#เกิดเป็นสิงโตทะเล *จบ* (3/06/2019)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: #เกิดเป็นสิงโตทะเล *จบ* (3/06/2019)  (อ่าน 14573 ครั้ง)

ออฟไลน์ OmleteO.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :laugh: :m20: ตลกกกกกกก สนุกดีค่า ตลกตัวเล็กอ่ะ 55555
พล็อตแปลกดี ไม่เคยอ่านแบบนายเอกเป็นสิงโตทะเลมาก่อน แต่ดีเลยนะ ^^
ขอบคุณคุณนักเขียนมากๆเลยค่าาาา

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
ในที่สุดตัวเล็ก ก็เดินทาง กลับมาอีกครั้ง ขอบคุณผู้แต่ง ที่แบ่งปัน สิ่งดีๆ ให้อ่าน รอผลงานดีๆ ต่อไป จ้า ^^

ออฟไลน์ abc_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เริ่มที่วิตถารจบที่พรากผู้เยาว์55555  :laugh:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ tn

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เลี้ยงต้อยมากกกก

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
:m20:
ฮาหนักมากกกกก
คำรามว่า อุ๋ง แปลว่า ไม่แดก :laugh:
ไอเดียเพริดแพร้วมากค่ะ เกิดใหม่เป็นสิงโตทะเล น่ารักและกวนfootจริงๆ

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
กว่าน้องจะโตอ่ะตี๋ ก่อนได้ติดน้องก็น่าจะได้ติดคุกก่อน5555555

ออฟไลน์ กรุ๊ปเลือดวะวายยยย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกดีฮาจนน้ำตาไหล :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 392
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนพิเศษ : เจ้าตัวเล็ก (ไอ)
[/size]

 

ข้ารู้สึกว่าการจากลาไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย เมื่อสิ่งประสบพบเจอคือสิ่งที่ข้าต้องตายจากคนที่รักอย่างไม่ทันตั้งตัว ทั้งที่มีคนเป็นหมื่นล้านคน แต่พระเจ้ากลับเลือกข้าที่ต้องลาจากคนที่รัก

แต่ช่างเสียเถอะ เมื่อความโศกาในครั้งนี้ ภายในนั้นเต็มไปด้วยความแน่วแน่ว่าจะต้องพบเจอกันอีกครา

ในสักวันหนึ่ง...

เมื่อความมืดมิดเปรียบเสมือนรัตติกาล แสงสว่างที่กระทบเข้าเปลือกตา พร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ดังทั่วสารทิศก็คงเปรียบเสมือนความสว่างไสวท่ามกลางความมืดมัว ข้าได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งร้องโอดครวญ ได้ยินเสียงคนเรียกขานว่าคุณหมอและคุณพยาบาลกันอย่างอลหม่าน จากนั้นก็มีฝ่ามือตีเข้าที่ก้นของข้าเข้าอย่างจัง ส่งผลให้ข้าที่นิ่งงันตั้งแต่แรกต้องปรือตามองร้องโอดครวญเหมือนเด็กงอแงอย่างเจ็บปวด

“แง แง” นี่ข้าหวนกลับมาเด็กงั้นเหรอ ? ข้าจ้องหน้าหมอใส่ชุดกาวน์สีขาวที่อุ้มตัวข้าอย่างตกใจ พลอยโล่งดีใจที่เห็นข้าร้องลั่น

ข้าเผลอกำหมัดแน่นและยกแขนขึ้นสวนเข้าไปที่ปลายคางของหมอ แม้ไม่ได้แรงมากนัก แต่ก็ทำให้คนตรงหน้าหลุดร้องออกมาประหนึ่งเจ็บปวดจากการถูกต่อย

“โอ๊ย”

อีหมอ มาตบก้นกูก่อน อีเวร

“คุณหมอเป็นไรไหมคะ !” เสียงพยาบาลตกใจอย่างยิ่งยวด ข้าปรายตามองเธอก่อนจะถูกจับไปอุ้มไปถือแทนพร้อมเอ่ยปลอบประโลมจิตใจ จากนั้นก็ถูกส่งต่อมาให้ผู้กำเนิดที่ขึ้นชื่อว่า ‘แม่’ ร้องวิงวอนขอให้เห็นหน้าข้า

“น่าเกลียดน่าชังนัก” สำนวนไทยที่ใช้แก่เด็กเล็กๆ ทำข้าอยากจะขยับปากเถียงแม่ว่าลูกคนนี้หาได้น่าเกลียดไม่ ก่อนจะมีคุณพ่อลูกอ่อนที่ยื่นหน้ามาจ้องหน้าข้า ข้าจึงจับจ้องท่านทั้งสองโดยไร้การขยับปากส่งเสียงโหวกเหวก

นี่ข้ามีพ่อแม่ใหม่อีกแล้วหรือ…

หัวใจข้าเต้นตึกตัก สิ่งในหัวที่ผุดขึ้นมาในทันทีนั่นก็คือเจ้าตี๋ที่ข้าต้องการพบหา แม้นจะกวาดมองรอบตัวก็หาได้พบเจอแต่อย่างใด

นี่มันพศ.อะไรกัน แล้วเจ้าตี๋ปานนี้จะเป็นยังไงบ้าง ข้าเป็นห่วงเหลือเกินคณา น้ำตาเอ่อคลอจนไหลอาบแก้ม ยากเกินจะหยุดยั้ง

สุดท้ายข้าก็ถูกแม่หน้าตาอ่อนวัยปลอบขวัญ ร้องโอ๋เอ๋พร้อมเพลงกล่อมเด็ก

ท้ายที่สุดข้าก็ได้รับคำตอบว่านี่มันพศ.อะไรกันแน่ นอนอิดออดในอ้อมอกแม่ที่ป้อนนมข้า ในทีแรกข้าก็ปัดป่ายจากน้ำนมมารดา แต่เมื่อรู้ว่าจำเป็นต้องดื่มเพื่อส่งผลต่อการเจริญเติบโต แถมนมที่ว่าเมื่อได้ลองสัมผัสลิ้นก็อร่อยยิ่งนัก ข้าก็ดูดจวบจ้าบเหมือนเด็กลามก แต่แท้จริงแล้วก็แค่หิวโหยจนต้องยิมยอมรับน้ำนมจากเต้าทั้งสอง

ข้าเป็นเด็กที่งอแงถูกเวลาในยามหิวโหย ซุกซนและหัวเราะสร้างเสียงครื้นเครงให้กับพ่อแม่

แม่ของข้าเป็นคนไทย ส่วนพ่อนั้นเป็นชาวญี่ปุ่นที่พูดไทยได้น้อยนิดแต่ก็พยายามฝึกฝนอย่างหนัก และข้าก็ได้นามใหม่ของตนเองอีกต่างหาก

เด็กน้อยตัวขาวที่ชื่อว่า ‘ไอ’ ยังไงล่ะ

ในตอนที่ข้าอายุหกเดือน คุณพยาบาลก็เข้ามาในห้องพร้อมกับเข็มฉีดยาที่ขึ้นชื่อว่าวัคซีน ข้าเห็นแล้วตกกะใจจนร้องไห้ดังลั่น มือน้อยสะบัดสะบิ้งราวกับคนขลาดกลัว ก่อนที่น้ำเสียงนุ่มนวลของพยาบาลจะเอ่ยปลอบ

“โอ๋ๆ ไม่เจ็บนะคะ แค่เหมือนมดกัดนิดเดียวเอง”

นิดเดียวพ่อมึงสิอีหอยหลอด เข็มยาวขนาดนั้นพูดออกมาได้ว่ามดกัดนิดเดียวเอง ข้าที่เกิดมาในร่างเด็กยังไม่ทันโดนยุงสักตัวกัดต่อย แล้วนับประสาอะไรกับเข็มบ้านั่นที่ฉุกคิดมาทิ่มแทงที่เรียวแขนเล็ก

“มดกัดนิดเดียวนะคะ โอ๋เอ๋”

มึงก็ลองแทงตัวเองดูก่อนสิอีเหี้ย กรี๊ดดดด

แทงกูแล้ว มันแทงกูแล้ว

จึก !

“แงงงง !”

อีพยาลบาล

อีนังตัวดี !!!

 

ในวัยสามขวบแม่ข้าเพิ่งค้นพบว่าข้ามีความสามารถพิเศษ เป็นเด็กดวงดีที่ชี้ไรก็มีเงินมีทองเข้าหาตัว ลอตเตอรี่ที่แม่ซื้อมาตามปลายนิ้วเล็กๆ ที่ข้าชี้ไปเลขจำนวนหนึ่ง หวยก็ดันถูกได้รางวัลอันดับหนึ่ง จนบ้านที่ยากจนแสนเข็ญของเรากลายเป็นสุขสบาย คุณพ่อเปิดร้านกาแฟ คุณแม่ก็ลิงโลดมีเงินมาซื้อนมและของเล่นให้ข้าตั้งมากมาย ไหนจะบ้านใหม่ใหญ่โตโอฬาร

และในตอนนี้ ท่านทั้งสองก็จ้องหน้าข้าอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนกับคืนก่อนๆ

“ไหนเรียกพ่อแม่ซิลูก แม่ พ่อ” คุณแม่ขยับริมฝีปากบอกชี้ไปตนเองกับคุณพ่อ

ข้าเงียบปาก ค่อยๆ ขยับเสียงอ้อแอ้ “ตี๋”

ขวับ ! พ่อแม่จ้องหน้ากันอย่างงุนงง

“ใครคือตี๋ พ่อสอนลูกเหรอ ?”

“เปล่านะจ๊ะ” คุณพ่อปฏิเสธ ทั้งสองดูเครียดจัด แต่ไม่กี่วินาทีก็เบิกบานเมื่อเห็นข้าพูดได้สักทีหนึ่ง ข้าก็ได้แต่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคำว่าตี๋ๆ ไม่ขาดปาก นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกคำพูดที่ติดปากนั่นก็คือ “Blackpink !” สร้างความตกใจแก่พ่อแม่ที่เริ่มสับสนกับตัวข้า จนต้องปรึกษาหาลือกันเอง

ข้าได้ค้นพบว่าพ่อแม่ตัวเองนั้นมีนิสัยที่ตลกสิ้นดี

“ลูกเราไม่ยอมเรียกพ่อแม่เลย มีแต่ตี๋กับแบล็คพิ้งก์อะไรก็ไม่รู้ ฉันว่ามันแปลกๆ นะคะคุณ” แม่ที่พูดภาษาไทยเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้อแท้

ข้าที่เห็นดังนั้นจึงคลี่ยิ้มกว้าง แกล้งพวกท่านในทันที หลงให้ท่านทั้งสองต้องตายใจ

“พ่อง แม่ง” ข้าเอ่ยพร้อมกลั้วหัวเราะขำ

“ลูกจ๊ะ” แม่รีบวิ่งมาหาทันที น้ำตาคลอเบ้า

“พ่อง แม่ง” ข้าเรียกอีกหน

แม่กับพ่อรีบกอดกันเอง สงสัยซาบซึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน

“ฮือคุณ ลูกเราด่าอะ”

“พ่อง” ข้าเรียกชื่อพ่อ

“ฮือ” เสียงแม่ร่ำไห้

“แม่ง” ข้าเรียกชื่อแม่

“พ่อลูก แม่ลูก ไม่ใช่พ่อง ไม่ใช่แม่ง เอาใหม่นะครับ” พ่อข้าที่หน้าซีดเผือดชวนน่าขบขันทำข้าอ่อนใจ แสร้งทำเป็นขยับปากให้พวกท่านลุ้นระทึกอยู่เป็นนาทีกว่าๆ

ในสุดข้าก็เรียกจนได้ ขยับปากเอ่ยเสียงออกมาว่า...

“พะ พ่อง”

“โอ้ พอกันที !” แม่ข้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง เหยียดกายลุกขึ้นพลางหมุนตัวทำท่าจะออกจากห้อง แต่ทว่าข้ากลับขัดเสียก่อน

“แม่”

“...”

“แม่” ข้าย้ำอีกหน สร้างความตื้นตันใจแก่มารดาที่เหลียวกายหันมามองหน้าพร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม เดินมาที่เปลของข้าอย่างปลื้มปรีติ “ใช่ลูก นี่แม่เอง”

ข้าหัวเราะชอบใจ ขยับมือน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มชี้ปลายนิ้วไปที่พ่อก่อนจะเอ่ย “พ่อ”

“ฮึก” พ่อกับแม่ดูดีใจยิ่งนัก รีบอุ้มข้ามาโอบกอดทันทีอย่างรักใคร่เอ็นดู

แม่ของข้าเป็นคนตลกด้วยนะ ชอบร้องเพลงกล่อมเด็กให้ข้าฟัง แถมท่านก็เปิดเพลง Blackpink ให้ข้าอีก นั่นก็เพราะว่าข้าเอาแต่ย้ำแต่คำเดิมๆ แม่ที่ยังงุนงงในทีแรก ครั้นพอเปิดเพลงดูจึงรู้ว่าข้าดีใจกับเสียงดนตรีที่อึกระทึกของวงที่ต้องการจะสื่อ

ข้าร้องเจื้อยแจ้วไป ดีดดิ้นไปมาอย่างมีความสุข

แม่จึงประจักษ์ว่าข้ามีความสามารถอีกหนึ่งสิ่ง นั่นก็คือการร้องการเต้นนั่นเอง…

การพูดภาษาไทยให้เป็นประโยคยาวเหยียดช่างยากลำบาก กว่าจะพูดครบถ้วนก็ตอนที่ข้าอายุห้าขวบพอดี

วันนี้เป็นอีกหนึ่งคืนที่ข้าร้องขอให้แม่ร้องเพลงกล่อมเด็ก ใช้มือน้อยๆ ขยับชายเสื้อแม่อย่างออดอ้อน

“แม่ ไออยากฟังเพลงกล่อมเด็ก” ข้าแทนชื่อตัวเอง พานมองตาหวานแป๋วจนคางชิดกับอกกับผู้เป็นมารดาที่จับอุ้มมานั่งบนตัก ครั้นแม่ก้มหน้าลงมามอง ก็ยากเกินจะปฏิเสธกับคำออเซาะ

“ได้สิจ๊ะ”

“เย้” ข้าดีใจ ค่อยๆ ลงจากตักแม่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถูกฝ่ามือโอบประคองอย่างกริ่งเกรงว่าจะร่วงตกหล่นกระแทกพื้น ข้าค่อยๆ ปีนลงมาอย่างระมัดระวัง พอเท้าสัมผัสที่พื้นห้อง ข้าก็เดินวิ่งจ้อแจ้ไปปีนป่วนบนเตียงนอน ทุกการกระทำแม้จะลำบากอยู่หน่อยๆ แต่ก็สร้างความเอ็นดูแก่มารดาที่พบเห็น

ตัวข้าใช้มือจับลงที่ฟูก เท้าถีบลงที่พื้นเพื่อกระโดดไปบนเตียง พยายามตะเกียกตะกายส่งเสียงฮึบขึ้นไปชิดกับพนักหัวเหล็กเตียงโดยมีหมอนหนุนหลัง รอรับฟังเพลงกล่อมเด็กอย่างใจจดใจจ่อ

ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของแม่ขับขานอย่างไพเราะเพราะพริ้ง “แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลัง เมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยโยนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล”

“...”

“แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเปลืองค่าน้ำนม”

“แม่เกลียดไอมากเหรอ ?” ข้าตั้งคำถามอย่างฉงน กระพริบตาปริบๆ มองมารดาที่ร้องเพลงผิดเพี้ยนปั่นประสาท

“เปล่านี่จ๊ะ” คุณแม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มละมุนละไม

ข้ายู่ปากกระเถิบตัวลงนอนพลางใช้มือเล็กๆ เกี่ยวผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว “แล้วอะไรคือโยนเปล เปลืองค่าน้ำนม”

“ลูกแม่ฉลาดนัก” แม่พูดพลางลูบหัวตรงกลางกระหม่อมของข้าอย่างเอ็นดู “เพราะฉลาดเฉลียวแม่ถึงชอบแกล้งลูกอยู่เป็นประจำ เด็กอะไรรู้ไวโตไว แถมยังน่ารักอีกต่างหาก”

“ไอรู้ตัวดี” ข้าตอบพร้อมรอยยิ้มหวานประจบเอาใจ “หลายๆ คนก็บอกไอน่ารักประจำ ไอฟังจนเบื่อละ” ข้าคร้านเกินจะปฏิเสธ “วันก่อน ‘รบ’ ก็มาแกล้งไอ แม่ว่าเป็นไปได้ไหมที่เขาจะแอบชอบไอ เพราะเด็กอย่างเราเวลาแกล้งใคร แปลว่าแอบชอบเขาคนนั้น” ข้าอธิบายเสียงใสแจ๋ว เห็นแม่ยิ้มเยื้อนตอบกลับมาเมื่อนึกถึงน้องรบเด็กข้างบ้าน ที่อายุมากกว่าข้าถึงสามปี

“แต่พี่รบเขาเป็นผู้ชายนะลูก”

“ผู้ชายแล้วไง เด็กสมัยนี้แก่แดดจะตายไป เพศสภาพไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกขอ’จิตใจคนเราสักหน่อยนะแม่ การชอบผู้ชายคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเขาคนนั้นจะเป็นตุ๊ดเป็นเกย์ชอบผู้ชายทุกคนบนโลกนี่นา” ข้าพูดพลางหาวปากหวอด ไม่ได้สนใจเลยว่าแม่ชักสีหน้าเช่นไร “ไอหน้าตาน่ารักขนาดนี้ เด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงก็ต้องมีบ้างแหละที่แอบชอบไอ แต่น่าสงสารที่ไอได้แต่คร้านปฏิเสธ” ข้าหลับตาลงเมื่อสิ้นคำพูด ก่อนจะทิ้งอีกหนึ่งประโยคให้แม่ได้ยิน “นั่นก็เพราะไอมีคนที่แอบชอบแล้วยังไงล่ะ นอกจากแบล็กพิ้งก์กับพ่อแม่ รวมถึงคนคนนั้น ก็ไม่มีใครแล้วที่ไอรัก”

“ลูกหมายถึงคนที่ชื่อตี๋น่ะเหรอ ?” เสียงของแม่ที่ถามออกมาอย่างตะขิดตะขวงใจทำให้ข้าต้องปรือตามองอย่างลืมตัว

“แม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตและกลับชาติมาเกิดไหม ?” ข้ายันฝ่ามือลงที่ฟูกเตียง เปลี่ยนเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพนักหัวเหล็กเตียงดังเดิม พูดจาอย่างฉะฉานว่องไว ท่าทางเคร่งขรึมเกินวัยอันควร ทำแม่ที่คลี่ยิ้มน้อยๆ ต้องยื่นมือมาสัมผัสที่หลังฝ่ามือนิ่ม ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยที่ผิวเนื้อเนียนนุ่มของข้าอย่างทะนุถนอม

“ไอ รู้ไหมแม่ตกใจมากแค่ไหนที่รู้ว่าลูกดูแตกต่างจากเด็กทั่วไป ทำแม่กับพ่อต้องสับสนไปหมด ทั้งฉลาดแสนรู้ ตัวแม่เองก็สังเกตมานานแล้วละ และสิ่งในที่ลูกพูดอยู่นี้ แม่อยากบอกว่าแม่เชื่อสนิทใจเลยละ ไม่ว่าลูกจะเป็นใครก็ตามแต่ หรือกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นลูกของแม่คนนี้ แม่อยากบอกว่าแม่ดีใจที่มีไอเป็นลูกของแม่ ดีใจที่พระเจ้ามอบสิ่งล้ำค่าและอัศจรรย์ใจให้แก่พ่อและแม่ทั้งสอง” แม่พูดพานน้ำตาเอ่อคลอ

“แม่” เสียงของข้าเสียงสั่นเครือ รีบกระเถิบกายเข้าไปหา ใช้เรียวแขนเล็กโอบล้อมรอบลำคอของแม่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ไอรักแม่นะ แต่ทำไมแม่ถึงเชื่อไอล่ะ” ข้าถามอย่างข้องใจยามผละกายออกห่าง

“แม่เห็นผ่านกล้องวงจรติดน่ะ ตอนลูกปีนเก้าอี้เล่นคอม แถมยังมีประวัติข้อมูลเสิร์ชหาแบล็กพิ้งก์กับอควาเรี่ยมอีก”

“อุ้ย ! แม่รู้ แหะ ไอไม่รู้ว่ามีกล้องวงจรติดในห้องทำงานพ่อ” ข้าหัวเราะเสียงแห้ง

ณ ตอนนั้นเป็นเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่ เลยให้พี่เลี้ยงเด็กมาดูแลตัวข้าแทน แต่ข้าก็อาศัยจังหวะยามพี่เลี้ยงเด็กหลับใหลมานั่งเล่นคอม

“เพราะแบบนี้ไงแม่ถึงเชื่อไอ อีกอย่างถึงแม่ไม่เห็นผ่านกล้องวงจร แม่ก็เชื่ออยู่ดี เพราะว่าไอเป็นลูกของแม่”

“ฮือ แม่จะทำไอร้องไห้ ฮึก ขอบคุณที่แม่เชื่อในสิ่งที่มันยากเกินจะเหลือเชื่อพรรค์นี้” ข้าน้ำตาไหลอาบแก้ม ซบกับอ้อมอกอุ่นๆ ของผู้ให้กำเนิด “ไอดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อกับแม่นะ แต่แม่ช่วยอะไรไอสักอย่างได้ไหมครับ” ข้าถอยกายออกห่าง ปัดเศษน้ำลวกๆ ด้วยการขยี้ผ่านข้อนิ้วมือ ทำให้แม่ต้องรีบจับแขนเล็กออก หยิบชายเสื้อมาเช็ดให้ข้าแทนอย่างเบามือ

“ว่ามาสิจ๊ะ” แม่ระบายยิ้มกว้าง แววตาสั่นไหวด้วยความรู้สึกเอ่อล้นที่ข้ายากเกินจะเข้าใจ

ข้ารู้ว่าแม่คงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเด็กคนหนึ่ง รับรู้ถึงความฉลาดเฉลียวและแก่แดดเกินวัยอันควร แม่ถึงได้ปักใจเชื่อในสิ่งอัศจรรย์เหล่านี้ นั่นก็เพราะทุกการกระทำของข้าที่ผ่านพ้นมา มันมากกว่าอิริยาบถของเด็กไม่ประสีประสา เหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือคำพูดคำจาที่ฉะฉานคล่องปาก หลังจากนั้นข้าก็เล่าทุกอย่างให้ท่านแม่ฟังตั้งแต่สมัยเป็นคนจวบจนกระทั่งเป็นสิงโตทะเลจนต้องมาเจ็บไข้ได้ป่วยมานอนซมตาย รีแอคชั่นของแม่ที่เห็นมีบ้างที่ดูเหลือเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่เพราะรายละเอียดและคำพูดที่เน้นชัดมีเหตุผลแต่ไร้หลักการ แม่ถึงได้ตั้งใจฟังเป็นชั่วโมงกว่าๆ หนำซ้ำยังหัวเราะกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับข้าด้วย

“ช่างน่าเอ็นดูเด็กที่ชื่อตี๋นัก”

“เขาโรคจิตนะแม่” ข้าอธิบายพร้อมหัวเราะร่า ขณะนินทาว่าร้ายอีกคน

ข้ายิ้มด้วยความพอใจก่อนจะกล่าวคำคำหนึ่งด้วยความซาบซึ้ง “แม่ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับด้วยนะครับ ไอไม่อยากให้พ่อหัวใจวายตายเสียก่อน”

“ฮ่าๆ เด็กคนนี้หนิ” แม่หัวเราะชอบใจ ก่อนจะยื่นปลายนิ้วก้อยมาใกล้ ทำข้าเอียงคออย่างฉงน ก่อนจะร้องอ๋อ ยื่นปลายนิ้วก้อยน้อยๆ ไปเกี่ยวกลับ

ถือว่าเป็นข้อผูกมัดระหว่างเราทั้งสอง

ข้าคลี่ยิ้มกว้าง ยามข้อนิ้วไร้พันธนาการ บอกสิ่งที่มุ่งมั่นปรารถนา “แม่พาไอไปอควาเรี่ยมที่หนึ่งหน่อยสิ”

มันเป็นห้าปีแล้วที่ไอต้องปล่อยให้ใครคนหนึ่งต้องรอคอย

‘ตัวเล็กจะไปหาตี๋ใสอีกไม่ช้าแล้วนะ…’

“ไอคิดถึงตี๋มากๆ เลยอะ”

“อืม แม่จะพาลูกไปเจอเขา”

“ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ” ข้ากอดแม่อีกครั้ง ซาบซึ้งในบุญคุณและคำพูดที่ยากเกินจะเชื่อจากเด็กคนหนึ่ง

ในใจโล่งเหลือเกินจะกล่าว ทั้งดีใจและเบาสบาย ราวกับว่าได้ปลดปล่อยห้วงความคิดที่แสนเศร้า โดยมีแม่คอยรับฟังและสนับสนุนอย่างเต็มที่

ข้าพูดกับแม่อย่างติดตลก “แม่รอดูไอมีผัวเป็นเจ้าของอควาเรี่ยมได้เลย”

“ไอพูดจาหยาบคาย ตีปากตัวเองเดี๋ยวนี้เลยนะ” แม่ ‘ว่าน’ ที่ปักใจเชื่อเห็นข้าพูดจาหยาบคายจึงเอ่ยตักเตือน

“แงงงง” ข้าทำเป็นร้องไห้งอแง ใช้ฝ่ามือนิ่มตีลงที่ปากตัวเองเบาๆ “ตีแย้ว”

ต่อไปนี้จะไม่พูดคำหยาบต่อหน้าแม่อย่างเด็ดขาด

ยกเว้นเจ้าตี๋เพียงคนเดียว

 

พอเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าที่แต่งตัวดูดีให้เหมาะสมกับหน้าตาน่ารัก กว่าจะเลือกคัดสรรชุดมาได้ก็ใส่เวลาเป็นครึ่งค่อนชั่วโมง แม้จะรู้ตัวดีว่าแต่งแบบไหนก็ไร้ที่ติ แถมดวงหน้าอ่อนเยาว์ ผิวขาวนวลประดุจหงส์ขาว ฉายแววความหน้าตาดีมาตั้งแต่ตอนเด็ก หากโตอีกสักหน่อยคงได้มีใบหน้าหวานพริ้งสะคราญโฉม

“คิกคาก” ข้าหัวเราะชอบใจกับการชมตัวเอง  ใส่ชุดเอี้ยมด้วยตัวเองเสร็จสรรพก็ตะโกนเรียกแม่ให้เข้ามาในห้องได้

ข้าไม่อยากโป๊เปลือยให้แม่เห็นจุ๊ดจู๋น้อยนี่นา

“แม่ !” ข้าตะโกนดังลั่น

“จ้า” แม่ขานรับ สักพักก็ย่างเท้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง ก่อนจะร้องตบมือให้ข้าดังแปะๆ

“ว้าว แต่งตัวเองเป็นแล้ง เก่งมากเลย วันนี้ไอน่ารักที่สุดเลยค่ะ” แม่ชมเปาะ

“ไอรู้ๆ” ข้าผายอกอย่างภาคภูมิ พวงแก้มแดงระเรื่อเพราะได้สัญชาติญี่ปุ่น ผิวพรรณเลยดีเป็นทุนเดิม

หลังจากนั้นข้าก็วิ่งต๊อกแต๊กมาที่หน้าบ้าน พอออกจากรั้วบ้านก็ดันเห็นเด็กชายตัวโตสูงโหย่งมากกว่าข้ากำลังยืนกอดอก หน้าตาถมึงทึง

“ไปไหน” อีกฝ่ายถามไถ่

ข้าหันซ้ายแลขวา เมื่อไม่เห็นพ่อแม่อยู่จึงเอ่ยตอบ “ไปหาผัว”

“แก่แดด”

“แล้วรบมายุ่งอะไรด้วยเล่า” ข้าเท้าสะเอว บึนปากไม่พอใจ

อย่านะ เห็นข้าตัวเล่นแบบนี้ ริอาจมารังแกนี่ข้าเอาคืนเป็นร้อยเท่าเลยนะขอบอกก่อน

“เป็นเด็กผู้ชาย แต่คิดจะไปหาผัว ทำไมแรดแบบนี้” คนตรงหน้าด่าทอ

ข้าทำหน้าตาเหลอหลาก่อนจะกล่าว ชี้มือมาที่หน้าผากตัวเอง “แต่ไอไม่มีเขาเหมือนแรดนะ”

“งั้นก็เป็นตุ๊ดเป็นกะเทย” อีกฝ่ายยังมิวายจิกกัด

ข้าถอดถอนหายใจ ก่อนจะทำสีหน้าจริงจังเกินวัย เอ่ยสั่งสอนเด็กซื่อบื้อ “ฟังนะ พศ.ใหม่กันแล้ว ไม่มีใครมาดูถูกเพศสภาพกันหรอก ถึงไอจะเป็นตุ๊ดเป็นกะเทย ไอก็ภูมิใจในตัวเอง ถ้าหากสิ่งที่เป็นไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใครๆ หรือว่ารบเดือดร้อนแทนไอ ถึงได้จิกกัดมาแกล้งไอทุกวี่ทุกวัน แอบชอบไอหรือไงกัน”

“คะ ใครชอบนายไม่ทราบ !” รบเลิ่กลั่ก

ข้าหัวเราะอย่างชอบใจ ปริปากเจี๊ยวจ๊าว “ชอบไม่ชอบก็แล้วแต่เลย เพราะไอก็รู้ตัวดีว่าตัวเองน่ารัก ความมั่นหน้ามั่นโหนกนี้คงไม่มีใครแล้วนอกจากไอ”

ข้าเชิดคางขึ้นสูงก่อนที่ปลายนิ้วชี้ข้างขวาจะชี้ไปที่คนตรงหน้า มือซ้ายเท้าสะเอว พานหลุบสายตาลงต่ำเหมือนเป็นการเหยียดหยาม พร้อมกับแหวกขาออกกว้าง เอ่ยเสียงดังลอดขึ้นมาว่า “ฟังไว้นะ ตัดใจตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย คนอย่างไอถ้าจะมีแฟน ต้องหาคนรวยๆ เท่านั้น เพราะไอจะผลาญเงินผัวยิ่งกว่าผลาญเงินพ่อแม่”

พูดเสร็จสรรพข้าก็เก็บท่าทางหยิ่งยโสกลายเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก เมื่อหางตาเหลือบไปเห็นว่าพ่อแม่กำลังเดินมา

“ดีใจที่รบออกมาเจอไอน๊า ไอคงต้องขอโบกมือลาละ” พลันยกแขนขึ้น “บ๊ายบาย เดี๋ยวไอไปเที่ยวเล่นกับพ่อแม่ก่อน”

“ไปที่ไหน” อีกฝ่ายยังคงคะยั้นคะยอถาม

“อควาเรี่ยม สวนสัตว์น้ำ” ข้ายินยอมตอบกลับ ก่อนที่พ่อกับแม่จะเดินมาหา พร้อมกับฝ่ามือเรียวนุ่มของแม่ที่ลูบข้าอย่างเอ็นดู

“ไปกันค่ะลูกไอ” เสียงแม่เอ่ยบอก

“คร๊าบ ~” ข้าขานรับ ก่อนจะเอี้ยวกายโบกมือลาเด็กน้อยหน้าตาดี ขืนโตอีกสักหน่อยก็คงมีแววอุปป้าเกาหลีพลอยมีสาวมาพัวพัน แต่ช่างน่าเสียดายที่มาตกหลุมรักข้าเข้าให้ ข้าได้เวทนาอยู่ภายในใจ เพราะตัวเองดันจะไปได้เจอว่าที่ผัวในอนาคต ที่ไม่รู้ปานนี้รอจนเป็นง่อยแถมผมหงอกแล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้

เฮ้อ หวังว่ากระดูกไขสันหลังยังดีอยู่นะ หากฉุกคิดจะเอาข้าทำเมีย

เอ๊ะ หรือข้าควรสลับตำแหน่งเป็นผัวเองดีกว่า…

กว่าจะไปถึงอควาเรี่ยมที่ห่างไกลจากตัวบ้านก็ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ในการเดินทาง แต่ข้าก็ไม่บ่นกระปอดกระแปดเลยสักนิด หิวก็แค่ให้พ่อแม่แวะร้านเพื่อหยุดพักทานอาหาร นั่งฟังเพลงแบล็กพิ้งก์เวอร์ชั่นญี่ปุ่นไปพลาง แถมยังเต้นและร้องอยู่บนเบาะหลัง ซึ่งคุณพ่อกับคุณแม่ที่ฟังเป็นร้อยเป็นพันกว่าเที่ยวก็เริ่มกลายเป็นแฟนคลับไม่ต่างจากข้า ร้องได้เกือบทุกเพลงที่แล่นขึ้นมา

ในที่สุดจุดมุ่งหมายปลายทางของเราก็มาถึง ข้าที่เปิดประตูรถก็รีบกระโดดลงมาหลังจากจอดเทียบเป็นที่เรียบร้อย พลางหมุนตัวกวาดตามองรอบด้านกับพิพิธภัณฑ์สัตวน้ำ อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตอนเกิดเป็นสิงโตทะเล ในยามนั้นแทบไม่เห็นมุมมองเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไป แต่ครั้นในยามนี้...ทุกสิ่งกลับงดงามจับจิตร

ข้าเขย่งปลายเท้าขึ้น มือพยายามจะปีนเกาะที่ขอบช่องซื้อตั๋วเข้าพิพิธภัณฑ์ ก่อนจะถูกแม่จับอุ้ม ทำให้ข้าได้เห็นพนักงานแลกตั๋วเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวย พอสมใจอยากข้าก็ขอแม่เดินลงที่พื้น วิ่งเล่นและกระโดดโลดเต้นไปมาอย่างมีความสุข ทำให้พ่อกับแม่หัวเราะยามเห็นข้ามีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับรอยยิ้มของข้ามีความหมายต่อพวกท่านเป็นอย่างมาก

ข้าจูงมือแม่ที่ย่อกายลงมาวิ่งตามข้าที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว ชี้นิ้วไปที่ลูกโป่งสีแดงก่ำด้วยความอยากได้

ไหนๆ ก็ได้หวนกลับมาเป็นเด็ก ข้าก็อยากเต็มที่กับช่วงเวลาเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด ครั้นพอโตไปสิ่งที่ไม่เคยทำ อาจมานึกหวนเสียดายในภายภาคหน้า ฉะนั้นการเติมเต็มความสุขตั้งแต่ช่วงเวลานี้ มันสามารถเริ่มได้แค่เราฉุกคิดและลงมือทำ ตัวข้าเองก็หวังอยากให้ทุกคนมีความสุขไม่ต่างจากข้า เฉกเช่นเดียวกับพ่อแม่ที่ดูดีใจเวลาหัวเราะสดใส

ข้าถือลูกโป่งโดยมีพ่อและแม่คอยขนาบอยู่ทางซ้ายมือและขวา ต่างประกบกลัวข้าจะหายไปไหน ข้าก็ได้แต่ยื่นเรียวแขนเล็กๆ ให้แม่จูงมือเดินเล่น ก่อนจะเอ่ยปากบอกแม่ว่าอยากไปดูสิงโตทะเล แม่จึงพามาดูที่การแสดงของสิงโตทะเลที่จัดในรอบบ่าย

ข้าตบมือแปะๆ หัวเราะเริงร่ายามเห็นสิงโตทะเลว่ายน้ำขึ้นมาในบก แถมเจ้าตัวลูกพี่ที่ข้าเคยคุยสมัยเป็นสัตว์ก็ได้ฝึกฝนมาเล่นการแสดงกับเขาด้วย ข้าคลี่ยิ้มกว้าง รู้สึกปรีดาเหลือหลาย ไหนจะแม่สิงโตทะเลของข้าอีกที่ไม่รู้ปานนี้เป็นเช่นไร หลังจากจบการแสดงข้าก็เดินนำหน้าให้พ่อแม่เดินตามท้ายหลัง ชี้มือไปที่ลานบันได ก้าวขาลงมาที่พื้น เห็นท้องฟ้าที่เคยสว่างไสวกลายเป็นสีฟ้าคราม สัตว์ในท้องทะเลจากในมหาสมุทรก็ต่างแหวกว่ายผ่านถ้ำอุโมงกระจกใส ข้าแนบฝ่ามือลงกับสิ่งนั้น กวาดตามองสัตว์น้ำแต่ละตัวที่ว่ายไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังมีปลากระเบนขนาดใหญ่ยักษ์ว่ายผ่านอยู่เหนือศีรษะของถ้ำอุโมงอีกต่างหาก

“ว้าว” ข้าส่งเสียงร้องด้วยความพอใจ ก่อนจะวิ่งไปที่อีกจุดโดยมีพ่อแม่คอยสังเกตตลอดเวลา ใจข้าเองในยามนั้นก็อยากผละจากพวกท่านทั้งสอง เพราะตั้งแต่มาที่นี่ข้าก็ไม่เห็นชายคนนั้นเลยสักนิด หรือว่าปานนี้จะไม่ได้มาทำงานเฉกเช่นเคย พาลนึกกังวลว่าอีกฝ่ายคงถึงขั้นตายลาลับไปแล้ว แค่คิดก็พลอยหดหู่

ข้าชะงักฝีเท้า ขณะที่ในมือมีเชือกถึงลูกโป่งลอยเหนืออากาศ จับจ้องสิงโตทะเลที่แหวกว่าย จนกระทั่งมีตัวหนึ่งหยุดชะงักมาจ้อหน้าข้าผ่านกระจกใส ข้าที่จดจำได้แม่นก็ระบายยิ้มออกมาก่อนจะเอ่ยทักทาย “หวัดดีเจ้าตัวขี้เซา” ตัวใหญ่ผอมเพรียวขึ้นเยอะเลยนะ ไม่รู้ปานนี้ถูกจับเป็นเมียแล้วหรือเปล่า

เจ้านั่นจ้องข้าไม่นานก็ว่ายกลับขึ้นไปบนบก ข้าก็เหลือบตามองตามก่อนจะเห็นแม่สิงโตทะเลที่ชะโงกหน้ามาทางข้า ข้าก็รีบโบกมือทั้งสองข้างไปมา ทำให้ลูกโป่งพลิ้วไหวตามแรงลม ตะโกนส่งเสียงแหกปากว่า “แม่ !” ด้วยความดีใจ

ดูจากทีท่าท่านคงสบายดี สุขภาพคงแข็งแรงเฉกเช่นเคย ข้าน้ำตาเอ่อคลอจนไหลอาบแก้ม หวนนึกถึงตั้งแต่ตอนเป็นสิงโตทะเลเล็กๆ ที่หัวฟัดหัวเหวี่ยงเพราะโชคชะตาดันเล่นตลกร้าย อีกทั้งยังได้แม่เป็นสัตว์ แต่พอมาในยามนี้ทุกน้ำนมมารดา และบุญคุณทั้งหลายทำให้ข้านึกถึงแม่ๆ ทุกคนที่ข้าต้องจากลามา

แม่ว่านที่พอจะรู้ว่าข้าหมายถึงใครก็เอามือมาลูบลงกลางกระหม่อมอย่างปลอบโยน ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มป้อยๆ

ข้าพรูลมหายใจโล่งอก เห็นทุกคนยังสุขสบายก็นึกหายห่วง ใช้เวลาอยู่ตรงนี้สิบนาทีจนพ่อแม่ต้องหยิบกล้องมาถ่ายรูปข้า แถมยังมีแม่สิงโตทะเลที่หันหน้ามาทางนี้ รวมไปถึงตัวขี้เซาแสนเกียจคร้านที่ข้าจดจำใบหน้าได้ดี หวังเก็บเป็นระลึกความทรงจำ

ข้ายิ้มในเวลามีความสุข และข้าก็ร้องไห้ในเวลาที่เศร้าสร้อย ปลดปล่อยคลื่นอารมณ์เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปที่มีสติสัมปชัญญะ ก่อนที่ถ้ำอุโมงจะมีผู้คนเริ่มเข้ามาแน่นขนัด ข้าก็อาศัยจังหวะวิ่งไปซ้ายทีขวาทีเพื่อดูสัตว์น้ำต่างๆ นานา สุดท้ายก็พลัดหลงกับพ่อแม่จนได้

“ไอ !” ข้าได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกชื่อ แต่ข้าก็ได้แต่นึกขอโทษอยู่ภายในใจ รีบดึงสายเชือกลดลงต่ำ หวังให้ลูกโป่งที่ลอยเด่นหราไม่ให้พ่อแม่กวาดตาพบเห็น ฝ่าฝูงชนขึ้นมายังเบื้องบนที่เหมือนเป็นสวนสาธารณะ มีร้านอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ วางจำหน่าย ข้าปล่อยเชือกให้ลูกโป่งลอยดังเดิม ก่อนจะเดินตามต้อยๆ ไล่หลังผู้ใหญ่ พลันสะดุดกึกเมื่อเห็นเจ้าแมวตัวหนึ่งอยู่ในอควาเรียม มันเป็นสีขาวนวลเนียน และมีดวงตาสีฟ้าครามดุจท้องทะเล

ข้าก้าวขามาเบื้องหน้า หยุดชะงักก้มหน้ามองแมวที่เงยหน้ามาจ้องตาข้าเช่นเดียวกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
“เจ้าแมวชื่อกระแดะ” ข้าเอ่ยเรียกชื่อมิริน ก่อนจะถามไถ่เหมือนกับอีกฝ่ายจะเข้าใจภาษาคน “ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”

ข้ายังคงสงสัย แต่เจ้ามิรินก็กลับร้อง “เมี๊ยว” ตอบกลับ ซ้ำยังเดินมาคลอเคลียที่เท้าของข้าอีกต่างหาก

ต๊าย นอกจากเป็นแมวแรดแล้วยังเฟรนลี่กับมนุษย์อีกเหรอ คิดจะอ้อนคนไปทั่วเลยสินะ

“ตี๋อยู่ไหน ?” ข้าถามมิรินที่ยังเอาหน้ามาคลอเคลียแถวเรียวขาเล็กผุดผาด ก่อนจะปล่อยสายเชือกที่เคยกำแน่นทิ้ง เพื่อให้ลูกโป่งสีแดงฉานลอยละลิ่วเหนือบนอากาศ จากนั้นก็โน้มกายลงมาจับอุ้มมิรินที่อยู่ข้างๆ พุ่มไม้

“ถามว่าตี๋อยู่ไหน ?” ข้าจ้องเขม็งใส่เจ้าแมวหน้าโง่ที่เอาแต่ร้องเมี๊ยวๆ ไม่ตอบคำถาม ปลายนิ้วมือสอดที่ร่องเท้าด้านหน้าของสัตว์ขี้อ้อน พลันเขย่ารัวแรงเมื่อไม่ได้รับคำตอบสักทีหนึ่ง

ข้าเริ่มไม่พอใจแล้วนะ ! หรือเจ้าตี๋จะอยู่แถวๆ นี้

ขวับ ข้ารีบหนัาไปทางขวา กะจะมองซ้ายแลขวาสักเที่ยว แต่ทว่าก็ดันมาหยุดชะงักกับใครบางคนที่อยู่ในชุดตัวใหญ่อ้วนพี แถมใบหน้าคมคายหล่อเหลาก็ชื้นไปด้วยหยาดเหงื่อ

นี่เจ้าคนหื่นหล่อไร้ที่ติขนาดนี้เลยหรอกเหรอ ?

ข้าเบิกตากว้างอย่างเหลือเชื่อ ทั้งดีใจที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตายห่า ก่อนจะรีบเหวี่ยงสิ่งของในมือไปทางซ้ายมืออย่างไร้เยื่อใย เสียงดังพึ่บ ! จึงตามมา พร้อมกับเสียงร้องดัง “แง่ว !!” ของเจ้าแมวน่าโง่

ข้าเห็นอีกฝ่ายร้อง “เฮ้ย !” ด้วยอากัปกิริยาตกใจ ข้าไม่สนหัวใดๆ รีบก้าวขาเข้ามาหาอีกฝ่าย ตั้งใจจะเอ่ยคำอะไรสักคำ แต่ก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่า เรื่องแบบนี้พูดออกไปก็คงเป็นลมปากเปล่า

คนตัวโตที่ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ข้าก็ไม่นึกแยแส กวักมือขวาให้อีกคนโน้มตัวลงต่ำ

อีกฝ่ายดูลังเลใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ย่อเข่าลงมา ใบหน้าเทียบอยู่ใกล้ศีรษะของข้า ถึงแม้ข้าจะเตี้ยไปสักหน่อยทำให้นึกขัดใจ กระทั่งริมฝีปากหยักหนาเอ่ยถาม

“ว่าไง…!!” ไม่ทันจะจบประโยค สุรเสียงทุ้มกังวานเหล่านั้นก็พลันชะงักในบัดดล ยามที่ข้าประคองใบหน้าคมคายบริเวณสันกรามดูดีสมบูรณ์แบบ กดแรงลงมาเล็กน้อยให้เรียวหน้ารูปไข่ก้มต่ำลงมาเล็กน้อย ก่อนที่มือนิ่มที่ทาบทับก็พลางยื่นหน้าเข้าไปหา ตามมาด้วยริมฝีปากสีชมพูระเรื่อของข้าที่จุมพิตที่เปลือกตาซ้ายจนอีกฝ่ายต้องหลับตาพริ้ม ใช้การกระทำอุกอาจโดยไม่ให้อีกคนได้ทันตั้งตัว

เปลือกตาข้างซ้าย แทนการซับหยาดน้ำตาที่เคยรินไหล

ข้าละริมฝีปากออกห่าง ลอบมองอิริยาบถของอีกคนที่เบิกตามอง ก่อนจะหลับตาพริ้มอีกครายามที่ข้ายื่นริมฝีปากไปประทับที่เปลือกตาข้างขวา สื่อถึงการทดแทนปลอบประโลมใจ ตามมาด้วยหน้าผากกว้างที่แทนเรื่องราวที่ถักทอร่วมสร้างกันมาเนิ่นนาน เลื่อนต่ำมาที่ปลายจมูกโด่งรั้นแทนทุกลมหายใจที่ข้าอยากใช้ชีวิตร่วมกันดังต่อไปนี้  ต่อด้วยปรางข้างซ้ายและขวา แทนคำห่วงใยและเอ็นดู รวมไปถึงปลายคางสื่อถึงความขอบคุณที่เคยอยู่ร่วมกัน

ข้าชะงักการกระทำ มองอีกฝ่ายที่ลืมตามองจนแววตาสั่นไหว น้ำตาเอ่อคลอทำข้าจะร้องไห้ตาม ก่อนที่ข้าจะหยุดโลกใบนี้ไว้เหลือเพียงแค่เราสองคน ยื่นริมฝีปากไปจุมพิตที่กลีบปากนุ่มของอีกคนเสียงดังจุ๊บ ! บ่งบอกถึงความรักที่ข้าเคยสะสมมาเนิ่นนานตลอดไม่มีวันเสื่อมคลาย

ข้าหวังว่าการกระทำและสัมผัสตราตรึงเหล่านี้ในห้าปีก่อน เจ้าจะยังคงไม่ลืมเลือน…

“จำตัวเล็กได้ไหม” ข้าคลี่ยิ้มกว้างทั้งน้ำตา

แต่คำตอบก็กลับไม่ได้รับการตอบกลับ มีเพียงชายฉกรรจ์ตรงหน้าที่ปล่อยโฮออกมา รีบยืดเรียวแขนมาโอบรอบตัวข้าให้เข้าไปใกล้กระชั้นชิด

พอได้ยินเสียงเจ้าตี๋ร้องไห้ ข้าเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องตาม…

“จำได้สินะ” ข้าย้ำในสิ่งที่ต้องการจะสื่อ พลางยื่นมือมาลูบไหล่กว้างที่แทบเอื้อมไม่ถึง

อีกคนพยักหน้ารับ ทั้งลำตัวสั่นสะท้านไปหมด ใช้เวลาครู่ใหญ่ก็ผละจาก จ้องมองข้าที่ระบายยิ้มกว้างอย่างขบขัน

อีกคนขยับริมฝีปากเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “รอนานแล้วนะ รอจนจะอายุสามสิบขึ้นคานแล้ว”

“ฮ่าๆ” ข้าหลุดหัวเราะกับคำตลกร้ายพรรค์นั้น ก่อนจะเอนกายไปด้านหลังให้ใบหน้าออกห่างจากอีกฝ่าย

“เราชื่อไอนะ” ข้าแนะนำนามใหม่เพื่อคาดหวังให้อีกคนขับขาน ก่อนสะดุดร้องดังอึกเมื่อถูกกอดแนบแน่นอีกครั้ง ครั้นพอใจก็ผละกายออกห่างโดยที่ข้าก็น้ำตาไหลอาบแก้ม ริมฝีปากเล็กสั่นระริกเพื่อจะกล่าวอีกประโยคที่อยากพูดมาเนิ่นนาน

ข้าอยากบอกกับเจ้าให้ได้รับรู้และเป็นที่ประจักษ์...

“คิดถึงนะ คิดถึงมากๆ เลย รักตี๋ ไอรักตี๋ ฉะนั้นอยู่ด้วยกันตลอดไปนะ”

“ตัวเล็ก…” อีกคนน้ำตาเอ่อคลอจนไหลผ่านปรางสีแทนคล้ำแดด ก่อนที่ข้าจะเอาแขนมุดลอดผ่านเรียวแขนแกร่ง ยื่นปลายนิ้วโป้งเกลี่ยคราบน้ำตาให้อย่างเบามือ มิวายหยอกเย้า

“ผู้ชายไรขี้แงอะ”

“ฮึก” อีกคนสะอื้นไห้ ทำท่าสูดน้ำมูกเข้าจมูก ก่อนที่ข้าจะถามคำบางคำด้วยความคาดหวังเหลือแสน

“รักไหม ?”

ข้าที่เป็นคนเช่นนี้ เป็นเด็กตัวกะจิ๊ดริดแค่นี้ เจ้าจะยังรักข้าอยู่ไหม ?

“เป็นคำถามที่ไม่น่าเอ่ยออกมาเลย” อีกคนโต้กลับ คลี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

ข้ารู้สึกขวยเขิน หันหน้าหนีก่อนจะบ่นอุบอิบ “บ้าบอ”

ถึงกระนั้นคำพูดก็ไม่ได้สะทกสะท้านคนตรงหน้าแต่อย่างใด อีกทั้งยังเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรัวแรง ราวกับภูเขาที่เคยหนักอึ้งได้ถูกปลิดปลิวผ่านคำพูดบางประการ

“รักสิ รอไอมานานแล้ว ไม่รักได้ไง”

ชิ ! เจ้าคนซื่อบื้อ

ข้าอมยิ้มอย่างปรีดา ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปจูบที่ริมฝีปากอีกฝ่ายอีกสักหน ราวกับโหยหามาเนิ่นนาน และในยามผละกายออกห่าง ข้าก็มองด้วยแววตาใสแจ๋ว เอ่ยชมเปาะ “ดีมาก เด็กดี” ก่อนจะหันซ้ายแลขวา ก็พลันเห็นผู้คนที่แน่นขนัดต่างเดินมองเราทั้งคู่อย่างสนอกสนใจ

ตายจริง จูบกลางสาธารณะ ลืมเลยว่ามีตัวประกอบอื่นๆ

“คนมองกันเต็มเลยอะ” ข้าบ่นพึมพำ ทำให้เจ้าตี๋ต้องกวาดตามองตาม

“งั้นเราไปที่อื่นกัน” สิ้นคำพูดอีกฝ่ายก็เหยียดกายลุกขึ้นยืน ยื่นฝ่ามือมาอุ้มตัวข้าที่กางแขนรอรับให้ไปอยู่บนระดับอก ก่อนที่ก้นนิ่มๆ จะทาบทับอยู่พาดผ่านอยู่บนลำแขนแกร่ง

“ทำไมแต่งชุดมาสคอดอะ” ข้าถามอย่างสงสัย

บ้าจริง หรือว่าผัวตกงาน แบบนี้ข้าก็อดได้เสี่ยเปย์เด็กกันพอดี

เอาไงดี เลิกดีไหม ? หาผัวใหม่ก็ยังไม่สาย

“ไม่หล่อเหรอ ?” เจ้าตี๋ว่า ขณะย่างกรายไปที่พำนัก

ข้าตอบกลับอย่างเริงร่า “ตลกดี” แต่จริงๆ ก็หล่อแหละ ไม่ว่าเจ้าจะอยู่สภาพแบบไหนก็ดูดีทั้งนั้น แต่งชุดมาสคอดแบบนี้ก็ดูน่ารักดี

“แล้วพ่อแม่อยู่ไหน ?” อีกฝ่ายมิวายถามถึงบุพการี

ข้าก็ลืมเสียสนิท แต่ก็ช่างเถอะ ไหนๆ ก็เจอเจ้าแล้วก็เลยได้แต่ไหวไหล่ตอบกลับ พลางยู่ปากก่อนจะตอบคำถาม “คงเดินตามหาจนวุ่นอยู่แหละ”

สักพักไม่ทันไร ก็ดันมีเสียงลำโพงดังเซ็งแซ่ทั่วสารทิศ

[ประกาศค่ะ ตามหาเด็กพลัดหลง ชื่อไอ อายุห้าขวบ ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน ผิวขาว สวมเสื้อเอี้ยมสีน้ำเงิน ข้างในใส่เสื้อยืดสีขาวคอกลม  ใครพบเจอช่วยพามาที่แผนกประชาสัมพันธ์ด้วยค่ะ]

อุ้ย โดนจนได้ “นั่นไง” ข้าว่า “ไม่ทันขาดคำ”

“เด็กไม่ดี” เจ้าตี๋เอ็ดใส่ก่อนจะปิดประตูล็อกกลอนลง พลางเดินดูรอบห้องเมื่อค้นพบว่าไม่มีใครจึงวางข้าที่น่ารักน่าชังยืนลงกับพื้น

คุณหฤษฎิ์จะพรากผู้เยาว์เหรอฮะ ? แบบนี้ข้าแจ้งความดำเนินคดี และให้ศาลตัดสินจับขังลืมเลยนะฮะ

“จะฟ้องว่าลักพาตัวเด็ก” ข้าเตือนพร้อมร้อยยิ้มโชว์ฟันน้ำนม

แต่อีกคนหาได้ยี่หระ “ยินดีให้ตำรวจจับ”

งั้นมึงโดนแน่ ! ไอ้คนหื่น

ข้าได้โต้เถียงอยู่ภายในใจ ก่อนที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายจะประคองใบหน้าเรียวเล็กที่แสนน่ารัก พลันกระเถิบกายเข้ามา พร้อมกับก้มหน้ามาประทับกลับปากนุ่มหยุ่นอย่างอาลัยอาวรณ์

ข้าได้แต่หลับตาพริ้ม สัมผัสรสชาติตราตรึงที่ไม่ได้จาบจ้วงลึกซึ้งเหมือนกับผู้ใหญ่ แต่ก็มากพอที่จะทำหัวใจข้าสั่นคลอน

“จูบให้ชื่นใจเหมือนที่ต้องทนรอมาเนิ่นนาน” เจ้าตี๋กล่าวยามผละกายออกห่างจากร่างแน่งน้อย

ข้าหน้าแดงปลั่งอย่างเขินอาย แกล้งพูดประชดเสียดสี “เป็นผัวอ๋อมาจูบอะ”

“และอยากให้เป็นไหมล่ะ” เจ้าตี๋ถามกลับ ทำข้าหัวเราะร่วนชอบอกชอบใจ

“อยากสิ” จะได้ผลาญเงินเล่นไปเปย์แบล็กพิ้งก์ “จะได้กรรโชกทรัพย์มาให้หมด มีแฟนเป็นเจ้าของอควาเรี่ยมดีจะตาย”

หวังว่าพ่อของเจ้าจะส่งมอบตำแหน่งให้แล้วนะ

จริงๆ ข้าก็ไม่ได้เห็นแก่เงินหรอก เลยมัดมือชกจับเจ้าทำผัว แต่ไหนๆ มันก็มีกำไลได้ ข้าจะลักทรัพย์ก็คงไม่กระทบขนหน้าแข้งให้ร่วงหล่น

“เชิญผลาญเงินตี๋ตามสบายเลย” อีกคนยิ้มเยื้อน ลุกขึ้นยืนเดินจูงมือข้าออกจากที่พำนักพนักงาน

ข้านี่ได้แต่ยกมือโหร้องกำมือแน่นและชักขึ้นลงว่าเยี่ยม ! แบบนี้ก็มีโอกาสได้ไปดูคอนเสิร์ตของสาวๆ ได้สักทีหนึ่ง

“ตี๋” ข้าเรียกอย่างสนิทชิดเชื้อ ระหว่างที่อีกคนกล่าวขาช้าๆ เพราะรู้ว่าข้าไม่ได้มีขายาวเหยียดเฉกเช่นอีกฝ่าย พลันกระชับฝ่ามือหนาแน่นมากขึ้น ก่อนที่จะเดินไปที่แผนกประชาสัมพันธ์

ข้าไม่อยากปล่อยมือของเจ้าเลย…

ก่อนจะแหงนหน้ามองอีกฝ่ายที่ทำสีหน้ามีเลศนัย

สงสัยคิดเรื่องอุบาทแหงๆ

“ฝันไปเถอะ” ข้าที่คาดเดารีบเอ่ยออกมาเป็นการขัดจิตใต้สำนึกของคนตรงหน้า

หน้ามึงมีพิรุธมากอีตี๋ ! นี่คิดจะพรากผู้เยาว์ นอกจากวิปริตหื่นกามมีอารมณ์กับสัตว์อีกใช่ไหมฮะ !

“รู้หรอกว่าคิดอะไรอะ ไอ้คนโรคจิต” ข้าด่าอย่างมีน้ำโห ไม่เกินเสี้ยววินาทีก็ปรับอารมณ์ให้เย็นลง

อีกคนก้มหน้ามอตาข้า “ทำไมปากคอเราะรายจัง”

ข้าที่ได้ยินดังนั้นได้แต่หน้าบึ้งชักสีหน้าไม่พอใจใส่คนตัวโต หยุดฝีเท้าทำให้อีกคนต้องหยุดตาม

“รับไม่ได้เหรอ ?”

มันจะทำไม ? มีเมียปากสว่างไม่ดีตรงไหน ! จะได้มีไว้ข่มผัวให้บูชายิ่งกว่าเทพเจ้า

ข้าเชิดหน้าขึ้น จ้องตาเขม็ง

อีกคนโคลงศีรษะรับ “รับได้สิ” ก่อนจะก้าวขาเล็กน้อยทำให้ข้าต้องเดินตาม ขณะที่มือก็ถูกกุมเอาไว้แน่นตลอดเวลา “ขืนรับไม่ได้ก็อดรักกันพอดี

“ชิ” ปากหวานนักนะ ไอ้คนหื่นกาม ข้าเบือนหน้าหนีก่อนจะบ่นกระปอดกระแปดเสียงเบา “ไอ้คนพรากผู้เยาว์”

“ได้ยินนะ”

อุ้ยตาย ! รู้ตัวด้วย

ข้าที่หน้าแดงก่ำได้แสร้งปกปิดสีหน้าเคอะเขิน เปลี่ยนเป็นเบรกขาและตะโกนดังลั่นเหมือนกับเด็กจอมแสบ “คุณตำรวจจจจจจ !!!”

มาจับหมอนี่ไปทีครับ มันคิดมิดีมิร้ายกับหนู !

ข้าที่หลับตาเมื่อครู แกล้เป็นลืมตามองผู้คนที่หันเหความสนใจมาทางพวกเรา เห็นดังนั้นข้าก็คลี่ยิ้มพอใจ เริ่มแผนการให้อีกฝ่ายละล่ำละลั่ก “ช่วยด้วยโดนลักพาตัว !!” พานสะดีดสะดิ้งเหมือนโศรยาที่ถูกทำมิดีมิร้าย แกล้งทำเป็นจะกระชากมือออกจากฝ่ามือหยาบกร้าน แต่ปลายนิ้วตัวเองก็เกี่ยวข้อนิ้วอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย

เจ้าตี๋ร้องอย่างตกใจ รีบหันไปมองผู้คน และโบกมือที่ว่างอยู่เป็นการประท้วง “ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ”

ใช่สิ ทำไมจะไม่ใช่ ! เจ้ามันหื่นกาม ข้าที่รู้จักมักจี่มาอย่างดี มีหรือที่จะไม่รู้ความชั่วช้าเลวทรามของเจ้า !

พอแกล้งจนสาแก่ใจ อีกคนก็ก้มหน้ามามองข้าอย่างดุๆ ขณะที่ข้าแลบลิ้นปลิ้นตาไม่สะทกสะท้าน

“แบร่” สมน้ำหน้าไอ้เจ้าคนบ้า ข้อหาที่ทำให้ข้าต้องเจอเรื่องสัปดนตั้งแต่เป็นลูกสิงโตทะเล

เจ้าตี๋ปล่อยมือข้าเมื่อมาถึงห้องประชาสัมพันธ์ ข้าที่เหลือบเห็นครอบครัวกำลังยืนหน้าซีดก็รีบวิ่งไปหา พลอยรู้สึกผิดเสียเต็มประดา แต่จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าหันมามองตี๋ที่ยืนมองดูจากด้านหลัง

อีกฝ่ายพยักหน้าให้ข้าเล็กน้อย ข้าเลยฮึกเหิมกำลังใจวิ่งรุดไปหาพ่อแม่ทันที

“แม่ ! พ่อ !” ข้าตะโกนเรียก วิ่งมาเกาะแข้งเกาะขาพ่ออย่างออดอ้อน

“ไอ !” แม่ที่ส่งเสียงร้องตกใจรีบโน้มกายมาโอบกอดข้าอย่างแก้วตาดวงใจ รวมไปถึงคุณพ่อที่พูดภาษาญี่ปุ่นดุข้าว่าหายไปไหนมา

“ขอบคุณมากเลยนะคะ” คุณแม่ขอบคุณฝ่ายประชาสัมพันธ์ก่อนจะก้าวขาเดินจูงมือข้าออกจากที่แห่งนี้เพื่อไปดูสัตว์ทะเลต่อ ตามมาด้วยคุณพ่อที่ยืนประกบซ้ายมากกว่าเดิม เกรงกลัวว่าตัาข้าจะทะลึ่งพรวดหายหน้าหายตาไปอีกหน

ข้าถูกพวกท่านจูงมือทั้งสองข้าง ก่อนที่ข้าจะเหลียวหลังหันไปมองคนที่ยังยืนจังงันอยู่กับที่ มองข้าด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ข้าก็ไม่สามารถสรรหาคำอธิบายมาพรรณนาออกมาได้

รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เจ้าตี๋กำลังร้องไห้ ทั้งดีใจที่ได้เจอกัน และคงไม่ต่างจากข้า…

เราไม่อยากแยกจากกันเลย

ข้าระบายยิ้มให้เจ้าตี๋ หวังว่าจะช่วยเยียวยาความคิดถึงคะนึงหามาเนิ่นนานเกือบห้าปีเต็มๆ ก่อนที่ริมฝีปากที่ชอบส่งเสียงเจื้อยแจ้วของข้าจะหันมาเอ่ยกับผู้เป็นมารดา

“แม่”

“คะ ว่าไงลูก ?” แม่ถามขณะย่างเท้า

ข้าที่มีน้ำตาเอ่อคลอ ได้แต่พูดเสียงสั่น “ไอเจอเขาแล้ว”

“...” สิ้นคำพูดแม่ก็หยุดฝีเท้า ทำให้คุณพ่อต้องหยุดก้าว หันมามองภรรยากับลูกชายอย่างฉงน

คุณแม่โน้มตัวลงต่ำมาเกลี่ยคราบน้ำตาข้าอย่างอ่อนโยน

“ลูกอยากไปหาเขาใช่ไหม ?” แม่ถาม

ข้าน้ำตาไหลพรำพลางพยักหน้าหงึกหงัก

ข้าไม่อยากหายไปจาสายตาของเจ้าตี๋อีกต่อไปแล้ว

“ไออยากอยู่กับเขา ให้ไอได้อยู่กับเขาได้ไหม” ข้าถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทำคุณพ่อต้องเอ่ยปากถามว่าหมายความว่าอย่างไร แต่คุณแม่ก็ยกมือห้ามเอาไว้ก่อน

“ไออยากอยู่กับเขา แม่ก็ให้ได้ แต่ไอยังเป็นลูกของพ่อกับแม่เสมอ แม่ไม่อยากสูญเสียไอไปรู้ไหม” แม่พูดทั้งที่แววตาเปล่งประกาย

ข้าที่ไม่เข้าใจความหมายได้แต่เอียงคอฉงนสงสัย

“ลูกรอคอยเขามาห้าปีแล้ว แต่อย่าลืมนะ ว่าลูกยังเป็นลูกของพ่อแม่เสมอ” แม่บอก

ข้าได้แต่น้ำตาไหลอาบแก้มผ่านปรางขาว ร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กงอแง

“ไปเถอะ ไปหาเขา แม่ไม่ใจร้ายให้ลูกไอต้องพลั้งพลาดกับเขาอีกต่อไปแล้ว”

“ฮึก”

“รีบไปสิ เขายืนรออยู่นะคะ” แม่พยักพเยิดไปทางซ้ายมือ ทำให้ข้าต้องพยักหน้ารับอย่างเข้าอกเข้าใจ ก่อนจะปล่อยมือจากพ่อแม่ หมุนกายหันหลัง และวิ่งต๊อกแต๊กไปหาใครบางคนที่ปล่อยน้ำตาโหร้องอย่างดีใจ โน้มตัวลงต่ำอ้าแขนรอรับ

สวบ ! ข้าโอบกอดคนที่รัก ใบหน้าแนบอิงอยู่ข้างลาดไหล่ของอีกฝ่าย น้ำตาเปียกชุ่มที่อาภรณ์

“อยู่ด้วยกันนะ ไม่อยากห่างกันอีกต่อไปแล้ว” ข้าบอกพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือ ขยี้ใบหน้าถูไถอยู่ข้างบ่าไหล่เฉียงกว้างอย่างออดอ้อน

เจ้าตี๋ที่มีน้ำเสียงสั่นระริกไม่ต่างกัน พยักหน้าขานรับ “ครับผม” ก่อนจะยื่นหน้ามาจูบซับหยาดน้ำตาของข้าอย่างรักใคร่

ข้ายิ้มกว้างอย่างพอใจ ก่อนจะกระตุกแขนเสื้อตี๋และเอี้ยวกายชี้นิ้วไปทางพ่อแม่

“ไปหาพวกท่านกัน”

“ครับ” อีกคนยินดีที่จะทำตามคำสั่ง ลุกขึ้นยืนเดินตามข้าต้อยๆ มาถึงตรงต่อหน้าพ่อแม่ที่คลี่ยิ้มทำความรู้จัก มีเพียงคุณพ่อที่ทำสีหน้าเขม็งคล้ายไม่พอใจ

ข้าเอ่ยปาก “พ่อ แม่” เรียกความสนใจแก่พวกท่านทั้งสอง ก่อนจะชี้นิ้วไปที่คนข้างกายเพื่อแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ

“นี่ตี๋ ว่าที่สามีไอ”

“...” จู่ๆ คุณพ่อที่อ้าปากค้างก็หน้าวูบซวนเซ ทำให้ตี๋ต้องรีบไปประคองในฐานะว่าที่ลูกเขยที่แสนดี

ข้าหัวเราะร่าอย่างตลกร้าย แต่ก็นึกขอโทษขอโพยคุณพ่อที่ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาแนะนำอีกฝ่ายดี เพราะยังไงเสียข้าก็รักเจ้าตี๋มาก และข้าก็เต็มใจที่จะใช้ชีวิตร่วมกับอีกฝ่ายนับต่อจากนี้

ข้าเอามือวางลงตรงหน้าอย่างเรียบร้อยเหมือนผ่านการอบรมสั่งสอน พานโค้งคำนับต่อหน้าพ่อและแม่

“ฝากพ่อกับแม่เอ็นดูว่าที่ลูกเขยด้วยนะฮะ”

“ฮ่าๆ ไอ” แม่หัวเราะร่าชอบใจ แตกต่างที่คุณพ่อที่หมดสติแบบจริงจัง จนต้องเรียกคนมาแบกห่ามไปส่งที่ห้องปฐมพยาบาล

“ไอรักตี๋ที่สุดเลย” ประโยคนี้ข้าเอ่ยเสียงดังฟังชัดให้ใครบางคนต้องเก้อเขินจนหน้าแดงปลั่ง

มีเพียงแม่ที่รีบไปดูอาการพ่อ ขณะที่พ่อก็หลับตาพริ้มเหมือนเจอเรื่องช็อกที่สุดในชีวิต

ส่วนเจ้าตี๋นั้น…

เอามืดขัดจมูกอย่างเขินอาย

ข้าหวังว่าต่อจากนี้ ชีวิตข้าจะมีความสุขตลอดไป กับคนที่อยากเคียงคู่อีกร้อยวันพันปี...



END

 

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6
ไอจังกับตี๋ แฮปปี้มาก แม่สิงโตทะเลกับน้องง่วงก็ยังอยู่ดี
แม่ว่านก็สามารถรับเรื่องมหัศจรรย์นี้ได้อย่างเฮฮาร่าเริง  :m20:
สงสารก็แต่คุณพ่อนี่ล่ะ มีลูกชาย 5 ขวบ อยู๋คนก็ขอไปอยู่กะสะมีซะแล้ว :laugh:
สงสารมิรินอีกตัว น่ากลัวจะโดนจับไปโยนทิ้งให้เป็นแมวจรจัดเข้าสักวัน โถถถถ...

ออฟไลน์ suikajang

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
แสบมากไม่ว่าจะเป็นตัวเล็ก หรือน้องไอ ไม่รู้จะสงสารคุณตี๋ดีหรือเปล่า เราก็ใช่ย่อยน๊า กำลังจะพรากผู้เยาว์ แถมเต็มใจให้พรากด้วย น่ารัก อ่านรวดเดียว ฮาคนเดียว โอ๊ย...วีรกรรมแต่ละอย่าง สนุก แต่แอบมีน้ำตาตอนตัวเล็กตายนิสนุง  :m20:
 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ [€]ŝĊörŦ

  • ความพยามครั้งที่100 ดีกว่าคิดท้อถอยก่อนที่จะทำ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2077
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +142/-0
ตลกมากแม่เอ๊ย .. ไอเดียบรรเจิดเลิศสุด ๆ
กำลังเครียด ๆ อ่านละขำก๊ากเลยจ้า
ขอบคุณที่เขียนเรื่องสนุก ๆ ให้ได้อ่านนะครับ

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
โอ้ยยยยย ยัยน้อนนน แสบมากกกก
ไม่ทันไรพา ว่าที่สามีมาแนะนำตัวแล้ว :laugh:

หนูจะรีบมีผัวตั้งแต่ตอนนี้ไม่ได้นะลูก พี่ตี๋ของหนูคงได้ไอคุกๆๆๆก่อนแน่ :laugh:

ฮาคุณแม่ว่าน 5555
คุณแม่น่ารักมาก เปิดใจรับกับเรื่องน่าเหลือเชื่อ รักและเข้าใจน้องไอมากๆ

 :pig4: :pig4: :pig4: สนุกมากๆค่ะ ขำจนหยุดไม่ได้เลย  :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-01-2020 15:39:40 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ ss.suttida

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตลกมาก​อ่านไปขำไปตั้งหลายตอน​ แอบน้ำตาซึมตอนอุ๋งๆตาย

ออฟไลน์ Gatjang_naka

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น่ารัก   อยู่ใกล้ตี๋มากระวังโดนจับกินนะ  :hao7:

ออฟไลน์ Blue

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 336
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0

ออฟไลน์ jeedjaw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมาก ๆๆๆๆๆ ทั้งหัวเราะ ขำกระจาย ทั้งน้ำตาไหลอาบแก้ม  o13 :sad4: :z1:

ออฟไลน์ jeedjaw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สนุกมาก ๆๆๆๆๆ ทั้งหัวเราะ ขำกระจาย ทั้งน้ำตาไหลอาบแก้ม  o13 :sad4: :z1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 734
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
ฮามาก เป็นเรื่องที่คลายเครียดได้ดีมาก
สนุกมาก ชอบความอุ๋งๆ เป็นสิงโตทะเลที่น่ารัก
ชอบคุณแม่ของทั้งคู่มาก เข้าข้างลูกๆมาก

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
ตอนพิเศษ : ไอขึ้นชั้นประถม



ข้ากำลังยืนกอดอก จ้องตาเขม็งใส่เด็กน้อยที่ตัวใหญ่ยักษ์ ทั้งยังอ้วนและมีผิวขาว แถมยังมีหน้ามาขู่ข้าผ่านสายตาอีกต่างหาก

ผยองยิ่งนัก !

“ไอจะเป็นหัวหน้าห้อง !” ข้าตะโกนแข็งกร้าว หาได้เกรงกลัวเจ้าเด็กจ้ำม่ำตรงหน้าแม้แต่น้อย

คิดว่าตัวใหญ่แล้วข้าจะกลัวเหรอ !

“ตัวเตี้ยแบบนี้จะมาเป็นหัวหน้าห้องได้ยังไง” น้ำเสียงติดๆ ขัดๆ ของเด็กที่ชื่อ ‘เณร’ เอ่ยออกมา แถมยังใช้สายตามองข้าตั้งแต่หัวจรดเท้า

“ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะ หัวหน้าห้องไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องเล่นนะคะเด็กๆ ต้องคอยเก็บสมุดการบ้านของเพื่อนเพื่อนำมาให้คุณครูประจำชั้นด้วยนะคะ และก็กล่าวทักทายเวลาคุณครูเข้ามาสอนทุกครั้ง”

ยุ่งยากมาก

“งั้นไอไม่เป็นละ” ว่าแล้วก็หันหลังให้ทันที เดินกลับไปนั่งที่เก้าที่มีกระเป๋าสีแดงคล้องอยู่ ก่อนจะหยิบหนังสือมาวางที่โต๊ะ แต่พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเจ้าเณรมองมาอย่างฉงน เพราะมัวแต่เถียงกันในทีแรก แต่ข้าก็กลับยินยอมง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดที่ได้ยินจากคุณครู

เด็กๆ ชอบเวลาได้รับคำชม ฝึกการเป็นหัวหน้ามีความรับผิดชอบไปในตัว แต่ข้าหรือจะอยากเป็น เหอะ ! เปลืองแรงเปล่าๆ ไม่ทำหรอกยุ่งยากชะมัด แค่มาเรียนก็เหนื่อยละ ขึ้นชั้นประถมเปิดเทอมวันแรกก็ต้องมาขยันตื่นเช้าอีก น่ารำคาญสิ้นดี

ทำไมพ่อแม่ต้องส่งข้ามาเรียนด้วยนะ ! ชีวิตนี้ข้าจบจากมหาลัยตั้งแต่สมัยไหนแล้ว นี่ยังต้องมาเรียนรู้ขั้นพื้นฐานอีก เป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดสิ้นดี

ทำไมพ่อแม่ไม่คิดบ้างว่าลูกชายคนนี้มีผัวเป็นถึงเจ้าของควาเรี่ยม แค่นอนสุขอุราโง่ๆ ไปวันๆ โดยไม่ต้องไปเรียนหนังสือหนังหาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิเพียงใด เงินทองก็หล่นมาทาบทับถึงหัว แถมคนมาส่งที่โรงเรียนก็ดันเป็นเจ้าตี๋ที่เสนอหน้ามาส่งถึงถิ่นฐานตั้งแต่เช้าตรู่

ขยันมารับมาส่งเหลือเกินนะ เดี๋ยวก่อนเถอะ หักลบคะแนนแม่งเลยหนิ ตื่นสายหน่อยก็ไม่ได้

“งั้นต่อไปนี้น้องเณรเป็นหัวหน้าห้องนะคะ ทุกคนตบมือให้หัวหน้าห้องด้วยค่ะ”

แปะๆ เสียงตบมือดังสนั่นในชั้นเรียนประถมหนึ่ง ข้าที่เอามือตีกับกลางฝ่ามือก็กลอกตาขึ้นอย่างเบื่อหน่าย การเรียนการสอนก็ไม่ได้มีไรมากแค่บวกลบก็เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นก็เป็นวิชาภาษาไทยเจ้าบทเจ้ากลอน วิชาพละปล่อยเด็กวิ่งเล่นออกกำลังกาย และแนะแนว รวมไปถึงการบ้านในแต่ละวิชา แต่ข้าก็ทำมันเสร็จรวดเดียวในชั้นเรียนและยื่นให้คุณครูในแต่ละวิชา

เด็กหัวสมองดี เกรดอันดับหนึ่งคงตกไปไหนไม่รอดจาก ‘เด็กชายอินไอ สง่างาม’

โฮะๆ พูดแล้วอยากเอามือป้องปากหัวเราะขัน นอกเหนือจากรูปร่างหน้าตาดี รวยและขยันตั้งอกตั้งใจเรียน ก็คงมีข้อดีอีกข้อก็คือมีผัวที่ไม่ได้ยืนอยู่ผืนแผ่นดิน แต่อาศัยอยู่ใต้แม่น้ำบาดาลกับสรรพสัตว์ทั้งหลาย โดยข้าเป็นแอเรียลเด็กน้อยแสนสวยที่เห็นผู้ชายหน่อยก็อยากมีต้นขาผุดผาด จนได้เจ้าชายหล่อเหลาเอาการมาเป็นว่าที่สวามี แรดตั้งแต่วัยเด็กไม่พ้นวัยกำหนัด

ก็แค่เปรียบเปรยน่ะ เพราะว่าสวยมากก็เลยได้ผัวดีเด่น

และตอนนี้ก็ถึงเวลาพักเที่ยงแล้วด้วย ส่วนตัวเองก็มาเดินต้วมเตี้ยมควักเงินจากกระเป๋ากางเกง หยิบแบงค์ร้อยยื่นให้แม่ค้า

“เอาแกงเขียวหวานกับไข่ต้มฮะ” ข้าบอก จากนั้นก็รอแม่ค้าตักข้าวใส่จาน หลังจากนั้นก็รับเงินทอนมาแต่ข้าก็ยืนนิ่งงันเพื่อนับเงิน “ไม่ครบ” ข้าบอกแม่ค้าก่อนจะยื่นให้ดูเป็นหลักฐาน

ขาดไปยี่สิบบาท ขยันโกงเด็กเหรอ เดี๋ยวจะฟ้องฝ่ายปกครองเลยคอยดู !!

“อุ้ย โทษทีนะจ๊ะสงสัยป้าจะตาเบลอ”

“เบลอก็ไปนอน” ข้าตอบกลับเสียงใสแจ๋ว หลังจากนั้นก็หยิบเงินที่ทอนมาจนครบ มิวายจิกตามองอีกฝ่ายอย่างวาวโรจน์ ก่อนจะเดินออกจากแถวพร้อมกับถาดข้าวที่ถืออยู่ในมือเล็กๆ ย่างเท้ามานั่งโต๊ะมุมหนึ่งที่มีเด็กตัวขาวนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ ข้าที่ยืนค้ำหัวต่อหน้าอีกฝ่ายก็วางถาดลงตรงหน้า ชั่วอึดใจก็แทรกกายเข้าไปนั่ง หรี่ตามองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ในห้องเดียวกัน

ข้าจดจำได้แม่นนะ เรื่องจำคนนี่ยกให้เป็นที่หนึ่งเลย แถมเด็กคนนี้ก็มีท่าทางตุ๊งติ๊งด้วย อีกฝ่ายช้อนตามองข้าที่มองอย่างหยิ่งผยอง จากนั้นเจ้าตัวก็หลุบสายตาลงต่ำอย่างเกรงกลัว

“เป็นเหรอ ?” ข้าถามก่อนจะหยิบช้อนส้อมมาถืออยู่ในมือ จิ้มที่ไข่ต้มและแบ่งเป็นครึ่งๆ

“ฮะ ?” อีกฝ่ายร้องเสียงหลงอย่างแปลกใจ

ข้าพินิจอีกฝ่าย สำรวจโครงหน้าหวานที่โตขึ้นไปคงจะดูดีไร้ที่ติ เลยพูดหยอกล้ออีกฝ่าย “อยากเป็นผู้หญิงเหรอ ?”

“...” ไร้การตอบกลับ

ข้าที่จ้องตาอีกฝ่ายที่ไม่กล้าสบสายตาเลยพอจะเดาออก เพียงไม่ช้าก็พลิกลิ้นเปลี่ยนเรื่องชวนคุย

“เราชื่อไอนะ เธอล่ะชื่อไร ?” ข้าพูดกับอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการ หนำซ้ำยังให้เกียรติคนตรงหน้าด้วย

“ตะ ตังค์” เด็กตัวน้อยเอ่ยปากเสียงสั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ พวงแก้มก็แดงระเรื่อ

ข้าทำตาโต เอามือมากุมอกแน่น พลางบิดตัวไปด้านข้างเหมือนหวาดระแวง ปริปากบอกเด็กน้อยตรงหน้า “อะไรกัน เพิ่งเจอกันครั้งเดียวก็ขอตังค์ละ มารยาท”

“มะ ไม่ใช่ เราหมายถึงเราชื่อตังค์” อีกคนรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาโบกไปมา

“อ๋อ ตกใจหมด” ข้าว่าพลางถอดถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยปากชักชวนอีกฝ่ายให้ไปซื้อน้ำเป็นเพื่อน “งั้นเราเป็นเพื่อนกันนะ แต่ตอนนี้ตังค์ไปซื้อน้ำเป็นเพื่อนไอหน่อยสิ” พูดจบก็ลุกขึ้นทันที ไม่รออีกฝ่ายตอบคำถาม พร้อมพยักพเยิดเป็นการส่งซิกว่าให้รีบลุกไวๆ

“อะ โอเค” ตังค์รีบลุกจากเก้าอี้ตัวยาว แล้วรีบวิ่งตามไล่หลังข้าที่ไม่รีรอเลยแม้แต่นิด จนกระทั่งเรามาหยุดที่ร้านขายน้ำ ข้าก็หันไปมองตังค์ “เอาอะไร เราเลี้ยงน้ำให้”

“ดะ ได้ไง เรามีเงินนะ ไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่ต้องห่วง ไอรวยมาก เลือกน้ำเถอะ” ข้าพูดพร้อมกับหยิบแบงค์ร้อยสองสามใบมาให้ดู เป็นตังค์ที่เจ้าตี๋ให้มาทั้งนั้น

ตังค์เมื่อเห็นดังนั้นก็ยอมทำตัวว่าง่าย ก่อนจะตะโกนบอกแม่ค้าด้วยน้ำเสียงเล็กๆ ชวนน่าฟัง ส่วนข้าก็เลือกน้ำเขียว ระหว่างรอก็มีรุ่นพี่ชั้นประถมศึกษาปีที่ห้าเดินมาทางพวกเรา

“นี่ไงน้องไอ น่ารักมากเลยเนอะ” ผู้หญิงที่หน้าตาหมวยๆ เอ่ยบอก

“รู้จักไอด้วยเหรอ ?” ข้าถาม

“รู้จักสิ เราน่ารักที่สุดในชั้นเลย พี่เคยเล่นกับหนูบ่อยๆ จำไม่ได้เหรอคะ ที่ให้ขนมน่ะ” อีกฝ่ายกล่าว

ข้ากลอกตานึกคิด พยายามหวนนึกถึงใบหน้าของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องส่ายหน้าตอบปัดไปว่า “จำไม่ได้อะ ขอโทษนะครับ” ทุกวันนี้ก็มีคนเข้าหาข้าตลอดเวลา รุ่นพี่ก็ต่างเอ็นดูกันหมด ข้าไม่มีเวลาจดจำตัวประกอบทั่วไปหรอกนะ

“ฮ่าๆ ไม่เป็นไรจ้ะ” อีกฝ่ายหัวเราะขำ ท่าทางดูเอ็นดูข้าเสียเต็มประดา แตกต่างจากผู้หญิงอีกคนที่ย่อเข่ามาจ้องหน้าข้า ก่อนจะระบายยิ้มชี้นิ้วมาที่ตนเอง

“พี่สวยไหม ?”

“...” ข้าเงียบ สำรวจใบหน้าอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า

กล้าดียังไงมาถามว่าสวยไหม โอ้โห หลงตัวเองสิ้นดี ที่แท้ก็อยากให้เด็กชมว่างั้นเถอะ

จำได้ว่ายัยคนนี้เคยมีเรื่องตบตีกับชั้นอื่นๆ นะถ้าจำไม่ผิด

“ไม่” ข้าตอบ “เหมือนหมา” ก่อนจะยู่ปากมองอีกฝ่ายอย่างรังเกียจ จนคนตรงหน้าเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ ขยับริมฝีปากจะด่าคำบางคำ แต่ข้าที่ปากไวกว่าก็รีบแทรกกลางคัน “อืม แต่มองดีๆ ก็เหมือนคนรับใช้ที่บ้านนะ”

“อีเด็กเปรต”

“คุณครูคร๊าบ ! ~” ข้ารีบตะโกนเรียกอาจารย์คนหนึ่งที่กำลังเดินสวนผ่านทันที พร้อมปั้นหน้ายิ้มสดใสเหมือนเด็กอ่อนต่อโลก จนกระทั่งคุณครูย่อเข่าแล้วเอ่ยปากร้องทัก

“หืม ว่าไงคะ ?”

“อีเด็กเปรต ! แปลว่าไรเหรอฮะ ?” ข้าย้ำประโยคแรกเสียงดังฟังชัด ตามท้ายด้วยประโยคหลังน้ำเสียงอ่อน เล่นเอาใครบางคนหน้าซีดเผือด ไม่แม้กระทั่งคุณครูเอง

“ไปฟังมาจากไหนมาคะ ?”

“พี่คนนี้ฮะ” ข้ารีบชี้นิ้วไปที่ผู้หญิงข้างกายคุณครูทันที จนครูต้องหันไปมองด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะจับแขนอีกฝ่ายพร้อมกับบอกในสิ่งที่ข้าต้องลอบคลี่ยิ้มดีใจ

“ไปคุยที่ห้องฝ่ายปกครองด้วยจ้ะ”

ข้าก้าวเท้าไปหาคุณครู ขยับชายเสื้อและมองตาแป๋ว

ประเดี๋ยวสิ “สรุปอีเด็กเปรตแปลว่าไรเหรอฮะ ?” ยังมิวายถามซ้ำอีกหน จนคุณครูที่ยิ้มเจื่อนต้องอธิบายว่า

“มันเป็นคำไม่สุภาพจ้ะ อย่าเอาไปใช้นะคะ”

“อ๋อออ” ข้าลากเสียงยาวพยักหน้าทำความเข้าใจ ก่อนจะยกมือโบกมือลาคุณครู “งั้นผมกับเพื่อนไปทานข้าวก่อนนะฮะ ขอบคุณมากเลยฮะ” พร้อมกับก้มหัวให้อย่างมีสัมมาคารวะ

ตังค์ที่แอบอยู่ด้านหลังได้แต่ทำตัวลีบเข้าไว้ กระทั่งข้าจูงมืออีกฝ่ายกลับไปนั่งทานข้าวต่อ

“ไอไม่กลัวรุ่นพี่มาแกล้งเหรอ ?” ตังค์ที่นั่งจิ้มข้าวเล่นอยู่นานเอ่ยปากถามอย่างหวาดระแวง

ข้ายักไหล่ไม่สะทกสะท้าน ระบายยิ้มกว้างนึกสนุก “ก็ลองมาแกล้งดูสิ” จะเอาให้หน้าหงายเลยคอยดู

เวลาผ่านไปพักใหญ่ๆ หลังจากที่นั่งทานข้าวและคุยเล่นกันเพลิน การได้รู้จักกับตังค์ก็ดีอยู่อย่าง ข้าจะได้มีข้ารับใช้เพิ่มคอยเดินต้วมเตี้ยมตามท้าย

 เอ๊ะ ? อย่ามาครหาข้าว่านิสัยไม่ดีสิ นี่ถือว่าข้าให้เกียรติอีกฝ่ายมากเลยนะที่ยอมคบค้าสมาคม ไหนจะเรียกตังค์ว่าเธอเหมือนผู้หญิงตัวเล็กๆ อีก ทั้งยังมีเจตนาจะปอปั้นเด็กคนนี้ให้สวยสง่า เพียงแต่ตอนนี้ให้เป็นขี้ข้าคอยรับใช้ไปก่อนก็แล้วกัน

“ตังค์เก็บสมุดให้เราหน่อย” ข้าบอก

“อื้อ” อีกฝ่ายยอมทำตามแต่โดยดี แถมที่นั่งเราก็แลกกับเพื่อนในชั้นเพื่อมาอยู่ข้างกัน

“ตังค์ไปห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อย” ข้าร้องทักในวิชาคาบถัดมา

“อ่าเช” ตังค์ยิ้มแก้มปริ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือข้าที่แบรอรับไว้ตั้งแต่แรก

ข้ายกมืออีกข้างขึ้นสูงเพื่อกล่าวกับคุณครู “ครูฮะ พวกเราขอไปห้องน้ำฮะ”

“อ๋อ ได้เลยจ้ะนักเรียน” คุณครูแย้มยิ้มเป็นมิตร ข้าเห็นแล้วลิงโลดจูงมือตังค์ตามไปด้วย พอมาถึงก็ให้ตังค์เข้าห้องน้ำก่อน แถมสุขาชายยังมีโถฉี่อีกต่างหาก ข้าเห็นรุ่นพี่ประถมหกยืนเยี่ยวอยู่ ตัวข้าเองก็เดินไปฉี่บ้าง พลางรูดซิปอย่างอิดออด

“โอ๊ะ ยืนฉี่เป็นด้วยเหรอ ?” เสียงจากเด็กผู้ชายแย้มยิ้มหันมามองข้า

“ไม่ได้เป็นง่อยนะฮะ” ข้าบอก

“ง่อยแปลว่าไร” รุ่นพี่ประถมศึกษาปีที่หกซึ่งไม่รู้ความหมายที่ว่ากลับทำหน้าฉงนสงสัย

ข้ายิ้มแก้มบานให้อีกฝ่าย ทำธุระเสร็จก็ค่อยๆ รูดซิปกางเกงขึ้น “พี่ลองบอกว่าครูเป็นง่อยดูสิฮะ” จากนั้นข้าก็เหลียวกายหันหลังเดินมารอตังค์ที่เพิ่งออกจากห้องน้ำ จูงมือกันไปล้างน้ำฟอกสบู่ให้สะอาดหมดจด

โรงเรียนนี้ก็ถือว่ามีชื่อเสียง สุขอนามัยก็ดีไปหมด ข้าที่ตั้งใจเรียนเห็นตังค์ทำการบ้านไม่เป็นก็อดไม่ได้ที่จะช่วยเหลือ หวังให้เด็กน้อยโตไปฉลาดเฉลียว

“ไอเก่งจัง” ตังค์ชมเปาะ

“ไอรู้ดี” ข้าพยักหน้ารับ โชว์นิ้วให้ตังค์ดูและนับเลขว่าสิบหกบวกสี่เป็นเท่าไร

กว่าจะจบคาบแต่ละชั่วโมงก็ดูเหมือนจะนาน แต่ส่วนใหญ่คุณครูก็ค่อยๆ สอนเด็กๆ อย่างใจเย็น เรียนจนจบถึงสามโมงครึ่งก็มีเสียงออดเตรียมตัวกลับบ้าน เด็กนักเรียนทุกคนต่างทยอยเก็บกระเป๋าดินสอและสมุดการบ้านใส่กระเป๋า แต่ทว่าข้ากับตังค์นั้นกลับทำมันจนเสร็จ ฉะนั้นเลยไม่ต้องแบกสมุดเพิ่มให้เหนื่อยอีก ต่อมาเราก็ลงมารอที่โรงอาหาร โดยมีคุณครูคอยดูแลอยู่ตลอดเวลา

“ไอมีพ่อแม่มารับเหรอ ?” ตังค์ส่งเสียงไม่เป็นคำอย่างน่าเอ็นดู ทำข้าเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มเบาๆ

“ไอมีคนรับใช้มารับ” ข้ากล่าวเสียงสดใส

“คนรับใช้ ?” ตังค์เอียงคออย่างงงงวย ท่าทางน่ามันเขี้ยวสิ้นดี

ดูเหมือนจะไม่เข้าใจความหมาย ข้าเลยอธิบายเพิ่มเติม “ขี้ข้าน่ะ”

“ไอ” เสียงที่คุ้นเคยดังมาแต่ไกล แถมยังหน้าตาเบิกบานมายืนค้ำหัว

ข้ารีบดีดตัวลุกออกจากที่นั่ง หันไปโบกมือบ๊ายบายตังค์ ก่อนจะถูกอุ้มให้นั่งเกยอยู่บนเรียวแขนแกร่ง

“ขี้ข้าไอมาแล้ว บ๊ายบายน๊า เจอกันพรุ่งนี้นะตังค์” ข้าฉีกยิ้มกว้าง ทำปากจู๋และส่งจุ๊บให้เพื่อนคนใหม่

“...” ตี๋นิ่งเงียบกับสิ่งที่ได้ยิน จนข้าต้องเอามือลูบปลายคางอีกฝ่ายให้ตั้งสติ

“เร็วสิอีขี้ข้า”

“ปากร้ายนะไอ เดี๋ยวเถอะ” อีกคนดุ

“คิกๆ” ข้าเอามือมาปกปิดริมฝีปากหัวเราะชอบอกชอบใจ ไม่ต้องเสียแรงในการเดิน แค่ยกมือไหว้คุณครูและขึ้นรถเตรียมเดินทางกลับ เจ้าตี๋ที่สวมเข็มขัดนิรภัยให้ข้าก็เอ่ยออกมาว่า

“วันนี้ไปกินไอศกรีมไหม ?”

“ไปๆ” ข้ารีบขานรับในทันที พลางผงกหัวรับอย่างรุนแรง เจ้าตี๋เห็นแล้วคงนึกเอ็นดูจึงอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มข้าดังฟอดใหญ่

“กูจะแจ้งตำรวจ” ข้าชี้นิ้วคาดโทษ

“ไอ คำหยาบ” เป็นครั้งที่สองของวันนี้ที่เจ้าตี๋ต้องคอยปรามข้าที่พูดจาไม่สุภาพ

“ก็ตี๋หอมแก้มไอทำไมอะ ไอเป็นเด็กนะ จะมาล่วงละเมิดแบบนี้ได้ยังไง” ข้ากอดตัวเองอย่างหวงแหน สะบัดสะบิ้งไปมา “ไอก็เป็นเด็กตัวแค่นี้ ไอยังมีพ่อมีแม่นะ อีกอย่างไอไม่อยากได้แฟนคิดอกุศลกับเด็กหรอกนะ จิตวิปริตมักมากสนับสนุนแนวเปโด โทษถึงขั้นประหารได้เลยนะตี๋ สังคมจะประณามหยามเหยียดตี๋แน่ๆ” ข้ามองตาแป๋ว เอานิ้วชี้จิ้มริมฝีปากที่พึมพำไม่หยุด พานพยักหัวไปมากับคำที่ว่า “ประหารเจ็ดชั่วโคตรก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย”

“ตี๋เคยคิดแบบนั้นทีไหนล่ะ” อีกฝ่ายท้วงกลับ

อ๋อ เดี๋ยวนี้มึงกล้าเถียงว่าที่ภรรยาเหรออีตี๋ ได้สิ ได้

“ไม่เกินสิบห้าสิบหกตี๋ก็ต้องพรากผู้เยาว์ไอแน่ๆ เพราะตอนนั้นไอก็คงเป็นเด็กหน้าตาดีมีคนจีบไม่น้อยหน้า” ข้ายังคงส่งเสียวเจี้ยวจ้าวในรถไม่หยุดปาก จนตี๋ต้องดีดนิ้วมาที่หน้าผากของข้าเบาๆ

“เจ็บนะ !” ข้าร้องโวยวาย

“เรานั่นแหละทำไมทำตัวแก่แดดแบบนี้” อีกฝ่ายขมวดคิ้วมุ่น “อายุแค่นี้พูดเรื่องลามกซะละ”

“นับรวมกับอายุในอดีตก็ยี่สิบกว่าๆ แล้วปะ” ข้าเถียงคำไม่ตกฟาก

“แต่ปัจจุบันก็ไม่สมควรไหมครับ” ตี๋เอ็ดใหญ่จนข้านั่งง่อย พานกอดอกทำท่าปั้นปึ่งหันหน้าหนีไม่ยอมพูดด้วย

“ตัวเล็ก อย่าเงียบสิ ดีกัน” ตี๋ออดอ้อนขอคืนดีในนาทีถัดมา ต่างจากข้าที่นิ่งเงียบไม่ยอมพูดด้วย

“ตัวเล็กคร๊าบ ตอบตี๋หน่อยสิ”

“...” ไม่ ไปคุยกับแมวมึงสิ

“ตัวเล็กไม่งอนสิครับ นี่ง้อแล้วนะ”

“ก็ไม่เคยร้องขอ” ครั้งนี้ข้ายอมปริปาก

“ไม่เอาไม่โกรธสิ ก็ตัวเล็กอะทำผิดนี่นา พูดจาไม่สุภาพด้วย ถ้ายอมงดคำหยาบเพื่อตี๋ทำได้ไหม” ตี๋ส่งเสียงกระเง้ากระงอด

“ไม่ ปกติข้าก็สุภาพอยู่แล้ว” ข้าตอบปัดอย่างไม่ไยดี

“แล้วกับตี๋ล่ะ” เจ้าตี๋ถามกลับ

ข้าหันมามองหน้าคนขับทันใด ถลึงตาพลางเบะปากเป็นสระอิก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “นั่นคือข้อยกเว้น”

กว่าจะถึงห้าง ข้าก็เดินต้วมเตี้ยมนำหน้าร่างสูงเสียแล้ว ขณะที่อีกคนก็วิ่งตามไล่หลังเหมือนพี่เลี้ยงเด็ก สาวน้อยสาวใหญ่มองตากันเป็นมัน ข้าสำรวจมองรอบตัวพลันชะงักฝีเท้าตรงหน้าบันไดลิฟต์ เมื่อตี๋มาถึงก็รีบอุ้มขาพาดลำแขนแกร่ง ข้าจึงได้ใจเชิดหน้าขึ้นสูงอย่างมีจริตจะก้าน ผนวกยิ้มร้ายให้พวกผู้หญิงที่จับจ้องคนหล่อ

พวกหล่อนทำได้แค่มอง ไม่มีทางได้ครอบครองหรอกย่ะ !

“แบร่” แลบลิ้นให้ด้วย พอเห็นพวกนั้นชักสีหน้าไม่ชอบใจข้าก็สนุกเข้าไปใหญ่ เบะปากและไหวไหล่อย่างขบขัน

“เป็นไรเหรอตัวเล็ก”

“เป็นเมีย” ข้าตอบคำถาม

“เดี๋ยวเถอะ อยู่ในที่สาธารณะนะ อย่าพูดแบบนี้” ตี๋ดุตลอด ทำเอาข้าเบะปากงอแง

มีผัวเหมือนมีหมา กัดเก่งตลอด

ยามนี้ข้าได้แต่เขย่งฝีเท้าหวังจะโชกหน้าดูตรงเคาท์เตอร์  พยายามดึงชายเสื้อคนตัวโตก็แล้ว แต่ก็กลับไม่คิดจะใส่ใจข้า มัวแต่คุยกับผู้หญิงพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้าเด็กเข้าฟรีค่ะ” พนักงานสาวเอ่ยปาก

ข้ากอดอกอย่างภาคภูมิ “มันก็แหงอยู่แล้ว” ส่วนสูงข้าแค่นี้เอง จะเข้าไปดูหนังไม่เสียเงินก็ไม่แปลก

“ต้องรออีกครึ่งชั่วโมง ตัวเล็กอยากไปหาไรทานก่อนไหม” ตี๋ถาม ผินสายตาลงต่ำมามองข้าที่เดินดุ๊กดิ๊กขนาบข้างกาย

“อยากร้องคาราโอเกะ” ข้าช้อนตามองชายหนุ่ม พลันคลี่ยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวๆ

และในที่สุดข้าก็ได้ทำสมใจอยาก ! เจ้าตี๋พาข้ามาที่โซนของเล่นเด็ก มีทั้งตู้คาราโอเกะให้ร้องเพลง ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยสากลหรือเกาหลี แต่แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าเลือกคงไม่พ้น…

“ออตอน ซอลเรมโด ออตอ เนมิโด oh oh oh” ร้องไปก็เต้นไปด้วย สายตาก็จ้องมองไปที่ตี๋ที่คอยตบมือแปะๆ ให้ตลอดเวลา “เนเกน มีฮันฮาจีมัน , I’m not sorry oh oh oh” ผลักมือไปด้านหน้า “โอนีลบูทอ นัน นัน นัน”

เพลงมาค่ะแม่ !! เอามือแตะไหล่เร็วววว “บีซี นานึน ซลโร” เลิศค๊า “ดือ ดึ้ดๆ ดือ ดือ ดึ้ดๆ ดือ” นิ้วชี้แตะหน้าผาก สะบัดไปข้างหน้าค่ะ สองครั้ง ต่อด้วยท่าปัดแมลงวันไปทางซ้ายและขวา

“สุดยอดดดด เก่งมากเลยไอ”

“คัมซาฮัมนีดา” ก้มหัวเป็นการขอบคุณรอบทิศทาง โดยเฉพาะทางประตูที่เปิดแง้มไว้อย่างมีเจตนา

คนอย่างข้านั้นมันแผนสูง จะให้มาร้องเพลงให้ผู้ชายคนเดียวฟังมันก็ธรรมดาจนเกินไป ความสามารถแบบนี้ต้องทำให้ประชาชนได้รับรู้ !

เอาเลย ถ่ายข้าอีก อัดวิดีโอแล้วใช่ไหม ? ดีมาก แบบนั้นแหละ แชร์กันเข้าไปเยอะๆ เอาให้ต้นสังกัดวายจีเลือกข้าเข้าไปเดบิวต์ด้วยเลยก็ยิ่งดี จากนั้นข้าจะหาแฟนใหม่ สลัดอีตี๋ทิ้งเหมือนกับเศษขยะ

ข้าล้อเล่นน่ะ แหะๆ

ร้องจนหนำใจก็ถึงเวลาหนังเข้าฉาย ข้าก็มานั่งสงบเสงี่ยมเหมือนเด็กได้รับการอบรมสั่งสอน พอเพลงขึ้นข้าก็นั่งนิ่งค้างอยู่อย่างงั้น พอเจ้าตี๋จะจับลุกก็ดิ้นใหญ่ เอาแต่ใจเสียจนอีกฝ่ายต้องถอนหายใจ

ดูไปมาก็ชักจะงัวเงีย สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปจนได้ ตื่นมาอีกทีก็ตอนที่เจ้าตี๋มาสะกิด เราสองคนเดินออกมาจากโรงภาพยนตร์ โดยคนหนึ่งยิ้มมีความสุข ขณะที่อีกคนก็งัวเงียเดินตัวเซ

“อยากไปไหนต่อไหม ?”

พอได้ยินคำนั้นข้าก็รีบเบิกตาโตทันที กระพริบตาสองสามครั้งเพื่อตั้งสติ ตบแก้มเบาๆ และหันไปเงยหน้ามองว่าที่สามีในอนาคต “อยากได้เครื่องเกมล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่ายอะ” ข้ายิ้มกว้าง เริ่มดี๊ด๊าและเข้าไปเขย่าขาอีกคนอย่างออดอ้อน

“น๊าตี๋น๊า ไออยากได้มั่กๆ เยย ไอสัญญาว่าจะเป็นเด็กดี โตไปไอก็จะตั้งใจเป็นแม่ศรีเรือน ปรนนิบัติตี๋ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ มีลูกสักสิบคนก็ยังได้” กล่าวจบข้าก็หยีฟันขาว ตาวาวเป็นประกาย ทำเอาตี๋คิ้วกระตุก

“เลิกพูดแบบนี้ได้ไหมไอ เดี๋ยวตี๋โดนตำรวจจับพอดี” ตี๋เตือน

ข้าทำปากหมุบหมิบ เปลี่ยนท่าทางเป็นบิดตัวไปมา มือกำกางเกงนักเรียนโดยพลัน “มันมีอะไรน่ากลัว หากจิตใจคนเรานั้นหยาบช้า”

“...”

“ตี๋ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ต่อให้ตี๋ไม่ได้รับการลงโทษทางกฎหมาย แต่ถ้าตี๋ตายไปเดี๋ยวก็โดนยมบาลจับโยนลงกะทะทองแดง” ข้าอมยิ้มมองตาแป๋ว ค่อยๆ ยื่นมือไปสัมผัสที่เรียวขาของคนตรงหน้า พอฝ่ามือแตะต้องกางเกงเท่านั้นแหละ “โอ๊ย ร้อน”ข้า รีบสะบิดมือเป็นพัลวัน

“สงสัยน้ำในนรกจะเดือดจัด” หันมาหรี่ตามองอีกคนด้วยน้ำตาคลอเบ้า

เจ้าตี๋ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่ริมฝีปากนั้นแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวก่อนเถอะ”

“ทำไม จะแล้วไหม !?” ข้าเท้าสะเอวทันควัน “ก็ถามว่าจะแล้วไหม !?” จะยอมซื้อดีๆ หรือจะอยากเสียน้ำตา

“พูดแล้วนะว่าจะเป็นเด็กดี”

ออฟไลน์ lookpatty15407

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 74
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-1
“คนอะไรมีแฟนน่ารักที่สุด ~” ข้าโยกตัวไปทางซ้านและขวา เขย่งเท้าหดตัวขึ้นลงไปพลาง “ไอเองๆ ~”

“คนอะไรโง่เง่าที่สุด” ข้าหมุนตัวติ้วๆ มีความสุขเหลือหลาย ก่อนจะหยุดชะงักและชี้นิ้ว พลันโยกตัวไปที่คนตรงหน้า “ตี๋ไงๆ ~”

“แล้วคนไหนเอ่ยบอกว่าจะเป็นเด็กดี ~” เจ้าตี้ร้องเพลงบ้าง ยิ้มตาหยีส่งมาให้ข้า

แต่ข้ากลับหยุดนิ่ง ตาปรือมองอย่างเย็นชา รวมไปถึงน้ำเสียงเหมือนสูญเสียพลังงาน “ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ่าว ไหงงั้น” ตี๋ลืมตามองด้วยสีหน้าดุๆ

“ไอไม่ได้บอกสักหน่อยว่าจะเป็นเด็กดีทุกวัน ไอยอมทำแค่วันนี้วันเดียว” ข้ายักไหล เอาเปรียบคนที่ซื้อเครื่องเกมให้เป็นที่เรียบร้อย จนเจ้าตัวหันหลังเดินไปที่ร้านเท่านั้นแหละ ข้าก็รีบเบรกทันที “ตี๋อะ ไอก็ข้าล้อเล่นเองงงง” รีบวิ่งต๊อกแต๊กมาขวางหน้าคนรักอย่างไว

แหม แหย่นิดแหย่หน่อยไม่ได้เลยนะ ผู้ชายอะไรขี้งอนชะมัด

“ถ้าเล่นลิ้นกับตี๋แล้วละก็...โดนดีแน่” ตี๋ทำหน้าตาขึงขัง เม้มปากแน่นดูกึ่งเล่นกึ่งจริงจัง

“เล่นลิ้นแบบไหนอะ จูบน่ะเหรอ ว้ายคนลามก ฮึก” ข้ารีบถอยออกห่าง มองเหยียดอีกฝ่ายเหมือนสิ่งปฎิกูล ทำเอาตี๋หลุดหัวเราะ ย่างกรายเข้ามาใกล้และเอามือแตะลงที่หลังกระหม่อมเบาๆ

เราสองคนเดินมาที่สุขา เพราะตี๋อยากจะทำธุระส่วนตัวซะก่อน ส่วนข้าก็ยืนรออยู่หน้าห้องน้ำ คอยดูถุงข้าวของที่วางไว้กับพื้น

กลับบ้านไปก็จะได้เล่นเกมหนำใจแล้ว มีแต่เกมสนุกๆ ทั้งนั้นเลย แต่ก็ต้องแลกกับเชื่อฟังคำสั่งสอนของตี๋อีก หากเป็นเด็กดีจะร้องขออยากได้อะไร อีกฝ่ายก็พร้อมจะประเคนมาให้

“เฮ้อ” ถอนหายใจด้วยความเศร้าสร้อย เอ่ยประโยคหลังถัดมาลอยๆ ระหว่างเงยหน้าขึ้นมองเพดาน “ไม่น่าเกิดมาหน้าตาดีเลยเรา”

คิดแล้วก็รู้สึกท้อ เศร้าใจที่หน้าตาดีกว่าชาวบ้านเขา ก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเศษเหรียญแล้วเดินไปที่เครื่องชั่งน้ำหนัก ยื่นแขนขึ้นและหยอดเหรียญลงไป สายตาก็คอยเหลียวมองไปที่ข้าวของด้วย จนเห็นตี๋ออกมาเลยโบกมือเรียกว่าอยู่ตรงนี้

อีกคนยิ้มรับและผินสายตาไปที่ข้าวของ ก้มลงหยิบก็เดินมาหาข้า

“ตัวหนักขึ้นนะเนี่ย” ตี๋มองตัวเลขก็หันมาพูดจาหยอกล้อ

“นั่นปากเหรอ ?” ข้าถาม

“จะจูบเหรอ” อีกฝ่ายกวนกลับ

“เปล่า ไอจะได้ซื้อตะกร้อมาครอบปาก”

“...”


“น้องไอ กรี๊ดๆ ไม่คิดว่าวันนี้จะมา พี่คิดถึงเราจังเลย” เด็กที่ชื่อทับทิมตอนนี้โตเป็นสาวแล้ว ขึ้นชั้นมัธยมหน้าตาก็สะสวย พอเห็นข้าเข้ามาในบ้านก็รีบโผเข้ากอดอย่างไว

โอ๊ยให้ตายเถอะ กอดแน่นไปไหมยัยคนนี้ “พะ พี่ทับทิมไอหายใจไม่ออก แอ๊ก !” เหมือนจะได้ยินเสียงกระดูกหักดังกร็อบ

“โทษทีๆ แง วันนี้ไอน่ารักเหมือนเคยเลย” กล่าวแล้วก็ยังบีบแก้มทั้งสองข้างอีก

“วันนี้เป็นไงบ้างจ๊ะ พี่ตี๋พาเราไปไหนเอ่ย”

“อ๊ะ คุณแม่” ข้ายิ้มอย่างมีความสุข รีบผละจากอ้อมกอดของหนูทับทิมเพื่อไปกอดแม่ของเจ้าตี๋แทน

ฮือ คุณแม่ยังสวยเช่นเคย สวยเหมือนข้าไม่มีผิด

“ทีกับแม่พี่อ้อนใหญ่เลยนะ” ตี๋ทำน้ำเสียงเง้างอน ข้าเลยต้องหันไปทำแก้มป่องใส่

เวลาอยู่กับครอบครัวอีกฝ่าย ทั้งข้าและตี๋มักจะแสดงท่าทีความสัมพันธ์ต่างกันไป ให้ความรู้สึกเหมือนพี่น้องที่เอ็นดูกันมากกว่า แม้ความจริงเราทั้งคู่จะรักกันในเชิงชู้สาว แต่เรื่องนี้ก็เป็นความลับที่ไม่ควรผลีผลาม หากขืนบอกให้พ่อแม่ตี๋ได้รับรู้ อีกฝ่ายคงโดนตำหนิแหงๆ กว่าจะได้คบกันอย่างเปิดเผยก็ตอนที่ข้าอายุสิบแปดปีบริบูรณ์ เป็นความลับที่ต้องหลบซ่อนกันไปก่อน ทั้งครอบครัวข้าและเจ้าตี๋ก็เลยเห็นพ้องต้องกัน รอคอยเวลาที่เหมาะสม และอยู่ในครรลองของผู้หลักผู้ใหญ่

มันก็แอบมีบ้าง แต่แค่จุ๊บกันปกติ ไม่เคยทำอะไรเกินงามสักนิด

ตอนนี้อยู่ในช่วงหน้าตาน่ารักสมควรแก่การทะนุถนอมและการปกปักรักษา จะมาแตะต้องข้าสร้างความโสมมก็ดูไม่คู่ควรกับใบหน้าที่พริ้มเพราเช่นนี้

ชีวิตข้าก็ไม่มีอะไรมากหลังจากได้เป็นมนุษย์ ประกาศแรกคือได้ไปคอนเสิร์ตแบล็กพิ้งก์ ประการที่สองมีผัวหล่อและรวย อ๋อแต่ลืมไปว่ามีอยู่แล้ว งั้นไม่นับละกันเนอะ ประการที่สามได้เป็นนักร้องหรือไม่ก็ผันตัวไปเป็นนักแสดงไปเลย แต่จะเป็นก็ได้ไม่เป็นก็ได้ สี่หรือห้าแล้วแต่อารมณ์ เพราะเดี๋ยวอยากได้ไรก็แค่เอ่ยปากบอกก็ได้ในสิ่งที่ต้องการ

อิจฉาเหรอ ?

โทษนะ ก็พวกหล่อนไม่สวยพอ

“รู้ไหมว่าวันก่อนพี่เห็นพี่ตี๋คุยกับผู้หญิงด้วยนะ”

ชะงัก “ใครเหรอฮะ ?” ข้าเสแสร้งเผยอปากเป็นรูปตัวโอ เบิ่งตาน้อยๆ เหมือนตื่นตาตื่นใจ แต่ในใจนี่มีไฟสุมอก

มันกล้าลองดีอย่างงั้นเหรอ !!

“วันนั้นเราไปซื้อเค้กกันน่ะ แล้วก็มีพี่ผู้หญิงหุ่นเหมือนนางแบบเข้ามาขอเบอร์พี่ตี๋ ดูเหมือนจะแอบคุยๆ กันอยู่นะ”

“ว้าวดีจังเลย” ข้าตบมือแปะๆ

มึงตายแน่อีตี๋ !

“ไปกันใหญ่แล้ว พี่แอบคุยที่ไหนกัน” ตี๋หัวเราะเจื่อนๆ ใบหน้าหล่อเหลาชำเลืองมองข้าที่ยิ้มแสยะ

“หรือไม่จริง พี่คนนั้นก็ออกจะสวย เซ้าซี้จนทับทิบต้องยอมให้เบอร์แทน”

“เอ๋ ทำไมทำแบบนั้นล่ะ ?” ข้าถาม พยายามใจเย็นเข้าไว้

ทับทิมตอบกลับ “ก็วันนั้นพี่ตี๋บอกว่ามีแฟนแล้วไง ตอนแรกพี่ผู้หญิงเขาก็ถอดใจแล้วแหละ แต่พี่อยากเป็นสื่อกลางเลยบอกไปว่าพี่ตี๋โสดสนิท”

ยัยทับทิม อีนังตัวดีสร้างความร้าวฉาน !

“เมี๊ยว ~” เสียงแมวร้องออดอ้อน หนำซ้ำยังเอาหัวมาไถขาข้าอีก ข้าได้แต่ก้มมองและสะบัดเท้าไล่มันไปไกลๆ

“วันนั้นพี่ก็เอามิรินไปด้วยนะ มันมาอ้อนพี่คนนั้นใหญ่เลย ดูเหมือนจะถูกชะตากัน” ทับทิมว่า

ข้ารีบย่อตัวไปอุ้มมิรินทันที “มิรินน่ารักจะตายไป มันชอบอ้อนคนอื่นไปทั่วเลย” พลางยกขึ้นสูง บดบังใบหน้าตัวเองที่เบิกตาโตจ้องแมวตาถลน

เดี๋ยวมึงได้เป็นแมวจรแน่อีแมวทรยศ !

“ตอนไอมาที่นี่ครั้งแรก มิรินก็อ้อนไอใหญ่เลย” ข้ารื้อฟื้นเรื่องวันวานแสนสุข จับเจ้ามิรินมาโอยกอดอย่างรักใคร่ สีหน้ากลบเกลื่อนเป็นคนละคน โดยไม่มีใครทันได้เห็นสีหน้า

“ก็จริง หลังจากพี่ตี๋ช่วยไอตามหาครอบครัว เราก็เหมือนเป็นพี่น้องเดียวกันเลย มิรินก็ดูชอบไอมาก ตามติดจอแจเหมือนคุ้นเคยกันมาก่อน ส่วนพี่ตี๋ก็เอ็นดูไอผิดปกติ วันๆ เอาแต่พูดเรื่องไอคิดถึงไอ เพ้ออยู่อย่างนั้นทุกวันจนพี่คิดว่าพี่ตี๋หลงเด็กซะแล้ว เฮ้อ เพราะไอน่ารักแถมยังเป็นเด็กดีด้วยละมั้ง” ทับทิมปากหวานยื่นมือมาลูบหัวข้าพลางอมยิ้ม

“ไม่หรอกฮะพี่ทิบทิม” ข้ารู้สึกเหมือนแก้มร้อนผ่าว “ไอไม่ได้น่ารักเลยสักนิด” ประโยคหลังข้าโป้ปดจ้ะ

“ใครบอกว่าเราไม่น่ารัก บ้าแล้ว เด็กน้อยญี่ปุ่น หน้าตาก็ดี ผิวก็ขาว โตไปอีกหน่อยคงหล่อมากแน่ๆ สาวๆ คงตามจอแจ เผลอๆ มีหนุ่มหล่อเข้ามาเกาะแกะ”

“พี่ทับทิมก็พูดเกินไป” ข้าเอามือปิดปากด้วยท่าทีเอียงอาย เหล่ตามองเจ้าตี๋ที่เริ่มหน้าบึ้งเหมือนรู้เท่าทัน

คุณไม่มีสิทธิ์มาจ้องตาเราแบบนี้ คุณน่ะนอกใจเราก่อน !

“เออจริงสิ มัวแต่นอกเรื่อง วันนั้นได้ยินพี่ตี๋คุย ดูเหมือนพี่ผู้หญิงจะชวนไปเดทด้วยนะ” ยังไม่จบที่จะราดน้ำมันเข้ากองเพลิง

ทิบทิมกล่าวต่อ “เฮ้อ พี่ตี๋ก็อายุปูนนี้ละ คงถึงคราวแต่งงานมีลูกมีเมียแล้วแหละ” หญิงสาวเอียงคอนึกใคร่ครวญ

สามีเฮงซวย ! แอบไปแลกเบอร์คุยกับผู้หญิงไม่พอ นี่ยังนัดเจอกันอีก !

ข้าตาวาวโรจน์ หันหน้าไปมองคนข้างๆ ที่ยืนโด่เด่ “พี่ตี๋โชคดีจังเลยน๊า” น้ำเสียงเย็กยะเยือกยิ่งกว่าขั้วโลกเหนือ

ได้ เล่นชู้ใช่มะ

“ไอก็มีคนจีบเหมือนกันเลย” ข้ายิ้มแฉ่ง ดี๊ด๊ามีความสุข “พี่ปอห้ามาชมไอน่ารัก แถมยังให้ไอนอนหนุนตักอีก” มีที่ไหนกันล่ะ ข้าเพ้อเจ้อทั้งนั้น “เขาพาไอไปห้อน้ำด้วยนะ สอนไอยืนฉี่ แต่ไองงมากเลย ของพี่เขาใหญ่กว่าไอ” กล่าวจบก็ปั้นหน้าแย้มยิ้ม เหล่มองตี๋ที่สีหน้ายังดูยิ้มแย้ม

แม่ มันไม่ยอมทำตามเกม !

เมื่อแผนมันไม่สำเร็จ เราก็ต้องไปแผนสองแทน ข้าจึงเล็งไปที่บันไดปรากกฎว่ามีชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่งเดินลงมา

“พี่แทนไห ~” ข้ารีบปรี่ไปหาอีกฝ่าย โยนเจ้ามิรินทิ้งโดยพลัน

“แทนไท” อีกคนแก้ชื่อพลอยทำหน้าหงิดใส่ ก่อนจะอ้าแขนรอรับข้าที่โผเข้ากอด

“คิดถึงพี่แทนไทจังเลย” ข้าออดอ้อน เอาหน้าซุกกับต้นขาชายหนุ่ม เลื่อนมือขึ้นสูงไปถึงต้นขาขาว  ปลายนิ้วเล็กๆ เกือบสัมผัสส่วนกลางลำตัว

“เฮ้อ อ้อนอีกแล้ว” เจ้าคนเบื่อโลกถอนหายใจ แววตาเรียบนิ่งมองข้าที่คลี่ยิ้มกว้าง

ว้าย สามีในอนาคตหน้านิ่งอะ ดุจังเลย เค้ากลัวแย้วน๊าาา

“พี่แทนไทไม่ชอบให้อ้อนอ๋อ ไอจะเป็นภรรยาพี่ในอนาคตเลยนะ” ข้ายู่ปากกระพริบตาปริบๆ ให้ดูน่ารักใคร่ ทว่าเจ้าเด็กนี่กลับขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า มือที่ถือหนังสือติดกายมาด้วย เอาสันกระแทกหน้าผากข้าเบาๆ

“รู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา” แทนไทผินสายตาไปทางตี๋ที่เป็นลุงของตนเอง “ลุงสอนไอเหรอ ?”

“โอ๊ย คำว่าลุงพูดเบาๆ ก็เจ็บ” ว่าแล้วก็กุมใจตัวเอง ต้องการเสียดสีไปทางผัวเฮงซวย “ว่าแต่พี่แทนไทจะไปไหนเหรอ ?”

“จะไปนั่งอ่านหนังสือข้างนอก” ตอบเสียงเรียบแม้แต่หน้าตาก็ยังนิ่ง ฝ่ามือหนาพยายามแกะแขนข้าที่รัดแน่นไม่ยอมปล่อย

“ไอไปด้วยสิ ไออยากไปนั่งเล่น” อ้อนจ้ะ อ้อนมันเข้าไป ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะหาสามีใหม่

“อืม” อีกคนขานรับสั้นๆ เพียงเท่านั้นก็ทำให้ข้าเลิกเกาะแกะ วิ่งต๊อกแต๊กไล่หลังอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกจากบ้าน

“ชิ” ข้าเชิดหน้าขึ้น ส่งเสียงชิชะไม่สบอารมณ์เมื่อสวนผ่านใครบางคน

เบื่อแล้วดุ้นเก่า อยากได้ดุ้นใหม่ “พี่ดุ้น อุ้ย พี่แทนไทรอเดี๋ยว” ข้าพลั้งปาก โชคดีที่ส่งเสียงเบา เพราะมัวแต่คิดเรื่องอัปมงคลเลยเผลอไผล ยามออกมาด้านนอกสำเร็จก็มานั่งอยู่ตรงศาลาสีขาว มีดอกไม้นานาพันธ์ส่งกลิ่นหอมหวานให้หายใจสดชื่น บรรยากาศก็ร่มเย็น เหมาะแก่การนั่งสมาธิ หรือไม่ก็หยิบหาอะไรมาอ่านฆ่าเวลา

ข้าเขยิบตัวเข้าไปชิดกับคนตัวโตที่ชำเลืองสายตามามองข้านิ่งๆ พอเห็นข้าฉีกยิ้มหวานก็ถอนหายใจใส่

“...” ข้าหุบยิ้มทันที แผนอ่อยไม่สำเร็จ

“พี่แทนไทจะอ่านหนังสือ งั้นไอจะนั่งเงียบๆ ก็ได้” เอ่ยตัดพ้อด้วยน้ำเสียงซึม

“แบบนั้นก็ดี”

“อ่าว” มารยาทอะ พูดจาดีเป็นมะ ? “งั้นไอขอยืมมือถือหนังสือหน่อยสิ” ข้าหัวเราะเจื่อนๆ แบมือทั้งสองข้างรอรับสิ่งของ ถ้าให้แล้วสัญญาจะไม่วุ่นวาย

เจ้าเด็กน้อยส่ายหัวเหมือนเอือมระอา สักพักก็ล้วงไปหยิบในกระเป๋ากางเกงและส่งยื่นให้ข้า เพียงไม่นานปลายนิ้วเล็กๆ ก็พิมพ์เสิร์ชหาช่องที่ต้องการอย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเสียงเหล่านั้นย่อมขัดสมาธิคนที่กำลังจดจ่อ พอสายตาดุปรายมองมาทางข้า ข้าก็รีบหยิบมือถือแล้วไปซ้อมเต้นที่สวนสนามแทน

วันนี้โชคดีที่อากาศปลอดโปร่ง ตกเย็นก็มีลมหนาวพัดโชยมา ข้าพยายามฝึกฉีกขาตั้งแต่เล็ก เพราะกลัวว่าตัวจะแข็งทื่อเกินกว่าจะเต้นได้ในยามโต เนื่องจากเดี๋ยวนี้ลิซ่ายิ่งเต้นท่ายากมากขึ้น กว่าข้าจะยกขาขึ้นมาเหนือศีรษะและเหยียดตึง ตัวข้าก็เอนตัวล้มลงไปนอนที่หญ้าที่ถูกตัดเล็มไม่กี่เซนเสียก่อน ความพยายามยังไม่สิ้นเสร็จ ข้าซ้อมอยู่หลายนาทีหวังให้พลิ้วเหมือนกับศิลปินที่ชื่นชอบ พอลุกขึ้นเอามือแตะปลายคางเหมือนบีบลำคอ สะโพกแอ่นไปด้านหลัง ร่างกายก็ถูกอุ้มจนตัวลอย ข้าถึงกับร้องเหวอ

“ทำไรครับ” เสียงทุ้มเอ่ยข้างกกหู โอบกอดข้าด้วยความเอ็นดู แต่มันก็ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

“ยุ่ง”

“โกรธอยู่สินะ” รู้แล้วยังมีหน้ามาถาม !

เชอะ ! ข้าไม่เสวนาด้วยหรอกนะ “ปล่อยไอลง” ข้าสั่ง

“”ไม่” อีกคนกลับคิดปฎิเสธ หนำซ้ำยังยื่นหน้ามาหอมแก้มฟอดใหญ่

ข้ายู่หน้าอย่างรังเกียจกับสัมผัส เริ่มดีดดิ้นไม่สบอารมณ์อย่างเอาแต่ใจ แต่ก็ไม่กล้าดิ้นแรงมากนักเพราะกลัวว่าจะตกลงไปหัวเข่าถลอกปอกเปิก เจ้าตี๋ก็หอมซ้ำแล้วซ้ำเล่า หอมเสียจนแก้มข้าช้ำไปหมด

ล่วงละเมิดเด็ก ข้าจะฟ้องตำรวจ !

“หึงใช่ไหม ?” อีกคนถามเสียงทุ้มปนแหบพร่า กระซิบเสียงแผ่วเล่นใจข้ากระตุก เผลอหลุดร้องเสียงผิดจังหวะ ยามที่ริมฝีปากหยักหนาคลอเคลียที่ปรางขาวอมชมพู

“กรี๊ดดด” ข้ากรีดร้องด้วยความขนลุก เมื่อจู่ๆ เจ้าตี๋ก็เป่าลมมาที่ใบหู

ข้าน่ะมีจุดอ่อนนะ โดยเฉพาะที่หูเลย !

“ตี๋ไม่ได้ให้เบอร์เธอ ตัวเล็กก็ได้ยินแล้วหนิ”

เรื่องนั้นข้าก็พอรู้อยู่หรอก…ถึงกระนั้นข้าก็ไม่พอใจอยู่ดี รู้สึกเหมือนโดนนอกใจแปลกๆ เพราะเจ้าตี๋นัดไปเจอกับยัยคนนั้น ตะหงิดใจอยู่เพียงลำพังและไม่คิดจะระบายความรู้สึกให้อีกคนได้รู้ พอถูกอุ้มให้เหยียบลงกับพื้น ฝ่ามือหนาก็จับต้นแขนให้กายเล็กหันหน้ามาสบตา

ดวงตาเรียวคมจ้องมองอย่างลึกล้ำ ทั้งสีหน้าดูจริงจังแม้แต่คำพูดก็ยังจริงใจ “ขอเดานะว่าตัวเล็กต้องไม่พอใจที่ทับทิมบอกว่าตี๋จะไปเดท”

ข้าว่าข้าได้ผัวเป็นหมอดูแหละ…

“มันไม่จริงเลยนะครับ” ตี๋ขมวดคิ้วชนกันชวนน่าสงสาร “ตี๋ไม่ได้ตกลงเธอเลย แถมก่อนจะคุยทับทิมก็เป็นคนรับ” ชายหนุ่มแถลงไข “หลานก็คงเข้าใจผิด เพราะตี๋ก็ปฎิเสธเธอไปแล้วด้วย บอกไปแล้วว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้ว” ฝ่ามืออุ้นร้อนประคองดวงหน้าข้าอย่างแผ่วเบา ยื่นหน้าเข้ามาใกล้อย่างอ้อยอิ่ง “มีคนที่อยากจะแต่งงานด้วย” น้ำเสียงนั้นราวกระซิบ เหมือนหยาดน้ำค้างบนใบไม้สีเขียวชอุ่ม และค่อยๆ ตกลงมากระทบพื้นอย่างแผ่วเบา

มัน นุ่มนวลจนบอกไม่ถูก ยิ่งริมฝีปากคู่นั้นจรดลงที่หน้าผากข้าและผละใบหน้าออกห่าง เขาสบตามองข้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักใคร่

“ตัวเล็กรู้ใช่ไหมว่าตี๋หมายถึงใคร”

“เจนนี่ปาหนันเหรอ ?” ข้าแสร้งถาม อีกคนกลับผงะ เพียงไม่นานก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างขบขัน เห็นดังนั้นข้าก็ค่อยแย้มยิ้มทีละนิด

จากที่ไม่เคยพูดทำความเข้าใจกัน มีเพียงห้วงความคิดที่แสดงออกผ่านท่าทาง ตอนนั้นข้าได้แต่จินตนาการและโต้เถียงกับชายหนุ่ม กว่าจะสื่อสารให้เข้าใจกันได้ก็ช่างยากเย็น ยามนั้นข้าช่างท้อแท้และเหน็ดเหนื่อย พอมาครั้งนี้กลับดีใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อสองขาที่เหยียบย่ำอยู่ที่พื้นดินไม่ได้มาจากครีบที่พยายามยืนดังวันวาน มือทั้งสองข้างที่กวักเรียกและเคยตบตีไม่ได้มาจากการทำร้ายชายฉกรรจ์เหมือนในอดีต แม้แต่ริมฝีปากที่ชอบพูดจาอุ๋งๆ ไม่เข้าใจความหมาย ยามนี้ก็กลับพูดได้อย่างเต็มคำ

“รักนะ” สิ้นคำพูดก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ มองชายหนุ่มที่ปรือตามองระคนหวั่นไหว เพียงไม่กี่เซนริมฝีปากของเราทั้งสองก็จะแนบชิดกัน แต่จู่ๆ ก็ดันมีเสียงของแทนไทแทรกขึ้นมา

“ไอ...”

เฮือก ! ข้าสะดุ้งโหยง รีบเงื้อมือขึ้นสูงเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์ ฝ่ามือหวดที่ข้างกระพุ้งแก้มคนตรงหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว

เพียะ !!

“มอหอ !” ข้าสบถ

เจ้าตี๋ล้มลงไปนอนกุมแก้มสากและร้องซี๊ดด้วยความเจ็บปวด ต่างจากข้าที่หมุนกายเดินหนี แก้มร้อนผะผ่าว


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด