Page 32 : เรื่องบังเอิญ
ปันไปแล้ว...
พี่เก็ตนั่งนิ่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เคยรู้สึกว่าโคตรเล็ก เมื่อต้องนั่งแออัดอยู่กับเด็กผู้ชายตัวสูงโย่งอีกคน ...จะไม่น้ำเน่าขนาดบอกว่า ห้องที่ไม่มีไอ้ปันอยู่ช่างกว้างใหญ่ เพราะยังไงมันก็เล็กเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ...
"เมื่อไหร่แอดเวอร์ของร้าน Never'n Ever จะได้อ่ะพี่เก็ต" น้องจียืนเกาะประตู เอ่ยเสียงหงุงหงิง ทวงงานออกแบบเลย์เอาท์ที่ควรจะได้ตั้งแต่เช้า แต่ก็ไร้วี่แววในอินบอกซ์ จนต้องเดินมาตามเอง
"รอเดี๋ยวสิ นี่รีไซส์แอดของพี่เป็ดอยู่ สามตัวอ่ะ" พี่เก็ตตอบเสียงเนือย ก่อนลงมือขยับเมาส์ปากกาอีกครั้ง
"เหม่อบ่อยจังพี่เก็ต คิดถึงน้องปันหรา คริคริ" เซลส์นัมเบอร์ 3 เอ่ยปากแซว ทว่าคนถูกแซวกลับไม่มีแววสะทกสะท้าน
"น้องปันไม่อยู่นี่ไม่ดีเลยเนอะ งานไม่ค่อยโฟลว์เลย" น้องจียังบ่นต่อ
"แต่ก่อนก็เป็นอย่างงี้แหละ" พี่เก็ตหมายถึงก่อนที่ปันจะมา งานทุกชิ้นก็ต้องมีรอคิว ช้าบ้างเร็วบ้างตามประสากองฯ ที่มีกราฟิกคนเดียว
"ไม่ชินอ่ะ" น้องจีทิ้งท้าย "ยังไงจีขอก่อนบ่ายสามนะพี่เก็ต เดี๋ยวลูกค้าจะไปต่างจังหวัดเย็นนี้ ขอบคุณครับ"
อืม...ที่ไม่เหมือนเดิม คือมันไม่ชิน
‘ผมไปก่อนนะพี่ ขอบคุณสำหรับทุกๆ อย่างตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาครับ’ กราฟิกคนเดียวของเกย์สเกลเปิดดูข้อความเก่าในไลน์จากเด็กฝึกงาน วันสุดท้ายที่ปันอยู่นั้นพี่เก็ตขอลางานโดยไม่ฟังคำทัดทานใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ไปกินเลี้ยงส่งน้องอย่างที่ควรจะทำ เพราะเขาติดธุระสำคัญ ซึ่งเช้าวันนั้นช่อง 9 เอาการ์ตูนเรื่องใหม่มาฉาย ถ้าไม่หยุดดูก็คงน่าเสียดายแย่ แถมร้านข้าวแถวหอพักที่ปิดไปเกือบปีก็กลับมาเปิดใหม่ในวันนั้น กลางวันพี่เก็ตเลยต้องไปร่วมกินข้าวราดแกง ฉลองร้านป้าต้อยอีก ยิ่งตอนเย็นยิ่งแล้วใหญ่ กันดัมที่สั่งมาจากญี่ปุ่นกำลังจะมาถึง เขาต้องตรวจเช็กของและทดลองต่อเล่นทั้งคืน วันนั้นจึงเป็นวันที่พี่เก็ตยุ่งมากๆ จนเป็นเหตุให้ไม่ได้อยู่ร่ำลา
‘ขอบคุณนะครับ’ ข้อความอีกบรรทัดถูกส่งมาติดกัน พี่เก็ตเห็นมันโชว์ขึ้นมาตอนกำลังต่อหุ่นสัญชาติญี่ปุ่นอยู่ เพราะมือไม่ว่างจึงไม่ได้กดอ่านอย่างจริงจัง จนเวลาผ่านไปค่อนคืน เจ้ากันดั้มถูกประกอบอยู่ในร่างที่สมบูรณ์ พี่เก็ตจึงมีเวลาหันมาสนใจข้อความไลน์ที่ค้างอยู่นาน
‘จะกลับมามั้ย’ กราฟิกพิมพ์ข้อความตอบกลับ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจพิมพ์ใหม่ว่า
‘จะกลับมาทำงานที่นี่มั้ย’บทสนทนาขึ้น ‘read’ ทว่าอีกฝ่ายกลับเงียบไปนาน พี่เก็ตรู้สึกหงุดหงิดใจจนเริ่มโมโห ข้อความอีกประโยคจึงส่งไปหาคู่สนทนาอีกครั้ง
‘ถ้าไม่มาจะได้รับคนใหม่’คราวนี้ปันตอบกลับมา เป็นข้อความสุดท้ายที่ทำให้พี่เก็ตนึกย้อนเวลาไปเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว
‘อย่ารอผมเลยพี่ ผมขอโทษจริงๆ ครับ’ถ้าย้อนไปได้ ...จะไม่ยอมให้พี่เอ้รับใครเข้ามาเลยจริงๆ
…………. Gayscale Magazine………….
ฝนในประเทศไทยไม่เคยมีเหตุผลและไม่สนฤดูกาล มันพร้อมจะสาดเทกระหน่ำเมื่อคุณตากผ้า ล้างรถ หรือไม่ก็เดินโท่งๆ อยู่กลางแดด อย่างในวันนี้ที่สิปป์ศิลป์ออกมาสัมภาษณ์อาจารย์ด้านจิตวิทยาเพื่อนำไปเขียนลงคอลัมน์ เขามั่นใจอย่างที่สุดว่าท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆที่มองเห็นตอนออกจากบ้าน ไม่ได้มีวี่แววใดของห่าฝนที่สาดซัดอย่างบ้าคลั่งในตอนนี้ มนุษย์ที่ไม่นิยมพกร่มให้กระเป๋าหนัก จึงได้แต่เบียดตัวเข้ากับชายคาของซุ้มขายน้ำในมหาวิทยาลัย และฮัมเพลง ‘กลับไม่ได้ ไปไม่ถึง’ ให้ตัวเองฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้จุดที่ยืนอยู่จะค่อนข้างปลอดภัยดี แต่เสียงฟ้าผ่าครืนๆ ที่ได้ยินชัดอย่างกับมันมาผ่าอยู่บนหัว ก็ทำให้สิปป์ศิลป์อยากจะเปลี่ยนที่ไปรออยู่ใต้อาคารเรียนที่ห่างออกไปประมาณหนึ่งร้อยเมตรซะให้ได้ แต่ก็กลัวอีกว่าขณะที่วิ่งออกไปกลางแจ้ง หัวทุยๆ จะกลายเป็นสายล่อฟ้าให้เทวดาทำฟ้าผ่าใส่เล่นๆ
“อุ๊ย! ขอโทษค่ะ” แรงกระทบบริเวณไหล่ตามมาด้วยเสียงของคนที่วิ่งเข้ามาชน สิปป์ตอบว่า ‘ไม่เป็นไร’ เบาๆ ก่อนจะหันไปมองตามสัญชาตญาณ
“แนนนี่!!” ผู้หญิงที่กำลังหุบร่มชะงักค้างเมื่อเห็นว่าคนที่ยืนหลบฝนอยู่ข้างๆ กันเป็นใคร
“สิปป์!!” ชื่อของแฟนเก่าที่ไม่ถูกเอ่ยถึงมานานเจือปนทั้งความตกใจและประหลาดใจ
“มาทำอะไรอ่ะ”
“มาทำอะไรที่นี่เหรอ”
คำถามใจความเดียวกันนี้ ทำให้หญิงสาวในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งสีกรมท่ากับกางเกงขายาวทรงสกินนี่หัวเราะออกมาเบาๆ และแม้ใบหน้านั้นจะชื้นไปด้วยหยาดฝน แต่สิปป์ก็ยังเห็นดวงคมเฉียบแฝงความมั่นใจในตัวเองกับพวงแก้มสีระเรื่อที่ดูคุ้นเคย
“อ่อ...ผมมาสัมภาษณ์อาจารย์ที่คณะจิตวิทยา แนนล่ะ” ผู้มาก่อนเอื้อมมือไปช่วยหญิงสาวข้างๆ หุบร่มที่เปียกชื้น
“แนนก็มารออาจารย์เหมือนกัน”
“หือ? แนนเรียนป.โทเหรอ”
“อ่า...แฟนน่ะ” แนนนี่ตอบเขินๆ ในขณะที่สิปป์ได้แต่เกาหัวแก้เก้อ
“อ้อ...เหรอๆ ดีเนอะ” สิปป์ไม่รู้ว่าในฐานะแฟนเก่าควรจะพูดอะไรให้ดีกว่านี้ “แล้วแนนสบายดีใช่มั้ย”
“สบายดีๆ ตอนนี้แนนออกจากที่เก่าแล้ว มาทำพีอาร์อยู่กับ Be your friend group”
“จริงดิ่ เล่มที่แล้วผมเพิ่งไปรีวิวร้าน Prizano มาเอง ติดต่อผ่าน Be your friend นี่แหละ”
ฝนที่ตกหนักเริ่มซาเม็ดลง แนนนี่จึงกางร่มแล้วชวนสิปป์เดินไปยังตึกเรียนด้วยกัน แม้จะเปียกละอองฝนนิดหน่อย แต่พื้นที่ที่กว้างขึ้นกว่าเดิม ก็พอทำให้สบายตัวมากขึ้น
“ส่วนใหญ่แนนดูพวกโรงแรมอ่ะ เออนี่ ปลายเดือนหน้าจะมีล้อนจ์โรงแรมใหม่ในเครือ แนนส่งบัตรเชิญให้ทางเกย์สเกลได้มั้ย ...เออ สิปป์ยังทำอยู่ที่เดิมใช่ป่ะ ลืมถาม” พีอาร์สาวทำหน้าที่ของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว จนสิปป์นึกชมอยู่ในใจ
“ช่าย...ส่งมาได้เลย เดี๋ยวผมส่งต่อให้ทีมเซลส์เอง”
“ขอบคุณมากนะ” ผู้หญิงตรงหน้ายิ้มสดใส “แล้วนี่ทุกคนสบายดีมั้ย”
“ก็เรื่อยๆ แหละ เดือนก่อนเพิ่งไปเอาท์ติ้งกันมา สนุกดี”
ตอบจบแล้วก็เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ แนนนี่ง่วนอยู่กับการสะบัดร่มที่เปียกฝน ส่วนเขาก็มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย แว่บหนึ่งสิปป์อยากถามผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าว่ายังเสียใจอยู่มั้ย ที่ผ่านมาใช้ชีวิตยังไงบ้าง แฟนใหม่ดีกับแนนหรือเปล่า ทำไมถึงย้ายงาน ยังต้องทำงานเลิกดึกๆ อยู่มั้ย และอีกสารพัดคำถามที่รู้ว่าถามไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้นมา
ร่มในมือถูกจัดระเบียบครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แนนนี่ก็ยังไม่รู้ว่าจะหาเรื่องอะไรมาคุยต่อ ไม่รู้ว่าความมั่นใจที่เคยมีตลอดมามันละลายไปกับสายฝนแล้วหรือยังไง จนสุดท้ายก็ต้องวนมาเรื่องที่พยายามเลี่ยงจะถามมากที่สุด “แล้วสิปป์เป็นไงบ้าง มีแฟนใหม่หรือยังเนี่ย”
สิปป์สะดุ้งกับคำถามนั้น หัวเราะแหะๆ ด้วยคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำถามนี้ “ก็...นิดนึง”
“แน่ะๆ ใครอ่ะ พี่เมตป่ะ ฮ่าๆ” อดีตแฟนพูดติดตลก ส่วนคนฟังถึงกับทำหน้าเหวอ “แซวเล่นน่ะ แต่ก็ดีแล้ว จะได้มีคนดูแลนะ”
“โหยยย ระดับเค้านะจะต้องให้ใครดูแลทำม๊าย ออกจะมาดแมน แข็งแกร่งดุจภูผา” พูดจบก็เบ่งกล้ามโชว์สาวอย่างไม่อายสายตาเด็กๆ ที่หลบฝนอยู่ใกล้ๆ
“พอ!! สิปป์ไม่อายแต่แนนอายนะ” แนนนี่หัวเราะ ความเก้อเขินที่ก่อตัวเมื่อครู่ค่อยๆ จางหาย “สิปป์...มีความสุขดีใช่มั้ย”
ผู้ชายข้างๆ ยิ้มและพยักหน้า “เค้าขอโทษนะ เรื่องวันนั้น”
“เฮ้ย ไม่เป็นไรจริงๆ มันไม่มีใครผิดหรือถูกหรอก สิปป์ไม่ต้องคิดมากนะ แนนโอเค” รอยยิ้มจริงใจจากหญิงสาวยืนยันว่าคนพูดรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
หลังจากที่ทั้งสองคนยืนคุยอยู่ใต้ตึกไม่นาน แฟนของแนนนี่ก็มาถึง สิปป์ยกมือไหว้ผู้ชายร่างสูงในชุดสุภาพ ทักทายกันเล็กน้อย ก่อนขอตัวไปทำงานต่อ ฝนขาดเม็ดไปนานแล้ว ท้องฟ้าเริ่มปรากฏแสงอาทิตย์ทีละน้อย สองข้างทางชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำฝน อากาศกำลังเย็นสบายจนไม่อยากจะรีบเดินให้เหนื่อย
Rrrrrrrrrrrrr….“ว่างายยยย” โทรศัพท์ส่วนตัวโชว์ชื่อของตากล้องพร้อมรูปหน้าเบลอๆ อึนๆ เต็มจอ สิปป์เลยต้องรีบกดรับเพื่อไม่ให้เห็นภาพระคายสายตาบนหน้าจอนานกว่านี้
“กูกำลังไปพารากอนกับจี” ปลายสายรายงาน
“อ้าว งานโคโลญจ์นั้นอ่านะ ไหนว่ามีภาพพีอาร์ให้ไง” ปกติงานเปิดตัวสินค้าต่างๆ เซลส์มักจะไปคนเดียว เพราะพีอาร์ของงานจะมีภาพข่าวส่งตามมาอยู่แล้ว
“ก็ใช่ แต่กูอยากมาด้วย” เมตตาตอบ “จะได้แวะรับมึงกลับพร้อมกันไง”
“แหม่” แม้จะทำเสียงยียวนตอบกลับ แต่ก็อดจะยิ้มไปกับคำตอบนั้นไม่ได้ “โอเคๆ ก็น่าจะเสร็จประมาณหกโมงอ่ะ”
“คงพอๆ กัน รออยู่แถวนั้นก็ได้ เดี๋ยวไปรับ”
“ขอรับขุ่นพ่อ!!” วางสายเรียบร้อย นักเขียนก็รีบเดินไปยังที่หมายทันที เพราะอีกไม่ถึง 15 นาทีก็จะถึงเวลานัดแล้ว
การสัมภาษณ์อาจารย์ในวันนี้เป็นอีกหนึ่งงานที่สิปป์รู้สึกว่าต้องเขียนออกมาได้ดีแน่ๆ เพราะอาจารย์ให้ความรู้เรื่องรักร่วมเพศในเชิงจิตวิทยาได้อย่างน่าสนใจ แถมตอนท้ายๆ ยังมีเพื่อนของอาจารย์มาช่วยอธิบายในเชิงชีววิทยาอีกนิดหน่อยด้วย แต่ที่ยังหนักใจอยู่ก็คือ เขาจะทำยังไงให้เนื้อหาที่น่าสนใจในทุกคำพูดตลอดหนึ่งชั่วโมง ยัดลงหน้านิตยสารได้ครบถ้วนใน 3 หน้า ซึ่งคำตอบคือ เป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ต้องต้องตัดทอนบางส่วนอยู่ดี แต่ที่แน่ๆ เขามีประโยคที่จะใช้เป็น Quote ของเรื่องนี้อยู่ในใจแล้ว
‘รักร่วมเพศพบในสิ่งมีชีวิตกว่า 450 สายพันธุ์
แต่การเกลียดรักร่วมเพศพบได้ในสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวเท่านั้น นั่นก็คือมนุษย์
แล้วอย่างนี้ใครกันที่ผิดธรรมชาติ?’เมื่อลงมาด้านล่างตึก ก็เห็นตากล้องมาดเซอร์มานั่งทำเท่รออยู่ที่โต๊ะม้าหินแถวนั้นเรียบร้อย แล้วไม่ทราบว่าในเวลาหกโมงเย็นนี่ มันมีแดดอะไรให้คุณพี่เค้าต้องใส่แว่นเรย์แบนสีชาเป็นพร็อพประดับใบหน้าแบบนั้น แถมท่านั่งหันหลังพิงขอบโต๊ะแล้วก้มหน้าสไลด์มือถืออย่างไม่สนใจโลกนั่นด้วย คือมึงจะเอาหล่อไปไหน!! นั่นๆ เด็กที่มันซ้อมเชียร์กันอยู่แอบถ่ายรูปมึงด้วยนะไอ้เชี่ยเมต!!
“หล่อจุงเบย ขอเบอร์ได้มั้ยครับ” พอเดินถึงตัวตากล้องที่แปลงสภาพเป็นนายแบบสิปป์ศิลป์ก็อดจะแขวะไอ้หล่อนี่ไม่ได้
คนโดนทักเงยหน้าขึ้น รอยยิ้มบางๆ จุดขึ้นที่มุมปาก “ไม่ได้ครับ มีแฟนแล้ว”
“ว๊า...แย่จัง”
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีแฟนผมขี้-หึง-มากกกกก”
“สัส! กูไม่เคยเหอะ”
“อะไรๆ ...กูหมายถึงแฟนกูครับ” เมตตาตอบยียวน คนฟังเลยทำหน้าง้ำแล้วเดินหนี เดือดร้อนให้อีกคนต้องรีบเดินตามทันที “โอ๋ๆ ไรเนี่ย นอกจากขี้หึงแล้วยังขี้งอนด้วยเหรอ”
“ไปถามแฟนมึงสิ”
คนถูกงอนเอื้อมแขนยาวๆ ไปล็อกคออีกคนไว้ได้ ก่อนจะดึงร่างนั้นมาชิดตัว แล้วกระซิบเสียงเบา “น่า...รัก”
“น่ารักพ่อง!”
หลังโดนคนน่ารักโบกหัวไปที เมตตาก็กลับมารับตำแหน่งคนขับรถแทนนายแบบเหมือนเดิม คืนนี้ทั้งสองคนไม่มีนัดที่ไหน เลยตั้งใจจะกลับไปดูซีรีย์ต่อที่บ้าน หลังจากยุ่งจนไม่มีเวลาพักมาหลายวัน
“เรื่องนี้เราดูไปถึงตอนที่เท่าไรแล้วนะ” คุณชายที่นั่งข้างๆ เอ่ยถาม ขณะเปิดเน็ตไล่ดูรายชื่อซีรีย์ที่เพิ่มเป็นรายการโปรดไว้
“ไหนๆ” เมตตาชะโงกหน้ามาดู ก่อนจะนึกสักพัก “ซีซันสอง ตอนที่แปดนะ ถ้าจำไม่ผิด”
“อ๋อ มันจบตอนที่พระเอกรู้ความจริงเรื่องลุงมันป่ะ”
“ช่าย”
“คืนนี้ดูสักสี่ตอนมะ ในพันทิปบอกว่าตอนที่สิบสองไม่ค้างมาก” ขอความคิดเห็นจากอีกฝ่าย ก่อนจะนึกขึ้นได้ “เออ วันนี้กูเจอแนนนี่ด้วย”
เมตตาหันมาแล้วขมวดคิ้วเป็นคำถาม “แนนนี่? อ๋อ... เจอได้ไงอ่ะ”
“เค้ามาหาแฟนที่เป็นอาจารย์อยู่ที่นี่” แล้วสิปป์ก็เล่าเรื่องที่ไปเจอแฟนใหม่ของแฟนเก่า และเรื่องที่แนนนี่ย้ายไปทำงานกับทีมพีอาร์ของร้านที่ไปรีวิวเล่มที่แล้วด้วย
“วันหลังนัดไปกินข้าวด้วยกันสิ” เมตตาเสนอ เพราะตอนที่แนนนี่คบกับสิปป์ เขาสามคนก็เจอกันบ่อยๆ ถึงจะไม่ได้สนิทอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นคนรู้จักกัน
“...อย่าเลยว่ะ กูว่าสุดท้ายก็กลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอก” สิปป์พูดตามจริง ก่อนอีกคนจะพูดสวนกลับมา
“เหรอ...กูก็ไม่กลับไปเป็นเพื่อนกันมึงนะ บอกเลย” ตากล้องพูดเสียงเครียด แต่แววตาทอดมองอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
สิปป์หลบตาทันควัน แสร้งก้มลงมองหน้าจอมือถือเหมือนเดิม ก่อนจะบ่นอุบอิบในลำคอ “ทำอย่างกับกูอยากกลับไปเป็นเพื่อนกับมึงงั้นแหละ”
Rrrrrrrrrrrr… “ครับแม่” ขณะกำลังพูดคุยกันอยู่ เสียงโทรศัพท์ของสิปป์ก็ดังขึ้น เจ้าของโทรศัพท์ทักทายปลายสายที่ไม่ค่อยได้โทรมาหาบ่อยนัก ส่วนใหญ่สิปป์กับแม่จะคุยกันทางไลน์มากกว่า เพราะแม่ชอบส่งสติกเกอร์ ‘แม่ซื้อมาแล้วก็อยากใช้’ แม่เคยบอกไว้อย่างนั้น
“แม่จะมาหาสิปป์เรอะ!!” เมตตาหันขวับ ในขณะที่สิปป์กำลังตกใจสุดขีด
“แม่ ตอนนี้สิปป์ไม่ได้อยู่ห้อง ...ไม่ๆ คือ...” สิปป์หยุดพูด เมื่อปลายสายเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน “ค...ครับ แม่จะมาถึงกี่โมง ...ฮะ!! อีกครึ่งชั่วโมง!!”
“ได้ครับ แม่ๆ แม่หาไรกินไปก่อนนะ นั่งรอที่ร้านหน้าปากซอยก็ได้ เดี๋ยวสิปป์รีบไปครับ” ละล่ำละลักบอกกับแม่ไปโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะทำตามหรือไม่ เพราะถ้าแม่ไปขอกุญแจสำรองกับลุงยามแล้วไขเข้าไปล่ะก็ แม่ก็จะได้พบกับห้องที่ว่างโล่งเหมือนไม่มีคนอยู่มาสักสิบปี พื้นกระเบื้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น ที่พร้อมจะเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ด้วยโรคภูมิแพ้ และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันยังใช้งานได้อยู่หรือเปล่า
“เอาไงดีวะมึง” คนที่แม่กำลังมาหาโดยไม่มีการนัดคิวล่วงหน้าถึงกับหน้าเสีย จนเมตตาต้องเอื้อมมาจับมือเย็นเฉียบของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ แล้วบอกให้ใจเย็นๆ
สิปป์กลับมาถึงหอพักตอนเกือบๆ สองทุ่ม ซึ่งแม่ของเขาบอกว่าจะนั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟหน้าปากซอย นับว่ายังโชคดีที่แม่ยังเชื่อเขาอยู่บ้าง
“แม่ หวัดดีครับ” สิปป์กับเมตตายกมือไหว้ผู้หญิงที่นั่งอยู่คนเดียวในร้าน “รอนานมั้ยแม่ รถติดมากเลยอ่ะ”
“ไม่นานหรอก ที่นี่มี WIFI ฟรีด้วย แม่อยู่ได้ สบ๊าย” คนเป็นแม่ตอบอย่างอารมณ์ดี
ลูกชายบ่นอุบว่าเดี๋ยวนี้แม่ชักจะติดโซเชียลมากเกินไปแล้ว ก่อนจะแนะนำคนที่ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ “แม่ นี่ไอ้เมต จำได้เปล่า”
“จำได้สิ ตอนเรียนก็เคยเจอกันสองสามครั้งใช่มั้ยลูก แต่ตอนนี้หล่อกว่าในรูปนั้นอีกนะเนี่ย” พอเห็นสองหนุ่มหน้าตาเหรอหรา คุณแม่เลยอธิบาย “ก็สิปป์โพสต์บอกว่านี่แฟนเราไม่ใช่เหรอ ฮ่าๆ”
คนมีชนักติดหลังถึงกับเหงื่อตก ก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้หนีจากเรื่องเดิมเท่าไร “แม่ วันนี้เราไปนอนบ้านไอ้เมตกันก่อนนะ ห้องสิปป์นำไม่ไหลอ่ะ รอช่างมาซ่อมหลายวันแล้ว”
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก ไม่งั้นแม่ไปเช่าโรงแรมก็ได้นะลูก”
“ไม่เป็นไรครับ แม่ไปนอนบ้านผมเถอะครับ บ้านผมไม่ไกลจากโรงแรมที่แม่ต้องไปสัมมนาด้วย” เจ้าของบ้านรีบบอก เพราะกลัวคุณแม่ของสิปป์จะเข้าใจผิด
“เอางั้นเหรอ...งั้นก็ได้จ้ะ” สิปป์เรียกพนักงานเช็กบิล ก่อนจะยกของใช้ส่วนตัวของแม่ไปไว้ที่รถ พรุ่งนี้แม่มีงานสัมมนาแต่เช้า เลยนั่งรถเข้ามากรุงเทพฯ เพื่อจะมานอนบ้านเพื่อน แต่เกิดผิดแผนนิดหน่อย เลยมาเซอร์ไพรซ์ที่หอของลูกชายแทน
กว่าจะถึงบ้านของเมตตาก็ใช้เวลาอีกชั่วโมงกว่า คุณแม่ถึงกับบ่นอุบขณะยืดเส้นยืดสายเมื่อถึงที่หมาย “รถติดในกรุงเทพฯ นี่มันนานจริงๆ แม่นั่งรถไปเชียงใหม่ แล้ววกกลับไปเที่ยวภูเก็ต ยังใช้เวลาน้อยกว่านี่อีก”
เมตตาหัวเราะขำกับมุกของแม่ และเริ่มเข้าใจแล้วว่านิสัยช่างพูดของสิปป์ศิลป์นี่ได้มาจากใคร
“เลี้ยงแมวด้วยเหรอลูก” แขกพิเศษทักขึ้นทันทีที่เดินเข้ามาในบ้าน เมื่อแมวของเมตตาวิ่งเข้ามาพันแข้งพันขาราวกับรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี
“แมวติดบ้านหลังนี้มาน่ะครับ” เจ้าของบ้านตอบขณะยกน้ำและผลไม้ในตู้เย็นออกมา
“เจ้าสิปป์ไม่กลัวเหรอเนี่ย หืม” คนที่รู้จักลูกตัวเองดีกว่าใครเอ่ยแซว เพราะรู้ว่าขานั้นกลัวแมวอย่างกับอะไรดี
“คนนั้นน่ะเหรอครับแม่” เมตตาพยักเพยิดไปทางชายหนุ่มที่ยกกระเป๋าเสื้อผ้าแม่ไปไว้ในห้องนอนเล็ก “ทะเลาะกับแมวทุกวันครับ ฮ่าๆ”
“ก็แม่ดูแมวมันสิ กวนอารมณ์สุดๆ” พูดยังไม่ทันจบ ไอ้ตัวที่ถูกกล่าวถึงก็วิ่งปรู๊ดไปหาสิปป์ทันที ซึ่งไวพอๆ กับที่สิปป์คว้าไม้แบดมาเป็นอาวุธคู่กาย
“อย่าเข้ามานะเว้ย” มือเรียวโบกไม้แบดฟิ้วฟ้าวประหนึ่งเป็นกระบี่ด้ามคม หากก็เป็นผลให้เจ้าแมวน้อยล่าถอยกลับไปจนสำเร็จ
“ฮ่าๆๆ โอ้ย..เจ้าสิปป์! แมวตัวเท่านี้มันจะไปทำอะไรเรา ฮะ” คนเป็นแม่ทั้งขำทั้งอ่อนใจกับลูกชายที่ตัวโตอย่างกับอะไร แต่มากลัวสัตว์ตัวกะเปี๊ยก
“แม่อ่า...ก็เคยบอกแล้วไง ว่าสิปป์เดาทิศทางมันไม่ถูก นึกจะพุ่งก็พุ่งเข้ามา” ลูกชายทำหน้ามุ่ย เมื่อเห็นทั้งแม่ทั้งแฟนยืนหัวเราะกันตัวสั่น
“โถๆ แมวมันร้ายเนอะ” แม่ยังแซวลูกตัวเองไม่เลิก แต่พอเห็นว่าเจ้าลูกชายทำท่าจะงอนจริง คุณแม่เลยรีบง้อ “ไม่แซวแล้วๆ นี่ห้องนอนแม่ใช่มั้ยลูก”
“ใช่ครับ ถ้าขาดอะไรแม่บอกผมได้เลยนะครับ” เมตตาตอบในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ก่อนจะเดินนำแขกเข้าไปในห้องพัก
“ขอบใจจ้ะ แล้วนี่สิปป์ก็ต้องไปนอนห้องเมตเหรอ” คุณแม่หันมาถาม
สองหนุ่มมองหน้ากันแล้วรับคำอย่างตื่นๆ “ค...ครับ”
“นอนเบียดกันแย่เลย ตัวใหญ่ๆ ทั้งคู่”
“ไม่เป็นไรครับ” เจ้าบ้านรีบปฏิเสธ “ไม่เบียดมากหรอกครับแม่”
“ใช่ๆ ยังไงแม่พักผ่อนเถอะนะ แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าสิปป์ไปส่ง” ลูกชายคนเดียวส่งกระเป๋าสะพายให้แม่เป็นอย่างสุดท้าย ก่อนจะบอกลาแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อน
คุณแม่จัดการหยิบข้าวของที่ต้องใช้ออกมา ขณะกวาดสายตาไปมองรอบๆ ห้อง ตอนแรกเธอเข้าใจว่าห้องนี้เป็นห้องที่สิปป์ศิลป์น่าจะใช้พักระหว่างมาอาศัยอยู่นี่ แต่กลับพบว่าภายในห้องไม่มีเครื่องใช้ส่วนตัวอะไรสักอย่าง แม้แต่หวีที่ควรจะมีหน้ากระจกก็ยังไม่เห็น
ถ้าอย่างนั้นมันก็มีอยู่สองอย่าง คือลูกชายของเธอไม่ได้มานอนบ้านเพื่อน กับสิปป์มานอนบ้านเพื่อน แต่ไม่ได้นอนห้องนี้ แต่ถ้าดูจากความคุ้นชินแล้ว ยังไงเจ้าสิปป์ก็เหมือนคนอยู่ที่นี่แน่ๆ
...ในเมื่อบ้านนี้มีแค่สองห้องนอน แล้วลูกชายเธอนอนห้องไหน ?!
TBC.
หายไปเดือนกว่า แฮ่ๆ สารภาพเลยว่าไม่ได้ไปไหนหรอกค่ะ
แต่รับฝิ่น (รับงานฟรีแลนซ์) เล็กๆ แต่มันเป็นงานต่อเนื่องมาก เลยไม่ได้เขียนเรื่องนี้ซะที
พอเคลียร์งานนั้นจบ ก็รีบเอาพลพรรคเกย์สเกลมาพบทุกคนทันทีเบยยยย
ตอนนี้มีตัวละครลับมาอีกแล้วอ่ะ กับยอดนักสืบขุ่นแม่!!
ปล. ทำไมพี่เก็ตได้ออกนิดเดียวเอง - -"
ปล. 2 ก็ยังดีกว่าบก.เอ้ที่ได้ออกแค่ชื่อ
ปล. 3 "กรูก็ได้ออกแค่ชื่อว้อยยยยย" - พี่เป็ดกล่าว
เจอกันตอนหน้านะคะ ใกล้จบแล้วอ่า แอบใจหายยยยย
