*ตอนนี้มีสองคู่ชู้ชื่น(?) ค่ะ เชิญอ่านกันได้ตามสบายนะคะ

Miracle Café / 47
พอถึงเวลาตีห้ารุจก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็เดินลงมาชั้นล่าง ก่อนจะอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นไกรสรนอนขดตัวอยู่ที่โซฟาแทนที่จะไปหาห้องว่างห้องอื่นนอนอย่างที่ควรเป็น
“คุณไกรสร...ตื่นเถอะครับ” รุจเขย่าร่างนั้นปลุก อีกฝ่ายปรือตาขึ้น แล้วชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนปลุกตน
“อ้าว...เช้าแล้วหรือ ...แล้วนี่ฉันทำไมมานอนแถวนี้ล่ะเนี่ย...”
คนกำลังงัวเงียพึมพำ ก่อนจะหวนนึกถึงก่อนหน้านั้น แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เพราะลงมานั่งเล่นแก้เบื่อ นั่งไปนั่งมาก็เกิดง่วงแล้วก็หลับไปเมื่อไหร่เขาเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน
“คุณนี่ล่ะน้า...” รุจพึมพำพร้อมกับอมยิ้มน้อย ๆ อย่างนึกขำ แล้วจึงบอกกับชายหนุ่ม
“คุณไปนอนห้องของคุณเถอะครับ ขอโทษด้วยที่แย่งที่นอนไปแบบนั้น”
ไกรสรมองคนพูด ก่อนจะเลิกคิ้วนิด ๆ
“แล้วเธอล่ะ”
“ผมจะไปเดินเล่นแถวหน้าบ้านพัก รอดูพระอาทิตย์ขึ้นน่ะครับ”
ไกรสรขมวดคิ้วยุ่ง แล้วจึงยันกายขึ้นยืนมองไปทางหน้าต่าง ก่อนจะนิ่วหน้า
“ยังมืดอยู่เลย อันตรายนะ ถึงจะเป็นหน้าบ้านพักก็เถอะ ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีพวกมิจฉาชีพ หรือพวกคนเมาหลงมาตอนไหน...”
รุจมองคนที่บ่นยาวเพราะเป็นห่วงเขาอย่างพอใจ แล้วจึงเปรยชวนเบา ๆ ตามมา
“ถ้าอย่างนั้นไปเดินเล่นด้วยกันสองคนไหมล่ะครับ”
ไกรสรสะดุ้งเมื่อได้ยิน แต่พอมองอีกฝ่ายที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พูดเล่นแกล้งแหย่ เขาก็แย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงพยักหน้าตอบรับ
“ถ้าอย่างนั้นก็ได้เลย”
รุจอมยิ้ม แล้วจึงเดินนำออกไป ชายหาดในตอนมืดดูวังเวงและน่ากลัวอย่างที่ปวีร์และไกรสรเตือนเอาไว้ รุจถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงหันไปมองคนที่เดินตามมาใกล้ ๆ
“เบื่อไหมครับ มาเดินมืด ๆ กับผมแบบนี้”
ไกรสรชะงัก ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ และตอบออกไปตามตรง
“ไม่หรอก แต่ถ้าจะให้ดี ก็อยากให้เดินควงแขนกันบ้าง จูงมือกันบ้าง มันคงโรแมนติกดีล่ะนะ”
รุจแย้มยิ้มน้อย ๆ กึ่งเอือมระอา เขามองไกรสรที่เดินห่อไหล่ เพราะอีกฝ่ายนั้นสวมเสื้อด้วยเนื้อผ้าค่อนข้างบาง ประกอบกับอากาศตอนเช้านี้ก็ค่อนข้างเย็นทีเดียว
“ขอโทษนะครับ...” รุจเปรยขึ้น พลางเบียดกายชิดอีกฝ่าย แล้วควงแขนชายหนุ่มหลวม ๆ
“แบบนี้เดินลำบากหรือเปล่าครับเนี่ย”
รุจแสร้งเอ่ยถามคนที่ยืนนิ่งอึ้ง ไกรสรชะงักนิด ๆ ก่อนจะสั่นศีรษะตามมา
“ไม่เลย…ไม่ลำบากสักนิด แถมยังอุ่นมากอีกด้วย”
รุจยิ้มตอบ แล้วจึงพิงศีรษะกับท่อนแขนของอีกฝ่าย ก่อนจะเปรยขึ้นเบา ๆ
“ชายหาดตอนมืดถึงจะดูน่ากลัว แต่มันก็โรแมนติกดีนะครับ”
“อะ...อืม” ไกรสรตอบสั้น ๆ เพราะกำลังรวบรวมสมาธิควบคุมตัวเองไม่ให้เผลอเตลิดทำเกินเลยกับอีกฝ่าย เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่ารุจจะมาไม้ไหน แต่เขาก็ต้องพยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เพื่อจะได้ชนะใจชายหนุ่มให้จงได้
“...ผมจะตั้งเวลาเอาไว้หกโมงแล้วกัน”
จู่ ๆ รุจก็เอ่ยขึ้นกับตัวเอง หลังจากที่ลอบสังเกตคนข้างกายที่พยายามอดทนเต็มที่มาได้สักพัก
“หมายความว่ายังไง” ไกรสรถามอย่างงุนงง แต่แล้วก็ต้องกลืนน้ำลายลงคอเมื่ออีกฝ่ายหันมายิ้มหวานให้กับเขา หลังจากตั้งเวลามือถือของตนเสร็จสิ้น
“ก็หมายถึงว่า ผมจะให้รางวัลพิเศษกับคุณในช่วงนี้...คุณอยากทำอะไรกับผมก็ให้คุณทำได้ตามใจ จนกว่าจะถึงเวลาหกโมงเช้า โดยไม่ถือว่าผิดข้อตกลงของพวกเรา ...แบบนี้ดีไหมครับ”
ไกรสรนิ่งอึ้งหลังจากฟังจบ เขายืนนิ่งไปสักพักอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง จนรุจนึกขำ
“เหลืออีกสามสิบนาที จะหกโมงแล้วนะครับ”
ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบเขาก็ถูกร่างสูงดึงเข้าหา ก่อนจะกอดแน่นอย่างที่อยากทำมานาน รุจนั้นตกใจในทีแรก แต่ก็สัมผัสได้ถึงความรักและปรารถนาที่แฝงมากับอ้อมกอดนั้น เขาเงยหน้าขึ้นน้อย ๆ หลับตาพริ้มรอ เมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้ และบดเบียดจุมพิตดุดันและเร่าร้อนจนคนถูกจูบแทบจะขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว
“หวานยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก...” ไกรสรพึมพำ ขณะถอนริมฝีปากออกมาช้า ๆ
“ทำแค่นี้พอหรือครับ...เวลายังเหลืออีกมากพอนะครับ...”
รุจแกล้งยั่วแล้วรอดูท่าที แต่ไกรสรนั้นแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วเลือกที่จะจูบหน้าผากของอีกฝ่ายแทน
“เด็กแสบเอ๊ย...ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเธอกำลังใช้ตัวเองหลอกล่อดูท่าทางฉันอยู่...ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจริงจังกับเธอจริง ๆ และฉันจะทำให้เธอเชื่อมั่นก่อนสัญญาสองอาทิตย์นี้ของเราจะจบลงให้จงได้เลยทีเดียวล่ะ”
รุจนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ และคราวนี้รอยยิ้มที่ตามมาจึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนผิดเคย
“แต่ถึงอย่างนั้น เวลาก็ยังเหลืออีกเยอะนะครับ... และที่สำคัญ ผมเองก็ชอบจูบเมื่อครู่ของคุณมากเลย”
ไกรสรอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง แต่พอเห็นรุจทำเป็นแสร้งถอนหายใจและทำท่าจะผละจากไป เขาจึงรีบโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยความเร่าร้อนยิ่งกว่าเดิม จนรุจแทนจะยืนไม่อยู่และต้องโอบแขนคล้องคออีกฝ่ายพยุงร่างของตนไว้แทน และหลังจากที่ทั้งสองผละกัน รุจก็ตัดสินใจนั่งลงที่ชายหาดแถวนั้นเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น โดยมีไกรสรนั่งซ้อนและประคองกอดอีกฝ่ายจากทางด้านหลัง
“อยากให้เวลาหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่อยากให้มันเดินไปถึงหกโมงเลยนะ”
ไกรสรพึมพำพร้อมกับกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นไปอีก รุจนั้นพิงศีรษะกับไหล่กว้างของอีกฝ่าย แล้วแย้มยิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง พวกเขานั่งกันอยู่สักพัก จนฟ้าเริ่มสางและเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือดังขึ้น
เสียงถอนหายใจของไกรสรดังขึ้นจนรุจต้องอมยิ้ม แต่พออีกฝ่ายจะขยับมือคลายอ้อมกอด รุจก็จับแขนของชายหนุ่มเอาไว้เสียก่อน
“กอดอีกสักครู่นะครับ เดี๋ยวถ้าผมจะให้เลิก ผมจะเป็นฝ่ายบอกเอง”
ไกรสรชะงัก แต่ก็ยอมกอดเจ้าตัวไว้ตามใจปรารถนาแต่โดยดี ด้านรุจเองนั้นมีรอยยิ้มบางผุดขึ้นที่ริมฝีปาก เขาหวนคิดถึงเมื่อก่อน ที่เคยตั้งใจไว้ว่าหากอีกฝ่ายเกิดจริงจังขึ้นมา และตัวเขายังคงไม่ได้คิดรักตอบ เขาก็จะพยายามหาเรื่องตัดสัมพันธ์กับชายหนุ่มให้ได้ ...แต่พอมาถึงวันนี้ เขาก็ต้องยอมรับว่า ตัวเองนั้นเริ่มมีความรู้สึกดี ๆ กับไกรสรเข้าบ้างแล้ว ...เหลือก็เพียงแค่ว่าไกรสรนั้นจะแสดงให้เขามั่นใจได้สักเพียงใดว่า เจ้าตัวจะรักเขามากพอจนเขาสามารถจะมอบหัวใจรักตอบได้ โดยไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง
ถึงแม้ว่ารุจจะยอมรับเรื่องความรู้สึกที่ไกรสรมีต่อตนก็ตาม แต่เรื่องความเจ้าชู้ของชายหนุ่มก็ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นแค่วันสองวัน และถึงแม้ตอนนี้จะเป็นเพราะกำลังอยู่ในช่วงจีบเขา เจ้าตัวเลยไม่คิดแลใคร แต่รุจก็ยังคงไม่มั่นใจว่าหากคบกันแล้ว อีกฝ่ายจะกลับไปเป็นเช่นเดิมหรือไม่ และถ้าหากไกรสรเกิดไม่สามารถรักเขาคนเดียวได้ ต่อให้ตอนนั้นเขาจะรักอีกฝ่ายมากเพียงใด เขาก็พร้อมจะเลิกรากับชายหนุ่มได้ทุกเวลาเช่นเดียวกัน
“พระอาทิตย์ขึ้นแล้วล่ะครับ...”
รุจพึมพำแผ่วเบา และจากนั้นเขาจึงจับแขนของไกรสรดึงออกน้อย ๆ ทำให้คนกอดอยู่รู้ตัว และแม้จะเสียดายขนาดไหน แต่ไกรสรก็จำต้องยอมปล่อยคนในอ้อมกอดให้เป็นอิสระ เพราะเท่าที่รุจยอมให้เขาถึงขนาดที่ผ่านมา ก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกรักและหลงชายหนุ่มคนนี้มากยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าแล้ว
“ขอบใจสำหรับช่วงเวลาพิเศษที่ผ่านมานะ”
ไกรสรกระซิบบอก และลุกขึ้นยืน ก่อนจะยื่นมือส่งเพื่อจะช่วยฉุดให้อีกฝ่ายลุกขึ้น แต่เพียงครู่เดียวเจ้าตัวก็ชะงักมือเล็กน้อย เพราะเห็นรุจจ้องเขาอยู่
“ง่า...โทษที ฉันลืมไป... หวังว่าคงไม่นับว่าเป็นการผิดสัญญานะ”
ไกรสรรีบบอกแล้วยิ้มเจื่อน ๆ แล้วเตรียมจะหดมือกลับ ทำให้คนจ้องมองอมยิ้มน้อย ๆ จากนั้นจึงยื่นมือของตนจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ แล้วฉุดตัวเองยืนขึ้น ก่อนจะปล่อยมือของอีกฝ่ายออก
“ผมไม่ได้ห้ามหรือรังเกียจสำหรับความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้หรอกนะครับ...เพียงแต่เมื่อครู่ที่เผลอจ้องไป เพราะกำลังคิดว่า คุณเองก็ดูดีเหมือนกัน”
ไกรสรนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบถามต่ออย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“มะ เมื่อครู่นี้ หมายความว่าไงน่ะ!”
รุจมองคนที่มีสีหน้าตกใจอย่างนึกขำปนเอ็นดู แล้วจึงชะโงกหน้าไปจูบที่แก้มของอีกฝ่ายเบา ๆ
“ผมคิดว่า ตัวเองอาจจะเริ่มสนใจคุณตอบขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้น่ะสิครับ”
ไกรสรตกตะลึงตาค้าง และขณะที่เขาเตรียมจะตรงไปโอบกอดคนตรงหน้า รุจก็ถอยหลังหลบสองสามก้าว แล้วยิ้มหวานให้อีกฝ่าย
“ยังสิครับ...เวลาสองอาทิตย์ตามสัญญาของเรายังไม่จบเลย ...ถ้าผมไม่อนุญาตเอง ก็ห้ามคุณถูกตัวผมในเชิงแบบนั้น จำไม่ได้หรือครับ”
คนฟังกลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็ถอนหายใจหนักตามมา ก่อนจะพยักหน้ารับรู้อย่างจำใจ ทำให้รุจต้องยิ้มน้อย ๆ ตอบ แล้วจึงตัดสินใจเปลี่ยนแผนจากเดินเล่นต่อ เป็นเดินกลับเข้าบ้านพัก ทำเอาไกรสรต้องรีบจ้ำเร่งฝีเท้าเดินตามไปติด ๆ ทว่าระหว่างเดินตามเจ้าตัวก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับที่ริมฝีปากอย่างพึงพอใจ เพราะถึงแม้ว่าจะไม่สามารถสัมผัสอีกฝ่ายได้อย่างใจปรารถนาในทุกเวลา แต่พอรู้ว่ารุจนั้นเริ่มมีใจตอบ ก็ทำให้เขาเริ่มมีแรงฮึดและกำลังใจขึ้นมาอีกหลายเท่าทีเดียว
อีกด้านหนึ่งธีรัชที่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเช้ามืดก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าข้างกายเขาไม่มีคนนอนอยู่อย่างที่ควรจะเป็น ชายหนุ่มขมวดคิ้วยุ่ง แล้วลุกเดินไปที่ห้องน้ำ ลองเคาะเบา ๆ และเปิดดู ก็ไม่พบว่าชานนอยู่ข้างในนั้นแต่อย่างใด
“คุณนนไปไหนนะ ...นี่มันก็เพิ่งตีห้ากว่าเอง จะว่าไปเตรียมอาหารก็ไม่น่าใช่”
ธีรัชพึมพำอย่างเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านั้นปวีร์ย้ำนักย้ำหนาว่า มื้อเช้าทุกคนจะกินพร้อมกันตอนประมาณสองสามโมงเช้า ซึ่งวัตถุดิบนั้นจะเป็นอาหารทะเลที่คนดูแลบ้านพักจะนำมาให้ในช่วงราว ๆ เจ็ดโมงเช้า เพราะฉะนั้นชานนก็ไม่น่าจะต้องตื่นมาเตรียมอาหารเช้าเหมือนอย่างที่เคยเป็น
“ไปเดินข้างนอกหรือเปล่าก็ไม่รู้...” ธีรัชพึมพำกับตัวเอง แล้วจึงตัดสินใจหาเสื้อคลุมมาใส่ทับเสื้อยืดอีกชั้นหนึ่ง เพราะค่อนข้างแน่ใจว่าอากาศยามเช้าริมทะเลนั้นน่าจะเย็นอยู่พอสมควรทีเดียว
“ข้างนอกมืดขนาดนี้ แถมยังวังเวงจะตาย ...คุณนนนะคุณนน เขาคิดอะไรของเขานะ”
ธีรัชบ่นอย่างเป็นห่วง และรีบจ้ำเท้าออกนอกห้อง ลงไปด้านล่าง ทว่าพอคิดว่าจะออกไปหาชานนจากทางไหนก่อนดี เขาก็เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ของร่างหนึ่งเดินเข้ามาบริเวณที่เขายืนอยู่
“อ้าว... คุณธีรัช ทำไมตื่นเช้าจังล่ะครับ แล้วนี่จะออกไปเดินเล่นหรือครับ อันตรายนะครับมืด ๆ ค่ำ ๆ แบบนี้”
ธีรัชถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเห็นชานนเดินกลับมาอย่างปลอดภัย เขารอจนชานนเข้ามาใกล้ แล้วบอกกับอีกฝ่ายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างไม่คิดปิดบัง
“ผมต่างหากครับที่ควรจะพูดแบบนั้น ...รู้ไหมครับว่าตื่นมาแล้วไม่เจอคุณ หาแถวบ้านก็ไม่เจอ แล้วพอเจอก็เห็นคุณเดินออกมาจากข้างนอก ผมเป็นห่วงมากเลยรู้ไหมครับ”
ชานนนิ่งอึ้ง ยิ่งได้เห็นท่าทางที่ชายหนุ่มกำลังแสดงอยู่ มันก็ยิ่งตอกย้ำในสิ่งที่เขาเข้าใจได้เป็นอย่างดี
“ขอโทษนะครับ...ที่ทำให้เป็นห่วง”
ชานนเอ่ยพึมพำตอบ ก่อนจะห่อไหล่นิด ๆ ด้วยความหนาว เมื่อมีลมเย็นพัดวูบผ่านมา
“อ๊ะ! สวมนี่เถอะครับคุณนน”
ธีรัชรีบถอดเสื้อนอกของตัวเองสวมคลุมให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว จนชานนไม่ทันได้ห้ามด้วยซ้ำ
“คุณนนเดินมานานขนาดไหนแล้วนี่...ขอโทษนะครับ”
เพราะตอนสวมเสื้อให้อีกฝ่ายมือของชายหนุ่มบังเอิญไปแตะโดนแขนข้างหนึ่งของเชฟหนุ่ม เจ้าตัวจึงนิ่วหน้าแล้วยกมือของอีกฝายมาเกาะกุมเบา ๆ
“หวา! มือเย็นเฉียบเลย ไปนั่งข้างในดีกว่าครับ เดี๋ยวผมชงกาแฟร้อน ๆ ให้”
ธีรัชบอกพลางรีบดันคนที่กำลังยืนอึ้งเข้าบ้าน ชานนเตรียมจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหันไปเห็นแววตาห่วงใยของชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่าตน จากนั้นจึงปล่อยให้ธีรัชที่เปลี่ยนจากดันหลังเป็นมาจูงมือของเขาไปแทน มืออุ่น ๆ ของชายหนุ่ม ส่งผ่านความอ่อนโยนของเจ้าตัวมาให้เขาได้รับรู้เป็นอย่างดี
ชานนลอบถอนหายใจเบา ๆ เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจธีรัชที่มีใจให้เขา แต่เพราะอายุที่แตกต่างกันจนเกินไป จนทำให้เขากังวลว่าด้วยช่องว่างระหว่างวัย ชีวิตคู่ของพวกเขาคงดำเนินไปได้ไม่ราบรื่นเป็นแน่ และอาจจะทำให้ธีรัชต้องมาเสียเวลากับเขา แทนที่จะได้เจอคนที่เหมาะสมกับตัวเองอย่างแท้จริงก็ได้
ชานนนั่งมองธีรัชที่ชงกาแฟให้เขาอย่างขะมักเขม้น และเอ่ยขอบคุณเบา ๆ เมื่อชายหนุ่มนำกาแฟมาเสิร์ฟเขาถึงที่โต๊ะรับแขก
“เป็นไงครับ...รสชาติแย่ไหม”
เพราะกาแฟที่บ้านพักเป็นแบบบดผงและต้องเติมน้ำตาลกับครีมเทียมเอง ธีรัชจึงเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล เนื่องจากเกรงว่ามันจะไม่ถูกปากเชฟหนุ่มนั่นเอง
“...อร่อยครับ รสเดียวกับที่ผมชอบเลยล่ะครับ”
ชานนเอ่ยชมอย่างนึกทึ่ง เพราะไม่คิดว่าธีรัชจะชงได้ถูกปากเขามากถึงขนาดนี้
“แหะ ๆ โชคดีไป...จริง ๆ คือผมคอยสังเกตเวลาคุณชงกาแฟดื่มน่ะครับ แล้วจำ ๆ มา แต่ก็กลัวจำผิดเหมือนกัน”
ธีรัชบอกไปตามตรง ทำให้คนกำลังดื่มกาแฟชะงัก และเงยหน้าสบตามองกับชายหนุ่มตรงหน้านิ่ง จนธีรัชรู้สึกแปลก ๆ ระคนกังวล
“เอ่อ...มีอะไรหรือเปล่าครับคุณนน ทำไมจ้องผมแบบนี้ล่ะครับ...หรือว่าจะโกรธที่ผมทำเหมือนคอยจับสังเกตคุณตลอดแบบนั้น”
ชานนชะงักเมื่อเห็นสีหน้ากังวลแฝงความกลัวอย่างหนักของอีกฝ่าย เขาแย้มยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยตอบชายหนุ่ม
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่รู้สึกดีใจ ที่มีคนคอยเอาใจใส่ตัวผมแบบนี้”
ธีรัชลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ออกมาได้
“ค่อยยั่งชั่ว ...แค่คิดว่าจะถูกคุณนนเกลียดเอา ผมก็แทบอยากจะร้องไห้แล้วล่ะครับ”
คนที่เผลอหลุดความในใจออกมาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มเศร้า ๆ จนชานนนึกสงสารแกมเวทนา
“ผมไม่ได้สำคัญสำหรับคุณขนาดนั้นหรอกครับ...”
ชานนเอ่ยด้วยสีหน้าที่ขรึมลง จนธีรัชสะดุ้ง ก่อนจะจ้องมองอีกฝ่ายตอบนิ่งสักพัก แล้วจึงเอ่ยตามมาแผ่วเบา
“เมื่อก่อนอาจจะไม่ใช่...แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นแบบนั้นแล้วล่ะครับ”
ธีรัชบอกออกไปแล้วรอคอยคำตอบนิ่ง เขาค่อนข้างมั่นใจว่าชานนคงพอจะเดาท่าทางของเขาออกได้บ้างแล้ว สังเกตจากแววตาเมื่อครู่นั่น ก็ทำให้เขาทั้งหวาดกลัวและมีความหวังปะปนกันไปในคราเดียว
“เพราะอะไรถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ ...” ชานนยังคงตั้งคำถามต่อ ทำเอาธีรัชนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยสีหน้าที่แสดงความลังเล
“ผมไม่รู้...ทั้งที่ไม่เคยคิดว่าจะเป็นแบบนี้ได้...แต่ว่า พอรู้ตัวขึ้นมา สายตาของผมก็มีแต่คุณนนคนเดียวเสียแล้วล่ะครับ...คุณนน คงไม่เกลียดผมใช่ไหมครับ...”
ธีรัชจ้องอีกฝ่ายและรอฟังคำตอบด้วยความกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม เขาใจหายวาบ เมื่อเห็นเชฟหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ
“ผมไม่เกลียดคุณหรอกครับ...เพียงแต่เรื่องความรู้สึกของคุณ ผมคงยังให้คำตอบอะไรไม่ได้ ...อีกอย่าง ผมอยากให้เวลาคุณทบทวนอะไรหลาย ๆ อย่างเสียก่อน... บางที ความรู้สึกของคุณตอนนี้ มันอาจจะซ้อนทับอะไรหลายอย่างจนทำให้คุณคิดว่าคุณชอบผมในแง่นั้นก็เป็นได้”
ชานนเอ่ยตอบอีกฝ่ายตามตรง ทางด้านธีรัชนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะยิ้มเศร้า ๆ ให้กับคนตรงหน้า
“...ก่อนหน้านั้น ผมก็พยายามบอกตัวเองแล้วว่า บางที ผมอาจจะมองภาพของพ่อแม่ซ้อนทับอยู่ในตัวคุณ ...ทั้ง ๆ ที่ ถ้ามันเป็นแบบนั้นได้ก็คงจะดี ...ผมก็คงจะได้ไม่ต้องมารู้สึกเจ็บในอกแบบตอนนี้ที่เป็นอยู่”
ธีรัชบอกเสียงสั่นเครือเบา ๆ คำพูดของชานนนั้นแม้จะไม่ได้ปฏิเสธตรง ๆ แต่ก็พอจะอ่านออกได้ว่า อีกฝ่ายคงจะตอบรับความรู้สึกของเขาไม่ได้เป็นแน่
“คุณธีรัช...ผมขอโทษนะครับ...” ชานนเอ่ยขึ้นอย่างนึกสงสารและเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมานิด ๆ ทว่าชายหนุ่มอีกคนนั้นกลับสั่นศีรษะค่อย ๆ แล้วฝืนยิ้มร่าเริงให้อีกฝ่าย
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ...มันไม่ใช่ความผิดของคุณนนสักหน่อย ผมเข้าใจและชินแล้วล่ะ ...เรื่องของหัวใจยังไงมันก็บังคับกันไม่ได้หรอกครับ”
“คุณธีรัช...” ชานนลุกขึ้นและเอื้อมมือไปจับไหล่ของอีกฝ่าย ธีรัชเม้มปากน้อย ๆ แล้วจึงจับมือของเชฟหนุ่มออกจากบ่าเขา
“ไม่ได้จริง ๆ นั่นล่ะครับ... มันไม่เหมือนที่เคยอกหักทุกครั้งก่อนหน้านั้น... ขอโทษนะครับคุณนน ...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ธีรัชบอกด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแล้วเดินออกจากบ้านพักไป ชานนมองตามไล่หลังของชายหนุ่ม แล้วจึงมองเสื้อคลุมของอีกฝ่ายที่เขายังคงสวมอยู่ เจ้าตัวถอนหายใจเบา ๆ ใบหน้าเศร้า ๆ นั้น ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขาอย่างน่าประหลาด ชานนยืนนิ่งทบทวนอยู่สักพัก แล้วจึงตัดสินใจตามธีรัชออกไปด้านนอกด้วยเช่นกัน
ทางด้านธีรัช พอออกมาแล้วเขาก็ตัดสินใจเดินไปตามชายหาดในทิศที่ชานนไปเดินเล่นมาก่อนหน้านั้น ชายหนุ่มเดินไปได้สักพักก่อนจะหยุดยืนนิ่ง แล้วเหม่อมองท้องทะเลดำมืดเบื้องหน้าตนอยู่เนิ่นนาน จนมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีใครบางคนคลุมเสื้อทับลงบนร่างของเขา
“อากาศเย็นนะครับ...ระวังจะเป็นหวัดเข้า”
ธีรัชหันกลับมามองอย่างตกใจ ชานนยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงขยับมายืนเคียงข้างอีกฝ่าย
“เศร้ามากเลยหรือครับ ที่ถูกผมปฏิเสธ”
คำถามแรกจากชานน ทำให้คนฟังเงียบกริบ แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง อย่างไม่เข้าใจว่าทำไมชานนต้องมาตอกย้ำเรื่องนี้ให้เขาฟังอีก
“คุณธีรัชในสายตาผม... เป็นคนที่ร่าเริง เวลาใครอยู่ด้วยก็สบายใจ ถึงจะดูเหมือนทำเล่น ๆ แต่ก็ตั้งใจเต็มที่กับทุกเรื่องรอบตัวเสมอ...”
ชานนหยุดเว้นวรรค แล้วจึงจ้องมองคนที่หันกลับมาทางเขาอย่างงุนงง เชฟหนุ่มจ้องอีกฝ่ายนิ่งอยู่เช่นนั้นสักครู่ ก่อนจะมีรอยยิ้มอ่อนโยนส่งให้
“เวลาที่ผมทำอาหารออกมาไม่ได้ดั่งใจตัวเอง ผมก็ไม่เคยคิดจะเลิกล้มและทิ้งมันไป ...แต่ผมจะลองพยายามทำใหม่ จนกว่ารสชาติที่ได้มันจะออกมาตามที่ผมตั้งใจไว้ ...แล้วคุณล่ะครับ พอใจเพียงแค่นี้แล้วหรือครับ”
ธีรัชตาเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ก่อนจะถามกลับเสียงสั่น
“ตะ แต่ว่า คุณนนไม่ได้คิดกับ...”
“ครับ...ผมไม่ได้คิดกับคุณในแง่นั้น แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรือรำคาญอะไร ถ้าหากคุณจะลองพยายามทำตามที่หัวใจของคุณปรารถนา ...ตัวผมเองก็บอกไม่ได้หรอกครับ ว่าอนาคตผมอาจจะยังมีคำตอบเดิมให้ หรือว่าใจผมอาจจะเปลี่ยนไป ...”
ชานนที่เอ่ยขัดขึ้นจ้องมองอีกฝ่ายที่ทั้งดีใจทั้งลังเลทั้งกังวลปะปนกันไป ซึ่งทั้งหมดล้วนฉายออกมาจากแววตาคู่นั้นที่กำลังจ้องตอบเขากลับมา
“...แต่ถ้าคุณพอใจที่จะหยุดอยู่แค่นี้ ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วล่ะครับ”
ชานนเอ่ยตัดบท แล้วหันกลับไปอีกทาง เตรียมจะเดินกลับบ้านพัก แต่ธีรัชที่รู้สึกตัวนั้นก้าวตามไป แล้วกอดอีกฝ่ายหมับจากด้านหลัง
“คุณนน...ขอบคุณนะครับ...ขอบคุณที่ให้โอกาสผมอีกครั้ง... และถึงแม้ผลมันจะออกมาเหมือนเดิม ...แต่ผมจะไม่ให้คุณต้องมาคอยเป็นห่วงเหมือนอย่างวันนี้อีกแล้ว ...ผมสัญญา”
ชานนพลิกกายหันกลับมามองชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์กว่า อีกฝ่ายมีรอยยิ้มเป็นประกายสะกดสายตา เป็นใบหน้าที่ชานนอยากให้มันอยู่คู่กับธีรัชตลอดไป และสำหรับอนาคตที่กำลังจะมาถึง เขาไม่รู้ว่าตนจะตอบรับอีกฝ่ายได้หรือไม่ แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ เขาเองไม่อยากเห็นใบหน้าเศร้า ๆ ของชายหนุ่มแบบก่อนหน้านั้นอีกต่อไปแล้ว
... TBC ...