มีคนยังจำวันเกิดได้น่าปลื้มยิ้งนักขอบคุณทุกท่าน

เริ่มมีคนอ่านทันเยอะขึ้น...เริ่มกดดันเล็กน้อยถึงปานกลาง
แล้วคนที่อ่านทันหลังจะเริ่มรู้ว่าความดิงว่าผม...ดองนาน
หวังว่าครั้งหน้ารางวัลเรื่องดองจะอยู่แค่เอื้อม

Happy Valentineย้อนหลัง
ใึครมีคนรักแล้วขอให้หยั่งยืน
ใครที่กำลังเดินตามทางหาความรัก
ขอให้สิ้นสุดทางโดยเร็ว
ด้วยรักและหวังดีจากคนหน้าตาดี

------------------------------------------------------------------------------
“ใครเอามาฝากมึงนะ” เสียงเรียบแกมสยองถามผม
“...เหอๆ...คือว่า” ...เอาไงดีกู
ผมคิดไม่นานพูดออกไปไหนมันก็ไหนๆแล้วอีกอย่างผมไม่ได้คิดอะไรด้วย
(ถึงแม้จะใส่เสื้อช็อปพูดเหนือได้มีเหล็กดัดเป็นของแถมกูก็ไม่ได้คิดอะไรแค่มองห่างๆ)
“นนท์เอามาฝาก” พูดจบ(แอบ)สำรวจหน้าคนตรงหน้าไปด้วย
สิ่งที่ผมเห็นก็คือ...ความเงียบสงบจนน่ากลัว แล้วหมอนั้นกระชากข้าวกล่องนั้นไป
เดินไปอย่างสงบจนน่ากลัว แล้วก็...ปากล่องข้าวลงถังขยะมุมห้องไปเลย
เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มสยองขวัญ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้ใจผม...หล่นไปกองที่ตีนเรียบร้อย
“เต้ย”เสียงสยองขวัญเรียกชื่อผมแต่ปากยังยิ้มสยองอยู่
“คับ” ผมตอบเสียงเบาแถมหลบตา...ไม่อยากจะมองสิ่งที่เกิดขึ้น
“มองตากู” รอยยิ้มหายไปแล้วเหลือแต่เสียงสยองแถมยังมาจับมือผม(อย่างแรง)เล่นเอาสะดุ้ง
“คับ” ผมจ้องตาแบบไม่เต็มใจขั้นรุนแรง เจอตาน่ากลัวตามคาดหมายทุกประการ
“อย่าให้มี...” คุณต้องบีบมือผมแรงขึ้นแล้วเว้นประโยค เพื่อสร้างแรงกดดันซึ่ง...ได้ผลดีมาก
“อย่าให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกเข้าใจไหม” เสียงสยองบวกกับสายตา...รวมเป็นความสยองที่ลงตัว
ผมเลยพยักหน้าตอบไปเพราะเลี่ยงการพูด ไม่อยากจะพูดไรเดี๋ยวไม่ถูกหูซวยอีก
“ถามว่าเข้าใจไหม” มือที่บีบมือผมไว้ที่เหมือนจะหลวมลงตอนนี้แน่นขึ้นไปอีก
“เข้าใจแล้วคับ”
“เด็กดีต้องแบบนี้สิคับเต้ย” รอยยิ้มสยองกลับมาอีกครั้งแต่มือเปลี่ยนมาขยี้หัวผมแทน
“...คับผม” ตอนนี้ไอเต้ยไม่ขอพูดเกินสามคำ
“บังเอิญจังนะคนดี ข้าวกล่องนั้นกินไม่ได้แล้ว”
“อ่า...คับ”
“ไปหาข้าวกินไหมคับคนดี...ของพี่” เน้นสองคำหลังอย่างชัดเจน
“คับผม” บอกแล้วไม่เกินสามคำ
แล้ววันต่อมาสวรรค์ก็ยังกลั่นแกล้งผมเช่นเคย...มันมาแล้วน้ำตากูจะตกใน
“พี่เต้ยไปทานข้าวกัน” เสียงนนท์อันแสนสดใสแต่เหมือนเสียงนรกสำหรับผมลอยมา
“พี่ไม่ว่างวะนนท์มีงานต่ออีกตอนเย็นๆ” ผมปฏิเสธตามมารยาท(ผู้ดี)
“ผมสัญญาแล้วหนิว่าจะเลี้ยงข้าวพี่ แล้วนี่ก็เย็นแล้ว”
“พี่จำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรผมจำได้ถือว่าโอเค”
“เสียใจบอกแล้วจำไม่ได้” ท่าทางจะเอาตัวรอดยาก ผมเลยลุกหนีน่าจะง่ายกว่า
“เป็นผู้ใหญ่ผิดคำพูดไม่ดีนะคับ” นนท์คว้าข้อมือผมไว้และแรงก็จับแน่นใช้ได้
“นนท์ปล่อยไม่ต้องมาเล่นเอ็มวีแถวนี้พี่ไม่ชอบ” ...เพราะกูจะไม่ว่าไรเลยถ้ามึงเป็นผู้หญิง
“พี่เต้ยแค่ไปกินข้าวเองไม่ได้ไปต่อสักหน่อย”
“ถ้ามึงจะต่อมึงเจอตีนกู ปล่อย” ความโมโหเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ
“ไม่เอาน่าพี่เต้ยอย่าเครียดดิผมไม่เคยชอบผู้ชายคนอื่นนะ”
“งั้นก็อย่าชอบดีแล้ว กูไม่ได้มีไว้ให้ใครลองของ”
“ผมไม่ไดคิดแบบนั้นพี่เต้ย”
“ปล่อยมือกูเดี๋ยว...” ผมพูดไม่จบประโยคเพราะคนที่อยู่หลังนนท์ทำเอาผมคิ้วแทบกระตุก
ท่าทางนนท์จะเห็นผมเงียบไปแล้วหันไปมองตามสายตาผมพร้อมกับรับกำปั้นไปเต็มหน้า
“พี่ต้องอย่าคับ”ผมรีบห้ามเพราะจากนิสัยคนที่ปล่อยหมัดมาไม่หยุดแค่ต่อย2-3ทีแน่
“มึงปกป้องมันทำไม” คุณต้องขึ้นเสียงใส่ผม...ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
“แล้วนนท์เค้าทำไรผมรึยัง”
“มึงทำห่าไรวะเต้ยถ้ากูไม่มามึงจะไปกับเด็กเวนนั้นไหม”
“อย่าใช้อารมณ์สิวะคุยกันก่อน”
“มองหาห่าไรเด็กเวนมึงอยากโดนอีกทีไหม” ยังไม่จบหมอนั้นหันไปตะคอกนนท์ที่ยังดูตั้งตัวไม่ทันอยู่
และด้วยความเป็นคนอารมณ์โคตรเย็นของคุณต้องทำท่าจะซัดอีกทีโดยไม่ต้องรอคำตอบ
“พี่ต้องหยุดก่อน...นนท์ทำห่าไรไสหัวไป” ผมหันไปเหมือนสั่งนนท์แต่ยังยืนเอ๋ออยู่อีก
ผมจะหันไปลากจะไปไกลๆ จริงอยากถีบไปมากกว่ากูอยู่เฉยๆเสือกหาเรื่องมาให้กูอีก
แต่คุณต้องดึงมาผมมาคุย...เป็นเรื่องน่ายินดีกูโดนดึงมือและข้อมือไปๆมาๆหลายรอบ
“มาคุยให้รู้เรื่อง”
“คุยตอนนี้มึงก็ไม่รู้เรื่องแล้วต้อง” ผมพูดพลาดไปความจริงถ้าหมอนั้นโมโหผมควรจะเป็นน้ำมากกว่าไฟ
และด้วยที่ผมหลงไปเป็นไฟแล้วไฟมันก็ลุกขึ้นมาเพิ่มเป็นเรื่องธรรมดา คราวนี้คุณต้องเดินมากระชากเสื้อนนท์
ตัวผมเข้าไปห้ามเองโดนอัติโนมัติ แต่พลาดไปเป็นความซวยของผมห้ามใครทีไรโดนต่อยเองตลอด
แถมท่าทางอารมณ์จะยังไม่เย็นลงเลย...ขนาดกูเอาหน้ากูรองรับอารมณ์มึงแล้วนะเว้ย
ผมยืนพูดอีกสักพักพยายามอธิบายทำตัวเป็นน้ำกับไฟแล้วให้นนท์ออกไปเพื่อผมสองคนจะคุยได้
แต่ก็ยังไม่รู้เรื่องกันสักทีแถมเรื่องเพิ่มอีก ว่าผมไปรับหมัดแทนจนพี่ยุทเห็นเสียงดังเลยเข้ามาห้าม
แค่ทะเลาะกันเรื่องมันเลยไปถึงเอาเรื่องเก่ามาทะเลาะกันได้เลยแถมผมทนใจเย็นเป็นน้ำไม่ไหว
กลายเป็นผมเริ่มเถียงกลับแล้วแน่นอนมันทำให้เรื่องเลวร้ายลงได้อีกมากกว่าที่ผมคิด
ทั้งที่ทั้งหมดมาจากแค่นนท์ชวนผมไปกินข้าวแล้วเห็นผมกับนนท์จับมือ
“แล้วจะเอาไงอธิบายอะไรมึงไม่เคยฟังกูสักอย่าง” ผมเถียงกลับหลังทะเลาะพักใหญ่
“ถ้ามึงฟังที่กูพูดด้วยแต่ต้นกูจะมาหาเรื่องมึงแบบนี้ไหม”
“เออแล้วไงกูจะไปกินข้าวไม่ได้รึไง กูรอมึงหิวบ้างไม่ได้หรอวะ”
“แล้วไงมึงไม่ได้กินกูก็ไม่ได้กินเหมือนกันแหละวะ”
“เสมอภาคมากสัด เรื่องของกูเว้ยกูจะไปกินกับใคร”
ไม่ต้องห่วงคับเป็นการทะเลาะที่ไม่มีใครมายุ่งด้วยอย่างแน่นอน
พวกผมสร้างสงครามย่อยเล่นกันบ่อยแต่หายโกรธเร็ว
ส่วนสงครามใหญ่แบบนี้นานมีทีทำเอาคนห้ามแบบพี่ยุทแบบอึ้งแบบห้ามไม่ถูกเหมือนกัน
“ร่านไปมั้งเต้ย” ประโยคนี้ประโยคเดียวที่อีกฝ่ายพูดออกทำเอาผมสะอึก
“พูดแบบนี้มึงอยากเห็นกูเอากับเด็กนั้นมากรึไง”พูดแทบอยากจะชกหน้ากลับ
แต่ผมไม่อยากทำ ไม่รู้คนอื่นจะมองว่าเป็นเพราะรักหรือว่าไร
แค่บางครั้งผมทำหมอนั้นเจ็บแล้วมันรู้สึกไม่ดีแต่ไม่อยากทำ
ถึงแม้จะทะเลาะผมยังมีอารมณ์คิดเรื่องแบบนี้อยู่
“พูดแบบนี้มึงร่านรึไงเต้ยถึงได้เที่ยวแหกขาให้ใครไปทั่ว”
“...” ...กูร่านหรอ? มันเป็นประโยคที่ทำเอาคำว่าไม่อยากทำอีกฝ่ายเจ็บหลุดออกไปจากหัว
ตอนแรกว่าจะต่อยแต่มือผมเปลี่ยนกะทันหันเป็นตบแทน...และบรรยากาศก็เงียบลง
พร้อมความอึ้งของคนที่ยืนเถียงกับคนอยู่กับอีกคนคือพี่ยุทที่อยู่ในเหตุการณ์
ก็ไม่ใช่อยากจะทำแต่คำแบบนี้สำหรับผมมันถึงไม่ให้เกียรติกันมากกว่า
ผมก็เป็นผู้ชายมาโดนเสียบทุกวันนี้ก็ตกอับพอแล้วมาโดนคนที่เป็นคนเสียบพูดแบบนี้
มันทั้งเจ็บทั้งโกรธกว่าที่คาดไว้ สักพักกว่าผมจะมีพูดหลุดจากปากผม
“ถ้ากูร่านเพราะมาแหกขาให้คนอย่างมึง”
Ps . ...จะมาต่อครั้งต่อไปเมื่อ...เมื่อไรวะ