Sp.4 สิ่งที่เธอได้มองข้ามไป...?
“ไม่ลืมอะไรใช่มั้ย”
คำถามของคนที่ยืนรออยู่หน้าประตูทำให้สิปป์ศิลป์ต้องเดินกลับเข้ามาในห้องอีกรอบ ตากลมกวาดมองสำรวจทุกซอกทุกมุม ก่อนจะสรุปกับคนถามว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี
เมตตาช่วยคนดูแลหอพักเข็นรถขนของล็อตสุดท้ายไปยังลิฟต์ ในขณะที่สิปป์ศิลป์ยืนหันรีหันขวางอยู่หน้าประตู เพราะลึกๆ ก็รู้สึกใจหายไม่น้อยที่ต้องย้ายจากห้องพักที่อยู่มานานกว่าสามปี สุดท้ายอดีตเจ้าของห้องก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนมือเรียวจะค่อยๆ ปิดประตูลง
หลังเคลียร์เงินประกันกับหอพักเรียบร้อย รถเต่าสีเขียวมะกอกก็ขับนำรถกระบะที่บรรทุกของ มุ่งตรงไปยังบ้านของเมตตา ซึ่งตอนนี้กำลังจะกลายเป็นบ้านของสิปป์ศิลป์ด้วย เพราะนักเขียนลงทุนใช้เงินก้อนใหญ่ต่อเติมห้องออกมาอีกห้อง และตัดสินใจย้ายไปอยู่บ้านหลังนี้อย่างถาวร หลังจากต้องเช่าหอทิ้งไว้ แล้วไปๆ กลับๆ ระหว่างบ้านของเมตตากับหอพักอยู่เป็นปี
“เศร้าป่ะเนี่ย” คนขับเอื้อมมือมาขยี้หัวคนข้างๆ เบาๆ คนถูกถามส่ายหน้า แต่ยังดูซึมไม่เปลี่ยน
“ย้ายเถอะ เช่าไปก็เสียเงินไปฟรีๆ ตั้งสามสี่พัน” เมตตาบอกอีกคนเสียงอ่อนโยน
“ก็จริง” สิปป์ถอนหายใจ “แต่มันก็โหวงๆ นิดนึงอะ อยู่มาตั้งนาน”
“แอบซ่อนกิ๊กไว้หรือเปล่าจ๊ะอีหนู” ถามยียวนก่อนจะโดนอีกคนเบ้ปากใส่
Rrrrrrrrrrrrrrrrr…
เสียงพูดคุยในรถเงียบลงเมื่อโทรศัพท์ของสิปป์ศิลป์ดังขึ้น มือเรียวกดรับก่อนรายงานปลายสาย
“ครับแม่ ขนของเรียบร้อยแล้วครับ นี่กำลังไปบ้านเมต”
เจ้าของบ้านเหลือบมองแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางขยับปากโดยไม่ออกเสียงว่า ...สวัสดีครับแม่ยาย...
คนถูกล้อเลียนทำท่าจะเขกหัวตัวป่วน แต่ก็ถูกผู้เป็นแม่ดึงความสนใจกลับไปเสียก่อน “เฮ้ย!! ไม่ต้องหรอกแม่ ของนิดเดียวเอง”
“อะไรๆ” เมตตารีบถามเมื่อได้ยินน้ำเสียงตกใจของคนคุยโทรศัพท์
“แม่จะมาช่วยจัดของ” สิปป์หันไปตอบอย่างรวดเร็วแล้วกลับมาคุยกับแม่ต่อ “ก็มีแค่พวกหนังสือแหละแม่ แล้วก็ของใช้นิดหน่อย นี่ท้ายรถกระบะเหลือตั้งครึ่งนึง แม่ไม่ต้องมาช่วยก็ได้”
เจ้าลูกชายยังเถียงกับแม่ต่ออีกพักใหญ่ จนสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปที่ลงตัวทั้งสองฝ่าย “โอเคฮะ ถ้าจัดบ้านเสร็จแล้วสิปป์จะไปรับแม่มาเที่ยวนะ”
แต่เดิมบ้านของเมตตาเป็นบ้านชั้นเดียว มีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่ทำเป็นห้องนั่งเล่นและตั้งโต๊ะกินข้าว ด้านหลังกั้นเป็นครัวเล็กๆ พร้อมลานซักล้าง ข้าวของภายในบ้านแม้จะมีไม่มากนัก แต่ทุกอย่างก็ดูลงตัวเข้ามุมไม่เกะกะ การจะให้สิปป์ขนของมาอยู่แบบถาวรจึงค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งสองคนจึงคุยกันว่าน่าจะมีการต่อเติมเพิ่ม เอาไว้เป็นห้องสมุดเล็กๆ และแบ่งอีกครึ่งเป็นห้องทำงาน
สิปป์กำลังจัดเรียงหนังสือเข้าชั้น ซึ่งเมตตายกตู้ไม้จากในห้องนอนมาวางต่อกันอีกหลัง พร้อมหนังสือส่วนตัวที่ขนมาให้อีกคนจัดรวมกัน เจ้าของบ้านหมาดๆ หยิบหนังสือในกองข้างกายมาดู ก่อนจะอมยิ้มเมื่อหนังสือเล่มเยินๆ ในมือมีสภาพการผ่านสมรภูมิมาอย่างโชกโชน นี่คือหนังสือที่อาจารย์วรรณกรรมไทยบังคับให้อ่าน และเป็นงานที่ทำให้เขาสองคนได้จับคู่ทำงานกันเป็นครั้งแรก
“เด็กกำพร้าแห่งสรวงสวรรค์?” คนที่กำลังเดินเข้ามาเอียงคออ่านชื่อบนหน้าปก ก่อนจะยิ้มออกมาเช่นเดียวกัน
“ซีบวกเลยวิชานี้” ตากล้องหัวเราะขำกับเกรดของตัวเอง นี่ถ้าไม่ได้ทำงานคู่กับไอ้สิปป์ สงสัยว่าคงจะได้ด็อกมาครอง
“อ่อน!” นักเขียนคุยทับ “คนจริงเค้าต้องได้เอเว้ย”
“เออ มึงเก่ง แหม่ๆๆ” เมตตาคว้าหนังสือเล่มบางมาไว้ในมือ ก่อนจะคลี่เปิดไปมา
“เฮ้ย...อะไรอะ” สิปป์เอื้อมมือมาหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่คั่นอยู่ในเล่มออกมา เมื่อพลิกดูจึงรู้ว่าเป็นรูปของตัวเองที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือเล่มนี้
“ถ่ายตอนไหนวะ” นักเขียนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ เพราะจำไม่ได้แม้แต่น้อยว่าตอนนั้นตัวเองถูกถ่ายภาพอาร์ตๆ แบบนี้ด้วย
“กูก็ถ่ายไปเรื่อย แล้วบังเอิญติดมึงไง” อีกฝ่ายตอบเสียงราบเรียบจนสิปป์ต้องหรี่ตามองอย่างจับผิด
“แล้วทำไมถึงล้างรูปกูรูปเดียว” พอโดนรุกต่อ เมตตาก็แสร้งหยิบหนังสือเล่มอื่นๆ มาวางบนชั้นแทน
“อาราย ล้างมาตั้งหลายรูป ไปดูในอัลบั้มในห้องสิ”
นักสืบหัวเราะหึหึขณะเปิดหนังสือเล่มที่มีประเด็นไปมา “แต่มึงเอารูปกูมาใส่ไว้ในหนังสือเล่มนี้แค่รูปเดียวเนี่ยนะ”
“โอ๊ยยยย มึงจะสืบอะไรเนี่ย รูปนี่ก็รูปมึง ไม่ใช่สาวที่ไหนซักหน่อย หึงตัวเองหรือไง”
“เปล๊า” นายแบบยักไหล่เหมือนจะบอกว่า ก็ไม่มีปัญหาอะไร “แค่นึกว่ามีใครบางคนแอบชอบกูตั้งแต่ตอนนั้นซะอีก”
มือหนาคว้าตัวเจ้าหนูจำไมมากอด ก่อนจะฟัดแก้มขาวๆ ทั้งสองข้างจนคนถูกจู่โจมโวยลั่น “เจ็บๆๆ หนวดหรือหญ้าแพรกวะเนี่ย”
“หึหึ อย่าสงสัยมากไอ้หนู ตอนนั้นจะรักหรือเปล่าไม่สำคัญ เพราะตอนนี้อะ” เสียงทุ้มหรี่ลงจนกลายเป็นกระซิบ “รักมาก”
รูปต้องสงสัยถูกย้ายจากในซอกหนังสือไปแปะอยู่หัวเตียง พร้อมๆ กับคนในรูปที่มานอนกลิ้งเล่นอย่างสบายอารมณ์ ความเมื่อยขบจากการจัดของทำเอาสิปป์ศิลป์อยากนอนนิ่งๆ สักสองปี เพราะกว่าจะจัดหนังสือเสร็จก็ก้มๆ เงยๆ จนหลังแทบหัก
“มึงงงง” เสียงเจ้าของบ้านตะโกนดังมาจากห้องที่ต่อเติมใหม่ “ให้วางโน้ตบุ๊กไว้ตรงไหน”
“วางๆ ไปก่อนเหอะ” คนอยู่ในห้องนอนตะโกนตอบ
เมตตาจัดการเอาของที่เหลือเรียงให้เข้าที่ เพราะตอนนี้ไอ้ตัวแสบหนีไปนอนผึ่งพุงสบายใจซะแล้ว พูดแล้วก็นึกถึงคำที่แม่ของสิปป์เคยบอกไว้ ‘เจ้าสิปป์มันเลี้ยงง่าย เหมือนเลี้ยงหมานั่นแหละ ให้มันกิน วิ่งเล่น แล้วก็นอนให้พอ แค่นี้มันก็มีความสุขแล้ว’
สองเดือนก่อนเขาสองคนตัดสินใจไปคุยกับพ่อแม่ของสิปป์ ไม่ใช่ว่ายกขันหมากไปขอหรืออะไร แค่ไปบอกเค้าว่าสิปป์ศิลป์จะย้ายมาอยู่กับเมตตาเหมือนเป็นรูมเมตกัน เพราะจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายหลายอย่าง ทั้งค่าที่พักและค่าเดินทาง โดยไม่มีใครพูดถึงความสัมพันธ์อะไรที่มากกว่าเพื่อน ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็ไม่มีใครถาม แต่เขาคิดว่าพ่อกับแม่อาจรู้ เพียงแต่ไม่พูด และการไม่ห้ามก็ถือเป็นแนวโน้มที่น่ายินดี
‘อยู่ด้วยกันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง ถ้ามีอะไรไม่พอใจก็ต้องเคลียร์กัน เข้าใจมั้ย จะเอะอะขนของหนีมันไม่ได้นะ’ แม่บอกกับลูกชายและเพื่อน ‘ตู้หลายใบ มันขนยาก’
ส่วนคุณพ่อของสิปป์เป็นคนเงียบๆ ไม่ได้ช่างพูดเหมือนลูกชาย ภายใต้ใบหน้านิ่งๆ นั่นเมตตาก็เดาใจท่านไม่ออก ทว่าก่อนจะกลับมากรุงเทพฯ ท่านกลับเดินมาหา พร้อมยื่นเงินให้ไอ้สิปป์ ‘เห็นบอกว่าจะต่อเติมบ้าน พ่อช่วยสมทบทุนนะ’
แม้จะคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้ เนื่องจากไปๆ มาๆ อยู่เป็นปี แค่ความรู้สึกของการได้เป็นเจ้าของนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลังจากแซะตัวเองให้ลุกจากเตียงได้ในเช้าอีกวัน สิปป์ก็มาเดินสำรวจห้องใหม่ที่เมตตาจัดไว้จนเสร็จ ชั้นวางหนังสือและตู้ไม้ตั้งตระหง่านอยู่มุมห้อง ถัดออกมาเป็นโต๊ะทำงานที่มีโน้ตบุ๊กและเครื่องเสียงเล็กๆ วางอยู่ เขาเพิ่งสังเกตว่าโต๊ะนี้วางอยู่ริมหน้าต่างพอดี ผ้าม่านที่แม่ของเมตตาส่งมาให้ แขวนพลิ้วล้อลมอยู่กับโมบายของชำร่วยงานแต่งเพื่อนในกลุ่ม เสียงกรุ๊งกริ๊งฟังดูผ่อนคลายจนอยากแช่ตัวอยู่นานๆ ว่าแล้วร่างโปร่งก็ทิ้งตัวลงนั่งกับเบาะนุ่มที่วางอยู่เคียงข้างกับโต๊ะญี่ปุ่นกลางห้อง พร้อมหยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้มาเปิดอ่าน และไม่นานก็เริ่มเอนกายลงนอนอย่างเพลิดเพลิน
“กินองุ่นมั้ย” เมตตาเดินเข้ามาในห้องใหม่พร้อมจานบรรจุผลไม้ พอคนที่นอนกลิ้งพยักหน้าก็จัดการส่งองุ่นเม็ดหนึ่งเข้าปากไอ้คนขี้เกียจ สิปป์เคี้ยวหนุบหนับแล้วก็อ้าปากเป็นลูกนกอีกครั้ง เมตตาเขกหัวไอ้ตัวแสบไปทีแต่ก็ยอมป้อนองุ่นให้มันเหมือนเดิม
“ร้องเพลงให้ฟังหน่อยยย” หนอนหนังสือเอ่ยเสียงยานคางจนเมตตาหัวเราะขำ “นะ นะ นะ”
ไม่ต้องรอให้สิปป์ศิลป์อ้อนเป็นครั้งที่สอง เมตตาก็ยอมคว้าเอากีตาร์โปร่งที่พิงอยู่กับผนังห้องมาตั้งสายแต่โดยดี
เสียงเทียบสายดังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยท่วงทำนองคุ้นเคย
“ดอกไม้ ประตู แจกัน ดินทราย ต้นไม้ใหญ่...” เสียงนุ่มแม้จะไม่ทุ้มเท่าต้นฉบับ หากอบอุ่นอ่อนหวานไม่แพ้กันทำให้คนฟังแอบอมยิ้ม
“แก้วน้ำ จานชาม บันได โคมไฟที่สวยงาม
ขอบรั้วและริมทางเดิน ต้นหญ้าอยู่ในสนาม
บ้านนี้จะมีความงามได้ถ้ามีเธอ” ร่างสูงนั่งพิงผนังห้องขณะเกากีตาร์พร้อมร้องคลอไปเบาๆ ขายาวเหยียดออกเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนตามแบบฉบับที่ชอบ รู้สึกถึงขาของอีกคนที่พาดทับแผ่วเบา ตาคมเหลือบมองคนที่นอนอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ แม้จะไม่เห็นหน้าของคนรัก แต่เมตตาก็รู้ว่าตอนนี้สิปป์ศิลป์คงอมยิ้มด้วยความสุขไม่ต่างกัน
“เพราะเธอคือที่พักพิง คือทุกสิ่งที่มีความหมาย
เมื่อเธออยู่เคียงชิดใกล้ เรื่องร้ายใดๆ ไม่เกรง
แม้ข้างนอกจะต้องเจอ กับเรื่องราวที่ใครข่มเหง
แต่ฉันเองไม่คิดกลัว...”เสียงแผ่วหวานในเพลงแรกจบลงแล้ว แต่ดูเหมือนนักดนตรีจะยังเพลิดเพลินกับกิจกรรมนี้อยู่ เสียงทุ้มเริ่มขับร้องเพลงบทใหม่โดยคนฟังไม่ต้องร้องขอ ทว่าเพลงที่เลือกมากลับทำให้ความทรงจำเมื่อวันวานของสิปป์ลอยฟุ้ง จนอยากจะเอ่ยถามคนที่นั่งเล่นกีตาร์ว่าเหตุการณ์ในวันนั้นยังติดตรึงอยู่ในสักเสี้ยวของความทรงจำเหมือนกันหรือเปล่า
‘สอนกูเล่นมั่งดิ’ สิปป์ชี้นิ้วไปที่กีตาร์โปร่งที่วางสงบนิ่งอยู่ในซอกโต๊ะเขียนหนังสือ
เมตตาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเอาจริงเหรอ พอคนป่วยพยักหน้าหนักแน่น เจ้าของห้องเลยเดินไปหยิบกีตาร์ตัวเก่ามาปัดฝุ่น พลางกวักมือเรียกให้คนขาแพลงกระเถิบตัวเข้ามาใกล้
เพราะผลจากการกระโดดโลดเต้นในคอนเสิร์ตเมื่อวันก่อน สิปป์เลยต้องมานอนที่หอของเมตตา ซึ่งอยู่ใกล้มหา’ลัยมากกว่า และอย่างน้อยก็มีเจ้าของห้องคอยช่วยเหลือเวลาจะไปไหนมาไหน ดีกว่าต้องใช้ไม้พยุงเดินอยู่ในห้องตัวเองคนเดียว
‘เอามือนี้จับคอร์ด มือนี้ใช้ดีด แล้วก็จีบนิ้วแบบนี้...’ ครูจำเป็นทำท่าดีดให้นักเรียนดู พออีกคนทำตามได้ถูกต้องก็เริ่มบทเรียนต่อไป ‘เดี๋ยวสอนคอร์ดง่ายๆ ให้’
สิปป์ค่อยๆ วางนิ้วมือลงตามแบบในหนังสือเพลง ทว่าจับยังไงเสียงก็บอด จนเมตตาต้องคอยช่วยกดนิ้วเรียวให้แน่นขึ้น ‘กดลงไปให้แน่นๆ แรกๆ อาจจะเจ็บหน่อย แต่เดี๋ยวก็ชิน’
สิปป์ศิลป์ไม่รู้ว่าควรจะโฟกัสที่อะไร ระหว่างเสียงนุ่มที่คอยสอนอยู่ข้างหู มืออุ่นที่ทาบทับยามเปลี่ยนคอร์ด
หรือเสียงหัวใจตัวเองที่ดังระรัวจนน่ารำคาญ...
‘เก่งนี่หว่า เอาคอร์ดเทพๆ ไปเลยละกัน’ เมื่อเห็นว่านักเรียนของตัวเองเรียนรู้ได้เร็ว เมตตาจึงเพิ่มคอร์ดใหม่ๆ ให้ จริงๆ แล้วสิปป์เป็นคนหัวไวกับทุกอย่าง ทั้งเรื่องเรียน เรื่องดนตรี นี่หัดมาไม่ถึงครึ่งวันก็จับคอร์ดง่ายๆ ได้หมดแล้ว
‘อยากเล่นเป็นเพลงแล้วอะ’ สิปป์ศิลป์ผู้ร้อนวิชาจัดการพลิกหนังสือเพลงไปมา จะให้จับคอร์ดดีดวนไปวนมาก็รู้สึกว่าน่าเบื่อเกินไป
‘เพลงนี้ๆ’ เมตตาคว้าหนังสือเพลงมาเปิดเอง ก่อนจะหยุดลงที่เพลงหนึ่งกลางเล่ม ‘ฟังแล้วนึกถึงมึง’
สิปป์ไม่รู้ว่าการ ‘นึกถึง’ ในความหมายของเมตตาคืออะไร รู้แต่เพียงว่าความหวั่นไหวในวันนี้ คงเป็นอีกหนึ่งความทรงจำที่เขาจะ ‘นึกถึง’ ไปอีกนาน
‘อาจไม่ใช่...ดี ไมเนอร์ เซเว่น’ อาจารย์พิเศษร้องไปด้วย บอกคอร์ดนักเรียนไปด้วย ‘ไม่อาจ...เอฟ เมเจอร์ เซเว่น...ถ้าเธอ...อี ไมเนอร์ เซเว่น...ถ้าไม่ดู...อี เซเว่น’
‘เชี่ย! ยากไป๊’ เล่นไปได้ไม่กี่ท่อน สิปป์ก็เริ่มจะยอมแพ้
‘ก็หัดยากๆ ดิ เอาไว้โชว์สาว’
‘มึงเล่นให้ฟังหน่อย’ มือเรียวผลักกีตาร์ไปให้โปรเฟสชันนัลเล่น ส่วนตัวเองก็กระเถิบมานั่งจับหนังสือเพลงแทน
‘เพลงนี้เหรอ’ เมตตาเอ่ยถาม ก่อนจะหันไปสบกับดวงตากลมโตอย่างไม่ตั้งใจ แล้วเขาก็ได้สัมผัสชั่วขณะหนึ่งที่ใครต่อใครเคยพูดว่า...โลกหยุดหมุน
“ลองซิลองเข้ามา ลองค้นหาคำตอบ
สิ่งที่เธอได้มองข้ามไป ใช้ใจหาทางออก
ใจนะใจแค่ลองแลกกัน มันก็อาจเกิดความสัมพันธ์
ความรู้สึกที่มีให้กัน...อาจเป็นรัก...เข้าสักวัน”เสียงคุ้นเคยดึงสิปป์ให้กลับมาจากความทรงจำให้อดีต ก่อนจะพบว่าเมตตากำลังจ้องมองตัวเองอยู่ และอาจจะมองมาสักพักแล้ว
“มองไรมึง” คนถูกจ้องลุกขึ้นนั่ง แสร้งบิดตัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อย
“มองคนเหม่อ” เมตตาตอบยิ้มๆ ก่อนจะหันมาสนใจกับกีตาร์ในมือต่อ “คิดอะไรอยู่”
เสียงโน้ตดนตรีที่เมตตาดีดมามั่วๆ คล้ายจะเป็นท่อนอินโทรของเพลงอะไรสักเพลงที่สิปป์เคยฟังเมื่อนานมาแล้ว
“ว่าไง” ถามย้ำอีกครั้งเมื่อยังไม่ได้คำตอบจากคนข้างๆ
คนถูกถามซ้ำถอนหายใจ “เพลงนี้มึงสอนกูเป็นเพลงแรกเลย”
“อ๋อ” อดีตครูจำเป็นร้องขึ้นมา “จริงๆ ตอนนั้นน่ะ...”
สิปป์หลุบตามองมือคนพูดที่เกาสายกีตาร์เล่นไปมา “ตอนนั้นทำไมเหรอ”
“กูได้ยินเพลงนี้ทีไรก็นึกถึงมึงทุกที ตั้งแต่ก่อนจะสอนมึงแล้ว”
“ทำไมอะ”
เสียงกีตาร์หยุดลง “ไม่รู้ดิ”
สิปป์คว้ากีตาร์ที่วางนิ่งอยู่บนตักของเมตตามาเริ่มเล่นบ้าง คอร์ดในหัวเรียงตัวกันเข้ามาโดยไม่ต้องนึกนาน จากคอร์ดหนึ่งไปอีกคอร์ด เกิดเป็นท่วงทำนองที่ทำให้คนสอนยิ้มอย่างพอใจ สิปป์เป็นคนหนึ่งที่เรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ในเกือบทุกเรื่อง และเมตตามั่นใจว่าหากมันได้จับกล้อง เขาอาจตกงานไปเลยก็ได้
“ที่มึงเคยถาม...” เสียงที่เงียบลงไปทำให้สิปป์ต้องมองหน้าคนพูดอย่างประหลาดใจ
เมตตารวบรวมคำพูด ก่อนจะเอ่ยต่อ “ที่เคยถามว่า ที่ผ่านมากูเคยคิดอะไรกับมึงมั้ย...”
นิ้วเรียวหยุดกึก สรรพเสียงทุกอย่างเงียบลงคล้ายรอคำพูดต่อไปจากเมตตา
“กูว่าบางทีกูก็คิดว่ะ” สิ้นเสียงคำตอบนั้น เมตตาก็จดจำอะไรไม่ได้อีก เหมือนกับมีใครกดปุ่มฟอร์เวิร์ดด้วยสปีด x20 สิ่งที่รับรู้เพียงอย่างเดียวคือริมฝีปากนิ่มที่พรมจูบเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า กว่าจะตั้งสติได้ เสื้อยืดของเขากับไอ้ตัวแสบอยู่ก็ถูกถอดไปกองรวมกับกีตาร์ตัวเก่งเสียแล้ว...
ว่าแต่ปุ่มสโลว์อยู่ไหน ขอกดให้ซีนนี้ช้าลงสัก 20 เท่าได้มั้ยนะ?The End
สวัสดีค่ะ : )
พาเมตกับสิปป์มาทักทาย หวังว่ายังมีคนคิดถึงกันอยู่นะคะ
ใครยังอ่านอยู่ มาแสดงตัวกันให้ชื่นใจหน่อยน๊าา
อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ แล้วจะมีตอนพิเศษมาลงให้อ่านกันเรื่อยๆ ค่ะ
ปล. เรารันเลขตอนพิเศษใหม่ นับรวมกับที่เคยลงไปแล้ว ตอนพิเศษนี้เลยเป็นตอนที่ 4 นะคะ
หมายเหตุหนังสือ "เด็กกำพร้าแห่งสรวงสวรรค์"
ผู้เขียนคือ ภาณุ ตรัยเวช
**ภาพจาก www.naiin.comเพลงที่เมตร้องเพลงแรก คือเพลง "HOME" ของ ธีร์ ไชยเดช
ฟังได้ที่นี่ค่ะ >>
https://www.youtube.com/watch?v=YDvCGx3nYIoเพลงที่สองคือเพลง "สัมพันธ์" ของ PAUSE
ฟังได้ที่นี่ค่ะ >>
https://www.youtube.com/watch?v=PF_BFAOMNDA