Page 14 : เคาท์ดาวน์
ช่วงเวลาของปีใหม่มาถึงเร็วกว่าที่คิด และมันคงน่าดีใจไม่น้อย หากค่ำคืนของวันที่ 31 ไม่ใช่คืนที่ต้องมานั่งแก้งานพร้อมๆ กับการเคาน์ดาวน์ สิปป์ศิลป์นั่งหน้าบึ้งตึงอยู่กับจอคอมพิวเตอร์ที่ตอนนี้แทบจะกลายเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะจ้องตาและจับมือกันมาเกือบ 24 ชั่วโมง
“เป็นไงมั่ง” ตากล้องผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานล่วงเวลาปรากฏตัวกลางออฟฟิศ ทั้งๆ ที่งานด่วนครั้งนี้มีเพียงนักเขียนและกราฟิกที่ต้องแก้ไข แต่เมตตาก็เลือกที่จะมา แม้ว่ามาแล้วจะช่วยอะไรใครไม่ได้ก็ตาม
“กูบอกแล้วว่าไม่ต้องมาหรอก” คนหลังจอคอมฯ ปรายหางตาไปมองผู้มาเยือนเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาทำหน้าที่ตามเดิม
“ไม่อยากให้มาแล้วยิ้มทำไมฮะ? เนี่ยๆ ยิ้มทามมายยย” เมตตาชี้มุมปากที่ยกยิ้มอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ของคนปากแข็ง ก่อนจะเอื้อมมือไปตบไหล่คนทำงานเป็นเชิงให้กำลังใจ
“ขอบใจว่ะ”
จริงๆ แล้วงานของเล่มนี้จบไปตั้งแต่ก่อนคริสต์มาส และตากล้องกับนักเขียนก็เตรียมตัวแพ็คกระเป๋าไปเที่ยวบ้านยายเรียบร้อย หากยังไม่ทันที่จะก้าวขาไปไหน โทรศัพท์สายด่วนจากพี่เอ้ ซึ่งประชุมสายรวมกับน้องจีก็ดังขึ้นกลางดึก ในช่วงที่หลายๆ คนกำลังอลวนกับเพลงจิงเกิ้ลเบลล์
‘ลูกค้าธนาคารอยากเพิ่มหน้าแอดอีก 2 หน้า แต่จีบอกเค้าไปแล้วว่าคงไม่ทัน และตอนนี้ก็เป็นโพรเซสของการพิมพ์แล้วด้วย แต่เค้าบอกว่ามันจำเป็นจริงๆ เพราะโปรเจคด่วนนี้จะล้อนจ์เดือนมกรา และสิ้นสุดแค่เดือนกุมภา’ น้องจีผู้ดูแลโปรเจคนี้รายงาน
เมื่อทุกคนเงียบ บก.เอ้จริงถามนักเขียน ‘พี่ถามสิปป์ก่อนแล้วกัน ว่าจะทำไหวมั้ย’
‘แล้วเรื่องโรงพิมพ์ล่ะครับ จะมีที่ไหนเปิด มันหยุดยาวกันทั้งนั้น’
‘พี่คุยกับโรงพิมพ์แล้ว จริงๆ เค้าก็มีทีมทำอยู่ แต่ราคาก็คงสูงขึ้น’
‘ผมต้องส่งวันไหนอ่ะครับ’
‘พรู๊ฟสุดท้ายก่อนเที่ยงคืนวันที่ 31 จ๊ะ’
กำหนดส่งใกล้มาถึงขึ้นทุกนาที สิปป์ศิลป์พยายามนึกข่มใจตัวเองไม่ให้สติแตกแล้วตะโกนออกมาพาให้ตกใจกันทั้งออฟฟิศ (ที่มีอยู่สามคน) ไม่มีใครชอบทำงานด้วยความกดดัน และยิ่งเป็นงานที่ต้องรีดสมองแข่งกับเวลา ถ้าเลี่ยงได้เขาก็พยายามจะเลี่ยง แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้...
“กินขนมก่อนมั้ยมึง” คนที่นั่งดูหนังอยู่โต๊ะข้างๆ โยนมันฝรั่งรสออริจินอลมาให้ นักเขียนเลยหยิบมากินเสียชิ้นหนึ่งแล้วก็วาง
“อาการหนักนะมึง เลย์ยังกินไม่ลง” พอเห็นว่าคนถูกแซวยังไม่คลายคิ้วที่ขมวดเป็นปม เมตตาจึงหยุดหนังไว้ชั่วคราว แล้วไสเก้าอี้ตัวเองไปนั่งข้างๆ
หน้าจอของนักเขียนเต็มไปด้วยข้อความที่น่าจะเป็นหัวเรื่อง ทว่ามันถูกพิมพ์อย่างสะเปะสะปะ เหมือนบันทึกทุกอย่างที่คิดได้ไว้ แต่ยังไม่มีการเรียงประโยคให้สวยงาม
“เหลือแค่ก็อปปี้นี่แหละ โดนแก้มาสามรอบแล้วว่ะ” การคิดก็อปปี้ หรือหัวข้อ มีโจทย์ง่ายๆ ว่า สั้น ทันสมัย และติดหู ทุกชื่อที่สิปป์ศิลป์คิดไป เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่ามันตรงกับโจทย์แล้ว แต่มันก็ยังไม่ถูกเลือกสักที
เสียงประตูของห้องกราฟิกถูกเปิด พี่เก็ตเดินออกมา หน้าตาง่วงงุนเต็มที่ “แมสเซนเจอร์กำลังออกมาแล้ว น่าจะอีกชั่วโมงหนึ่ง เอาชื่อเรื่องมาเร็วๆ หน่อยนะ เดี๋ยวกูออกไปหาไรกินแป็บ”
นาฬิกาที่มุมขวาล่างของจอบอกเวลา 22.25 น. ในหัวของสิปป์ตอนนี้เหมือนเส้นเลือดและสมองกำลังระดมกำลังเพื่อฝ่าด่านสุดท้ายไปให้ได้ ความเครียดที่สะสมมาหลายวันเริ่มสะท้อนออกมาเป็นอาการข้างเคียงอย่างปวดศีรษะ และรู้สึกเหมือนอยากอาเจียน
“พอก่อนเหอะมึง ไม่ทันก็ไม่ทันสิวะ” เมตตาเห็นว่าท่าทางของเพื่อนเริ่มแย่ลงๆ จนเจ้าตัวต้องฟุบลงกับโต๊ะ ผ้าห่มที่พับไว้กับพนักพิงถูกมือหนาหยิบมาคลุมร่างของคนเครียด ก่อนหลังมือจะอังกับหน้าผากที่โผล่พ้นออกมาเล็กน้อย
ในขณะที่ตากล้องกำลังคุ้ยลิ้นชักเพื่อหากระป๋องยาแก้ปวด อยู่ๆ คนที่เหมือนจะไม่สบายก็กระเด้งตัวขึ้นมากะทันหัน
“เฮ้ย! นอนไปก่อน!” สิปป์ศิลป์ผลักมือที่ดันไหล่ตัวเองให้นอนลงออก เมตตาจึงยืนเท้าเอวและมองดูว่าไอ้คนอวดเก่งมันพยายามจะทำอะไร
ถ้อยคำระเกะระกะบนหน้าจอถูกลบออกทั้งหมด ก่อนนักเขียนของกองจะเริ่มพิมพ์ประโยคใหม่ เมตตารู้สึกเหมือนภาพที่เห็นกลายเป็นภาพสโลว์โมชั่น เพราะช่างเชื่องช้าและเนิ่นนานจนแทบขาดใจ
โปรเจ็คที่ทำขึ้นมาใหม่ เป็นการรณรงค์เรื่องการออมเงินของคนในปัจจุบัน โดยเน้นโปรโมทกระปุกออมสินรูปตู้เอทีเอ็มที่ทางธนาคารมีขาย ซึ่งความพิเศษของมันก็คือ เวลาเราวางเงินไว้บนแท่น จะมีมือยื่นออกมาหยิบเงินเราเข้าไปในตู้ ส่วนการล้อนจ์ในช่วงสองเดือนหน้า จะเป็นโปรโมชั่นการแลกซื้อกระปุกออมสินในราคาพิเศษ เมื่อทำธุรกรรมที่ธนาคารตามกำหนด
‘Too SHY to be CHILD?’ สิปป์ศิลป์เขียนเนื้อความไว้ว่าประมาณ สมัยเด็กๆ เราเก็บเงินในกระปุกออมสินวันละบาทๆ จนเต็มกระปุก แต่ทำไมเมื่อโตขึ้นเราจึงเก็บมันไม่ได้แล้ว อย่าอายที่จะเก็บออมแบบเด็กๆ เพราะเงินออมในกระปุกของเด็กนี่แหละ ที่จะสร้างอนาคตให้เราในวันที่เราโตเป็นผู้ใหญ่
เมตตาอ่านข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอ ก่อนจะขยี้หัวเจ้าของความคิดแทนคำชม จะผ่านหรือไม่ผ่านไม่รู้ แต่เขารู้สึกว่ามันเป็นถ้อยความที่กลั่นออกมาจากสมองและประสบการณ์จริงๆ พรสวรรค์ด้านการเขียนอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้สิปป์มาถึงตรงนี้ แต่ความพยายามและการพัฒนาตนเองคือสิ่งสำคัญที่จะทำให้เพื่อนของเขาก้าวต่อไปได้อีกไกล บางทีอาจจะไกลเกินกว่าที่เขาจะตามไปได้ทันด้วยซ้ำ
“ส่งให้ไอ้เก็ตเลยดิ่”
“เดี๋ยวโทรไปหาลูกค้าก่อน ไม่รู้จะผ่านเปล่า”
ระหว่างรอสิปป์คุยโทรศัพท์ ตากล้องเลยลงมาเดินเล่นข้างล่าง ปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่ได้ฉลองปีใหม่ ไม่ได้เมาหัวราน้ำข้ามปี จริงๆ แล้วตั้งแต่สมัยมหา’ลัย เขาและกลุ่มเพื่อนๆ จะต้องย้ายสถานที่เคาน์ดาวน์กันตลอด โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวคือเมา! ไม่ว่าจะภูเขา ทะเล หรือบ้านเพื่อนคนไหน ต้องส่งท้ายด้วยเหล้าอย่างไม่มีบิดพลิ้ว ส่วนคนไม่กินเหล้าอย่างไอ้สิปป์ก็ต้องกลายเป็นเด็กเฝ้าวงเหล้า คอยเก็บไอ้พวกขี้เมาให้เป็นระเบียบทุกปี
ส่วนปีนี้เขาต้องกลายมาเป็นคนเฝ้าไอ้สิปป์แทน
ขณะกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย แสงไฟจากรถยนต์ก็สาดวูบเข้าใส่จนต้องยกมือขึ้นบัง ก่อนรถคันคุ้นตาจะแล่นมาจอดเทียบหน้าประตู พร้อมสมาชิกที่กระโดดลงมาจำนวนสามชีวิต
“มาทำอะไรกันเนี่ย!” ตากล้องร้องทักผู้มาเยือนยามวิกาล นี่มึงไม่หลับไม่นอนกันเหรอครับ? ทั้งพี่เป็ด ไอ้จี อ้าว แล้วเชี่ยเก็ตทำไมกลับมาพร้อมคู่นี้ได้วะ
“ถามอย่างงี้อยากอยู่สวีทกันสองคนล่ะสิ” พี่เป็ดส่งเสียงแซวเล็กน้อยตามสไตล์ แต่คนถูกแซวกลับยักไหล่ไม่แคร์ ก่อนจะปรายสายตามองคู่เซลส์ด้วยแววตารู้ทัน
“มาเคาน์ดาวน์กัน” น้องจีผู้ไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกล้อเอ่ยขึ้น พลางชูถุงขนมและเครื่องดื่มขึ้นอวดพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“ที่ออฟฟิศเนี่ยนะ?” เมตตายังคงสงสัย
“จะแดกไม่แดก!” เซลส์นัมเบอร์วันถามเสียงดัง เมตตาเลยรีบพยักหน้ารับและวิ่งตามขึ้นไปบนออฟฟิศอย่างรวดเร็ว
“มึง...ก็อปปี้ผ่านแล้ว!!” สิปป์ศิลป์ร้องบอกเพื่อนสนิททันทีที่เสียงประตูถูกเปิดออก หากพอเงยหน้าขึ้นกลับพบคนที่ไม่คิดว่าจะมาปรากฏตัว ณ เวลานี้
“พี่เป็ด!! มาทำไรเนี่ย!!”
“โอ้โห พวกเอ็งสองคนคงดีใจมากพี่เจอพี่ใช่มั้ย ถามซะเหมือนไล่กูเลย” คนมาใหม่ทำเสียงน้อยอกน้อยใจ สิปป์ศิลป์เลยต้องรีบวิ่งเข้าไปง้อ แล้วจึงพบว่ายังมีน้องจีมาด้วยอีกคน ส่วนเมตตากับพี่เก็ตหิ้วของพะรุงพะรังรั้งอยู่ท้ายสุด
หลังจากแจ้งกับทุกคนว่าโฆษณาที่เขียนเสร็จเรียบร้อย พี่เก็ตเลยว๊าปตัวเข้าไปในห้องส่วนตัวเพื่อทำงานที่เหลือให้เสร็จ ไม่นานนักก็ออกมาพร้อมแผ่นซีดีที่รอแมสเซนเจอร์มารับ
“เสร็จแล้วใช่ป่ะ มาๆ เหล้า? เบียร์?” พี่เป็ดยื่นแก้วให้กราฟิก ตอนนี้วงสันทนาการยึดครองระเบียงของออฟฟิศชั้นสามเป็นฐานทัพ เพราะง่ายต่อการทำลายหลักฐานมากกว่าการกินในห้อง
ห้าหนุ่มพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยทั้งชีวิตงานและส่วนตัว หลายๆ เรื่องคุยกันในเวลาปกติไม่ได้ แต่เพราะแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดและบรรยากาศแสนสบายจึงทำให้ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การเปิดอกพูดออกมา
“กูไม่อยากจะปิดอะไรพวกมึงหรอกนะ” พี่เป็ดเกริ่นขึ้นมา น้ำเสียงซีเรียส ทุกคนในวงขยับตัว แสดงออกว่าตั้งใจฟัง
มือขาวของคนข้างกายเอื้อมไปแตะแขนคนพูดคล้ายให้กำลังใจ “คือกูกับจี... ตอนนี้คบกันอยู่”
เงียบ...
“นี่คือข่าวใหม่เหรอ” เป็นเมตตาที่เอ่ยออกมาคนแรกหลังความเงียบนั้น เจ้าของเรื่องสบตากันด้วยความงุนงง
“นึกว่าคบกันนานแล้วซะอีก” นักเขียนเอ่ยขึ้นบ้าง
“ห่า! พวกมึงไม่ตกใจกันเลยเหรอ” พี่เป็ดถามเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้าจากเพื่อนในวง แม่ง... กูอุตส่าห์ตื่นเต้น ไอ้พวกนี้นี่
“พวกเราทำหนังสือเกย์กันนะพี่ มันจะมีอะไรน่าตกใจวะ” พี่เก็ตที่นั่งหน้าซึนมานานเป็นคนพูดต่อ “ไอ้เมตกะไอ้สิปป์ยังเป็นแฟนกันเลย”
“เชี่ยยยยยยย” สองหนุ่มที่ถูกกล่าวหาสบถขึ้นพร้อมกัน คราวนี้ทุกคนขำก๊าก บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายอีกครั้ง
แก้วในมือถูกเติมครั้งแล้วครั้งเล่า พอๆ กับเรื่องเล่าที่ไม่มีวันหมด พอคนนั้นเล่าถึงประสบการณ์ในวัยเรียน อีกคนก็พูดแทรกขึ้นมาถึงวีรกรรมตัวเองบ้าง
“ครูเคยให้ไปเชิญธงชาติตอนปอหก ไอ้ผมก็อย่างสั่นอ่ะ ตอนนั้นมันเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะ ปรากฏว่าผู้หญิงที่เชิญคู่กันแม่งเป็นคนที่ผมแอบชอบ ผมโคตรตื่นเต้นเลย ตื่นเต้นจนฉี่แตกหน้าเสาธงอ่ะ โคตรอายเลย เพื่อนเก่ายังล้อจนถึงทุกวันนี้”
“หน้าเสาธงนี่เป็นที่ปราบเซียนมาก ครั้งหนึ่งต้องไปรับรางวัลแต่งกลอน น่าจะสักมอสาม ก็ไปรับเรียบร้อย ท่าสวยเหมือนตอนซ้อมเลย พอตอนจะเดินกลับ ครูก็ประกาศว่า ผู้ที่ชนะช่วยมาอ่านกลอนให้เพื่อนฟังด้วยค่ะ คือเข้าใจมั้ยว่า เราแต่งได้นี่ไม่ได้ถึงเราอ่านได้นะ แล้วต้องอ่านทำนองเสนาะ วันนั้นเลยฮากันทั้งโรงเรียน เพราะทำนองกูเพี้ยนมาก”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!
เสียงพลุดังขึ้นรอบทิศทาง เป็นอันว่าผ่านช่วงเวลาของปีเก่าไปเรียบร้อย
“เที่ยงคืนแล้วอ่ะ” น้องจีหยิบมือถือขึ้นมาดู ก่อนจะทำเสียงหงอยๆ “ไม่ได้เคาท์ดาวน์เลย”
“ไม่เห็นต้องสนใจเวลาของคนอื่นเลย เรามาเคาท์กันเองก็ได้” พี่เป็ดชูแก้วเหล้าในมือขึ้นพลางว่า “ห้า... ขอให้ปีหน้าโฆษณาเข้าเยอะๆ ไม่ต้องมีหน้าเหลือให้ไอ้สิปป์เขียนเลย”
คนถูกพาดพิงรีบพูดต่อทันที “จะหาเรื่องให้ผมตกงานแล้วพี่”
“สี่..ขอให้โฆษณาที่เข้ามา ลูกค้าไม่เรื่องมาก เอเจนซี่ไม่หยิ่ง...” น้องจีชูแก้วตัวเองบ้าง
“ไม่หน้าหม้อด้วย” พี่เป็ดกระซิบบอกเสียงดัง
“สาม...ขอให้คอมเลิกแฮงก์ไร้เหตุผลซะที ถ้าจะแฮงก์ก็ขอให้เซฟรูปก่อน งานเกือบไม่เสร็จตั้งหลายครั้งเพราะมันนี่แหละ” พี่เก็ตกราฟิกเอ่ยตาม
นักเขียนกับตากล้องมองหน้ากัน ก่อนเมตตาจะเป็นคนนับคนต่อไป “สอง...ขอให้มีทริปไปทำคอลัมน์ต่างประเทศ จะถ่ายรูปให้หนำใจเลย”
แก้วน้ำอัดลมแก้วเดียวในวงถูกชูขึ้นเป็นแก้วสุดท้ายจากสิปป์ศิลป์ “หนึ่ง...”
ทุกสายตาจับจ้องที่แก้วนั้น และรอคอยคำอธิษฐานสุดท้ายในปีนี้
“หนึ่ง..ขอให้เราทุกคนได้ทำงานที่เรารักตลอดไป”
TBC.
//สวัสดีปีใหม่! (ช้าไปสองเดือนครึ่ง)
เขียนไม่ทันพล็อตแล้ว T__T
หายไปไหน? ทำไมนานจัง? ยังจะแต่งอยู่มั้ยห๊ะ?
ใครจะปาอะไรขึ้นมา คนเขียนขอรับผิดจริงๆ ค่ะ

มาแจ้งให้ทราบพร้อมตอนใหม่ว่า...
นิตยสารที่ทำอยู่ในชีวิตจริงกำลังจะปิดตัวแล้วค่ะ T__T
ช็อคมาก รับฟังเจ้านายด้วยความอึ้ง
ที่ผ่านมาคิดแต่ว่าตัวเองจะลาออก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าบริษัทจะปิดก่อนเราออกซะงั้น
วันก่อนไปสัมภาษณ์งานใหม่มา แล้วเค้าก็รับเราเลย
เป็นงานสายโฆษณาค่ะ เปลี่ยนลักษณะงาน เปลี่ยนที่ทำงานด้วย
เท่าที่คุยกับทางบริษัทใหม่ คาดว่างานเยอะ(มากกกก) กลับดึกทุกวันแน่นอน
ที่ต้องแจ้งให้ทราบเพราะมันจะมีผลกระทบกับเรื่องที่เขียนอยู่สองข้อ
หนึ่งคือ เวลาน้อยลง จะมีเวลาแค่เสาร์อาทิตย์เท่านั้นค่ะ
สอง สถานที่จริงที่เอามาเขียนก็ไม่มีอยู่แล้ว จากนี้คงต้องเขียนจากความทรงจำของเราเอง
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ยืนยันว่าจะเขียนต่อจนจบแน่นอนค่ะ
บก.คนแรกของเราเคยบอกไว้ว่า เขียนงานหนึ่งไว้เลี้ยงชีพ เขียนงานหนึ่งไว้เลี้ยงความฝัน
และฟิคเรื่องนี้คืองานเขียนแบบหลัง
เลี้ยงความฝัน...
และความฟิน

ถ้ายังติดตามอยู่ ก็ส่งเสียงทักทายกันบ้างนะคะ
//me จับน้องสิปป์เป็นตัวประกันเรียกคอมเมนต์ 55555555
