MY Love
Part 9 พอพวกโจ๊กกลับผมปิดบ้านขึ้นห้อง ตั้งใจทำงานส่งอาจารย์เสร็จค่อยนอน เปิดประตูห้องถึงกับชะงัก บอลลูนยังอยู่คิดว่าออกไปแล้วเสียอีก นั่งห้อยขาบนเตียงจ้องหน้าผมนิ่ง ต่างคนต่างเงียบ
ผมเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวหันหลังเข้าห้องน้ำ ไม่อยากถามเข้ามาทำอะไร ไม่ต้องการจ้องหน้านาน มันตอกย้ำการโดนหักหาญน้ำใจจนรู้สึกเจ็บหนึบในอก ผมใช้เวลาในห้องน้ำพอสมควร ช่วงล่างยังปวดอยู่บ้าง ดีขึ้นมากแม้ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ แต่ไม่ถึงกับแย่เหมือนเมื่อวาน
ออกจากห้องน้ำน้องยังอยู่ ขนาดผมทำไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเขาเป็นอากาศธาตุทำไมยังอยู่อีก เดินไปเปิดตู้หยิบชุดนอนมาใส่ รู้สึกถึงสายตาที่มองตามตลอด ช่างเถอะอยากมองๆไป พี่น้องกันนิ..?
“จัดผ้าปูให้หน่อยสิ” ประโยคห้วนสั้น ผมถึงกับคิ้วกระตุก เหตุผลที่มานั่งรอสินะ สภาพแบบนั้นคงอยากเปลี่ยนผืนใหม่ ผมไม่ตอบค้นผ้าปูในตู้ออกมาวางหัวเตียง ปกติอาทิตย์หนึ่งผมเปลี่ยนให้น้องประจำ โสหุ้ยพวกนี้เก็บที่ตู้ผมหมด น้องไม่เคยย่างกรายเข้ามานานแล้ว นับแต่วันที่เปิดซองเอกสารสีน้ำตาลหลังงานศพพ่อกับแม่
“อันเก่าทิ้งนะ” ยังคงพูดสั้นๆ ผมตั้งใจไม่มองแต่พอฟังประโยคนี้อดไม่ได้เลยต้องหันไป ผ้าปูยังใหม่เปื้อนก็ซักได้
“ทิ้งไม” ผมก็ประหยัดคำพูด ปากไวเท่าความคิด สวนเสียงห้วนเลย..
“มันสกปรก” ตอบหน้ามึนมาก ฝีมือใครว่ะ..พูดยังกับผมทำ
“ส่งซักสิ” ชักเสียงแข็ง ตามอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิด
“ไม่ดีกว่า” ค้านผมอีก อยากเอาชนะผมจริง
“เดี๋ยวเอาที่ไหนใช้” เตือนให้คิด ถึงมีหลายชุดแต่มักง่ายอะไรก็ทิ้ง ร้อยชุดก็ไม่พอใช้
“ซื้อเอาใหม่” หืม..คราวนี้ผมชักสีหน้าไม่พอใจ น้องดันไหวไหล่เหมือนไม่สน..กวนสุดๆ
“รวยมากสิ..นิดหน่อยก็ซื้อใหม่” ผีพี่ชายเข้าสิง ถือโอกาสอบรมเสียเลย หน้าหล่อเริ่มออกอาการ คงไม่พอใจที่ผมประชด
“พูดมากไปดูเอง” พูดจบลุกพรวดก้าวออกประตูไปเฉย ไม่สนใจหยิบผ้าปูที่วางให้ด้วยซ้ำ ผมได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ นึกถึงคำสั่งแม่ ‘บูต้องไม่ทอดทิ้งน้องนะลูก’ กลายเป็นผมคว้าผ้าปูทั้งหมด ก้าวตามไปอย่างเอือมระอา ภายในห้อง..เจ้าของยืนเท้าสะเอวนิ่วหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาจ้องผ้าปูสีขาวที่เขรอะ อืม..เห็นแล้วหน้าร้อนวาบ เมื่อวานไม่ทันสังเกตให้ละเอียด คงเพราะป่วยร่างกายแย่จึงมองข้ามจุดนี้ไป
พอบอลลูนเห็นผม น้องหันมาทำหน้ายุ่งใส่ปรายตาให้ดูคราบบนผ้าปูที่เป็นด่างดวง แต่ดันมีรอยเกรอะสีออกน้ำตาลแดงเป็นจุดๆปะปนด้วยแถมยังแห้งสนิท สันนิฐานว่ามันคือรอย...เลือด..??
“จะส่งซักอีกไหม” ดวงตาเทาฟ้าดูสะใจนิดๆ แม้ผมจะไม่ค่อยชอบท่าทางแบบนี้แต่ก็จนคำพูด ด้วยความเสียดายผมยังยืนยันคำเดิม
“ซักเองก็ได้” คิดอย่างนั้นจริงๆ ส่งไปซักพาอายเปล่าๆ สภาพผ้ายังใหม่อยู่คอตตอนของแท้ชุดเป็นพัน คงต้องแช่แล้วซักเอง
“จิ๊..ตามใจ” พูดเสร็จคว้าผ้าเช็ดตัวหนีเข้าห้องน้ำเฉยเลย กะให้ผมเปลี่ยนให้สินะ เรื่องอะไรจะทำ..ถึงเคยทำให้ก็เถอะ หลังเห็นฝีมือทำอาหารแถมสามารถต่อยไอ้เขมจนหน้ายับ งานเปลี่ยนผ้าปูคงไม่ใช่ปัญหา มีอะไรที่ผมไม่รู้อีกบ้าง ทั้งที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต จัดการโยนผ้าปูทิ้งไว้บนเตียงแอบชิ่งกลับห้องดื้อๆ
ผมเปิดลิ้นชักโต๊ะเตรียมจัดตารางเรียน ตั้งใจทำการบ้านที่แบมทิ้งสมุดไว้ให้ เสร็จแล้วค่อยสวดมนต์เข้านอน แปลกใจสมุดบันทึกส่วนตัว ปกติผมซุกอยู่ล่างสุดมีตำราเรียนทับเอาไว้ ทำไมมันวางอยู่ด้านบนได้
นอกเสียจากมีคนเอาขึ้นมา เป็นใครไม่ได้..นี่แอบอ่านบันทึกของผมหรือ แม้จะไม่พอใจโวยวายคงเกิดปัญหา ที่จริงก็ไม่มีความลับหรอก ผมเขียนเรื่องครอบครัวเกี่ยวกับความทรงจำดีๆ เก็บไว้เท่านั้น
“ก๊อกๆๆ” เสียงเคาะประตู อย่าบอกเปลี่ยนผ้าปูไม่เป็น
“มีอะไร” แปลกใจตัวเอง สามารถทำเสียงเย็นชาได้ขนาดนี้เชียว
“เปิดประตูหน่อย” ไม่เหวี่ยงเหะ! ปกติต้องเหวี่ยงกลับ ผมเล่นเสียงแข็งบวกความหมางเมินเต็มแม็ก อย่างน้อยบอลลูนต้องเสียงห้วนสิ
“มีอะไรเล่า” ผมยังคงใช้น้ำเสียงติดรำคาญ ซึ่งไม่เคยทำใส่น้องมาก่อน ถือว่าเป็นครั้งแรกในทศวรรษก็ว่าได้ เงียบไปอึดใจใหญ่
“จะเปิดไม่เปิด” อ้าว..นี่มันไม่ใช่การขอร้องแล้ว ติดสั่งแกมบังคับนี่หว่า? ผมเงียบ..ไม่ตอบ
“ไม่เปิด..พัง” สั้นๆ แต่ผมยังคงเฉยนั่งทำการบ้านไม่สนใจ เพิ่งรู้ว่าหลังเหตุการณ์โดนกระทำ ผมสามารถเมินน้องได้ด้วย เป็นเมื่อก่อนคงกังวลห่วงตลอด กลับเป็นฝ่ายไต่ถามดูแลไม่มีขาด แม้น้องจะปั้นหน้ารำคาญเป็นบางเวลา ผมไม่เคยใส่ใจ มาคราวนี้ผมเมินได้ด้วย ถึงหูจะคอยลุ้นฟังเสียงอยู่ก็เถอะ
“ปัง!..ปัง!” ชัดเลย..เสียงถีบประตูจนสะเทือน
“เฮ้!..หยุดนะ” ใครบอกเมินได้ รีบแจ้นไปปลดกลอนออกอย่างเร็ว
“ทำอะไรห๊ะ!” ตะคอกเสียงดุ ไม่รู้ว่าดุอย่างที่ต้องการหรือเปล่า แต่กลับได้สายตาเอือมระอามาแทน เหมือนผมทำตัวหน้าเบื่อเสียอย่างนั้น
“ถีบทำไม พังมาเสียเงินซ่อมอีก” ผมไม่หยุด..บ่นเสียงเข้ม
“รู้ว่าถีบถามทำไม คราวหลังคิดก่อนถาม” เหวอเลย..นี่คือคำย้อนที่ทำผมอึ้ง แต่ผมเป็นพี่นะจะถูกน้องย้อนได้ยังไง
“อย่ามาแถ ไม่รู้จักโตดีแต่ใช้กำลัง” ผมโวยใส่ รู้สึกหน้าชักร้อนจนปากสั่น หลังโดนบอลลูนย้อนประโยคเมื่อกี้
“ด่าตัวเองก็เป็น..มิน่าเข้าห้องปกครองเป็นว่าเล่น” ทำหรี่ตามองผมเหมือนผู้ใหญ่มองเด็ก ทำผมปรี๊ดสติแตกทั้งที่ไม่เคยขึ้นหรือโมโหน้องมาก่อน อาจเป็นเพราะทุกครั้งมีอารมณ์น้อยใจมาก่อนเสมอ เลยไม่เคยโมโหเหมือนเช่นตอนนี้
“ไอ้บอลลูน ฉันพี่แกนะ” ตะคอกเสียงดัง ไม่สั่นแต่ปากแล้วกำหมัดแน่นสั่นไปทั้งตัว โมโหจนตัวสั่นมันเป็นแบบนี้นี่เอง ไม่เคยเห็นใครกวนส้นลอยหน้าใช้สายตามองผม..หัวจรดเท้าจนของขึ้นแบบนี้มาก่อน
“ห้ามตะคอก..พี่แล้วไง ก็แค่อายุ บอกให้เปิดประตูทำตัวเป็นเด็กอยู่ได้” ฟังมัน..ผมสูดหายใจลึกสงบสติอารมณ์ ท่องในใจน้องมันยังเด็ก..ยังเด็ก ขันติ..ขันติ ไม่พยายามมองหน้า ไม่งั้นคงยากที่จะทำให้อารมณ์เย็นลงได้ พอเริ่มรู้สึกดีขึ้นค่อยสบตาตอบ
“เอาเถอะ..เรียกให้เปิดประตูทำไม” พูดจบ น้องไม่สนใจเดินเบียดไหล่ผมเข้าห้องได้หน้ามึนกวนสุดๆ ก่อนจะล้มตัวนอนเหยียดยาวแขนหนุนหัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยกเว้นผมอ้าปากเหวอ..ก่อนได้สติ
“เห้ย!..จะทำอะไร” ไม่รู้ว่าผมนึกหาคำพูดไม่ออกหรือยังไง นับคำว่าอะไร ทำไม ตั้งแต่หัวค่ำกระทั่งถึงตอนนี้ คงนับไม่ถ้วนแล้วมั้ง
“นอน” ฟังคำตอบ ก่อนน้องจะปิดตาหลับไม่สนฟ้า
“ก็ไปนอนที่ห้องตัวเองเซ!” ผมเริ่มขันแตกอีกรอบ ทั้งที่พยายามท่องในใจ แต่พอเห็นท่าทางกวนใส่แล้วมันอดไม่ไหวจริงๆ
“จะนอนยังไงมันสกปรก” น้ำเสียงหงุดหงิดรำคาญเต็มแก่ มีพลิกตัวหันหลังหนีผมอีก นึกอยากบีบคอเขย่าให้หักจริงๆ ไม่คิดมาก่อนบอลลูนจะยั่วโมโหให้ผมประสาทแดกได้ หรือน้องเป็นมานานแล้ว ผมดันปิดหูปิดตาไม่สนใจเอง พอโดนเปิดซิงชักตาสว่าง เริ่มมองเห็นด้านมืดของน้องตั้งแต่วินาทีนั้น แต่ผมก็ข่มกลั้นอารมณ์ยอมเป็นฝ่ายอ่อนลงเสียเอง
“สกปรกก็เปลี่ยนผ้าปูสิ เอาไปให้แล้วนี่” แล้วเดินกลับมานั่งโต๊ะเขียนหนังสือ อธิบายดีๆเหมือนพี่สอนน้อง
“หึ..ปกติใครทำ” หมดคำพูด ถ้าจะแบ่งหน้าที่แบบนี้ กูก็ทำทั้งบ้านนั่นแหละ แล้วจะแย้งอีท่าไหน..อึ้งไปหลายวิ
“ไปถึงห้อง ทำไมไม่เปลี่ยนให้เสร็จ” ยังไม่จบ พูดจนผมรู้สึกผิด กลายเป็นผมที่ใช้อารมณ์แบบเด็กๆ ทิ้งผ้าปูแล้วชิ่งกลับห้องเสียอย่างนั้น
“ก็ได้..ป่ะจะไปทำให้ แต่ต้องช่วยพี่ยกฟูกนะ” ที่จริงยกเองไหว แต่สภาพที่ยังระบมช่วงล่าง ขืนก้มยกฟูกขาทรุดแน่ๆ
“ไม่..จะนอนแล้ว ไว้ทำวันหลัง” ฟังเด็กเอาแต่ใจ
“ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องนอนบนเตียง นอนข้างล่างเลยบอล” ผมคิดวิธีดัดนิสัยยื่นเงื่อนไขไปตามที่คิด น้องหันกลับมาจ้องผมแล้วคราวนี้ นึกว่าจะหันหลังคุยไปตลอดเสียอีก คงกลัวผมไม่ให้นอนบนเตียงสิท่า
“ไม่มีอารมณ์ทำ ที่ทำไปแค่สงเคราะห์ ไม่ได้ต้องการให้ติดใจ”
“ (=^=)” งง? อึ้งไปหลายวิกระพริบตาปริบๆ ทบทวนคำพูดอย่างไม่เข้าใจ ประโยคนี้มันฟังดูล่อแหลม แต่มันโผล่ขึ้นมาได้ยังไง
“บอลลูนนนน!!” พอเข้าใจความหมาย ผมกัดกรามลากเสียงรอดไรฟันอย่างข่มความโมโหจนควันออกหูแล้ว
“บอกให้เรียกบอลเฉยๆ ไม่ชอบเข้าใจไหม” อรึ้ย! ถ้าผมจะหักคอน้องยัดโถส้วม วิญญาณพ่อกับแม่จะสาปแช่งผมไหม..ที่ไม่รักษาสัญญา
“แล้วพูดอะไรออกมา ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย” ผมโกรธจนตัวสั่น มือจิกหน้าขาเพื่อลดความโมโห ทำน้องไม่ได้ทำร้ายตัวเองก็ได้ว่ะ!
“บอลไม่ถอน ที่พูดแบบนั้นมันได้ผลด้วยสิ ท่าทางบูคงโกรธและเกลียดบอลมาก หน้ายังแทบไม่อยากมอง ถึงเวลาเคลียร์สักที” บอลลูนพูดหน้านิ่ง ตาคมเทาอมฟ้าไม่ละไปจากหน้าผมแม้แต่น้อย เหมือนยืนยันทุกคำที่พูดตั้งใจเด็ดเดี่ยว
“ว่ามา” ผมตัดสินใจสะสางไม่ให้ค้างคา ไหนๆตอนนี้ผมก็สามารถมองหน้าบอลลูนได้แล้ว ถึงจะเป็นการมองแบบอยากบีบคอน้องก็เถอะ
“บูไปคุยกับไอ้เขมมันใช่ไหม” คำถามแรก มาพร้อมกับการลุกขึ้นนั่งห้อยขา แต่สายตาจ้องผมเขม็งไม่มีแววล้อเล่นเหมือนสอบปากจำเลย
“ใช่” ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ ผมกล้าทำกล้ารับ
“เพื่ออะไร” คำถามที่สองตามมา
“ไม่อยากให้เกิดปัญหาบานปลาย อย่างน้อยไอ้เขมมันจะได้รู้ว่าพี่ได้บอกมันแล้ว จะมาเอาเรื่องบอลไม่ได้ ให้ไปเคลียร์กับแฟนของมันโน้น” ผมบอกความจริง ที่ทำไปก็มีจุดประสงค์เพียงแค่นี้
“เราเคยคุยกันแล้วใช่ไหม บอลไม่ให้บูยุ่ง” น้องจ้องผมเขม็ง ย้ำคำพูดที่เคยห้ามไว้ กลายเป็นผมชักกลืนน้ำลายฝืดคอ แต่ยังเชิดหน้ายืดอก
“แต่พี่ไม่ได้รับปากบอลสักหน่อย” เพิ่งรู้ตัวว่าผมก็แถได้โล่
“สิ่งที่คนสงสัย ว่าบูคิดกับบอลเกินพี่น้องคงมีส่วนจริง” บอลสรุปเองรวบรัด แต่ผมอ้าปากค้างเป็นรอบที่เท่าไหร่ไม่ทราบ
“ไม่จริงนะ ทำไมฟังคนอื่นไม่ฟังพี่บ้าง เราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็กพี่รักบอลเหมือนน้อง ไม่เคยคิดแบบนั้น” ผมละล่ำละลักอธิบาย
“เหรอ..แต่บอลว่ามันมากไป ไม่เห็นพี่คนไหนเขารักน้องทำอย่างบู อย่าลืมว่าบูเป็นตุ๊ด..และเราไม่ใช่พี่น้องคลานตามกันมา” ประโยคนี้ไม่ได้ทำให้ผมโกรธ แต่มันทำให้ผมเจ็บ รู้สึกหน่วยตารื้นขึ้นมาทันที
ไม่ได้เหรอ..ที่พี่อย่างผมจะรักน้องมากกว่าพี่คนอื่น พี่คนนี้ที่ฝันอยากมีน้องมานานจะดูแลน้องที่เขารัก แล้วตอนนี้เราเหลือสองคนพี่น้อง ทำไมความรักของผมต้องถูกโจมตีด้วย เป็นเพราะผมยอมรับตัวเองเป็นตุ๊ด ถึงไม่บริสุทธิ์ใจที่จะรักจะห่วงน้องไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องชู้สาวที่ไม่ถูกต้อง
คำถามทั้งหมดที่คิดมันยังอยู่ในหัว ผมไม่ได้พูดออกไปแม้แต่ประโยคเดียว ไม่มีประโยชน์ตอนนี้บอลลูนได้อุกอาจทำให้ข่าวลือไม่ใช่ข่าวลือไปเสียแล้ว ถึงผมไม่ได้รักน้องแบบนั้น แต่การตกเป็นเมียน้องมันต่างกันตรงไหนกับที่เขาลือกัน
“พี่ถามบอล..อึก..เพราะเรื่องนี้หรือ..ฮึกๆ ถึงทำพี่แบบนี้ ไหนบอกเกลียดตุ๊ด แล้วทำไปทำไม..ฮึก” น้ำตาที่คลอหน่วยไหลย้อยเป็นสาย ประจานความอ่อนแอของผมต่อหน้าน้องอย่างไม่คิดจะป้ายทิ้ง พร้อมกับคำถามคาใจที่ผมต้องการคำตอบ บอลลูนมองหน้าผมแววตาสลดฉายชัดน้องไม่ได้ร้อง แต่มองเห็นวาวน้ำตาให้รู้ว่าน้องสะเทือนใจไม่น้อยกว่าผม
“ทำเพราะตั้งใจให้เกลียด จะได้เลิกวุ่นวายเสียที บอลเกลียดตุ๊ด ทุกวันนี้ก็ยังเกลียดแต่ไม่เคยเกลียดบู ไม่ต้องมาห่วงและรักบอลมากถึงกับมีเรื่องไปทั่ว บอลดูแลตัวเองได้ ไม่รู้บูยังไม่เคยบวกอารมณ์โมโห คิดว่าทำให้จบๆบูจะได้สมหวัง ไม่ต้องมายุ่งเรื่องผู้หญิงของบอลอีก ที่รุนแรงและใช้กำลังเพราะบอลไม่หวังให้บูจำ บอกแล้วอยากให้เกลียด ไม่รู้ว่าเป็นครั้งแรกของบู คงแย่พิลึกไม่แน่บูอาจขยาดจนเลิกเป็นตุ๊ดเลยก็เป็นได้” ผมรู้แล้วว่าน้องยังเด็ก...ถึงจะฉลาด ฟังจากความคิดและคำพูดดูฉลาดมาก แต่ความเป็นเด็ก คิดแบบเด็กๆผมโกรธเกลียดน้องไม่ลงหรอก พอบอลเน้นว่าผมคงเกลียดหลายๆครั้ง ผมจึงสูดหายใจลึก แล้วจบการสนทนาครั้งนี้ ก่อนจะนอนไม่หลับไข้กลับจนไปเรียนไม่ได้
“ฟังนะบอล..บอลทำสำเร็จแล้ว พี่จะไม่วุ่นวายกับบอลอีก เพราะพี่รู้ว่าบอลดูแลตัวเองได้ แต่เรื่องเกลียด..อยากบอกว่าไม่สำเร็จ พี่ไม่เคยเกลียดบอลลง” ตอนนี้น้องเป็นฝ่ายอึ้งอ้าปากเหวอบ้างแล้ว นับเป็นครั้งแรกที่ผมสามารถทำให้น้องออกอาการเออแดก
“มะ..หมายความว่า บูรักบอล” กรรม!..เห็นหรือยังว่าน้องเด็กถึงจะตัวโตอย่างกับตึก แต่ความเป็นเด็กมันฉายชัดทางการกระทำและคำพูด ผมไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะคำว่ารักที่ผมมีให้น้องไม่เคยเปลี่ยน จะให้เลิกรักได้ยังไง ใครจะทนเห็นน้องตัวเองตกอยู่ในอันตรายโดยไม่ดูดำดูดีได้ แค่นึกว่าน้องต้องลำบากผมก็ทรมานแล้ว ผมจึงเลือกส่งยิ้มอบอุ่นให้แทน ก่อนจะพูดให้บอลลูนสบายใจขึ้น
“ความรักของพี่ไม่มีวันจาง จะคอยดูแลปกป้องเป็นกำลังใจให้บอลยามที่บอลต้องการเสมอ พี่จะไม่หายไปไหน แต่จะคอยดูแลอยู่ห่างๆ ไม่ก้าวก่ายไม่วุ่นวาย จนกว่าบอลจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาพี่เอง” ผมจบการสนทนาไว้แค่นั้น บอลจะเข้าใจหรือไม่ผมไม่รู้ ถือว่าผมได้พูดหมดแล้ว ก่อนจะลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้านอน กลับออกมาบอลลูนไม่อยู่ในห้องแล้ว น้องคงกลับห้อง ผมจึงลงกลอนประตูเรียบร้อยปิดไฟล้มตัวนอน ก่อนจะหลับไปด้วยความอ่อนเพลียทั้งกายและใจ ไม่รู้พรุ่งนี้จะตาบวมหน้าโทรมหรือเปล่า..เฮ้อ..???
มาต่อแล้วค่ะ เอาไปแค่ 50% ก่อนนะคะ คนอ่านที่น่ารักของคนเขียน
ไว้ค่อยเอาทีเหลือมาลง บอกแล้วเจ้าบอลมันซึน มันฉลาดแต่มันยังเด็ก
รอมันโตอีกหน่อยนะ มันจะได้รู้รสชาติของชีวิตมากกว่านี้
ทุกคนต้องอาศัยเหตุการณ์เพื่อเพิ่มประสบการณ์ชีวิต บางคนผ่านอะไรมามากก็จะโตเกินวัย
อย่างบูตัส ที่ทำตัวโตเกินวัย ให้รับผิดชอบน้องเป็นผู้นำ ตามสัญญาที่ได้รับปากแม่ไว้
ทำให้หลับหูหลับตาไม่ดูว่าน้องมีพัฒนาการอะไรไปบ้าง มองน้องเป็นเด็กเล็กๆ อยู่ตลอดเวลา
จุดเปลี่ยนมันจึงเกิด และเริ่มเกิด พร้อมกับการเริ่มเปลี่ยน
Luk.