมาเชียว รื่นหูเกินไปจนรู้สึกเหมือนความสงบในชีวิตกำลังโบกมือลาพักร้อน
“ไปกับเจ้หน่อย”
นั่นไง!
“ไม่ไป ขี้เกียจ”
เด็กหนุ่มปฏิเสธตั้งแต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามว่าจะไปไหน นอนแผ่หลากลางโซฟา เกาพุงแกรก ๆ พลางคิดว่าวันเสาร์ที่อุตส่าห์ทำการบ้านเสร็จหมดแล้วทั้งที เขาควรได้นอนกลิ้งเกลือกอยู่กับบ้านเป็นรางวัลของความขยัน มากกว่าจะไปตุหรัดตุเหร่รับใช้พี่สาวนอกสถานที่ให้เหนื่อยแรง
“ครีมจ๊ะ”
เสียงเธอยิ่งทวีความสยองรูหู แถมชื่อเล่นน่าขนลุกก็ถูกยกขึ้นมาใช้อีกแล้วแสดงสัญญาณไม่ค่อยดี แต่คิดหรือว่าวิธีแบบนี้จะได้ผล
“ไม่”
จุดยืนชัดเจน วันนี้ต่อให้เอาชะแลงมาแงะก็จะไม่ยอมออกจากบ้านเด็ดขาด
“เจ้จะไปกินเค้ก”
“อ้วน”
“นั่นปาก!?”
“เยส!”
สิสิรกระตุกมุมปาก เกิดเป็นองศาก้ำกึ่งระหว่างกรีดยิ้มกับแยกเขี้ยว เธอเดินไปนั่งท่าสวยตรงขอบโซฟาแล้วเอ่ยออกมาอย่างมีเลศนัย “เจ้จะไปกับอันนา..”
ถึงตรงนี้เขาเริ่มเห็นความน่าสนใจในกิจกรรม ‘หม่ำเค้กวันเสาร์’ ของผู้เป็นพี่ขึ้นมานิดหน่อย
“ที่ร้านเค้กทานตะวัน”
เขาหรี่ตามองหญิงสาว เธอจ้องกลับมาด้วยนัยน์ตาวาววับ
“ให้คิดอีกทีว่าอยากไปด้วยกันหรือเปล่า?”
อาเจ้ที่รักช่างเลือกทิ้งจังหวะ กระตุ้นความน่าสงสัยในแต่ละประโยคได้เหมาะเจาะจริง ๆ มันคงเป็นกิจกรรมหม่ำเค้กประสาสาวมหา’ลัยธรรมดาไร้สิ่งน่าดึงดูด หากไม่มีชื่อ ‘อันนา’ และ ‘ร้านเค้กทานตะวัน’ โผล่เข้ามาในบทสนทนาด้วย
“เจ้จะไปกินเค้กหรือทำอะไร” เขาผุดลุกขึ้นนั่ง จ้องหน้าพี่สาวพยายามจับพิรุธ ซึ่งสิสิรก็มืออาชีพพอจะไม่เสียท่าให้น้องชาย
หญิงสาวยิ้มหวาน รู้สึกแบบเดียวกับคนตกปลาที่เห็นเบ็ดกระตุก
“อยากรู้ก็ไปด้วยกันสิ”
“ชิ!”
คิมหันต์พ่นออกมาคำเดียวแล้วกระโจนลงจากโซฟาวิ่งเข้าไปในห้องตัวเอง
สิสิรมองตามจนแผ่นหลังเขาลับตาไป เธอรู้ว่าเขาไม่ได้คิดหนี แต่น่าจะวิ่งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมออกจากบ้านมากกว่า
“รอแป๊บ เซ็ตผมก่อน”
เสียงน้องชายตะโกนกลับมาดังคาด หญิงสาวหยิบหูฟังเครื่องเล่นเอ็มพีสามขึ้นมาใส่ ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือแล้วไถลลงไปนั่งเอนตัวพิงพนักโซฟารอเขาอย่างใจเย็น เวลามีถมเถกว่าจะถึงที่นัดกันไว้กับอันนา ไม่มีความจำเป็นจะต้องรีบร้อน
ในเมื่อปลาติดเบ็ดแล้วนี่นา
ครู่ใหญ่ที่คิมหันต์เหลียวซ้ายแลขวากับเงาในกระจก สภาพออกมาได้อย่างใจแล้วจึงย่างออกจากห้องด้วยท่าทีประหนึ่งจะขึ้นคอนเสิร์ต รอสักวันพี่สาวของเขาหาป้ายไฟมาโบกคงได้อารมณ์ขึ้นอีกนิด
“ช้า”
เจอหน้าก็โดนประณามทันที
“อย่างเจ้คงเผื่อเวลาไว้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”
“ทำรู้มาก” สิสิรย่นจมูก ควงกุญแจรถด้วยนิ้วชี้แล้วเดินนำออกไป “กวนอย่างนี้ระวังสักวันจะซวยเพราะไปเหยียบตาปลาใครเข้า”
เด็กหนุ่มยักคิ้วหลิ่วตา เห็นชัดว่าไม่ได้ใส่ใจคำเตือนพี่สาวเท่าไรนัก ตอนนี้สิ่งที่ดึงดูดเขาออกจากบ้านได้ คือจุดประสงค์ในการมากินเค้กอย่างเฉพาะเจาะจงร้านของเพื่อนพี่สาวที่ชื่ออันนามากกว่า
อันนา อาทิตย์ สองพี่น้องตระกูลวิจิตรนิรันดร์พอเป็นเรื่องของตระกูลนี้ทีไร คิมหันต์นึกออกแต่อะไรไม่ปกติ
พี่สาวคนงามนิสัยเจ้าเล่ห์ชื่ออันนานั้น เขาเคยได้ยินมาบ้างแต่ยังไม่เคยเจอตัว ส่วนน้องชายรูปหล่อปานเทพบุตรแต่หน้ามึนสุดติ่ง แถมดันมาหลงรักผู้ชายด้วยกัน และไอ้ผู้ชายคนนั้นบังเอิญเป็นเพื่อนสนิทเขาซึ่งเรียนร่วมห้องกันมาตั้งแต่ขึ้นชั้นมัธยมปลายด้วยนี่สิ
รถเริ่มออกตัวไปตามเส้นทางคุ้นเคย จุดมุ่งหมายคือ ‘ร้านเค้กทานตะวัน’ ซึ่งเปิดอยู่ชั้นล่างสุดของหอพักที่อาทิตย์และชู้รักอาศัยซุกหัวนอน พร้อมกับรับจ็อบเป็นพนักงานร้านเค้กที่ว่าไปด้วย บ้านรวยเสียเปล่า โดนพ่อเตะโด่งออกมาใช้ชีวิตจนแกลบอยู่ข้างนอกเสียอย่างนั้น
คิมหันต์ปรับเบาะนั่งให้เอนตัวได้สบาย มองภาพทิวทัศน์บ้านเรือนวิ่งฉิวผ่านไปข้างกระจก นึกถึง ‘ปิ่นหยก’ เพื่อนรักของเขา พูดให้ชัดก็แฟนหนุ่มของอาทิตย์ด้วยนั่นละ ตอนนี้คงกำลังทำงานหัวหมุนอยู่ร้านเค้ก โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังจะได้พบว่าที่พี่สะใภ้ ผู้หญิงซึ่งเล่าลือกันว่าเป็นสตรีน่าสะพรึงคนหนึ่งในบรรดาผู้คนที่เขาเคยได้ยินกิตติศัพท์ ตั้งใจเจาะจงร้านเช่นนี้บางทีเธออาจอยากเห็นหน้าคนรักของน้องชายก็เป็นได้
เด็กหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจ้อง ชักห่วงสวัสดิภาพเพื่อน จะโทรหาเจ้าตัวโดยตรงก็ไม่ได้อีก เพราะปิ่นหยกไม่มีมือถือด้วยความที่ทั้งจนทั้งงก แต่ตอนกลางวันอย่างนี้คงทำงานอยู่ร้านนั่นเอง
เขาตัดสินใจเลือกเบอร์ร้านเค้กทานตะวันแล้วกดโทรออก ตั้งใจว่าจะเตือนล่วงหน้าสักหน่อยตามประสาเพื่อนที่ดี รออยู่ครู่ใหญ่จึงมีเสียงมนุษย์ตอบรับแทนสัญญาณรอสาย
“สวัสดีครับ ร้านเค้กทานตะวันครับ” เป็นอาทิตย์ที่ทักทายกลับมา
“ฉันเอง คิม” เขาเอ่ยเรียบ ๆ “ไอ้ปิ่นล่ะ”
“ไม่สบายอยู่”
คิมหันต์เลิกคิ้ว ไอ้มนุษย์ถึกทุยในร่างเด็กมัธยมผอมแห้งอย่างปิ่นหยกน่ะหรือ หมอนี่มีวันที่ไม่สบายกับเขาด้วย ต่อมอยากรู้อยากเห็นทำงานขึ้นมาทันที “มันเป็นอะไร?”
“เมื่อคืนหนักไปหน่อย”
เด็กหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ ‘เมื่อคืนหนักไปหน่อย’ ที่เพิ่งได้ยิน หากออกมาจากปากคนอื่นแล้ว เขาอาจคิดว่าเป็น กินหนัก เมาหนัก งานหนัก หรืออะไรเทือกนั้น แต่พอออกมาจากปากท่านชายอาทิตย์ที่เผลอเมื่อไรเป็นลวนลามเพื่อนเขาทุกครั้ง ก็มีอันต้องระแคะระคายแล้วว่า ‘หนัก’ ที่ว่าคงไม่ใช่ในความหมายปกติ
“มีธุระอะไรไหม ตอนนี้ที่ร้านกำลังยุ่ง ปิ่นหยกไม่ได้มาทำงาน”
เขากำลังจะอ้าปากบอกอาทิตย์ ว่าพี่สาวเจ้าตัวกำลังจะไปที่ร้าน ทว่า..
ตู๊ด......ตู๊ด......ตู๊ด......ตู๊ด...สายตัดไปเสียก่อน โทรไปอีกครั้งก็ไม่มีคนรับ ท่าทางคงกำลังยุ่งจริง ๆ มีลางสังหรณ์ว่าไปเยี่ยมเยียนเพื่อนทั้งสองแบบนี้อาจจะได้เห็นอะไรน่าสนุก
เด็กหนุ่มเก็บมือถือเข้ากระเป๋า โทรไม่ติดก็ช่างหัวแล้ว ไว้ค่อยไปเจอกันที่ร้านก็ได้
“ไอ้ปิ่น..ไอ้ตัวดวงซวย” เขาพึมพำ แม้เห็นใจแต่ก็นึกสนุกไปด้วย “แกงานเข้าแน่”
วันเสาร์อย่างนี้ร้านเค้กทานตะวันคนเยอะ เขารู้ดีเพราะปกติมาเอ้อระเหยลอยชายอยู่ที่นี่บ่อย ครั้งนี้ก็ไม่ต่าง แถมดูจะยุ่งกว่าปกติด้วยเมื่อพนักงานอยู่ไม่ครบ เขากวาดสายตาไปทั่วร้านแต่กลับไม่พบปิ่นหยกหรืออาทิตย์ เห็นแต่พนักงานประจำคนอื่นที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี ยืนยันได้จากคำทักทายตีซี้สุด ๆ
“ไงไอ้กิมจิหัวทอง”
“ไงพี่แวว วันนี้ก็โสดอีกอะดิ” เขาโบกมือให้แวววัน สาวโสดประจำร้านที่อยากลงจากคานจะแย่แต่ไม่สำเร็จสักที ได้รับคำสรรเสริญคุณงามความดีจากเธอกลับมายาวเหยียด
เด็กหนุ่มยักไหล่ เดินนำสิสิรเข้าไปหาที่นั่งซึ่งยังว่างอยู่ พี่สาวเขาบอกว่านัดเจอกับอันนาที่นี่ อีกสักพักเจ้าตัวคงมาถึง
เขาปล่อยเธอนั่งพิจารณาเค้กในเมนู ส่วนตัวเองเลือกจะเดินซอกแซกมุมนั้นมุมนี้ของร้านตามความเคยชินมากกว่า พอสายตามองเห็นชายหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีผู้เป็นเจ้าของร้านเค้กก็รีบพุ่งเข้าไปทักทายทันที
“พี่เอม”
“อ้าว คิม”
ชายหนุ่มที่เขาเรียกว่า ‘พี่เอม’ นั้นชื่อเต็มคือ ‘เอมจิต’ เป็นเจ้าของหอพักและเจ้าของร้านเค้กแห่งนี้ ขณะที่ส่งเสียงทักทายกลับมาก็ยังโปรยยิ้มหล่อลากพร่ำเพรื่อเป็นอาหารตาลูกค้าสาว ๆ เช่นเคย
“มาหาปิ่นหรือ?”
“ประมาณนั้นครับ ว่าแต่มันไปไหนแล้วอะ ไอ้อาทิตย์ด้วย”
“เห็นอาทิตย์บอกว่าปิ่นไม่สบาย” เอมจิตตอบด้วยเสียงทุ้มน่าฟัง พลางหันไปชงกาแฟหอมกรุ่น เห็นภาพลักษณ์ตอนนี้ใครจะเชื่อว่าในอดีตเคยเป็นเพลย์บอย ดื่ม เที่ยว เปรี้ยวตับมาก่อน คนเรามันเปลี่ยนกันได้จริง ๆ “ตอนนี้ขึ้นไปดูปิ่นหยกได้สักพักแล้ว อยู่บนห้องน่ะ”
เขาพยักหน้า หันไปมองพี่สาวก็พบว่ายังนั่งอยู่ลำพัง แขกรับเชิญอีกคนคงยังมาไม่ถึง ตามกลิ่นความน่าสงสัยไปดูบนห้องสักหน่อยก็ดีจะได้ช่วยเตือนด้วย ที่สำคัญคือเขาเริ่มทนความอยากรู้ไม่ไหวแล้ว ว่า ‘เมื่อคืนหนักไปหน่อย’ ของอาทิตย์นั้นมันหนักสักแค่ไหนเชียว คงไม่ใช่ได้เสียกันไปแล้วหรอกใช่ไหม
คำตอบคือไม่ใช่ทั้งที่เตรียมใจไว้บ้างแล้วว่าอาจเห็นอะไรแปลก ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ยังอดอ้าปากค้างไม่ได้ ร่องรอยอะไรต่อมิอะไรซึ่งตกค้างอยู่ในห้องพักของทั้งสองคนแทบตะโกนใส่หูเขา ว่าไอ้คู่นี้มันปั่มป๊ามกันไปแล้วเรียบร้อย (แถมยังเก็บหลักฐานไม่หมดเสียด้วย) ฟีโรโมนลึกลับลอยฟุ้งเต็มห้อง และท่าทางคืนที่ผ่านมาคงหนักเอาการจริง เพราะปิ่นหยกถึงกับนอนซมไปเลยวันนี้
คิมหันต์ไม่ใช้เวลาในห้องนั้นนาน ด้วยกระดากเอกอยู่นิดหน่อย หลังจากเอ่ยเตือนทั้งสองคนเสร็จว่าพี่สาวสุดที่รักกำลังจะมา เขาก็ย้ายร่างกลับมานั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับสิสิร พร้อมกับเอ่ยทักทายผู้มาใหม่นามว่าอันนา หญิงสาวคนงามซึ่งผลิตบรรยากาศชวนขนลุกแผ่ออกมาอย่างน่าประหลาด
“น้องคิมสินะ เราเพิ่งเคยเจอกันเนอะ”
คิมหันต์พยักหน้า เอาหลอดแหว่งแกว่งโกโก้ปั่นที่สั่งไว้ก่อนหน้านี้ พลางลอบสังเกตทีท่าของหญิงสาวไปด้วย ดูไม่ใช่ย่อยเลยเชียว สายตาเธอให้ความรู้สึกงดงามแฝงเล่ห์เหลี่ยมอย่างไรบอกไม่ถูก
“เห็นว่าเป็นเพื่อนกับปิ่นหยก”
“เพื่อนซี้” เขาช่วยแก้ให้ และเธอหัวเราะเสียงเย็น ส่วนพี่สาวเขานั่งอุดหูตัวเองด้วยหูฟังเครื่องเล่นเอ็มพีสามคู่ใจ หลุดหายจากวงสนทนาไปแล้ว ทั้งที่ผู้หญิงตรงหน้าเป็นเพื่อนของตัวเองแท้ ๆ นั่นชวนให้คิดว่าสาเหตุที่สิสิรชวนเขามาวันนี้ เป็นเพราะอยากให้มาพบกับอันนาคนงาม มากกว่าจะต้องการทาสรับใช้นอกสถานที่
“พี่ก็ว่าอย่างนั้น” เธอนั่งเท้าคาง จ้องตาเขาคล้ายจะท้าทาย “ว่าแต่ซี้กันขนาดไหน”
เขายักคิ้วตอบ “ผมรู้ทุกเรื่อง”
“โอ้”
คิมหันต์ส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ มาอีหรอบนี้เขาพอจะเดาได้อยู่หรอกว่าเธอต้องการอะไร หวงน้องชายเข้ากระแสเลือด คงไม่พ้นอยากหาข้อมูลเรื่องปิ่นหยกซึ่งเป็นคนรักของอาทิตย์และเป็นเพื่อนสนิทของเขา หากอันนาไม่ถูกใจปิ่นหยกขึ้นมาชีวิตหมอนั่นคงตกระกำลำบากไม่น้อย (แม้ที่ผ่านมาเพื่อนเขาก็ดูชีวิตระกำมาตลอดอยู่แล้ว) ท่าทางเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปมีเรื่องด้วยเลย
“ทุกเรื่อง..” เด็กหนุ่มเอ่ยทวนคำเดิมของตัวเอง เพิ่มอีกนิดเพื่อบอกให้เธอรู้ว่าถึงเธอจะร้าย แต่เขาก็ไม่ได้อ่อนหัดนัก “รวมทั้งเรื่องที่พี่อยากรู้”
“อย่างเช่น?”
“แต่ไม่ได้เล่าทุกเรื่อง”
คิมหันต์ยกมุมปาก ไม่หลบสายตาทิ่งแทงของเธอสักนิด ก่อนอันนาจะถอนใจยาวออกมาแล้วเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“น้องคิมยียวนสมคำเล่าลือ”
“พี่อันก็สวยสะพรึงสมคำเล่าลือเหมือนกัน”
ทั้งสองคล้ายจะกดดันคู่สนทนาด้วยสายตาอยู่อีกหนึ่งอึดใจ ก่อนใครสักคนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาเรียกให้อีกฝ่ายหัวเราะตาม เห็นได้ชัดว่าก่อนพบหน้ากันครั้งนี้ พวกเขามีข้อมูลของอีกฝ่ายอยู่เต็มหัวมาก่อนแล้ว
“เอาใหม่ดีกว่า พี่ถามดี ๆ ตรงไปตรงมา” หญิงสาวโน้มตัวมาข้างหน้าแสดงท่าทางจริงจัง..หรือไม่ก็คงเริ่มหงุดหงิดแล้ว “ปิ่นหยกเป็นคนยังไง พี่เป็นห่วงน้องชายตัวเองไม่ใช่เรื่องผิดใช่ไหม”
เด็กหนุ่มยิ้มพราย..ยักไหล่ยียวน แล้วเอ่ยปากเล่าเฉพาะส่วนที่คิดว่าจำเป็นและเขามีอารมณ์จะบอก ซึ่งไอ้อารมณ์แบบนั้นก็มีไม่ค่อยมากเสียด้วยสิ
รถแอร์เสีย พร้อมกับทำอารมณ์สามภพบูดสนิทไปด้วย
เกือบแล้ว..เกือบได้เอาไปซ่อมอยู่แล้วเชียว แต่วันนั้นดันติดธุระ ซึ่งความจริงไม่ควรเรียกว่าธุระสักนิด ช่างไร้สาระจนรู้สึกเสียเวลาชีวิตโดยใช่เหตุไปมากทีเดียว ชายหนุ่มหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าวันนี้ต้องเอารถไปซ่อมแอร์ให้ได้
ทว่าคงมีอันได้ผิดแผนอีกแล้ว
“ตอนนี้น่ะหรือพี่อัน” เขาถอนหายใจใส่โทรศัพท์มือถืออย่างเหนื่อยหน่าย “เรื่องเด็กนั่นผมว่ามันไร้สาระ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจตรงไหน”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะเย็นเยียบของเธอจากในสาย “ครั้งนี้ครั้งเดียวสามภพ แล้วพี่จะเลิกกวนเธอเสียที วันนี้พี่ยังมีธุระต่อ ไม่งั้นคงจัดการเอง”
“ให้มันจริง พี่พลก็ขยันโยนมาให้ผมตลอด”
“พี่ไม่รบกวนเปล่าหรอก” หญิงสาวเอ่ยนุ่มนวล “มีปัญหากับผู้หญิงที่มาเกาะแกะอยู่ไม่ใช่หรือ...พี่จัดการแม่นั่นให้ได้นะ”
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพบว่าเป็นข้อเสนอซึ่งฟังดูไม่เลว รับมือกับผู้หญิงที่คอยมาวุ่นวายล้ำเส้นในชีวิตเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเขาพอตัว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเขาไม่คลั่งพอจะใช้กำลังกับพวกเธอ แต่ก็ขี้เกียจหาวิธีอ้อมค้อมอย่างอื่นที่ทำให้เลิกมายุ่มย่ามกับเขาเสียที เรื่องพวกนั้นอันนาซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกันคงถนัดกว่า
“ช่วยทำให้เจ้าเด็กนั่นยุ่ง ๆ ไม่ต้องมีเวลามาวุ่นวายกับเพื่อนรักเขาสักระยะ” เธอเอ่ยต่อชัดถ้อยชัดคำ พูดออกมาเป็นปกติอย่างกับแค่ฝากใครสักคนซื้อข้าวกล่อง
“สักระยะ?” เขาทวน “ไหนว่าครั้งนี้ครั้งเดียว”
เธอหัวเราะ แต่ฟังออกว่าชักหงุดหงิด “โอเค...พ่อคนนี้ ไม่พลาดเลยจริง ๆ ครั้งเดียวก็ครั้งเดียว”
“เอาละ" เขาพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก "ตอนนี้เลยใช่ไหม ที่ไหนนะ”
“ร้านเค้กทานตะวัน เดี๋ยวพี่ส่งแผนที่ไปให้”
จากน้ำเสียงเนิบนาบผิดปกติของอันนา ไหนจะอาการหงุดหงิดง่ายผิดปกตินั่น ทำให้เขาเดาว่าเธอคงถูกใครสักคนยั่วโมโหจนอารมณ์ขึ้นมาก่อนแล้วนิดหน่อย แต่คิดเอาเองว่าคงไม่ใช่ไอ้เด็กถั่วงอกที่เพิ่งเห็นฟัดกับหมานั่นหรอก..
สามภพเปิดรูปแผนที่ร้านซึ่งได้เพิ่งได้รับทางโทรศัพท์ ตำแหน่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขาอยู่เท่าไรนัก
หญิงสาวบอกเขาแค่ให้ช่วยพาเด็กนั่นไปส่งบ้าน หากถามอะไรเรื่องเพื่อนของเด็กคนนั้นที่ชื่อปิ่นหยกกับน้องชายของเธอได้ก็ให้ช่วยถาม เพราะเธอคุยกับคิมหันต์แล้วคอยจะปรี๊ดจากอาการยียวนขึ้นมาตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ได้ข้อมูลอะไรจริง ๆ ก็ช่วยกันออกไปหน่อย ซึ่งเขารับคำแต่ไม่คิดจะถามอะไรให้เหนื่อยแรงอยู่แล้ว
‘ถ้าเด็กนั่นกวนประสาทนักก็สั่งสอนเบา ๆ ได้ แค่เบาะ ๆ พอนะ เขาเป็นน้องชายเพื่อนพี่’
เขาจำคำพูดที่เธอทิ้งท้ายไว้ได้ ความจริงคือแทบจะเป็นประโยคเดียวที่ยังเหลือติดหัว เมื่อรถจอดสนิทหน้าอาคารขนาดกลางซึ่งชั้นล่างสุดเปิดเป็นร้านเค้ก
สามภพยักไหล่กับถ้อยคำที่ว่า พลางคิดว่าอันนาก็เวอร์ไป ไอ้ตี๋หัวทองนั่นจะกวนประสาทอะไรนักหนาเชียว
ชายหนุ่มเปิดประตูกระจกเข้าไปในร้าน ลมเย็นฉ่ำจากเครื่องปรับอากาศลอยเข้าปะทะใบหน้า โมบายที่แขวนไว้กับประตูส่งเสียงกรุ๋งกริ๋ง ถ้อยคำต้อนรับดังขึ้นจากพนักงานในร้านแต่เขาไม่ได้สนใจ สายตาสอดส่ายมองหาคนที่ได้รับคำไหว้วานให้มารับไปส่งบ้าน
แล้วก็ไปสะดุดเข้ากับเรือนผมสีทองสว่างของเด็กหนุ่มคนนั้น
เจ้าตัวกำลังนั่งกระดิกเท้าอ่านนิตยสารเกมอยู่บนโซฟาสีแดงมุมร้าน ใบหน้าคุ้นตา แต่ต่างกันที่วันนี้ผมถูกเซ็ตไว้เป็นทรงกว่าเมื่อครั้งฟัดกับหมา กับเสื้อผ้าดูดีขึ้นนิดหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ยังมีบุคลิกชวนให้หงุดหงิดเมื่อพบเห็นอย่างน่าประหลาด
สามภพเดินตรงเข้าไปหา หยุดอยู่หน้าโซฟาพร้อมกับส่งเสียงเรียก
“คิมหันต์”
เจ้าของชื่อเพียงแต่เหลือบตาขึ้นมาจากนิตยสารเล็กน้อย เท้ายังกระดิกไปมาก่อนจะยิงคำถามใส่เขา
“ลุงเป็นใคร?”
เด็กเวรนี่นอกจากเลี้ยงหมาไว้ที่บ้านแล้วคงเลี้ยงไว้ในปากด้วยอีกฝูง
“
พี่ สามภพ" เขาเน้นชัดตรงคำว่า 'พี่' แล้วจึงพูดต่อ "มารับนายกลับบ้าน”
สั้น ง่าย ได้ใจความ และพยายามใจเย็น
คิมหันต์ลอบยิ้มมุมปาก นึกชอบใจที่ยั่วอีกฝ่ายแค่นี้ก็ทำท่าหงุดหงิดเสียแล้ว นี่น่ะหรือคนที่อันนาส่งมาก่อกวนเขา
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าเธอจงใจหนีกลับมหาวิทยาลัยกับสิสิรผู้เป็นพี่สาว (ผู้ไม่ได้เดือดร้อนเลย ที่จะส่งน้องชายตัวเองมายุ่งวุ่นวายกับสารพัดเรื่องที่เขาเป็นคนก่อบ้างไม่ได้ก่อบ้าง) ทิ้งเขาไว้ที่ร้านเค้ก บอกว่าให้รอผู้ชายชื่อ ‘สามภพ’ ซึ่งเป็นน้องชายคนรักของอันนาเพื่อมาพาเขากลับบ้าน
ความจริงเด็กหนุ่มจะชิ่งหนีก่อนก็ได้ เขาเองมาร่อนเร่ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ออกบ่อยจนซี้กับคนในร้านหมดแล้ว หาทางกลับบ้านเองนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากเลย แต่อยากรู้เหมือนกันว่าคนชื่อสามภพที่ว่าจะสักแค่ไหนเชียว
เด็กหนุ่มประเมินบุคลิกคนตรงหน้าตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าในเวลาไม่กี่วินาที และตระหนักว่าความประทับใจแรกพบดูติดลบพิกล สามภพปรากฏตัวพร้อมจุดยืนชัดเจน ประกาศผ่านแววตาว่ามาในรูปแบบศัตรูเต็มที่เลยทีเดียว
คิมหันต์ยักยิ้มอีกครั้ง โยนนิตยสารเกมกลับเข้าที่ก่อนจะลุกขึ้นยืนประจันหน้า
ส่งคนมาท้าทายขนาดนี้...หนีกลับก่อนคงน่าเสียดายแย่-หมดยกที่ 2-
=========================
มาต่อแล้วค่ะ ^o^
ยังคงแอบเกริ่นยาวอยู่ เห็นมีสงสัยว่าตกลงแล้วคิมหันต์กับสามภพใครเหนือกว่าใคร ในความเห็นคนเขียนรู้สึกว่าสูสีค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละเหตุการณ์เป็นทีใครทีมันมากกว่า
*หมายเหตุ - พี่สาวคนรองของคิมชื่อ สิสิร (อ่านว่า สิ-สิ-ระ) แปลว่าฤดูน้ำค้าง
*หมายเหตุ 2 - เนื้อเรื่องตอนนี้อยู่ในช่วงตอนที่ 43-45 ของเรื่อง สะดุดรัก หอพักอลเวงค่ะ ไม่รู้อ่านแล้วจะมีใครนึกออกหรือเปล่า ^^
ตัวละครเรื่องนี้แอบรู้สึกว่ามีมุมร้ายทุกคนเลย เขียนสนุกดี
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและทุกคอมเม้นต์นะคะ ดีใจมาก ๆ เลย

แล้วพบกันตอนหน้า มีของแถมเป็นรูปวาดรีพลายถัดไปด้วยค่ะ ^o^