The Call Chapter 19: เด็ก 'หลง'
_________________________________________________________________________________________________
“มะนาว” เด็กหนุ่มที่กำลังยืนกดโทรศัพท์อยู่หน้าหอพัก รู้สึกเหมือนถูกใครเรียกจากทางด้านหลังจึงหันหลังกลับไปหาต้นเสียง เขาเห็นชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋ตัวหนาสูง ตัดผมทรงสกินเฮด สวมเสื้อยืดสีขาวคอกลม ใส่กางเกงขาสั้นเลยเข่าสีดำ มีรอยสักที่ต้นแขนขวากับน่องขาด้านซ้าย ใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้มกำลังเดินตรงเข้ามาหาเขา
“ครับ?”
“วันนี้เราสอบเสร็จแล้วใช่ไหม?”
“ครับ?”
“งั้นไปเดินเล่นเซฟวันกัน ไปช่วยพี่ถือของหน่อยป่ะ”
“เอ่อ..แล้วพี่ไม่มีสอบแล้วหรอครับ”
“พี่สอบเสร็จวันนี้พอดี”
“แต่...” หนุ่มตี๋ตัวสูงเห็นอีกคนไม่ได้ตอบอะไรออกมามีท่าทีลังเลอยู่เลยพูดออกไปว่า
“หรือเราไม่สะดวก?” หนุ่มตี๋เลิกคิ้วถามยืนนิ่งรอฟังคำตอบจากอีกคน
“เปล่าครับ คือตอนนี้ผมหิว แฮะ ๆ ” หนุ่มตี๋พอได้ยินคำตอบก็อดยิ้มปนเอ็นดูไม่ได้
“วันนี้ป๋าจิ้นเลี้ยงโอเคไหม?” หนุ่มตี๋เอามือตบหน้าอกตัวเองเบา ๆ ทำท่าทางเหมือนป๋าแก่ ๆ ที่ใจดี และสปอร์ต กำลังจะหลอกพาอีหนูไปเลี้ยงข้าวแล้วค่อยฟัด “แล้วเราอยากกินอะไร?”
“อยากกินเหล้าปั่นเย็น ๆ ”
“เฮ้” หนุ่มตี๋กระตุกมุมปากยกยิ้มรู้สึกขำกับคำตอบของเด็กหนุ่มอีกคน “ขี้เหล้านะเรา ไปกินข้าวก่อน เหล้าปั่นเดี่ยวค่อยกินทีหลัง
โอเค้”
ตกลงกันเสร็จสรรพหนุ่มตี๋ก็เดินเข้ามาจูงมือเด็กหนุ่มอีกคนให้เดินตามหลังมายังรถเวสป้าสีครีมที่มีธงติดอยู่ท้ายรถแล้วทั้งคู่ก็ขับรถมุ่งตรงออกไปยังร้านข้าว ระหว่างทางหนุ่มตี๋ที่รับตำแหน่งคนขับรถก็ผิวปากเป็นเพลงไปตลอดทางอย่างคนอารมณ์ดี
ร้านข้าวที่หนุ่มตี๋พามากินเป็นร้านอาหารกึ่งร้านนมที่ดัดแปลงจากทาวน์เฮาส์สองคูหา บริเวณด้านหน้าของร้านถัดจากประตูรั้วเหล็กดัดสีน้ำตาลเข้ามาเล็กน้อยมีต้นบานบุรีพุ่มใหญ่เลื้อยพาดไปตามรั้วกำลังแข่งกันออกดอกรูปแตรสีม่วงอยู่เต็มปลายยอด บรรยากาศจึงเหมือนนั่งกินข้าวที่บ้าน ร้านนี้เริ่มเปิดขายตั้งแต่ช่วงเย็นไปจนถึงดึก มีทั้งอาหารคาวและไอศกรีม รวมถึงพวกขนมปังปิ้งต่าง ๆ ให้บริการด้วย เมนูขึ้นชื่อก็มีสเต็กหมูจิ้มแจ่ว เนื้อหมูสเต็กปรุงสุกใหม่ ๆ ที่เสิร์ฟคู่กับข้าวสวยร้อน ๆ ซึ่งเมนูนี้ก็ถูกสั่งมาสำหรับสองที่
“เป็นไงบ้าง อร่อยไหม”
“อร่อยครับ” เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้นมาตอบกับหนุ่มตี๋ เขาเห็นอะไรบางอย่างติดที่ริมฝีปากล่างของอีกคนจึงพยายามชี้นิ้วบอก พอหนุ่มตี๋รู้ตัวก็พยายามใช้มือลูบตามคางตามแก้มแต่ก็ไม่ถูกจุดสักที
เด็กหนุ่มนั่งมองหนุ่มตี๋พยายามปัดเศษเม็ดข้าวอยู่นานแต่เม็ดข้าวก็ยังติดอยู่ที่เดิมจึงตัดสินใจค่อย ๆ โค้งตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้เอื้อมมือเข้าไปหาหนุ่มตี๋ตัวสูงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวตรงข้ามเพื่อหยิบเม็ดข้าวที่ติดอยู่ที่ปากของหนุ่มตี๋ออก
“เม็ดข้าวติดครับ”
“อ..อ่อ สงสัยพี่รีบกินไปหน่อย กลัวไปถึงเซฟวันดึก” หนุ่มตี๋ตอบแก้เก้อถ้าอีกฝ่ายสังเกตให้ดีก็จะรู้ว่าหน้าเขาขึ้นสีแดงนิด ๆ
ทานข้าวเสร็จทั้งสองคนก็มุ่งหน้าไปตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดในโคราช ก่อนถึงหนุ่มตี๋แวะจอดเอาหมวกกันน็อกจากร้านประจำที่สั่งซื้อเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ณ ร้านขายของเกี่ยวกับรถเวสป้า
“หวัดดีเฮีย หมวกกันน็อกที่สั่งไว้ได้ยัง” หนุ่มตี๋ยกมือขึ้นไหว้เจ้าของร้านที่มีลักษณะเหมือนพวกยากูซ่าญี่ปุ่นและมีสไตล์การเลือกใช้สีในการแต่งตัวที่ไม่ซ้ำแบบใครและถ้าคุณเดินผ่านก็ต้องอุทานว่า ‘โคตรเจ็บ’
“ของมาล่ะ มึงจะเอาไปเลยไหม”
“เอาไปเลยดิเฮีย”
พอได้คำตอบยากูซ่าร่างใหญ่หัวเกรียนก็เดินกลับเข้าไปหลังร้านหยิบหมวกกันน็อกสองใบออกมายื่นส่งให้หนุ่มตี๋ พร้อมกับชำเลืองผ่านกระจกมองออกไปบริเวณหน้าร้านเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะรถเวสป้า ก่อนจะกระซิบที่หูให้ได้ยินกันแค่สองคนว่า “นี่ใช่ไหม เด็กมึงทีเคยเล่าให้ฟัง น่ารักดีนี่หว่า” พูดเสร็จก็ตบไหล่อีกคนเบาๆ
หนุ่มตี๋ยิ้มรับเป็นคำตอบก่อนจะล้วงมือหยิบกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงออกมา แล้วยื่นธนบัตรสำหรับค่าหมวกกันน็อกส่งให้ยากูซ่าร่างใหญ่เจ้าของร้าน
“เฮ้ย! ไม่ต้อง คราวนี้กูไม่คิดเงิน เผื่อมึงแต่งกูจะได้ไม่ต้องใส่ซอง” ยากูซ่าร่างใหญ่กล่าวอย่างอารมณ์ดีราวกับว่ากำลังได้ของเล่นชิ้นใหม่ที่ถูกใจ
“ขอบคุณครับ ผมไปล่ะ”
“เออ ได้เสียเมื่อไหร่ให้รีบมาบอก เด็กมึงโคตรน่าให้ดูเอ็น 555”
“เฮีย แม่งทรามว่ะ” หนุ่มตี๋เดินออกมาจากร้านแล้วแต่เสียงยากูซ่าร่างใหญ่ยังร้องตะโกนไล่ตามหลังออกมา
“มีเขิน ๆ ของแบบนี้มันเรื่องธรรมชาติโว้ย”
“รอนานไหม” หนุ่มตี๋ให้เด็กหนุ่มอีกคนที่เขาพามาด้วยนั่งรออยู่บนเบาะรถที่จอดไว้หน้าร้านเพราะเขาไม่อยากให้ ‘เด็ก’ ที่ตัวเองพามาด้วยถูกแทะโลมด้วยสายตาจากเฮียเจ้าของร้าน เพราะเขา ‘หวง’ ถึงแม้ว่าเฮียจะมีเมียแล้วก็เถอะ
“ไม่ครับ แป๊บเดียวเอง”
หนุ่มตี๋หยิบหมวกกันน็อกอีกใบที่ลักษณะเหมือนกันกับใบที่เขาถืออยู่สวมลงบนหัวเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะ ต่างกันแค่อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังหมวกใบละหนึ่งคำ คือ ‘boy’ และอีกใบเขียนว่า ‘friend’ ถ้าแยกใส่คงไม่มีความหมายมากมายอะไร แต่ถ้าใส่เป็น ‘คู่’ มันก็จะมีความหมายถูกใจคนซื้อทันที นี่คือเหตุผลที่เขาสั่งซื้อหมวกกันน็อกมาสองใบเพื่อใส่คู่กัน พอเห็นอีกฝ่ายใส่ได้พอดีก็ลอบยิ้มให้กับตัวเองอย่างภูมิใจ
เสร็จธุระรถเวสป้าสีครีมก็เคลื่อนตัวออกไปตามถนนโดยมีจุดหมายปลายทางเป็นตลาดนัดกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของเมืองโคราช
เหลืออีกแค่โค้งเดียวก็จะถึงที่หมายแต่จู่ ๆ ฝนก็เริ่มลงเม็ดอีกรอบ เปาะแปะ ๆ เปาะแปะ ๆ ก่อนจะตกลงมาอย่างหนัก ซ่า ๆ ! ซ่า ๆ ! ซ่า ๆ ! !
หนุ่มตี๋รีบเร่งความเร็วขับตรงเข้าไปหาที่จอดแต่กว่าจะหาที่จอดรถได้ ทั้งสองคนเนื้อตัวก็เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนจนเสื้อยืดสีขาวตัวบางที่ใส่มาแนบลู่เข้ากับลำตัว พอหนุ่มตี๋สังเกตเห็นจึงรีบอาสาไปเสื้อยืดมาเปลี่ยน เพราะกลัวว่าคนอื่นจะเห็น ‘จุดสีชมพู’ ที่เขาเพิ่งสังเกตเห็น
“ยืนรอตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี่ยวพี่เดินไปซื้อเสื้อมาเปลี่ยน”
“ไม่เป็นไรครับ อีกเดี่ยวก็คงแห้ง”
“พี่ไม่อยากให้เราไม่สบาย”
หนุ่มตี๋ยืนมองหาร้านขายเสื้อยืดสำหรับผู้ชายจากจุดที่หลบฝน มองไปรอบ ๆ ก็เจอแต่ร้านขายเสื้อสำหรับผู้หญิงเต็มไปหมด เขาจึงรีบวิ่งฝ่าสายฝนไปอีกซอยที่อยู่ติดกันก็เห็นร้านขายเสื้อยืดอยู่หนึ่งร้านจึงรีบเดินเข้าไปข้างในร้านทันที พอเดินเข้าไปถึงด้านในร้าน แล้วกวาดตามองเสื้อที่แขวนเอาไว้ถึงรู้ว่าร้านนี้ขายเสื้อยืดก็จริงแต่เป็นร้านขายเสื้อสำหรับคู่รัก มีเสื้อยืดสีหวานที่มีลายข้อความกุ๊กกิ๊กไซส์ผู้หญิงกับไซส์ผู้ชายแขวนคู่กัน เขาจึงถอยหลังกลับเพราะเขาอยากได้เสื้อไซส์ผู้ชายสองตัว แต่ถูกคนขายร้องทักเอาไว้ซะก่อน
“อยากได้ลายแบบไหนหนุ่ม เลือกได้นะ”
“เอ่อ คือผมอยากได้เสื้อผู้ชายสองตัว พี่แยกขายไหม?” เขาถามเพราะคิดว่าร้านขายเสื้อคู่รักแบบนี้น่าจะขายเป็นคู่
“เสื้อคู่ผู้ชายกับผู้ชาย ร้านพี่ก็มีหนุ่ม ไม่ต้องแยกขาย ผู้หญิงกับผู้หญิงร้านพี่ก็ยังมีเลย แล้วแฟนเราใส่ไซส์อะไร”
“อ่อ น่าจะใส่ไซส์ M ได้ งั้นผมอยากได้ที่ไม่มีตัวการ์ตูน ไม่เอาข้อความหวาน ๆ แล้วขอเป็นเสื้อสีดำ” เขาไม่อยากให้อีกคนที่มาด้วยใส่สีขาวเผื่อขากลับฝนตกลงมาอีกรอบ
“โจทย์ยากวะหนุ่ม แต่ไม่เป็นไร เดี่ยวพี่หาให้” คนขายก้มลงหยิบเลือกเสื้อที่ชั้นวางก่อนเงยหน้าขึ้นมาถาม “ลายนี้ได้ไหม?”คนขายกางเสื้อยืดสีดำสองตัวให้ดู มีข้อความภาษาไทยสีขาวพิมพ์เอาไว้ตรงกลางด้านหน้าของเสื้อตัวละหนึ่งคำ
หนุ่มตี๋มองดูข้อความบนเสื้อเสร็จก็พยักหน้าตกลงด้วยความพอใจ จนคนขายก็เกิดคำถามขึ้นมาในหัว ‘สงสัยกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันแน่ ๆ’
หลังจากจ่ายเงินค่าเสื้อเรียบร้อยหนุ่มตี๋ก็รีบเดินกลับไปหาอีกคนที่ยืนรออยู่ พร้อมกับยื่นถุงเสื้อให้
“ขอบคุณครับ”
“ใส่ได้ไหม?”
“ครับ?”
“ข้อความบนเสื้ออาจจะดูแปลก ๆ ”
เด็กหนุ่มอีกคนก้มหน้าลงไปมองข้อความบนเสื้อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ “ใส่ได้ครับ”
“เดี่ยวพี่พาไปเปลี่ยนเสื้อ”
“เปลี่ยนตรงนี้ก็ได้ครับ” จบประโยคเขาก็ถอดเสื้อยืดสีขาวที่เปียกน้ำฝนออกทันที แล้วกางเสื้อยืดสีดำที่เพิ่งซื้อมาสวมแทนตัวเดิมอย่างรวดเร็ว หนุ่มตี๋ยืนจ้องเหตุการณ์ตรงหน้าแทบไม่กระพริบตา
“แล้วพี่ไม่เปลี่ยนเสื้อ?”
“อ่...อ่อ เอ้อ....” หนุ่มตี๋จึงรีบถอดเสื้อเปียกออก ใส่เสื้อตัวใหม่แทนทันทีรอจนฝนหยุดตกพวกเขาทั้งคู่ถึงออกไปเดิน วันนี้คนเดินตลาดนัดค่อนข้างน้อยหากเทียบกับวันปกติ อาจจะเป็นเพราะฝนเพิ่งหยุดตก คนที่มาเดินซื้อของจึงดูบางตา บ้างก็ถือร่มติดมือมาด้วยเผื่อฝนตกลงมาอีกรอบ
RRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRRR เด็กหนุ่มผิวขาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบโทรศัพท์ที่กำลังสั่นขึ้นมากดรับสาย
"ฮัลโหลแม่"
"ถึงแล้ว"
"ครับๆ แค่นี้ก่อนนะแม่ หนูกำลังเลือกถุงเท้า"
สองหนุ่มแวะที่ร้านขายถุงเท้า เห็นเด็กหนุ่มอีกคนยืนเลือกซื้ออยู่นาน หนุ่มตี๋จึงอาสาช่วยเลือก
“ให้พี่ช่วยไหม? เราจะซื้อกี่คู่?”
“5คู่”
หนุ่มตี๋เห็นในมือของเด็กหนุ่มถือถุงเท้าแบบเดียวกันต่างกันแค่สีกะจากสายตาน่าจะมีอยู่ประมาณสี่คู่จึงเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“5คู่?”
“ครับ” เด็กหนุ่มอีกคนพยักหน้ารับแล้วโบ้ยปากใบที่ป้ายกระดาษที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆติดเอาไว้ด้านบนแผงขายถุงเท้า ‘5 คู่ 100’
“เราอยากได้กี่คู่ เดี่ยวพี่ช่วยซื้อ”
“อยากได้แค่ 4 คู่ แต่มันต้องซื้อ 5 คู่ถึงจะได้ราคาตามป้าย” หนุ่มตี๋กวาดตามองถุงเท้าที่วางอยู่ แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับบางอย่างเข้า
“เอา4คู่ก็ได้มั้ง?” เขากระซิบบอกที่หูของอีกคนเบา ๆ ก่อนจะสะกิดให้มองป้ายอีกอันที่วางอยู่กับถุงเท้า ‘คู่ละ 20’
“อ้าว!” เขาอุทานออกมาเบาๆ ‘ยืนเลือกอยู่ตั้งนานคู่ละ20บาทก็ไม่บอก’
หนุ่มตี๋เห็นอาการของอีกคนที่ทำหน้าตื่นก็อดที่จะพูดแซวแหย่เล่นไม่ได้
“งั้นเดี่ยวพี่ช่วยซื้อคู่หนึ่ง หนูช่วยเลือกให้หน่อยสิ” เด็กหนุ่มอีกคนรู้สึกอยากเอาคืนหนุ่มตี๋บ้างจึงหยิบถุงเท้าสีหวานสองคู่ที่มีลายตัวการ์ตูนยื่นให้หนุ่มตี๋
"พี่เอาคู่นี้ ชอบมิกกี้เม้าส์มากกว่า" หนุ่มตี๋ยิ้มมุมปากหยิบถุงเท้ารูปมิกกี้เม้าส์ส่งให้คนขายส่วนอีกคู่ที่เป็นรูปแมวการ์ฟิวหยิบไปวางไว้ที่เดิม
สองคนกับเสื้อคู่สีดำก็เดินดูของไปเรื่อย ๆ ร้านไหนสนใจก็แวะเข้าไปดูบ้าง ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกสายตานับร้อย ๆ คู่จ้องมองมาที่พวกเขาในระหว่างที่กำลังเดินดูของในตลาดนัด
“เธอ ๆ สองคนนี้ต้องเป็นแฟนกันแน่เลย”
หญิงสาววัยทำงานสองคนอายุประมาณสามสิบต้น ๆ สะกิดเพื่อนให้หันมามองผู้ชายสองคนที่สวมเสื้อยืดสีดำเหมือนกันและกำลังจะเดินผ่านพวกเธอไป ชายหนุ่มหน้าตี๋ใส่คำว่า ‘หลง’ส่วนตัวเล็กกว่าอีกคนใส่คำว่า ‘เด็ก’
“ตายแล้ว น่ารักเว่อร์ ฉันรู้สึกตาทั้งสองข้างกำลังจะลุกเป็นไฟ”
“อิจฉาใช่ม่ะ”
“ใช่” หญิงสาวอีกคนตอบเพื่อนด้วยน้ำเสียงขมขื่นก่อนจะพูดขึ้นมาอีกประโยค “สงสัยลอยกระทงปีนี้ ฉันคงต้องอยู่ในกลุ่ม 20% อีกปีแน่เลย”
“ทำไมย่ะ”
“อ้าว เธอนิไม่รู้อะไร ก็เขาบอกว่าคืนวันลอยกระทง 80% ผู้หญิงมักจะเสียตัว แล้วเธอเบิ่งตาดูสิผู้ชายหน้าตาดีเว่อร์สองคนหันมาบริโภคกันเองหมด แล้วฉันจะยังเหลือความหวังอะไรให้ฝันถึงอี้ก!” สิ้นประโยคสุดท้ายเธอขึ้นเสียงสูงม้ากกกก...
“ฟังแล้วคิดตามฉันเริ่มรู้สึกเครียด วันนี้เราช้อปปิ้งให้กระเป๋าฉีกกันเถอะ”
“แล้วต่อด้วยบุฟเฟต์หมูกะทะนะ”
“ไหนเธอบบอกว่าไดเอต”
“เอาไว้วันหลัง วันนี้เครียด”
“เธอ ๆ ”
“อะไรอีกย่ะ”
“เธอดูหลังเสื้อของคู่เมื่อกี้สิ ดูเสร็จแล้วช่วยบอกฉันด้วยว่าฉันไม่ได้ตาฝาด”
หญิงสาวอีกคนที่ถูกเพื่อนสะกิดก็รีบหันหลังกลับไปมองผู้ชายสองคนที่เพิ่งเดินสวนกับพวกเธอไป เธอถึงกับเบิกตากว้างเพื่อจะได้อ่านข้อความบนเสื้อให้ถนัด รู้สึกว่าที่ใบหน้ากำลังเห่อแดงด้วยความร้อน
เธอเห็นข้อความด้านหลังเสื้อคนตัวสูงพิมพ์คำว่า ‘ผัว’ ส่วนอีกคนที่ตัวเล็กกว่าพิมพ์คำว่า ‘รัก’
‘ผัว’ ‘รัก’
“รัก-ผัว” เธอไล่อ่านข้อความบนเสื้อของทั้งสองอีกครั้ง ก่อนจะนำเรียงต่อกันอีกรอบ “ผัว-รัก”
“ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหมเธอ?”
“ไม่ฝาดคะ บอก‘สถานะชัดเจน’ มากขนาดนั้น โอยย..ฉันอ่านแล้วปวดหัว”
“ฉันก็เดินช้อปปิ้งต่อไม่ไหวเหมือนกัน”
“เธอรีบเหมือนฉันใช่ไหม?”
“คะ ตอนนี้รีบมาก อยากฟีชเจอริ่งกับแอลกอฮอล์ 555”
แล้วสองสาวที่กำลังอยู่ในอาการเสียเส้นใจและมีแนวโน้มถูกจัดอยู่ใน20เปอร์เซ็นต์สำหรับคืนวันลอยกระทงก็เดินออกจากตลาดนัดเพื่อไปฟีชเจอริ่งกับแอลกอฮอล์ตามที่ตั้งใจเอาไว้
พอรู้สึกตัวว่าเริ่มมีคนสะกิดมองเยอะขึ้น หนุ่มตี๋ก็กลัวคนที่เดินด้วยลำบากใจจึงอาสาไปซื้อเสื้อตัวใหม่มาเปลี่ยน
“ซื้อตัวใหม่เปลี่ยนไหม? พอดีที่พี่ไปซื้อมามันเป็นร้านที่ขายเสื้อเป็นคู่”
“ใส่ตัวนี้ก็ได้ครับ ไม่เป็นไร” พอได้ยินคำตอบจากเด็กหนุ่มอีกคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ หนุ่มตี๋ก็ฉีกยิ้มกว้างจนหุบไม่ลงแต่เขาทั้งสองคนไม่รู้ตัวเลยว่าสาเหตุที่คนสะกิดกันมองทั้งตลาดไม่ได้มาจากข้อความ ‘ด้านหน้า’ เสื้อเลย แต่เป็นเพราะข้อความ‘ด้านหลัง’ เสื้อต่างหาก
ขณะที่เด็กหนุ่มก้าวขาขึ้นซ้อนท้ายรถเวสป้าสีครีมที่มีหนุ่มตี๋ร่างยักษ์เป็นคนขับตาเขาก็เบิกกว้างเพราะเขาเห็น ‘ผัว’ ตัวใหญ่ติดอยู่ด้านหลังหนุ่มตี๋ กว่าเขาจะรู้ตัวอีกทีก็เดินจนเสร็จแล้วแต่เหมือนหนุ่มตี๋จะยังไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพราะรู้สึกกระดากอายเกินกว่าจะบอกอีกคน จึงนั่งเงียบไม่ได้พูดอะไรออกไปแล้วก็ทั้งคู่ก็ขับรถเวสป้าสีครีมมุ่งหน้ากลับเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่ได้ขับตรงดิ่งเข้าหอพักเพราะเด็กหนุ่มอีกคนอยากกินเหล้าปั่นเย็น ๆ พวกเขาจึงขับรถแวะที่ร้านเหล้าปั่นก่อน บรรยากาศร้านเหล้าปั่นคืนนี้เริ่มคึกคักแล้วเพราะนักศึกษาบางส่วนเริ่มสอบเสร็จบ้าง ทำให้มีกลุ่มนักศึกษาทั้งชายและหญิงชักชวนกันออกมาเลี้ยงฉลองสอบเสร็จก่อนจะกลับบ้านในช่วงปิดเทอม
“เราจะกินอะไร?”
“พี่สั่งเลยก็ได้ครับ เดี่ยวผมขอโทรศัพท์ก่อน”
“น้องบลูฮาวายเหยือกนึง” หนุ่มตี๋หันไปสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานเสิร์ฟ
“เอาแคนตาลูปกับกามิกาเซ่อีกอย่างละเหยือก เพิ่มวอดก้าอย่างละ 2 ชอตนะครับ” เด็กหนุ่มอีกคนหันมาสั่งเพิ่มหลังจากที่พยายามโทรศัพท์หาใครสักคน ขณะที่นั่งรอเหล้าปั่นอยู่บนโต๊ะหนุ่มตี๋สังเกตเห็นเด็กหนุ่มพยายามโทรศัพท์อยู่หลายทีแต่โทรไม่ติด
“เอาโทรศัพท์พี่โทรไหม?”
“ไม่เป็นไรครับ”
“สอบเสร็จแล้ว ปิดเทอมนี้พี่ก็จะจบแล้วนะ”
“ครับ?” เด็กหนุ่มอีกคนอดแปลกใจไม่ได้ที่จู่ ๆ อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมา “แล้วพี่ไม่ไปฉลองที่ไหนหรอครับ?”
“ตอนนี้ก็ฉลองอยู่” หนุ่มตี๋ตอบยิ้ม ๆ
“อ้าว! งั้นวันนี้ต้องจัดให้หนักเลย เรียนจบทั้งที ผมนี่สิอีกหลายปีกว่าจะจบ” เด็กหนุ่มตอบก่อนจะหันเรียกเด็กเสิร์ฟเพื่อสั่งเหล้าปั่นเพิ่ม “พี่ครับขอเพิ่มแคนตาลูปกับกามิกาเซ่อีกอย่างละเหยือก เพิ่มชอตเหมือนเดิมนะครับ”
นั่งกินกันไปพักใหญ่ ๆ เด็กหนุ่มอีกคนก็เริ่มรู้สึกตึง มึน และเมา แต่เก็บอาการเก่งไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา จนเหล้าปั่นหมดทั้งสองคนจึงเดินออกจากร้านพร้อมกันโดยหนุ่มตี๋เดินนำหน้าออกไปก่อนเพราะต้องเดินไปขับรถออกมารับอีกคน
บนถนนเส้นยาวใต้แสงไฟสีเหลืองนวลอมส้มรถเวสป้าสีครีมกำลังขับเคลื่อนไปตามถนน มีชายหนุ่มหน้าตี๋ทำหน้าที่คนขับและมีเด็กหนุ่มอีกคนซ้อนท้าย ระหว่างทางไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะอีกคนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
รถเวสป้าค่อย ๆ ชะลอความเร็วลง จนจอดสนิทใต้แสงไฟสีเหลืองส้ม
ชายหนุ่มหน้าตี๋หันหลังกลับมามองหน้า สบตาอีกคนนิ่งแล้วพูดประโยคที่เขาคิดว่าควรจะบอก
“พี่ชอบเรา”
เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะนิ่งสนิทไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว
ปากเขาค่อย ๆ ระบายยิ้มออกมา
แล้วขยับปากพูดโต้ตอบ
ด้วยเสียงอ้อแอ้
ตามประสา
‘คนเมา’
ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าเพิ่งมีคนมาสารภาพความในใจ “ชอบก็จีบสิครับ? ” พูดเสร็จก็เอานิ้วไปจิ้มที่แก้มหนุ่มตี๋ ‘จึกๆ’
“....”
“ผมอยากให้พี่กอด ได้ไหมครับ พี่ตี๋ตัวหอมมมมมม...” เด็กหนุ่มเคลื่อนหน้าเข้ามาใกล้ ใช้ปลายจมูกดมฟุดฟิดที่ซอกคอหนุ่มตี๋
หนุ่มตี๋รู้สึกว่ากำลังถูก ‘เด็กยั่ว’ หนุ่มตี๋ใช้ปากงับนิ้วที่กำลังจิ้มจึก ๆ อยู่ข้าง ๆ แก้ม ก่อนจะลากลิ้นเลียตามปลายนิ้วเรียวและใช้ฟันขบกัดตามแขน แล้วเคลื่อนตัวมาจูบอย่างรุนแรงเอาแต่ใจ จนอีกฝ่ายยืนไม่ไหว หนุ่มตี๋จึงถอนปากออกแล้วถามประโยคถัดมา
“นอนห้องพี่นะ”เด็กหนุ่มตัวแดงที่กำลังอยู่ในอาการเมาหลบใน พอได้ยินแค่คำว่า ‘ห้อง’ ด้วยความง่วงจัด จึงตอบรับประโยคคำถามเมื่อกี้ออกไปว่า “ครับ” โดยหารู้ไม่ว่าเขาเพิ่งตอบรับคำเชิญชวนโดยที่ไม่รู้ตัว
รู้ตัวอีกทีร่างกายเด็กหนุ่มขี้เมาก็ไม่มีเสื้อผ้าติดกายแม้แต่ชิ้นเดียว เขาถูกหนุ่มตี๋ใช้ปลายลิ้นลากเลียตั้งแต่หน้าท้อง ค่อย ๆ ไล่โลมเลียไต่ขึ้นมาจนถึงหน้าอก ลำคอ ใบหู ก่อนจะปิดผนึกหนัก ๆ ทับลงที่กลีบปากสีชมพูซ้ำ ๆ เด็กหนุ่มขนลุกเกรียวไปทั้งตัวสองจุดสีชมพูก็ลุกชูตั้งชันแข็งเป็นไต หนุ่มตี๋ใช้นิ้วเรียวยาวสอดเข้าไปในช่องทางคับแคบอย่างช้า ๆ ไม่รีบร้อน จากหนึ่งนิ้วเป็นสองนิ้ว และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเป็นเสียงเฉอะแฉะดังขึ้นเป็นระยะ พอเด็กหนุ่มผิวขาวเริ่มรู้สึกผ่อนคลายอาการเกร็งลง เขาจึงค่อย ๆ ถอนนิ้วมันวาวออก ก่อนออกคำสั่งให้ลูกชายร่างยักษ์ที่สวมหมวกสีแดงก่ำใบใหญ่ให้ทำหน้าที่สำรวจโพรงถ้ำคับแคบแทน ลูกชายเขาค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปทีละนิด ๆ จนหายเข้าไปทั้งลำตัว ก่อนถอยตัวเข้า-ออกอย่างช้า ๆ เพื่อรายงานผลเป็นระยะ ส่วนเขาตัวพ่อก็โน้มตัวลงมาฝังจมูกซุกลงบนแก้มนุ่มของเด็กหนุ่มอีกคนที่ถูกนอนทับอยู่ด้านล่าง มือทั้งสองข้างก็กอดก่ายปลอบประโลม ลูบหลัง ลูบต้นคอ ลูบหัว บดบี้คลึงใบหูเบา ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายชินกับการออกสำรวจโพรงถ้ำจากลูกชายร่างยักษ์ของตน
สองคนในชุดวันเกิดกำลังใช้ร่างกายคุยกัน โดยใช้เพียงคำสั้น ๆ สื่อสารและตอบรับอีกฝ่ายเป็นระยะ ปากก็แข่งกันปล่อยเมล็ดพันธ์แห่งความมันส์ออกมาดังบ้างเบาบ้างอยู่หลายที การออกสำรวจโพรงถ้ำของลูกชายร่างยักษ์กินเวลาอยู่นานจนเลยเวลาทำงานของคนปกติทำให้พ่อยักษ์ตี๋ต้องขอเบิกโอทีให้ลูกชาย สุดท้ายการออกสำรวจก็สิ้นสุดลง พ่อยักษ์ตี๋ขบกรามแน่นทิ้งน้ำหนักตัวลงกระแทกทับร่างเด็กหนุ่มอีกคนรัวขึ้นแรงขึ้น จนธารน้ำอุ่นสีขาวขุ่นไหลทะลักเข้าเต็มช่องทางคับแคบภายใน
รุ่งเช้าวันต่อมา
“ทำไปแล้วสินะ” ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋พูดเบา ๆ กับตัวเอง หลังจากที่ลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าร่างกายของเขาไม่มีเสื้อผ้าติดกายอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันเขามองเห็นเด็กหนุ่มอีกคนอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน
เขาค่อย ๆ ไล่สายตามองสำรวจเด็กหนุ่มที่นอนไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้าห่มออกมาดวงตาปิดสนิทนอนหลับตาพริ้มอยู่ข้าง ๆ เขา ตามคอมีจุดแดงเป็นจ้ำ ๆ เต็มไปหมด เขากวาดตามองสภาพห้องเห็น เสื้อ กางเกง สำหรับใส่สองคนกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้อง ก่อนจะลอบยิ้มให้กับตัวเอง ‘ทำไปแล้วจริง ๆ’
เขาก้มลงไปใช้ปากปลุก ‘จูบ’ กลีบปากสีแดงนุ่มของเด็กหนุ่มอีกคนที่นอนอยู่ด้วยความรู้สึกอิ่มเอมในหัวใจ
เด็กหนุ่มที่นอนอยู่ขยับตัวเล็กน้อย นิ่วหน้าขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะรู้สึกเจ็บร้าวที่สะโพกเหมือนถูกทุบด้วยของหนัก เขาค่อย ๆลืมตา กระพริบตาติด ๆ กันเพื่อให้คุ้นชินกับแสงยามเช้า สายตาเขาสบตากับชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋อีกคนที่นอนตะแคงจ้องมองอยู่ ก่อนที่เขาจะพูดอะไร ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋ที่นอนจ้องเขาก็พูดขึ้นมาว่า
“เป็น ‘แฟน’ กันนะ?”
เขาได้ยินประโยคนี้ก้องอยู่ในหัวไปมา.....หลังจากที่เขาตื่น
_______________________________________________________________________________________________________TBC