Page 11 : ไข่พุ่งปรี๊ด
มันไม่ควรจะมีครั้งที่สอง...
สิปป์ศิลป์ถอนหายใจเหนื่อยๆ เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในอ้อมแขนของตากล้องร่วมกองฯ หมอนข้างที่นอนก่ายเมื่อคืนกระเด็นไปอยู่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าท่อนแขนหนักๆ ที่พาดทับพร้อมมือหนาที่โอบตัวอยู่ตอนนี้มีผลต่อสภาวะหัวใจที่คล้ายจะล้มเหลวอย่างเฉียบพลัน
นักเขียนพลิกตัวออกจากการกอดรัดไปนอนชิดกำแพงบ้าน ทว่าคนหลับกลับคว้าคนกลิ้งหนีกลับมากอดในท่าเดิม สิปป์รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายในไม่ช้า เพราะหัวใจหยุดเต้นตั้งแต่วินาทีนั้น แต่แล้วมันก็ดังขึ้นมาใหม่ ตึกตึก..ตึกตึก เร็วขึ้น เร็วขึ้นเหมือนถูกช็อตด้วยกระแสไฟแรงสูง
ที่แก้ม....
“เชี่ยเมตตตต!!” คนเสียบริสุทธิ์(ทางแก้ม) คว้าคอไอ้คนหลับมาบีบอย่างแรง เมตตาลืมตาขึ้นมาได้ก็ไอโขลกและพยายามปัดป้องตนเองจากไอ้หมาบ้าที่อาละวาดแต่เช้า พิษของแอลกอฮอล์ยังหลงเหลือจากอาการไหวโคลงในสมอง หรืออาจเป็นเพราะกำลังขาดอากาศหายใจก็ไม่แน่ใจ
“ไอ้สิปป์...แค่กๆ... มึงเป็นอะไรของมึง หา!!” หลังจากดึงมือคนที่บีบคอออกได้ ตากล้องผู้โชคร้ายก็กระโดดไปยืนอีกมุมห้อง เพราะไม่รู้ว่าไอ้คนฝั่งตรงข้ามจะทำอะไรบ้าๆ อีกหรือเปล่า ทว่าสิปป์ศิลป์เพียงทำท่ากระฟัดกระเฟียดแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ตลอดช่วงเช้ามีเพียงความเงียบงันระหว่างกัน จริงๆ แล้วเป็น ‘ระหว่างมัน’ มากกว่า เพราะเมตตาไม่ได้เงียบ เพียงแต่ว่าพอ “มัน” ไม่พูด เขาก็เลยไม่รู้จะพูดกับใคร ขณะเก็บกระเป๋าเตรียมออกเดินทาง เมตตาก็เดินโฉบไปยังห้องของสองสาว (?) เพื่อบอกลา เพราะรถตู้ของบริษัทจะกลับไปก่อน ส่วนเขากับนักเขียนจะไปเดินเล่นในตลาดอัมพวาตามที่นัดกันไว้เมื่อวาน
“ครบนะ?” ตากล้องถามทีมคอสตูมระหว่างช่วยยกสัมภาระขึ้นรถ โรสเดินเข้าไปในบ้านอีกที เพื่อตรวจดูเป็นครั้งสุดท้าย
“เมตๆ” โรสเดินมากระซิบกับหนุ่มเซอร์ที่กำลังสาละวนกับการยกของ
“ฮะ?”
คอสตูม(เพิ่ง)สาวมองซ้ายมองขวาก่อนทำเสียงกระซิบกระซาบ “สิปป์มันเป็นอะไรอ่ะ”
คนถูกถามมองเข้าไปในบ้าน เห็นเจ้าตัวปัญหานั่งเหม่อมองสายน้ำอยู่ที่ระเบียง จริงๆ เขาก็ไม่รู้หรอก แต่เพื่อความสบายใจของคนอื่น เลยบอกไปว่ามันนอนไม่พอ โรสก็ไม่ได้ติดใจถามอะไรอีก
เมื่อรถตู้แล่นออกไปลับสายตา ตากล้องสุดเซอร์จึงเดินไปหาเป้าหมาย ระเบียงบ้านพักยังอากาศดีเหมือนเมื่อวานตอนเช้า แต่คนนั่งอยู่ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไร เมตตาเท้าแขนกับกรอบหน้าต่างบานเดิม หากแล้วก็เปลี่ยนใจไปนั่งที่เก้าอี้ว่างข้างกายอีกคนแทน
“อยากกินไอติมไข่พุ่งปรี๊ดป่าว” พูดออกไปแล้วก็เหนื่อยใจกับทักษะด้านการสื่อสารของตัวเอง เกรดวิชาการพูดในที่สาธารณะตอนปี 4 คงเป็นข้อยืนยันได้อย่างดีถึงความสามารถเฉพาะตน... D+ !!
ยิ่งเห็นคนข้างๆ ยังนิ่งก็ยิ่งใจเสีย นาทีนี้เมตตาอยากจะหาตำราบทที่สอนการพูดจูงใจคนมาเปิดอ่านเสียตรงนี้ แต่ในเมื่อทำไม่ได้ ก็คงต้องพึ่งพาตนเองต่อไป
“รสโยเกิร์ตอร่อยมากนะมึง แต่ตอนกินต้องระวังดีๆ พอใกล้ๆ หมดไอ้พลาสติกที่ห่อไอติมมันจะสะบัดๆ จนเลอะเลย”
“.....................” สิปป์ศิลป์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันมามองหน้าคนพยายามอธิบายถึงไอติมไข่พุ่งปรี๊ด ในใจมีเรื่องราวมากมายอยากพูด ทว่าปากมันไม่ยอมขยับอย่างที่คิด
“มึงโกรธอะไรกูเหรอ” เมตตาเอ่ยถามตรงประเด็นด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม คล้ายเวลาที่หลอกล่อให้น้องสาวตัวเองสารภาพผิด
คนถูกถามยังคงเงียบ หากแววตากลับเต็มไปด้วยถ้อยคำมากความหมาย ถึงจะถูกสอนมาว่า เป็นนักเขียนต้องอธิบายได้ทุกอย่าง แม้แต่ความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวละคร แต่ในขณะนี้ แม้ตัวอักษรสักตัว ไอ้นักเขียนอย่างเขายังนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำ
“กูอยากกินรสช็อคโกแลต” พูดไปแล้วก็ต้องย้ำกับคนที่นั่งงงตาค้างอีกรอบ “กูอยากกินไอติมไข่พุ่งปรี๊ดรสช็อคโกแลต”
คราวนี้เมตตาหัวเราะลั่น พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะคว้าไหล่คนอยากกินไอติมช็อตโกแลต แล้วพาเดินออกมาด้วยกัน
“กูซื้อให้มึงทุกรสเลยเอ้า!”
…………. Gayscale Magazine………….
อัมพวาวันนี้ไม่แทบไม่เหลือเค้าโครงของเมื่อห้าปีที่แล้ว...
เมตตาอดใจหายไม่ได้ กับการหายไปของบ้านหลังเก่าๆ คุ้นตา หลายจุดซ่อมแซมและปรับปรุงจนใหม่เอี่ยม พร้อมการปรากฏตัวของโรงแรมน้อยใหญ่ที่กินพื้นที่ของตลาดน้ำเข้ามาทุกทีๆ ...อำนาจของทุนนิยมมันน่ากลัวแบบนี้เอง
หลังจากพยายามเก็บภาพมุมต่างๆ จนพอใจ (แบบไม่ค่อยพอใจ) ก็ถึงเวลาต้องรักษาสัญญากับคนบางคน... ไอติมไข่พุ่งปรี๊ด!!
ซุ้มรถเข็นสีขาวหน้าตาน่ารักกำลังถูกห้อมล้อมด้วยลูกเล็กเด็กแดง 5 – 6 คน สิปป์ศิลป์เห็นแล้วก็รู้สึกอายขึ้นมา หากจะต้องฝ่าฝูงเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี เพื่อไปซื้อไอ้ไข่นั่นมากิน เลยกระตุกชายเสื้อของคนข้างกายที่เก็บภาพเรื่อยเปื่อย เพื่อเป็นสัญญาณให้เดินออกมาจากร้าน
“ไปเลือกดิ่” ตากล้องไม่สนใจสัญญาณที่ว่า แถมยังชี้ไม้ชี้มือไปยังร้านอีก สิปป์ส่ายหน้าพรืด มึงช่วยแหกตาดูค่าเฉลี่ยอายุคนกินนิดนึงเห๊อะ!
พอคนจะกินไม่ยอมขยับ คนพามาเลยดึงมือเข้าไปเสียเอง เจ้าของร้านส่งยิ้มทักทายลูกค้าใหม่ ท่ามกลางเสียงกระจองอแงของเด็กน้อย
“พี่ต้องให้หนูก่อนนะ ลุงนี่มาทีหลัง ห้ามแซงคิว” เด็กหญิงในชุดเอี๊ยมลายสก็อตบอกกับคนขาย ‘ลุง’ ที่ว่าทำหน้าเหวอไป 2.54 วิ ตบหัวเด็กในที่สาธารณะนี่ติดคุกมั้ยวะ ?
ในขณะที่สิปป์ศิลป์กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงกันฝูงเด็ก เมตตาก็สะกิดและบุ้ยหน้าเป็นเชิงให้คนแก่สุดไปต่อแถวด้านหลัง ถึงจะไม่อยากยอม แต่เพื่อสันติภาพของโลก นักเขียน (ที่ยังไม่แก่นะเว้ย) ก็จำใจต้องทำ
แชะ!
คน(ไม่)แก่ท้ายแถวหันขวับ เสียงชัตเตอร์เมื่อกี๊มาจากไอ้ตากล้องแน่นอน ...นี่มึงแอบถ่ายกูเรอะ!!
“เพื่อออ?” นักเขียนแยกเขี้ยวใส่ รู้มั้ยว่าเวลาหิว แล้วมันโมโห!
คนถูกถามไม่ตอบ แต่เดินตรงเข้ามาหา ใบหน้าที่ง่วงๆ มึนๆ อยู่เป็นนิจปรากฏรอยยิ้มละมุนทั้งตาทั้งปาก สิปป์รู้สึกเหมือนตนเองถูกสาปเป็นหินหลังจากสบตากับเมดูซ่า แล้วพ่อมดในร่างของเมตตาก็ร่ายมนตร์แบบคูณสอง ด้วยการคล้องสายกล้องลงที่คอเขา และเขยิบเข้ามาประชิดหลัง จนคางเกือบจะเกยไหล่ ก่อนปิดท้ายด้วยการใช้มือข้างหนึ่งยื่นกล้องมาข้างหน้า
หากจะอธิบายด้วยศัพท์พี่เอ้ มันคงเป็นคำอื่นไม่ได้ นอกจาก เขา “ตกอยู่ในอ้อมแขน” ของเมตตาเกือบสมบูรณ์
“น่ารักดี” พ่อมด เอ๊ย ตากล้องชี้ให้ดูรูปในจอ สิปป์ศิลป์เลยเพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายยังขยับได้เป็นปกติ
แม้ในหัวของคนที่ตกในอ้อมแขนตอนนี้จะเต็มไปด้วยคำถามประเภทที่ว่า ‘ทำไมวะ’ ‘ทำอะไรวะ’ ‘ทำทำไมวะ’ แต่สุดท้ายก็พูดได้เพียง
“อะไรนะ”
ตากล้องจึงยกอุปกรณ์ในมือขึ้นมาอีกนิด แล้วขยับตัวเข้ามาชิดเพื่ออธิบายอีกครั้ง “ก็ที่มึงถามว่าถ่ายทำไมไง เนี่ย ภาพมันน่ารักดี”
ภาพที่ว่า คือการต่อแถวของเด็กน้อยที่มีสิปป์ศิลป์ยืนปิดท้าย ในขณะที่พ่อค้าไอติมกำลังตัดจุกไข่แจกให้คนหัวแถว คนอื่นๆ ก็ชะเง้อคอรอดู ไม่เว้นแม้แต่เด็กโข่งเอง นอกจากกิริยาอันเป็นธรรมชาติแล้วแสงอาทิตย์ยามสายก็ร่วมกันทำให้ภาพนั้นดูละมุนละไมขึ้นอีก 72%
มันก็...น่ารักจริงๆ นั่นแหละ
“กูฝากกล้องแป๊บนะ” สิปป์มองกล้องที่เปลี่ยนมาอยู่ในมือตัวเองแล้วก็พยักหน้าส่งๆ รู้ดีว่าเมตตาแว่บไปทำอะไร คงไม่พ้นกิจกรรมเติมเชื้อไฟให้ปอดตัวเอง
ถึงจะไม่เห็นด้วยกับการสูบบุหรี่ แต่สิปป์ก็ไม่เคยว่า เพราะคิดว่าการผ่านโลกมา 25 ปี น่าจะทำให้คนๆ หนึ่งไต่ตรองเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองได้ ในเมื่อเมตตายังไม่เลิกสูบ นั่นก็แสดงว่าบุหรี่ไม่ได้เลวร้ายสำหรับมัน แต่สำหรับเขานั้นรู้สึกตรงข้าม ด้วยเหตุนี้ เมตตาจึงไม่เคยสูบบุหรี่ใกล้ๆ สิปป์ศิลป์เลยสักที
‘มึงก็สูบอยู่นั่นแหละ รู้ก็รู้ว่าไอ้สิปป์มันไม่ชอบ’ เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มเคยด่าเมตตาตรงๆ แต่คนถูกด่าเพียงยักไหล่ ไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธ
‘เชี่ยสิปป์ มึงต้องเป็นแฟนไอ้เมตล่ะมั้ง มันถึงจะเลิก’ เพื่อนอีกคนพูดติดตลก ทั้งวงขำกร๊าก ก่อนเสียงหัวเราะจะต้องสะดุดกึก เมื่อเมตตารับปากสั้นๆ ว่า
‘เออ’
“พี่เอารสอะไรครับ” คนขายไอติมยิ้มทัก คนยังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองถึงกับติดสตั๊นไป 3 วิ เอ่อ...
.
“ขอดูก่อนนะ” สิปป์มองไอติมรูปไข่ที่เรียงหน้าอยู่ในตู้ สีโทนพาสเทลทำให้ไอ้ไข่พวกนั้นดูน่าเก็บไว้ประดับห้องมากกว่าเอามากิน
“ไม่กินช็อคโกแลตแล้วเหรอ” เมตตามายืนข้างๆ ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ พร้อมกลิ่นนิโคตินในลมหายใจ จนคนเลือกไอติมต้องย่นจมูก
“สีอื่นมันสวยกว่าอ่ะ” หันไปบอกกับเพื่อนสนิท ก่อนจะใช้วิธีเก็บข้อมูลเหมือนเวลารีวิวร้าน “มีรสอะไรแนะนำบ้างครับ”
คนขายชี้ไปที่ป้าย แล้วแนะนำไข่สีเหลืองนวล ซึ่งเป็นรสเลมอนชีส “มาใหม่เลยครับ รสออกเปรี้ยวๆ มันๆ หอมกลิ่นชีส”
สิปป์ศิลป์ตกลงตามนั้น น้องคนขายหยิบไอติมไข่รสที่ถูกเลือกมาออกมา แล้วใช้กรรไกรตัดจุกด้านบน ส่งให้คนยืนรอ เป็นอันว่าพร้อมกิน
“ขอให้อร่อยนะครับ” คนขายรับเงินจากเพื่อนของลูกค้า เอ่อ... คนกินไม่ได้จ่าย คนจ่ายไม่ได้กิน
“ขอทิชชู่หน่อยครับ มีมั้ย” เมตตาเก็บเงินทอนลงกระเป๋า พร้อมรับทิชชู่มากำไว้ในมือ เพราะรู้ดีว่าต้องได้ใช้แน่นอน
แดดยามเที่ยงร้อนเกินจะแดกไอติม...
สิปป์ศิลป์สบถในใจรอบที่ล้าน เพราะไม่สามารถอ้าปากพูดได้เลย ตั้งแต่ไอติมไข่เชี่ยนี่เข้าปาก มันก็พุ่งปรี๊ดดดด...พุ่งปรี๊ดดด ออกมาไม่หยุดไม่หย่อน ฮือๆ
“มึ๊งงงง อุ๊บ...” พูดได้เท่านั้นก็ต้องหุบปากอมไอ้ติมนรกต่อ เมตตาหยุดถ่ายภาพแล้วหันมาสนใจคนข้างๆ รู้ทันทีว่ามันต้องการความช่วยเหลือ แต่ก่อนจะช่วย ขอนิดนึงเหอะนะ...
แชะ! แชะ! แชะ!
สิปป์ที่ไอติมเต็มปากอยากจะตะโกนด่าให้ดังไปทั่วอัมพวา หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ มึงยังถ่ายรูปกูอีกเรอะ!!
พอเห็นอีกคนเริ่มหน้ามุ่ย ตากล้องเลยยอมทิ้งกล้อง แล้วยื่นทิชชู่ให้แทน เพราะถุงที่บรรจุไอติมเป็นพลาสติกแบบยาง พอจุกถูกเปิด ความดันอากาศเลยพากันดันไอติมออกมาไม่หยุด ยิ่งถ้าตอนใกล้จะหมดเนี่ย มันจะพุ่งออกมาแบบควบคุมทิศทางไม่ได้!
“กูนับหนึ่งถึงสาม แล้วมึงก็เอาทิชชู่จับตรงที่มันถูกตัด จับให้แน่นๆ แล้วโยนลงทิ้งขยะไปเลยนะ” พอสิปป์ศิลป์พยักหน้า เมตตาก็เริ่มนับทันที
“หนึ่ง... สอง... ซั่มมมม”
“โอ้ยยย...นี่มึงหลอกให้กูกินใช่มั้ย!” พอจัดการโยนระเบิดไข่ทิ้งได้สำเร็จ สิปป์ก็เริ่มโวยวาย กูตื่นเต้นจนลืมไปเลยว่ารสชาติมันเป็นยังไง
“กูไม่ได้หลอก แค่บอกไม่หมด ฮ่าๆๆ” แถมบอกไม่หมดด้วยว่า แถวออฟฟิศก็มีขาย!
“เหอะ!”
คนโดนหลอกเดินลิ่วๆ จมหายไปในฝูงคณะทัวร์จีนที่มุงดูของฝากกันจนเต็มทางเดิน เมตตาเกาหัวแกร็กๆ เพราะทำยังไงก็ยัดตัวเองเข้าไปไม่ได้สักที กว่าจะหลุดฝูงอากงอาม่ามาได้ เวลาก็ผ่านไปนานพอสมควร จากประสบการณ์ที่ผ่านมา บอกได้เลยว่า ถ้าเชี่ยสิปป์งอนแล้วไม่มีใครง้อ แม่งจะระเบิดตัวเองภายใน 10 นาที!!
สุดท้ายก็เห็นหลังของคนคุ้นเคยยืนอยู่ที่บันไดท่าน้ำ กำลังถามราคาปลาทูจากแม่ค้าในเรือ เมตตาถอนหายใจเฮือกใหญ่ บอกไม่ถูกว่าทำไมต้องกังวล ถ้าอีกคนนึงโกรธ ทำไมต้องรีบง้อ รู้แต่ว่าไม่ชอบเลย กับบรรยากาศอึมครึมเวลามันไม่พูดอะไรสักคำ
“โกรธกันแล้วในใจของเธอมีความสุขมั้ย...” ตากล้องสุดเซอร์พาตัวเองไปยืนแซะกับเป้าหมาย ก่อนจะฮัมเพลงลอยลม ในมือก็จับกล้องถ่ายนู่นนี่ไปเรื่อยเปื่อย
สิปป์ศิลป์เหล่ตามองคนเนียน ก่อนสองมือจะผลักไหล่ที่พิงอยู่ออกเบาๆ ...มึงคิดว่าตัวเองเป็นพี่ที เจ็ทเซทเตอร์แงะ ถึงได้กล้ามาร้องเพลงกลางอัมพวา?
“โกรธกับฉันจะทำให้เธอดีใจใช่มั้ย...” นักร้องกิตติมศักดิ์ยังขับขานต่อ จนแม่ค้าขายปลาทูเริ่มมองนิดๆ สิปป์เลยรีบๆ เลือกและจ่ายสตางค์อย่างรวดเร็ว
พอเดินออกมาจากท่าน้ำ เมตตาก็คว้าหมับเข้าที่ไหล่ของคนที่ทำท่าจะเดินชิ่งออกไป “จะไปไหนอ่า”
โดยไม่รอให้อีกคนตอบ มือที่จับไหล่ก็เลื่อนมาแตะที่แก้มของคนงอนทันที “กูขอโทษนะ”
เพียงเท่านั้น ความร้อนบนใบหน้าก็แทบจะส่งผลให้ร่างทั้งร่างสลายตัวเป็นโมเลกุล เผื่อว่ามันจะไม่ต้องรับรู้อะไรอีก ไม่ต้องคิดว่า ทำไม อะไร ยังไง อย่างไร และเพราะอะไร
“นะ...” เสียงนุ่มๆ ถามย้ำอีกครั้ง คราวนี้แม้แต่การสลายร่างเป็นโมเลกุลก็ยังใหญ่ไปสำหรับการเผชิญหน้า จึงได้แต่ภาวนาให้โมเลกุลที่ว่า แตกตัวเป็นอะตอมตามหลักการทางฟิสิกส์ที่เคยเรียนสมัยม.ต้น ...ให้เป็นส่วนที่เล็กที่สุด ให้เป็นส่วนประกอบของทุกสิ่งตั้งแต่ฝุ่นผงยันจักรวาล
เผื่อว่ามันจะเข้าไปในใจ และได้รู้ว่า
เพราะอะไร เมตตาถึงได้ทำ...TBC
//ฮัลโหลลลลล
มาต่อแล้วฮ๊าฟ >.<
รอกันนานอีกแล้ว รู้สึกผิดอย่างแรง เค้าขอโทษนะ

หน้านี้มีอ้างอิงด้วย เผื่อใครนึกภาพไม่ออกนะคะ
อ้างอิงหน้าตา ไอติมไข่พุ่งปรี๊ด :

(ลิงค์ภาพจากคุณ สาวน้อยกับหมีน่ารัก ณ พันทิปค่ะ)
อ้างอิงเพลงที่พี่เมตฮัม ชื่อ "ดีอย่างไร" ของ jetset'er :
http://www.youtube.com/v/ID4joHWblF4 เจอกันตอนหน้าค่ะ
