“หนาว หนาว” จู่ๆชายผู้นั้นก็ร้องขึ้น เขาละเมอว่าหนาว ซึ่งมันก็หนาวจริงๆ ไฟที่พิทสุมไว้ลุกโชน แต่นั่นยังไม่ทำให้อบอุ่นพอ
จะทำไงหล่ะ เสื้อนายก็เปียกน้ำหมดแล้ว เสื้อชั้นก็............”พิทหันไปมอง และพบว่าก็แทบไม่ต่างกัน
“หนาว หนาว”
“เออ รู้แล้ว” พิทหันซ้ายหันขวา ก่อนจะตัดสินใจ
“เอาวะ ตายเป็นตาย” พิทนอนลงข้างๆเขา ก่อนจะใช้ร่างของเขาเป็นผ้าห่มให้ความอบอุ่น
“หวังว่านายคงจะหายนะ” พิทพูด ชายคนนั้นขยับตัวเขามาเบียดร่างพิท ก่อนจะโอบมือไว้และหลับไปโดยที่ไม่บ่นว่าหนาวอีกเลย
...
พิทเดินมาถึงลำน้ำสายใหญ่นั้นอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่เขามาที่นี่ ลำน้ำสายที่แม่น้ำสีเขียวดุจมรกต และใสราวกับกระจกแก้ว
เขาเดินเลียบไปตามลำน้ำนั้น หวั่นใจที่จะมองลึกลงไปเบื้องล่าง มันเหมือนไม่มีตลิ่ง ไม่มีจุดลาดเอียงจากตื้นไปลึก แต่กลับกลายเป็นจุดตัดระหว่างฝั่งกับจุดสิ้นสุดของขอบพื้นดินที่ลึกสุด
พิทเดินเลียบมาเรื่อยๆ อีกฝั่งหนึ่งเป็นป่าจามจุรีที่ล้วนแต่ต้นใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปจนสุดลูกหูลูกตา ณ ใต้ต้นจามจุรีต้นหนึ่งเขาเห็นอาศรมเล็กๆหลังหนึ่งที่หลังคามุงด้วยหญ้าคาอย่างหยาบๆ ไม้ที่เห็นนั้นเป็นไม้ไผ่ มีผ้าผืนใหญ่สีขาวตากอยู่ที่ราวหน้าอาศรม
เขาตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้ๆ หวังว่าจะได้พบกับใครสักคนที่พอจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ้าง
ใบจามจุรีที่ร่วงหล่นกลายเป็นพรมชั้นดีที่รองรับเท้าของเขาไม่ให้เดินเสียงดัง เขาเข้าใกล้อาศรมนั้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้ยินเสียงคนคู่หนึ่งคุยกัน
“ท่านบอกข้าว่าพระพรหมเป็นผู้สร้างโลก พระนารายณ์คือผู้ทำนุบำรุงดูแลรักษาอภิบาล ส่วนพระศิวะเป็นผู้ทำลายล้างโลก” เสียงหนึ่งที่เขาคุ้นเคยพูดขึ้น “หากเป็นที่ท่านเอ่ยเยี่ยงนั้น ไยพระเจ้าทั้งหลายจึงมิสร้างมนุษย์ให้บริสุทธิ์ สะอาด แลปราศจากกิเลสสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง เพื่อที่เหล่าพระองค์จะได้มิต้องทำลายล้างมนุษย์ให้วุ่นวาย”
“เวไตยเอ๋ย ทุกสิ่งในโลกล้วนสมดุล มีขาวมีดำ มีมืดมีสว่าง มีกลางวันย่อมมีกลางคืน แลมีดีย่อมมีชั่ว โลกถึงจะดำเนินต่อไปตามครรลองที่ควรจักเป็นได้ หากโลกนี้มีเพียงด้านเดียว เจ้าจักมิรู้ว่าความมืดเป็นเยี่ยงไร กลางคืนเป็นเยี่ยงไร แลความชั่วหน้าตาเป็นเยี่ยงไร หาเช่นนั้นแล้วเจ้าจักมิรู้เลยว่าควรทำกรรมดีไปเพื่อประโยชน์อันใด” ชายอีกผู้หนึ่งพูด “เวไตยเอ๋ย พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระประสงค์ของท่านเองที่เราก็มิอาจล่วงรู้”
พิทยืนฟังบทสนทนาอยู่ครู่หนึ่ง
“ซู่!!!” แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงอันดังมาจากท้องน้ำเบื้องหลัง พิทหันไปมองก่อนจะเห็น
“พญานาค” เขาถึงกับตกตะลึงที่เห็นพญานาคอีกครั้ง พิทรีบถอยหลังพรางตัวเองเข้ากับพุ่มไม้เบื้องหลังอาศรม ก่อนจะต้องตก
ตะลึงอีกครั้งเมื่อภาพนาคตนนั้นกลายร่างเป็นนางนาคศรีปางตาล แต่เป็นศรีปางตาลที่งดงามหมดจดราวกับเทพธิดา
นางค่อยๆก้าวย่างขึ้นมาจากน้ำอย่างเชื่องช้าง ร่างกายที่ห่อหุ้มไปด้วยอาภรณ์สีครามน้ำทะเลนั้น ไม่เปียกน้ำเลยแม้แต่น้อย พิทมองนางตาค้าง อาจเป็นเพราะใบหน้าที่งดงามผุดผ่องราวพระจันทร์เต็มดวง หรือหุ่นอันอรชรก็มิอาจทราบได้
นางเดินตรงขึ้นมายังอาศรม ก่อนจะนั่งพับเพียบลงที่ตีนกระได ยกมือประนมและมองเข้าไปยังอาศรม ใบหน้านางอมยิ้มอย่างสุขใจ จนพิทเกือบลืมใบหน้าแววตาที่เหี้ยมโหดที่เขามักจะพบเจอ
พิทมองนางอย่างไม่วางตา เขาขยับเพื่อคลายความเมื่อยล้า แต่ทันใดนั้นเอง
“เปรี๊ยะ” เขาเผลอเหยียบกิ่งไม้แห้งจนเสียงดัง
นางนาคหันขวับมาที่ต้นเสียง จากใบหน้าที่งดงาม ชั่วพริบตาเดียวนางกลับกลายเป็นปิศาจร้ายที่จ้องลึกเข้าไปถึงจนวิญญาณของพิทจนเขาแทบจะหยุดหายใจ ใบหน้าเขียวคล้ำ ดวงตาแดงฉานปูดโปน นางอ้าปากและทันใดนั้นลิ้นยาวสองแฉกก็ม้วนออกมาจากปากของนางพุ่งตรงมาหาพิท
“เฮ้ย อย่า อย่า” พิทร้องลั่นทันทีที่ลิ้นนั้นสัมผัสใบหน้า
“อย่า อย่า” ความกลัวแผ่ซ่านไปทุกอณูขุมขน พิทขนลุกชันไปทั้งตัว เขาหลับตาแน่น แต่ก็ยังรู้สึกถึงลิ้นนั้น
“อย่า” สุดท้ายเขาตะโกนลั่น ก่อนจะลืมตา และพบว่า