Page 15 : ลูกโป่ง
สิปป์ศิลป์มักพูดเสมอว่า เมื่อไรที่เราอยากครอบครองใครสักคน เขาจะกลายเป็นเพียงวัตถุที่ถูกเรายึดข่ม ความสัมพันธ์เป็นเรื่องของการให้เกียรติกันในฐานะมนุษย์ และระยะห่างก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนสองคน เราควรมีพื้นที่ว่างในการเป็นตัวของตัวเอง เหมือนวงกลมสองวงที่พบกัน ณ จุดสัมผัส ไม่ต้องล่วงล้ำชีวิตของอีกคน ไม่ต้องกลืนกินเข้ามาในวงของกันและกัน แค่เพียงรับรู้ว่าเราอยู่เคียงข้างกันก็พอ และแนนนี่ก็เชื่ออย่างนั้นมาตลอดหนึ่งปีที่คบกัน แต่วงกลมของสิปป์ศิลป์ช่างกว้างใหญ่ เธอไม่รู้เลยว่าเมื่อไรเขาจะวนกลับมา ณ จุดสัมผัสนั้น และมันจะต่างอะไรกับการใช้ชีวิตในวงกลมเพียงลำพัง...
“อาทิตย์นี้ไปไหนเปล่า” หญิงสาวกรอกเสียงไถ่ถามปลายสายซึ่งคงอยู่ในออฟฟิศ เพราะเสียงซาวน์ประกอบคุ้นเคยมากทีเดียว
“เอ่อ...แปบนึงนะ” คนถูกถามเอามือป้องโทรศัพท์ ก่อนจะถามคนโต๊ะข้างกัน ‘เฮ้ยมึง...งานแต่งไอ้กรนี่วันเสาร์หรืออาทิตย์วะ’
เมื่อได้รับคำตอบจึงแจ้งกับเจ้าของคำถาม “แนนนี่ คืนวันเสาร์เค้าไปงานแต่งเพื่อนมหา’ลัยนะ”
“เหรอๆ โอเคๆ..”
“ไม่ต้องห่วงนะ เค้าไปกับไอ้เมต รับรองไม่เมาแน่...” พูดไม่ทันจบ บุคคลที่สามก็ตะโกนว่า ‘มึงไม่เมาคนเดียวนะ กูจะเมา!’ แทรกเข้ามาในโทรศัพท์
“พาแฟนไปเปิดตัวหรา? ฮ่าๆ” แนนนี่แกล้งแซวสองเพื่อนซี้ที่ตัวติดกันยิ่งกว่าปลาท่องโก๋ เมตตาเป็นคนแรกที่สิปป์ศิลป์จะนึกถึงเสมอ ในทุกบทสนทนาจะมีชื่อของเมตตาโผล่มาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง แม้หลาย ครั้งจะเป็นการยกขึ้นมาด่าก็เถอะ แต่เธอก็รู้ว่าลึกๆ แล้วสิปป์รักเพื่อนคนนี้ขนาดไหน บางทีหากเขาต้องเลือกระหว่างเธอกับเพื่อน สิปป์ศิลป์อาจจะตอบแบบไม่ต้องคิดเลยก็ได้ว่าเป็นใคร...
“แนนไปด้วยกันมั้ย” ในน้ำเสียงนั้นไม่ใส่ความรู้สึกของคนถามเลยเมื่อแต่น้อย เป็นคำชวนตามมารยาทซึ่งเธอเริ่มจะชิน และตอบรับว่า...
“ไม่เป็นไร...”
“อะไร?” คนเพิ่งวางโทรศัพท์หันขวับมองไอ้โต๊ะข้างๆ ที่นั่งเท้าคางจ้องมาทางตนเอง
เมตตาแสร้งเบือนหน้าหนี แต่ยังไม่วายตอบคำถาม “มึงเย็นชากับแฟนมึงไปเปล่าวะ”
สิปป์ศิลป์ส่ายหัวแล้วหันมาสนใจงานตรงหน้า อะไรคือเย็นชา? นิสัยเขาก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่คบกันใหม่ๆ ไม่เคยมีโปรโมชั่น หรือทำหวานใส่จนขัดวิสัยของตนเอง แนนนี่ก็รู้ดี และเธอก็ไม่เคยเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ มีแต่ไอ้เชี่ยเมตนี่แหละที่คอยไซโคว่าเขายังทำดีไม่พอ
“โดนเค้าทิ้งแล้วอย่ามาร้องไห้ให้กูเห็นละกัน” เมตตาพูดทิ้งท้ายก่อนเดินวิ่งลงบันไดไป คนโดนคาดโทษยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ ...ถ้ากูร้องไห้ ก็มึงนั่นแหละที่จะซวย!
…………. Gayscale Magazine………….
เพราะเป็นงานแต่งคู่แรกๆ ของรุ่น อารมณ์ของงานจึงเหมือนเป็นงานเลี้ยงรุ่นกลายๆ งานแต่งในวัยก่อนสามสิบถือเป็นอีเว้นท์หลักที่ไม่มาไม่ได้ เพราะสาวๆ จะได้แต่งตัวสวยเลิศแบบออกหน้าออกตาชนิดที่หาตามท้องถนนไม่ได้ ส่วนหนุ่มๆ ก็หวังจะมาป๊ะสาวสวยที่เป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน... เผื่อฟลุ๊คขึ้นมา อาจได้แต่งคู่ต่อไปก็ได้... ใครจะรู้
เมตตาจอดรถรอไอ้คุณชายสิปป์ที่บอกว่าแต่งตัวใกล้เสร็จแล้วตั้งแต่ชั่วโมงก่อน แต่จนตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเงาหัวมันโผล่มาแม้แต่น้อย ตกลงว่าเพื่อนจะแต่งงานหรือมันจะแต่งกันแน่ก็ไม่รู้
ถ้าวันหนึ่งมันแต่งงานขึ้นมา...
ตากล้องไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกทันที เพราะรู้สึกว่าตัวเองจะเวิ่นเว้อเกินไปจนไม่อาจรับได้ พอดีกับที่สิปป์ศิลป์ลงมาเคาะกระจกรถ เมตตาปลดล็อคและรอจนอีกคนนั่งเรียบร้อยจึงออกรถไปยังจุดหมาย
หายยังไม่ลืมความเสียใจลึกๆ ที่ถาโถมเข้ามาเพียงแค่คิดว่าคนข้างๆ ต้องแต่งงาน…
ห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมระดับ 4 ดาวชานเมืองคราคร่ำไปด้วยหนุ่มสาวในชุดโทนสีฟ้าขาว สิปป์ศิลป์และเมตตาโดนโทรตามตัวตั้งแต่ยังอยู่บนถนน เพื่อนหลายคนไปถึงแล้ว และมันเป็นธรรมเนียมอะไรบางอย่างที่ต้องรอเข้างานเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เมื่อมาถึงงาน ทั้งสองจึงพบกับเพื่อนเก่าที่ยืนแอ็คหล่อโดยเท่าเทียมกันประหนึ่งบอยแบนด์
“ไอ้เชี่ย! รู้งี้กูไม่รอมึงซะก็ดี” สมาชิกในกลุ่มเปิดปากทันทีที่สองเพื่อนซี้เดินมาถึง
“มึงจะมาประกวดนายแบบเมนเฮลท์เหรอ” ใครอีกคนทักเมตตาซึ่งถูกมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“กะจะฟันเพื่อนเจ้าสาวยกงานเลยใช่มะ”
“นอกจากสาวจะหลงแล้ว ตุ๊ดยังติดด้วย ฟันธง!”
เมตตาไม่เข้าใจว่าที่ต้องโดนประชดตั้งแต่เข้างานนี่เป็นเพราะอะไร วันนี้เขาสวมเชิ้ตสีออกเทาฟ้า ทับกับสูทลำลองของพ่อซึ่งกลับมาฮิตอีกครั้งหนึ่ง กางเกงทรงสแล็คสีเข้ม และรองเท้าหนังกลับ ดูๆ ไปแล้วแทบไม่ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆ เลยด้วยซ้ำ
“ช่วยบอกกูที กูโดนด่ากว่ายี่สิบนาทีนี่เพราะอะไรวะ” ตากล้องกระซิบกับนักเขียนที่เดินคู่กัน สิปป์จึงหยุดเดินและหันมาหาเจ้าของคำถามเต็มๆ ตา
“มึง หล่อ ไง” แม้เมตตาไม่ได้ขอสามคำ แต่ไอ้สิปป์ก็ไม่มีวจีใดจะอธิบายมากกว่านี้ ใครหนอเข้าฝันให้มันตัดผม แถมหนวดเครารกครึ้มประหนึ่งป่าอเมซอนก็กลายเป็นสนามหญ้าหน้าบ้านดูสะอาดตา ใบหน้าแบบนี้ที่เขาเห็นครั้งสุดท้าย น่าจะเป็นช่วงเปิดเรียนปีแรก ก่อนมันจะกลายเป็นทาร์ซานเจ้าป่าไปอย่างรวดเร็ว
“จริงเหรอ” คนถูกชมยังไม่แน่ใจ ได้แต่เอามือลูบหน้าตัวเองแก้เขิน นอกจากไม่ชินกับใบหน้าเปลือยไร้หนวด เมตตายังใจหวิวเพราะสายตาเป็นประกายที่มองมาโดยที่คนมองก็อาจไม่รู้ตัว
“อื้อ” สายตาคู่นั้นยังไม่ละไปไหน คนถูกมองเลยเผลอมองตอบ คำถามหนึ่งที่น่าจะหยุดอยู่ที่สมอง กลับลอยออกมากินกว่าจะหยุดได้ทัน
“แล้วมึงชอบป่ะ”
เพลงบรรเลงด้านในดังแว่วออกมาข้างนอก ปะปนกับเสียงพูดคุยซึ่งฟังไม่ได้ศัพท์ ใครสักคนตะโกนเรียกให้พวกเขารีบเดินเข้างาน แต่เมตตาไม่สนใจชั่วระยะเวลาอันยาวนานเหมือนการสร้างโลกทั้งใบ คือความรู้สึกของการรอคอยเพียงคำตอบเดียว
“อื้อ” รอยยิ้มกว้างปรากฏพร้อมคำตอบ “ชอบ...”
งานเลี้ยงหรูหรากับผู้ร่วมงานที่ประโคมอาภรณ์และเครื่องประดับราวกับวันนี้เป็นวันสุดท้ายของโลก ไม่ได้อยู่สายตาของสิปป์ศิลป์มากไปกว่าใบหน้าบึ้งตึงของเพื่อนสนิทและบรรยากาศมาคุในระยะห่างระหว่างเขากับเมตตา
“น้องสิปป์ใช่มั้ยจ๊ะ” ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก ชายหนุ่มยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
“จำพี่ได้ป่าว พี่หนิงไง...” หลังจากพยายามจับคู่ใบหน้าผู้หญิงที่เคยรู้จักกับชื่อ ‘หนิง’ ในความทรงจำอยู่หลายนาที เขาก็พบว่าระบบประมวลผลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
“เอ่อ...ขอโทษครับ ผมนึกไม่ออกจริงๆ”
อีกฝ่ายหัวเราะคิกคัก ก่อนจะหยิบมือถือของตนเองออกมา สักพักหนึ่งก็ยื่นหน้าจอให้รุ่นน้องดู “จำได้ยัง เพื่อนพี่สุ พี่รหัสสิปป์ไง”
หากไม่ติดว่าอยู่ในสาธารณชน สิปป์คงอุทานว่า “เหยด!!” ดังๆ สักสามที เมื่อพี่หนิง หรือ ‘เจ๊หนิง’ ที่คุ้นเคยแปลงกายจากกะเทยร่างยักษ์เป็นสาวสวยร่างบางไปเสียแล้ว
“อ่า...สวยขึ้นเยอะเลยนะครับ” ฝ่ายถูกชมทำท่าขวยเขิน ตีไหล่สิปป์ศิลป์สองสามทีแล้วเดินจากไป ไม่นานนักตากล้องผู้มีท่าทีปั้นปึ่งอย่างหาสาเหตุไม่ได้ก็เดินเข้ามาหา
“นั่นใครอ่ะ” สิปป์มั่นใจว่าค็อกเทลเพียงครึ่งแก้วไม่อาจทำให้ความสามารถในการตีความของตนเองผิดเพี้ยน เลยออกจะขนลุกไปเล็กน้อย เมื่อรู้สึกถึงความคุกรุ่นในประโยคคำถามนั้น…
“เจ๊หนิง...เพื่อนพี่สุไง” ด้วยความที่พี่รหัสเขาทั้งสองคนอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เลยได้เลี้ยงสายร่วมกันอยู่บ่อยๆ เมตตาจึงคุ้นเคยกับเจ๊หนิงอยู่บ้าง
“เชี่ย!! วิวัฒนาการขนาดนี้เลยเหรอวะ” ตากล้องยังบ่นพึมพำกับตนเองไม่เลิก จนดูเหมือนจะลืมความโกรธเคืองต่อคนข้างๆ ไปแล้ว ระหว่างที่เมตตากับสิปป์ศิลป์กำลังวิเคราะห์ว่ารุ่นพี่ที่โตเป็น ‘สาว’ ไปโมดิฟายส่วนใดมาบ้าง อยู่ๆ เจ้าบ่าวของงานก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
“เจ้าสาวไปไหนวะไอ้กร” เป็นสิปป์ที่เห็นก่อน พอร้องทักอย่างนั้นเมตตาจึงเงยหน้าขึ้นมองบ้าง
เจ้าบ่าวมองหน้าเมตตาสลับกับสิปป์ศิลป์แล้วถอนหายใจออกมา “มึง...เมต...ช่วยถ่ายรูปให้กูได้มั้ย ตากล้องที่จ้างมาแม่งเกิดแอคซิเดนท์ว่ะ”
เมตตานิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถามว่ามีอุปกรณ์อะไรให้บ้าง เจ้าบ่าวโทรหาใครสักคน ไม่นานนักรุ่นน้องจากคณะก็เดินเข้ามาพร้อมกล้องตัวเล็กในมือ
“ผมกำลังหายืม DSLRจากชมรมอื่นอยู่พี่ วันนี้มันออกค่ายกันหมดเลย มีแต่กล้องมิลเลอร์เลสตัวสำรองของชมรมเราอยู่ตัวเดียว”
เจ้าของงานมองหน้าตากล้องจำเป็น เมตตาถอนหายใจแล้วรับกล้องตัวเล็กลูกครึ่งคอมแพ็ค-DSLRมาพลิกไปพลิกมา
“มึงต้องใช้อะไรเพิ่ม...แบบที่พอจะหาได้ตอนนี้มั้ย”
เสียงเพลงจากนักร้องบนเวทีเงียบลง ก่อนทำนองคุ้นหูของเพลงรักจะเริ่มบรรเลงขึ้น บ่าวสาวเจ้าของงานเดินเข้ามาจากซุ้มด้านหน้า พรมแดงที่โปรยด้วยดอกกุหลาบสะท้อนแสงไฟดวงเดียวที่ส่องสว่างให้ทางเดิน ตากล้องจำเป็นกระชับอุปกรณ์ในมือก่อนจะเล็งภาพด้วยความชำนาญ มือข้างหนึ่งส่งสัญญาณให้ผู้ช่วย (จำเป็นอีกเหมือนกัน) สิปป์ศิลป์พยักหน้าแล้วยกกระดาษขาวเอสี่ที่ต่อกันจนเป็นแผ่นใหญ่ขึ้นเป็นแนวขนานเฉียงทำองศากับใบหน้าคู่บ่าวสาว สร้างความสนใจจากผู้ร่วมงานที่อยู่ใกล้ๆ บ้างก็ซุบซิบกัน บ้างก็หัวเราะคิกคัก ทว่านาทีนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าคำสั่งของตากล้องอีกแล้ว
ระหว่างบ่าวสาวก้าวขึ้นเวที กระดาษขาวอีกชุดที่ม้วนเป็นแท่งกลวงๆ ถูกนำมาต่อกับแฟลชตัวเล็กของกล้อง เพื่อควบคุมลำแสงของแฟลชให้สะท้อนไปยังจุดที่ต้องการได้เต็มที่ แม้จะขัดใจด้วยความที่อุปกรณ์ไม่อำนวย แต่ด้วยวิญญาณของตากล้องที่อวตารลงมากะทันหัน ก็ทำให้เมตตาตัดเรื่องรบกวนจิตใจทุกอย่างออกไปได้
“เดี๋ยวจะคล้องพวงมาลัยให้บ่าวสาว” สิปป์ศิลป์ที่ถือสคริปต์อยู่ กระซิบบอกพิธีการต่อไปให้เมตตาเตรียมตัว
“คนไหนประธานวะ”
คนบอกสคริปต์ชี้นิ้วไปที่ชายสูงอายุหน้าตาภูมิฐาน “เสื้อผ้าไหมสีน้ำเงินขวามือ...จัดเฮียแกหนักๆ ไอ้กรรีเควส”
กว่าจะสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวจบ ผู้ช่วยตากล้องก็เหน็บกินไปหลายรอบ เพราะต้องกึ่งยืนกึ่งย่อตัว เพื่อไม่ให้บังคนด้านหน้าเกือบสิบนาที จนเมตตาต้องคว้าแขนข้างหนึ่งเพื่อพยุงเพื่อนสนิทไม่ให้เสียหลักยามเดินไปที่โต๊ะ
หลังสิปป์ศิลป์นั่งลงเรียบร้อย ตากล้องก็เช็ครูปที่ถ่ายไว้สักพัก ก่อนจะเตรียมตัวไปเก็บภาพคู่บ่าวสาวกับแขกตามโต๊ะต่อไป
“เดี๋ยวกูไปด้วย” ผู้ช่วยทำท่าจะลุกตาม แต่เมตตาโบกมือห้ามไว้ก่อน
“หาไรกินเถอะมึง กูรู้ว่ามึงหิว” พอได้ยินอย่างนั้นท้องก็ร้องขึ้นมาเหมือนคำตอบรับ แต่อีกใจก็ยังห่วงคนที่รับหน้าที่ตากล้องอยู่ดี
“มึง...” มือเรียวคว้าแขนคนที่กำลังเดินออกไปได้ทัน เมตตาหันมาเลิกคิ้วใส่ ก่อนจะแกล้งเล็งกล้องมาทางคนนั่ง เสียงชัตเตอร์ลั่นขึ้นติดๆ กันสามที
“เดี๋ยวกูมา...แป๊บเดียวนะ”
งานเลี้ยงจบลงด้วยดี รูปที่ได้จากตากล้องจำเป็นดูดีที่สุดเท่าที่อุปกรณ์จะอำนวยได้ เจ้าภาพของงานเดินมาขอบคุณเมตตากันถ้วนหน้า ซองขาวที่ข้างในคงบรรจุธนบัตรจำนวนไม่น้อยถูกยัดใส่มือตากล้อง ทว่าเมตตากลับรีบส่งคืนเหมือนมันเป็นของร้อน
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ถือว่าช่วยกัน” พอปฏิเสธไปอย่างนั้น คุณพ่อของเจ้าบ่าวเลยเสนอเป็นห้องพักของโรงแรมแทน
“ถ้าอยากได้อีหนูมาบริการบอกป๊านะ ป๊าจะให้คนจัดมาห้าย” เมตตากับสิปป์ศิลป์มองหน้ากันแล้วก็ต้องรีบปฏิเสธเป็นพัลวัน
แม้ตั้งใจจะขับรถกลับ แต่ในเมื่อได้รับห้องพักหรูเป็นของตอบแทน ทั้งเมตตาและศิปป์ศิลป์จึงต้องพักที่โรงแรมนี้อย่างเสียไม่ได้ ห้องพักหรูได้มาตรฐานโรงแรมสี่ดาวต้อนรับมนุษย์เพศชายสองคนที่ไม่มีอะไรติดตัวแม้แต่แปรงสีฟันได้อย่างดีเยี่ยม หลังจากอาบน้ำและแต่งตัวด้วยชุดเดิม ตากล้องก็ลากนักเขียนลงไปนั่งจิบเครื่องดื่มที่สระน้ำของโรงแรม
สิปป์ศิลป์นั่งกอดเข่ามองดูน้ำในสระที่สะท้อนกับดวงไฟโดยรอบ ดูเผินๆ คล้ายพระจันทร์หลายดวงพร้อมใจกันลอยคออยู่ในนั้น ในช่วงเวลาที่ล่วงเข้าวันใหม่ เขาและคนข้างกายยังคงละเลียดเบียร์เย็นเฉียบสลับกันบทสนทนาสั้นๆ จนเขานึกขึ้นได้ถึงตอนที่อยู่ในงาน
“เมื่อตอนนั้นมึงโกรธกูใช่ป่ะ”
เมตตาไม่ตอบ แต่เลื่อนตัวมานั่งข้างๆ คนถาม ไหล่ข้างหนึ่งชิดกับตัวของอีกฝ่ายจนสิปป์ศิลป์ต้องไหวตัวหลบ และยิ่งหลบเมตตาก็ยิ่งเขยิบตาม จนคนถูกกระแซะเลิกขยับไปเองด้วยความรำคาญ
“ว่าไง”
คนถูกถามเหยียดขาลงในน้ำ แล้วเอนหลังลงกับขอบสระ สองแขนประสานกันต่างหมอน “เปล่า”
สิปป์หันขวับ เลิกคิ้วยียวน บ่งบอกว่าไม่มีทางเชื่อ “กูเป็นใคร รู้จักกับมึงมากี่ปี แค่มึงหายใจออกหนึ่งทีกูก็รู้แล้วว่ามึงคิดอะไร”
คนนอนเหยียดหลับตาลง เหตุการณ์ที่ผ่านไปไม่นานนักย้อนกลับมาในความทรงอีกครั้ง
“มึง หล่อ ไง”
“แล้วมึงชอบป่ะ”
“อื้อ” รอยยิ้มกว้างปรากฏพร้อมคำตอบ “ชอบ...เดี๋ยวกูไปตัดบ้างดีกว่า ทรงนี้เจ๋งจริงไรจริง”
เมตตาเพิ่งเข้าใจว่า ลูกโป่งที่กำลังพองโตแล้วถูกเข็มเล่มเล็กๆ ทิ่มให้แตกสลายมันรู้สึกยังไง... “ไม่มีอะไรหรอก” คนตอบนอนหลับตานิ่ง รับรู้ถึงการจ้องมองจากคนข้างๆ แต่หากลืมตาในตอนนี้ ความเสียใจของลูกโป่งใบนั้นคงปรากฏชัดไม่ต่างจากภาพดวงไฟบนผืนน้ำ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วทำไมต้องทำเหมือนโกรธกู กูไม่ชอบนะ”
“อืม...รู้แล้ว” วงแขนหนาเอื้อมคว้าเอวคนที่ตัดพ้อให้เข้ามาใกล้ ก่อนจะซุกใบหน้าลงบนตักนั้น เสียงพึมพำเบาๆ ดังสะท้อนในความเงียบ...
“รู้แล้วว่า ‘ไม่ชอบ’ ...ขอโทษ”
…………. Gayscale Magazine………….
นาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้า แนนนี่นอนมองโทรศัพท์มือถือที่ใครบางควรควรจะโทรมาหาบ้างเมื่อคืนนี้...แต่มันก็ไม่มี
วงกลมของสิปป์ศิลป์ช่างกว้างใหญ่...
บางทีมันคงกว้างพอจะบรรจุใครหลายๆ คน
แต่หนึ่งในนั้น...
ไม่ใช่เธอTBC.
ดราม่า...
ไม่ได้หมายถึงฟิค แต่หมายถึงชีวิตไอ้คนเขียนนี่แหละค่าาา
อีกไม่กี่วันจะครบ 1 เดือนสำหรับที่ใหม่
แถวนั้นแม่มโหด ถ้าไม่แน่นจริงอยู่ไม่ได้ ...บ่องตง

หายไปนานเป็นประวัติการณ์
และกลับมาพร้อมการดำเนินเรื่องแบบหอยทากสไตล์

ยังมีคนอ่านอยู่ม้ายยย ฮาโหลลล แวร์ อ๊า ยูววว??
ทักทายเตะถีบกันได้นะคะ
พบกันตอนต่อไปเร็วๆ นี้
อ้อ... ทิ้งเพลงไว้ให้ฟังกันด้วย
แต่งนี้แต่งมาเพื่อแนนนี่ ผู้หญิงคนเดียวในเรื่อง (บก.เอ้ไม่นับ)
แล้วเจอกันจ้า
บ๊ายบายยย ม๊วฟฟฟ
