Miracle Café / 39
หลังจากตกลงเล่นเกมความรักกับรุจแล้ว ไกรสรก็ออกมานั่งที่เดิมข้างนอก และขีดเขียนดีไซน์ชุดของเขาไปตามปกติ จนคนอื่น ๆ ที่ทำงานอยู่ด้านนอกนึกแปลกใจ จนกระทั่งหมดเวลาพัก กวินกับวาโยก็ลงมาทำงานต่อ แต่พอวาโยเห็นรุจซึ่งหันมายิ้มให้เขา ชายหนุ่มก็หน้าแดงระเรื่อ แล้วเดินโค้งน้อย ๆ ผ่านด้านหลังอีกฝ่ายไป พอภูริหันไปเห็นวาโยหน้าแดง ๆ เขาก็นิ่วหน้า แล้วเหลือบมองกวินที่เดินตามมาด้วยแววตาคมกริบ
“เฮ้ย! ไม่เกี่ยวกับผมนะ อย่ามองตาหาเรื่องกันแบบนั้นสิครับ”
กวินรีบแก้ตัว ทำให้รุจที่ได้ยินแอบขำ ส่วนธีรัชที่หมดเวลาทำงาน และยืนอยู่แถวนั้นหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ชายหนุ่มเดินผ่านเพื่อนสนิทก่อนจะกระซิบแหย่
“ขี้หวงจังนะเพื่อนเรา”
“หนวกหูน่า!” ภูริกระแทกเสียงดุตอบอย่างไม่ดังนัก
“อูย...กลัวชะมัด หึ ๆ งั้นฉันไปหาอะไรกินในครัวก่อนดีกว่า ...วันนี้คุณนนจะทำอะไรให้กินน้า อยากรู้จัง”
ธีรัชเอ่ยตัดบทแล้วเดินเข้าครัวไปด้วยความหิว ทั้งที่เมื่อก่อนหน้าจะมาทำงานที่นี่ ชายหนุ่มนั้นกินข้าวแทบจะไม่เป็นเวลาด้วยซ้ำ แต่พอเจอฝีมือชานนเข้าไป กลายเป็นว่าพอถึงเวลากิน น้ำย่อยในท้องก็รีบออกมาประท้วงกันอยู่เป็นประจำเลยทีเดียว
“เป็นอะไรไป ...ทำไมหน้าแดงแบบนี้”
ภูริดึงตัววาโยไปคุยกันด้านนอก เนื่องจากเวลานี้ลูกค้ามีไม่มากนัก เขาจึงปล่อยให้กวินกับการินคอยดูแลข้างในร้านแทน
“เอ่อ...คือ ไม่มีอะไรหรอกครับ...ก็แค่นึกถึงเรื่องตอนพัก...แล้ว...”
วาโยอ้ำอึ้งไม่กล้าบอก เพราะยังไงเรื่องที่ได้ยินก็เป็นเรื่องส่วนตัวของไกรสรและรุจ ซึ่งเขาไม่ควรนำมาบอกต่อกับคนอื่น
“ตอนพัก ...ทำไม...”
ภูริถามต่อด้วยน้ำเสียงและสีหน้าบึ้งตึงนิด ๆ จนวาโยต้องเหลือบมองอย่างแปลกใจ
“โกรธอะไรหรือครับ...”
คำถามที่ได้ยินทำให้คนฟังชะงัก แล้วจึงถอนหายใจหนัก ๆ พลางบอกไปตามตรง
“ไม่ได้โกรธ ...แต่หึง... เห็นหน้าแดงแบบนั้นก็กลัวว่าจะมีใครจีบมาน่ะสิ”
พอได้ฟังวาโยก็ยิ่งหน้าแดงหนัก แล้วก้มหน้างุด ๆ แทบจะทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะอุบอิบบอกความจริง เพราะไม่อยากให้ภูริเข้าใจผิด
“ไม่ได้มีใครจีบหรอกครับ...แต่ฟังคนอื่นจีบกัน...แล้วก็เลยรู้สึกเขิน...ก็เท่านั้นเอง”
ภูริขมวดคิ้วยุ่งนิ่งคิด ก่อนจะร้องอ๋อตามมาอย่างเข้าใจ
“คุณไกรสรกับรุจสินะ”
วาโยที่หน้าแดงก่ำพยักหน้าหงึก ๆ แทนคำตอบ พอเห็นดังนั้นภูริก็ถอนหายใจตามมาอย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว... แต่ยังไงก็อย่าลืมล่ะ...อย่ามองใครนอกจากฉัน แล้วก็ชอบฉันให้มาก ๆ รู้ไหม ...ฉันจะได้หายกังวลสักที”
ภูริกระซิบบอกพร้อมยิ้มน้อย ๆ และยังขโมยจูบแก้มเนียนนั่นเข้าให้ ทำเอาอีกฝ่ายแทบจะแดงไปทั้งตัวด้วยความเขิน จากนั้นชายหนุ่มจึงปลีกตัวออกไปต้อนรับลูกค้าที่กำลังเดินมาที่ร้าน แต่ก็ยังไม่วายหันมาบอกคนที่ยืนอยู่
“ให้เวลาปรับตัวปรับใจให้หายอายก่อน แล้วค่อยมาทำงานต่อ ...แล้วอย่าไปทำหน้าเขิน ๆ แบบนี้ให้ใครเห็นนอกจากฉันล่ะ...”
พอบอกจบชายหนุ่มก็เข้าไปต้อนรับแขกและเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้าไปนั่งด้านใน ส่วนวาโยพอเริ่มสงบสติอารมณ์ได้ เขาจึงเดินเข้าไปช่วยงานเพื่อนคนอื่นข้างในร้านหลังจากนั้นด้วยเช่นกัน
อีกด้านหนึ่ง ธีรัชนั้นเข้ามานั่งกินอาหารด้านในครัวตามปกติ ทว่าเมื่ออิ่มแล้วเจ้าตัวก็ยังไม่รีบกลับที่พักเพื่อเก็บของย้ายมา แต่ยังคงนั่งเรื่อย ๆ มองชานนและขวัญตาทำอาหารอย่างสนอกสนใจ
“ดีจังนะครับ คนทำอาหารเป็นนี่ ...ผมเองก็อยากลองหัดเรียนทำอาหารให้เป็นเรื่องเป็นราวกับเขาเหมือนกัน เผื่ออนาคตจะได้มีร้านอาหารเป็นของตัวเองบ้างสักร้าน”
ขวัญตาหัวเราะเบา ๆ เมื่อได้ยิน ก่อนจะหันมาบอกกับอีกฝ่ายพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ดีนี่จ๊ะ วงการอาหารจะได้มีเชฟหล่อ ๆ ไว้ประดับวงการกับเขาบ้าง”
ธีรัชหัวเราะตอบเมื่อถูกอีกฝ่ายชม ส่วนชานนนั้น หลังจากเตรียมจัดอาหารไว้สำหรับลูกค้าเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปที่ตู้เย็น แล้วหยิบของข้างในนั้นออกมาให้กับธีรัชที่นั่งอยู่
“อ๊ะ! พุดดิ้งสตอเบอร์รี่... ฝีมือคุณนนหรือครับ!”
ธีรัชอุทานด้วยความประหลาดใจปนดีใจเมื่อได้เห็นของหวานสุดโปรดของตน
“ครับ...ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกว่าชอบของหวานทุกอย่างที่มีสตอเบอร์รี่เป็นส่วนผสม และวันนี้คุณก็เตรียมจะมาเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวที่ร้านของเรา ผมจึงทำไว้ให้ ...จริง ๆ ผมอยากทำเค้กสตอเบอร์รี่ต้อนรับคุณอยู่หรอกครับ แต่ลูกสตอเบอร์รี่ที่มีมันมีน้อยเต็มที และงานในครัวก็ยุ่ง ๆ จนไม่มีเวลาปลีกตัวไปซื้อ ก็เลยได้แต่พุดดิ้งถ้วยเล็ก ๆ แค่นี้ล่ะครับ”
ชานนอธิบายและมีสีหน้ากังวลเล็กน้อย แต่นั่นกลับทำให้ธีรัชรู้สึกซาบซึ้งตื้นตันยิ่งนัก เพราะนอกจากพ่อแม่ที่เสียไปและลุงของเขา ก็ยังไม่เคยมีใครเอาใจใส่และดีต่อเขาแบบนี้มาก่อน
“ขอบคุณจริง ๆ ครับ ...เค้กไม่ต้องหรอกครับ แค่นี้ก็พอแล้วครับ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชอบอาหารหวานที่ตนเตรียมไว้ เชฟหนุ่มจึงถอนหายใจเบา ๆ อย่างโล่งอก
“ค่อยยังชั่ว ผมเองก็กลัวจะโดนหาว่าลำเอียง เพราะตอนคนอื่นเข้ามาบ้านพักใหม่ ๆ ผมก็ทำอาหารเลี้ยงรับเสียเต็มที่ ...เอาเป็นว่าผมขอแก้ตัวในมื้อเช้าพรุ่งนี้แทนแล้วกันนะครับ”
ธีรัชยิ้มกว้าง แล้วกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มตักพุดดิ้งในถ้วยนั้นกินคำแรก แล้วจึงเบิกตากว้าง จากนั้นจึงตักกินที่เหลือตามมาอย่างรวดเร็วจนหมดถ้วย
“แหม...น่าอิจฉาจังนะคะ ตาก็อยากกินแบบนั้นบ้างเหมือนกัน”
ขวัญตาหันไปบอกกับชานน ซึ่งเชฟหนุ่มก็หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยตอบ
“ผมไม่กล้าทำขนมให้เชฟขนมหวานมือหนึ่งอย่างคุณตาทานหรอกครับ ผมต่างหากที่อยากให้คุณตาทำให้ทานบ้างแทน”
ขวัญตาถอนหายใจ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย เพราะรู้ดีว่าคนพูดไม่ได้ถ่อมตัวเกินงาม แต่พูดออกมาจากใจจริงของตน
“คุณนนน่ะระดับโปรแล้วนะคะ มั่นใจตัวเองเถอะค่ะ ฝีมือขนาดนี้ส่งไปแข่งขันรายการอาหารระดับโลก ยังมีลุ้นชนะเลิศได้สบาย ๆ เลยค่ะ”
ชานนยิ้มน้อย ๆ แล้วโค้งขอบคุณ เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจริงจังอะไร ทำให้ขวัญตาลอบถอนหายใจ สำหรับเธอรู้สึกโชคดีที่ได้มาทำงานร่วมกับชานน เพราะทำให้เธอสามารถเรียนรู้การทำอาหารของอีกฝ่าย และพัฒนาฝีมือของเธอให้เพิ่มมากขึ้น เสียยิ่งกว่าตอนเป็นเชฟขนมอยู่ตามโรงแรมชื่อดังเสียอีก
“คุณนนครับ ไอ้นี่อร่อยจริง ๆ นะครับ ลองทำแล้วเสนอคุณปวีร์ดูเถอะครับ ผมว่ามีคนชอบกินสตอเบอร์รี่มากอยู่นะครับ”
ธีรัชขัดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้ชานนนิ่งคิด ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ตอบอีกฝ่าย
“ครับ...แล้วผมจะลองเสนอคุณปวีร์ดู ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะครับ”
ธีรัชยิ้มตอบ ก่อนจะชะงักเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายที่กำลังเดินไปเตรียมอาหารต่อ หันกลับมาบอกเขา
“แล้วค่ำนี้อย่าลืมแวะมาทานอาหารที่ร้านพร้อมกันนะครับ ผมจะเตรียมส่วนของคุณเอาไว้ด้วย”
คนฟังยิ้มกว้างแล้วพยักหน้าหงึก ๆ อย่างยินดี เขานั่งมองชานนที่ทำงานอย่างชื่นชม และคิดในใจว่าสักวันหนึ่ง เขาจะเป็นคนที่ทำให้คนอื่นยิ้มแย้มและมีความสุข ด้วยฝีมืออาหารของตนเองอย่างที่ชานนเป็นอยู่ให้ได้บ้าง
เวลาบ่ายแก่ ๆ ล่วงเข้าสู่ช่วงเย็น ไกรสรก็ยังคงนั่งขีด ๆ เขียน ๆ อยู่กับโต๊ะ จากนั้นสักพักเขาก็ลุกขึ้น โดยไม่วายหยิบป้ายจองโต๊ะมาวางจองที่เอาไว้ สร้างความหมั่นไส้ให้ขวัญแก้วที่จ้องมองพี่ชายของเธออยู่ จนอดเปรยบ่นกับรุจเบา ๆ ไม่ได้
“ดูเขาสิ ...แบบนี้ร้านเสียโต๊ะไปเปล่า ๆ โต๊ะหนึ่งเลยนะนั่น รุจเองก็ช่วยพูดให้หน่อยสิ หรือจะไล่ไม่ให้มาเลยก็ได้นะ”
“มากไป ๆ น้องสาว แฟนพี่เขายังไม่ว่าสักคำ เธอจะมาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนทำไมกันฮึ”
ไกรสรที่เดินจะเข้ามาในเคาท์เตอร์และได้ยินที่น้องสาวของเขาบ่นเปรยตอบยิ้ม ๆ ทำเอาขวัญแก้วถอนหายใจ ส่วนรุจสั่นศีรษะนิด ๆ อย่างเอือมระอา
“เรียกแฟนเต็มปากเต็มคำเชียวนะคะ ...จะทนได้ถึงสองอาทิตย์หรือเปล่าก็ไม่รู้ เผลอ ๆ จะเรียกเป็นแฟนได้แค่วันนี้พรุ่งนี้เสียล่ะมั้ง”
ขวัญแก้วที่ทราบเรื่องดีจากขวัญตาหลังจากที่เธอเข้าไปพักในรอบสองเปรยบ่น ส่วนรุจนั้นไม่ได้เขินอายอะไรเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวรู้เรื่องที่เขากับพี่ชายเธอพนันไว้ ตรงกันข้ามกลับยิ้มน้อย ๆ แทนเสียอย่างนั้น แถมยังหันไปยิ้มหวานกับไกรสรแทนเสียอีก
“พรุ่งนี้ถ้าจะแวะมาอีก เดี๋ยวผมจะให้มานั่งใกล้ ๆ กว่าเดิมดีไหมครับ”
ไกรสรชะงัก แล้วจ้องมองคนพูดอย่างหวาดระแวง
“ถ้าได้ก็ดีสิ แต่จะให้นั่งตรงไหนล่ะ”
“ก็ให้เฝ้าตู้ขนมหวานนี่ไงครับ แล้วก็ให้ขายให้ด้วยเลย ...งานไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกครับ ดีกว่าไปนั่งแช่เปลืองพื้นที่ร้านเฉย ๆ ตั้งเยอะ”
พอได้ยินคำตอบ ขวัญแก้วก็แทบจะหลุดหัวเราะคิก แม้แต่ราเมศที่ทำเป็นยืนหูทวนลมแถวนั้นยังอดอมยิ้มไม่ได้
“เหอะ...ฉันก็ว่าแล้ว ไอ้เรื่องจะหวังอะไรหวาน ๆ จากเธอคงลืมไปได้เลย... แต่ก็โอเคนะ นั่งใกล้ ๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน แถมจะคุยจะมอง ก็ไม่ต้องกลัวสายตาใคร เพราะตู้มันบังให้หมด จริงไหม”
รุจยิ้มน้อย ๆ ตอบ เพราะแม้แต่สถานการณ์แบบนี้ อีกฝ่ายก็ยังคงจะหยอดคำหวานทำคะแนนกับเขาเข้าให้อีกจนได้
“แต่ตอนนี้ต้องขอตัวห่างสายตาแป๊บก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเอาชุดไปให้วีดูว่าจะสนไหม ให้ตัดเสาร์นี้อาจจะไม่ทัน แต่ถ้าเสาร์หน้าคงพอไหว”
ไกรสรบอกแล้วยกสมุดขึ้นโบกเบา ๆ เป็นการยั่วให้อีกฝ่ายอยากรู้ รุจจ้องมองสมุดเล่มนั้นอย่างนึกสงสัย แต่สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ
“เอาเถอะครับ ...ยังไงแคชเชียร์อย่างผม ก็ไม่ได้ออกไปพรีเซนต์ตัวเองเท่าไหร่ ...และที่สำคัญ ผมมั่นใจว่าคุณคงไม่ให้ผมแต่งตัวแล้วออกมาประหลาด ๆ แน่ ...จริงไหมครับ”
ท้ายประโยคเจ้าตัวยิ้มหวานอ้อนจนคนฟังต้องกลืนน้ำลายลงคอ พลางคิดถึงคำพูดของน้องสาว และเผลอนึกตามว่าตนอาจจะทนได้รอดถึงสองอาทิตย์ไม่ไหวเสียจริง ๆ ก็เป็นได้
“ง่า...งั้นฉันขอตัวก่อนนะ ไว้จะลงมาเฝ้าใหม่”
ไกรสรบอกแล้วก็เดินจากไป ทางด้านขวัญแก้วนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ตามมา แล้วจึงหันมามองหนุ่มน้อยข้างกายเธอ
“ร้ายจริงนะรุจ ...นี่ไม่อยากเป็นแฟนกับพี่ชายของฉันขนาดนั้นเลยหรือไง”
รุจหัวเราะเบา ๆ กับคำถามนั้น เขายิ้มน้อย ๆ ให้หญิงสาวก่อนตอบออกไป
“ไม่รู้สิครับ...ถึงตอนนี้ผมก็ไม่ได้เกลียดเขานะ และถ้าเขาทำได้ตามที่พนันกันไว้ บางทีผมอาจจะเริ่มชอบเขาขึ้นมาบ้างก็ได้...แต่ก็นั่นล่ะครับ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะอย่างนั้นผมก็ยังไม่อยากจะรับปากอะไรมากนัก”
ขวัญแก้วถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ ส่งให้ชายหนุ่ม
“จ้า ๆ แต่ถ้ารู้สึกฝืนใจเมื่อไหร่ก็บอกกันได้นะ ถึงจะเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของฉันก็จริง แต่ฉันก็ไม่ปล่อยให้มารังแกน้องชายที่น่ารักอย่างรุจได้หรอก”
รุจยิ้มตอบแล้วกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายจากใจจริง เขาเองก็ชอบทั้งขวัญแก้วและขวัญตา รวมไปถึงพนักงานทุกคนในร้านแห่งนี้ และคิดกับทุกคนไม่ต่างไปจากเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องเช่นเดียวกัน
ทางด้านไกรสรนั้นหลังจากผละมาจากรุจแล้ว เขาก็เดินเข้ามาหาปวีร์ที่ห้องพักบนชั้นสอง แล้วยื่นสมุดภาพที่ตัวเองดีไซน์ชุดไว้ส่งให้ ปวีร์รับมาดูคร่าว ๆ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ
“ดีไซน์แอบแฝงความต้องการส่วนตัวนี่นาพี่ แบบนี้ไม่ผ่านหรอก”
ไกรสรเบิกตากว้าง แล้วก่อนที่จะโต้แย้งกลับไป ปวีร์ก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตามมา
“ล้อเล่น ๆ ผมก็แค่แซวน่า ระดับพี่ถ้าไม่ผ่านก็แสดงว่าผมต้องไปเช็คสายตาใหม่แล้วล่ะ”
“ทำเอาฉันตกใจหมด...แต่เสาร์นี้คงไม่ทันสินะ...”
ไกรสรเปรยบ่นอย่างโล่งอกพร้อมกับถามต่อ ปวีร์จึงพยักหน้านิด ๆ พลางตอบกลับไป
“อืม...ถ้ามีเวลาอีกสักสองสามวันก็เร่งตัดได้ทันอยู่ แต่ไม่เป็นไร ผมจะเอาไว้สำหรับเสาร์หน้า ดีเหมือนกัน เพราะหยุดยาวก็เอาแต่นอนซม เลยยังไม่ได้คิดเผื่อเอาไว้เลย”
“หึ ๆ น้องชายฉันหนักมือไปหน่อยล่ะสิ”
ไกรสรกระเซ้า ทำเอาปวีร์ชะงักแล้วนึกบ่นตัวเองที่ไม่น่าพูดให้เข้าทางชายหนุ่มเข้าให้เลย สำหรับไกรสรเมื่อเห็นหน้ายุ่ง ๆ ของอีกฝ่าย เขาถึงกับอมยิ้มน้อย ๆ นึกอยากจะแหย่ให้มากกว่านี้ แต่ก็กลัวปวีร์งอนและไม่ยอมเอาชุดที่เขาดีไซน์ไปใช้ แถมเผลอ ๆ จะช่วยร่วมมือกับรุจแกล้งเขาเข้าให้ด้วยล่ะนะ คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องอื่นแทน
“ว่าแต่เสาร์นี้ล่ะ เป็นธีมอะไร บอกฉันหน่อยได้ไหม จะได้เตรียมตัวเก็บภาพเอาไว้หลาย ๆ มุมหน่อย”
“ห้ามถ่ายรูปในร้านนะครับพี่”
ปวีร์แย้งขัด ทำเอาไกรสรต้องตีหน้ายุ่งเมื่อได้ฟัง
“คนกันเองไม่ใช่ลูกค้าสักหน่อย”
“ไม่ได้ ๆ ขืนทำผิดกฎร้าน จะไล่ไม่ให้เข้าร้านสักอาทิตย์เลยนะครับ”
ปวีร์ได้ทีก็แหย่กลับ ทำให้อีกฝ่ายต้องยักไหล่อย่างนึกเซ็ง
“เชอะ...งั้นรอซื้ออัลบั้มแทนก็ได้”
ไกรสรเปรยบอกอย่างติดหมั่นไส้ เพราะรู้จากน้องสาวมาอีกทีว่า ปวีร์นั้นมีโครงการขายอัลบั้มของหนุ่ม ๆ ในร้าน โดยจะจัดเป็นโปรโมชันแลกซื้อครั้งใหม่ ต่อจากโปรโมชันถ่ายรูปร่วมกับพนักงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน
“ถ้าอย่างนั้นค่อยพูดกันได้หน่อย”
ปวีร์ยิ้มรับน้อย ๆ จากนั้นเขาก็ให้ไกรสรดูเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตที่เขาทำขึ้น มีลูกค้ามากมายที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น และเสนอไอเดียสำหรับอีเวนท์พิเศษในแต่ละเสาร์ นอกจากนั้นปวีร์ก็ยังมีการบอกใบ้ถึงอีเวนท์ประจำสัปดาห์ล่วงหน้า 1 – 2 วัน เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจได้รับทราบก่อนอีกด้วย ...ทางด้านไกรสรนั้นอ่านผ่านตาคร่าว ๆ แล้วจึงหันไปถามอีกฝ่าย
“พวกนั้นรู้หรือเปล่าว่านายทำเว็บไซต์แบบนี้น่ะ”
ไกรสรถาม ซึ่งปวีร์ก็ยักไหล่นิด ๆ แทนคำตอบ ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมาคลิกเปิดอัลบั้มรูปในเว็บไซต์ ที่มีลงรูปทั้งแอบถ่ายและรูปที่ถ่ายกับลูกค้าที่ได้ขออนุญาตแล้ว โดยภาพอัพเดทล่าสุดในเว็บ ก็คือภาพหนุ่ม ๆ แต่ละคนในสระว่ายน้ำของอนุชิตเมื่อเสาร์ที่ผ่านมานั่นเอง
“ให้ตายเถอะ! แอบถ่ายอย่างนั้นหรือ...ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่เห็นตากล้องเลยสักนิดน่ะ!”
ไกรสรโพล่งอย่างตกตะลึง ซึ่งปวีร์ก็ยักไหล่แล้วสวนกลับ
“จะสนทำไม ไม่ได้เอารูปพี่ลงเว็บด้วยสักหน่อย ...และนี่ก็คัดแค่ส่วนน้อยมาเท่านั้น รูปอื่นชวนวาบหวิว เรียกเลือด ยังมีอีกเป็นร้อย ๆ รูป ...ที่ลงไว้นี่ก็แค่จะช่วยโปรโมทสระของคุณอนุชิตเขาเท่านั้น... ของดีของเด็ดจริง ๆ มันไม่มีให้ดูฟรี ๆ กันหรอกนะ”
ไกรสรมองอีกฝ่ายตาปริบ ๆ เขาเลื่อนหน้าเว็บลงมาดู แล้วก็เห็นภาพบางภาพที่ติดโมเสกบาง ๆ แต่ก็พอจะเดาออกว่าเป็นรูปใครบ้าง นอกจากนี้ก็ยังมีคำโปรยใต้ภาพ เกี่ยวกับโปรโมชั่นอัลบั้มรวมภาพหนุ่ม ๆ ในชุดว่ายน้ำของทางร้านโฆษณาเอาไว้ล่วงหน้าอีกด้วย
“นายนี่มัน...ถ้าพวกนั้นรู้เข้าล่ะก็ มีหวังโกรธตาย”
ไกรสรเปรยบ่น แต่ปวีร์กลับหัวเราะในลำคออย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่หรอก พวกนั้นเขาเซ็นสัญญารับทราบเรื่องนี้กันดีตั้งแต่ตอนก่อนทำงานแล้ว พวกเขาก็น่าจะต้องเฉลียวใจ ว่าจะต้องเจออะไรทำนองนี้กันบ้างล่ะนะ”
คนฟังถอนหายใจเบา ๆ เขาเลื่อนไปดูภาพรุจในชุดว่ายน้ำด้านบนอีกรอบ แล้วจึงหันมาบอกกับปวีร์
“งั้นฉันจองอัลบั้มชุดว่ายน้ำนี่ด้วย ...อ้อ! ถ้านายจะขายไฟล์ภาพด้วยฉันก็ยินดีซื้อ ฉันจะเอาไปอัดภาพเซ็กซี่ของรุจสักภาพ แล้วขยายใหญ่ ๆ ใส่กรอบไว้ติดที่ห้องนอนน่ะ”
ปวีร์จ้องมองคนพูดนิ่ง ก่อนจะสั่นศีรษะไปมาอย่างเอือมระอา เพราะเท่าที่เขาสังเกต ไกรสรนั้นมาไกลเกินการจีบเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายพอสมควรแล้ว และพอจะสรุปได้ว่า ชายหนุ่มนั้นกำลังอยู่ในช่วงคลั่งไคล้พนักงานของเขาเอามาก ๆ เลยทีเดียว
“สำหรับไฟล์ภาพผมแถมให้ฟรีก็ได้พี่... แต่ใจคอจะอัดใส่กรอบแล้วติดไว้ในห้องนอนจริง ๆ น่ะหรือ”
“ก็งั้นสิ...รูปแฟนทั้งคนนี่นะ”
ปวีร์มองคนพูดที่เหมาเอาเองตาปริบ ๆ เขาก็พอได้ยินเรื่องเกมที่ไกรสรกับรุจพนันกันไว้บ้างอยู่หรอก แต่เท่าที่ฟังจากเงื่อนไขที่ชายหนุ่มและพนักงานของเขาพนันกัน งานนี้เห็นทีไกรสรคงจะชนะลำบากเสียแล้ว
“งั้นก็ตามใจพี่แล้วกัน...ส่วนแบบชุดนี่ผมเก็บไว้นะ เดี๋ยววันจันทร์จะส่งให้ร้านประจำจัดการทีหลัง”
ไกรสรพยักหน้ารับรู้ จากนั้นเจ้าตัวจึงขอตัวกลับลงไปชั้นล่างเพื่อไปเฝ้ารุจต่อ ทำเอาปวีร์ต้องถอนหายใจไล่หลังตามไปอย่างเอือมระอา ก่อนจะหยิบแบบชุดที่อีกฝ่ายดีไซน์เอาไว้มาดูอีกครั้ง พลางอมยิ้มน้อย ๆ ติดเจ้าเล่ห์ แล้วจึงพึมพำกับตัวเองแผ่วเบา
“ไม่รู้พวกนั้นจะยอมใส่หรือเปล่านะ ...แต่ที่แน่ ๆ ถ้าลูกค้ารู้ล่ะก็ เสาร์หน้าคนคงเต็มร้านอีกแหง ๆ”
… TBC …
** เหตุการณ์ก็ยังคงดำเนินไปแบบเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เหมือนเคย ...หวังว่านักอ่านคงยังไม่เบื่อกันก่อนนะคะ ^^" สำหรับนิยายเรื่องนี้มีกำหนดจบในเดือนนี้ค่ะ ก็คงเป็นเคลียร์ครบทุกคู่ แถมตอนพิเศษนิดหน่อย ก็คงจบสำหรับเรื่่องนี้ค่ะ 