** ตอนนี้หวานแบบจัดเต็ม!! แต่เป็นคู่ใครอันนี้ต้องอ่านเอาเองนะคะ ^^ ....
ป.ล. ใครที่แพ้น้ำตาลกรุณาหลีกเลี่ยงตอนนี้ค่ะ 
Miracle Café / 35
การินนั้นยังคงรั้นที่จะมาทำงานตามปกติ แม้เพื่อน ๆ จะบอกให้เขาพักผ่อนอยู่บ้านพักก็ตาม
“นายนี่มันดื้อกว่าที่คิดไว้อีกนะริน”
กวินเปรยกับคนที่เดินมาด้วยกัน หลังจากที่เขาลองพูดให้เจ้าตัวหยุดพักผ่อนแล้ว แต่ไม่สำเร็จ
“ก็แค่ปวดหัวนิดหน่อยเอง...ไม่ได้ป่วยสักหน่อย ฉันยังทำงานได้น่า”
การินแย้งกลับค่อย ๆ ทำให้กวินยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะแสร้งเปรยขึ้น
“แล้วถ้าฉันหยุดเป็นเพื่อนล่ะ จะหยุดด้วยกันไหม”
คนฟังชะงัก หน้าแดงนิด ๆ ก่อนจะทำเป็นบ่นใส่
“หาเรื่องให้โดนอาหักเงินเดือนหรือไง หยุดเพราะเมาค้าง มันไม่เหมือนหยุดเพราะป่วยหรอกนะ”
“โอเค ๆ นึกว่าจะดีใจที่จะได้หยุดด้วยกันเสียอีก”
กวินเปรยเบา ๆ แต่กลับทำให้คนฟังสะดุ้ง หน้าแดงระเรื่อ แล้วแสร้งทำเป็นเมินมองไปทางอื่น ให้อีกคนที่ได้เห็นต้องอมยิ้ม
“คู่นั้นเขาสวีทกันน่าอิจฉาจังเนอะ ขนาดอีกฝ่ายยังไม่ได้สารภาพแท้ ๆ เลยนะ ...พวกนายว่าไหม”
รุจที่เดินตามทั้งสองคนอยู่ห่าง ๆ หันมาถามภูริและวาโยที่เดินมาด้วยกันกับเขา
“ก็ช่างเขาสิ ไม่เห็นเกี่ยวกับฉันสักหน่อย”
ภูริทำเป็นตัดบทอย่างรำคาญ แต่วาโยนั้นหน้าแดงวาบ แล้วก้มหน้าหลบตาคนพูดด้วยความเขิน
“หึ ๆ ยังไร้ความโรแมนติกเหมือนเคย ...ไง โย เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ...ถึงวินจะโอเคกับรินแล้ว แต่ฉันยังว่างอยู่นะ”
รุจชะโงกหน้ามาถามคนตัวเล็กใกล้ ๆ จนภูริที่มองอยู่สะดุ้งโหยง แล้วดึงร่างของวาโยไปกอดอย่างลืมตัว
“รุจ! ไม่ต้องเลยนะ ถึงจะล้อเล่นก็ห้ามยุ่ง!”
วาโยหน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก ส่วนรุจนั้นหัวเราะในลำคออย่างขบขันกับท่าทางที่รูมเมทแสดงให้เห็น
“โอเค ๆ ไม่ยุ่งก็ได้ ...หึ ทำเป็นเฉย ๆ แต่จริง ๆ ก็ขี้หึงใช่เล่นนี่นะนายน่ะ”
ภูริชะงัก หน้าแดงนิด ๆ แล้วรีบปล่อยมือที่กอดอีกฝ่ายออก ก่อนจะกระแอมเบา ๆ แล้วทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไปทำงานกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณปวีร์มาแล้วไม่เจอใคร ก็จะโดนบ่นกันเสียเปล่า ๆ”
วาโยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ภูริปล่อยเขาออกจากอ้อมกอด แม้จะไม่รังเกียจอะไร แต่การที่ถูกกอดต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกอายจนทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาได้เหมือนกัน
“คุณปวีร์น่ะหรือ...ฉันว่าอย่างดีก็วันนี้ มะรืนนี้ ถึงจะมานั่นล่ะ ‘อาการป่วย’ ของเขาน่ะ ต้องใช้เวลารักษาสักพักเหมือนกันล่ะนะ”
“คุณรุจรู้ด้วยหรือครับว่าคุณปวีร์ไม่สบายเป็นอะไร”
วาโยถามด้วยใบหน้าไร้เดียงสา จนรุจนึกอยากแกล้งบอกความจริงออกไป แต่ก็เกรงใจทั้งราเมศและปวีร์ ที่แม้จะไม่ได้ปิดเรื่องนี้เป็นความลับจริงจังกับพวกเขา แต่เรื่องส่วนตัวแบบนี้ รุจคิดว่ารอให้แต่ละคนรู้สึกตัวเอง หรือปวีร์เป็นฝ่ายบอกเองคงจะดีกว่า
“ก็...ไม่แน่ใจนักหรอก แต่คิดว่าอย่างนั้นน่ะ... อืม...ฉันว่าเรารีบไปกันเถอะ สองคนนั้นเดินไม่รอจนถึงร้านแล้วมั้งป่านนี้”
ชายหนุ่มบอกยิ้ม ๆ ก่อนจะเอ่ยตัดบทเพราะกวินและการินนั้นเดินนำพวกเขาไปลิบ ๆ จนแทบไม่เห็นตัวแล้ว
“อ๊ะ! สองคนนั่นเดินไวชะมัด”
วาโยอุทานแล้วเร่งฝีเท้าเดินตามเพื่อนของเขาไป โดยที่ภูรินั้นทอดถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเดินตามวาโยไปไม่ห่าง ส่วนรุจนั้นเดินตามคนอื่นไปอย่างสบาย ๆ ไม่เร่งรีบอะไรนัก
วันนี้พวกวาโยก็ได้ทราบข่าวจากราเมศว่าปวีร์นั้นยังคงหยุดพักฟื้นต่ออีก แต่มะรืนนี้เจ้าตัวจะมาทำงานตามเดิม ทำให้วาโยรู้สึกโล่งอกที่อาการป่วยของอีกฝ่ายไม่ได้หนักหนาอย่างที่ตนกังวล
“ฝากบอกคุณปวีร์ด้วยนะครับ ว่าขอโทษที่ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”
วาโยบอกกับราเมศทำให้คนฟังยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยตอบ
“ไม่ต้องคิดมากหรอก งานพวกเธอก็เยอะแยะมากมายแทบหาเวลาว่างไม่ได้อยู่แล้ว ขนาดเมื่อวานที่พวกแก้วกับตาไปเยี่ยม ฉันยังต้องปลุกเขามาคุยเลย”
วาโยยิ้มเจื่อน ๆ โชคดีที่เขาไม่ได้ตามพวกขวัญแก้วไปเยี่ยมชายหนุ่มเมื่อวาน ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกแย่ที่ไปรบกวนเวลาพักผ่อนของปวีร์เข้าให้แน่
จากนั้นต่างคนก็แยกย้ายกันไปเตรียมจัดร้าน วันนี้บรรยากาศของพนักงานแต่ละคนดูดีขึ้นจนราเมศสังเกตได้ เขาอมยิ้มน้อย ๆ ดีใจที่เรื่องราวทั้งหลายผ่านพ้นไปด้วยดี อีกอย่างเขาก็ชอบที่ทุกคนในร้านมีรอยยิ้มให้แก่กันแบบนี้มากกว่า
และเมื่อถึงเวลาทำงานพาร์ทไทม์ของธีรัช เจ้าตัวก็เฝ้าสังเกตเพื่อนร่วมงานแต่ละคนสักพัก แล้วจึงขมวดคิ้วนิด ๆ ก่อนจะเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปถามกวินที่กำลังยืนดูแลลูกค้าที่นั่งส่วนด้านนอกร้าน
“นี่...ไปสังเกตมาแล้วหรือไง...รู้อะไรดี ๆ แล้วใช่ไหมล่ะ”
กวินเหลือบมองธีรัช เขาอมยิ้มนิด ๆ พลางยักไหล่
“พูดอะไรหรือครับ ผมไม่เห็นเข้าใจสักนิด”
คนรอฟังคำตอบชะงัก แล้วหรี่ตามองอีกฝ่ายนิ่งอย่างพิจารณา ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ
“งั้นหรือ...ดีแล้ว งั้นฉันจะได้ลงสนาม สานต่อสักที”
กวินสะดุ้งแล้วจ้องคนพูดเขม็ง ก่อนจะเปรยขึ้นเสียงค่อนข้างห้วน
“ไม่ได้นะครับ...ยังไงก็ไม่ยกให้แน่นอนสำหรับคนนี้”
ธีรัชซ่อนยิ้มไว้ในสีหน้า แล้วจึงทำหน้าเหรอหรากลับไป
“คนนี้...คนไหนล่ะ จะใช่คนเดียวกับที่ฉันเล็งหรือเปล่าหนอ”
กวินนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้สึกตัวว่าโดนแหย่เข้าให้แล้ว
“ขอโทษครับที่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแต่แรก ...ผมรู้เรื่องที่...เอ่อ...รินเขาแอบชอบผมแล้วล่ะครับ”
ธีรัชหัวเราะในลำคอ แล้วตบบ่าอีกฝ่ายค่อย ๆ อย่างไม่ถือสา
“ฉันก็รู้ว่านายน่าจะรู้ โทษทีแล้วกันที่แกล้งแหย่ ก็แค่อยากเช็คดู เป็นแบบนี้ก็น่าดีใจแทนคุณหนูนั่นด้วยล่ะนะ”
“ขอโทษนะครับ...เอ่อ เรื่องริน”
เพราะคิดว่าอีกฝ่ายนั้นคงชอบการินจริง กวินจึงรู้สึกไม่ค่อยดีที่ทำเหมือนแย่งการินมาจากธีรัชแบบนี้
“หือ...อ้อ...เรื่องคุณหนูน่ะหรือ หึ ๆ ไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่ได้รู้สึกแย่อะไรหรอก อีกอย่างปกติฉันไม่ค่อยชอบยุ่งกับคนหัวใจไม่ว่าง ยกเว้นเจ้าของหัวใจเขาจะไม่แล อันนั้นฉันถึงจะค่อยเข้าไปปลอบอีกฝ่ายตามหน้าที่สุภาพบุรุษที่ดีล่ะนะ”
ธีรัชบอกยิ้ม ๆ และเมื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มอย่างโล่งอก เขาจึงกระซิบถามตามมา
“แล้วเป็นไง ...สังเกตได้เอง หรือเขาสารภาพล่ะ ...แต่ถ้าให้เดาล่ะนะขี้อายแบบนั้นคงไม่กล้าพูดเองแน่”
กวินนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำ ก่อนจะตอบกลับไป
“เสียใจที่ต้องบอกว่าเดาผิดนะครับ รายนั้นบอกกับผมเองนะครับ บอกซะเสียงดัง เล่นเอาห้องข้าง ๆ ได้ยินกันไปหมดทีเดียว...”
ธีรัชเบิกตากว้าง แล้วรีบถามกลับทันที
“ฮ้า! เป็นไปได้หรือนั่น!”
“หึ ๆ เป็นไปได้สิครับ ก็เล่นเมาแอ๋เสียขนาดนั้น”
กวินเฉลย ทำให้คนฟังชะงักก่อนจะหลุดหัวเราะตามมา
“ให้ตายเถอะ! ไอ้เราก็นึกว่ากล้าพูดจริง ๆ ...แล้วไง นี่ตื่นมาคงจำไม่ได้เลยล่ะสิท่า”
“ก็งั้นล่ะครับ...แต่ก็หวิดจะรู้หลายครั้งเพราะถูกคุณรุจแซว กับโดนพวกโยหลบตานี่ล่ะครับ... แต่เอาเถอะครับ เพราะยังไงผมก็ตั้งใจจะเคลียร์กันให้รู้เรื่องไปเลยสักทีเหมือนกัน”
กวินบอกตามตรงพร้อมยิ้มน้อย ๆ ซึ่งธีรัชก็ยิ้มตอบและอวยพรให้อีกฝ่ายโชคดี ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นการินที่อยู่ด้านในมองพวกเขาอย่างสนใจ
“อ๊ะ! คุณหนูมองมาแล้ว น่ากลัวต้องสงสัยว่าเราคุยอะไรกันอยู่แน่ ...แล้วอย่าหลุดปากล่ะ ว่าบอกเรื่องนี้กับฉันด้วย ไม่งั้นนายโดนงอนแน่นอน อันนี้ฉันมั่นใจมากเลยนะว่าต้องเดาถูกน่ะ”
กวินยิ้มเจื่อน ๆ เขาเองก็คิดว่าถ้าการินรู้เรื่องที่เขาเล่าให้ธีรัชฟัง อีกฝ่ายก็ต้องทั้งงอนทั้งโมโหเขาแน่
“งั้นผมเลี่ยงไม่บอกเรื่องคุณไว้แล้วกัน ...ว่าแต่ถ้าเขาซักล่ะครับ”
“ก็บอกว่าพวกเราคุยเรื่องความน่ารักของเขากันอยู่แทนสิ รับรองไม่กล้าซักต่อแน่ ...แล้วมันก็ยังเป็นเรื่องจริงด้วยไม่ใช่หรือ”
กวินอมยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นธีรัชจึงขอตัวเข้าไปดูแลด้านในต่อ และการินก็เดินออกมาช่วยกวินทางด้านนอกแทน
“คุยอะไรกันน่ะ...เห็นหมอนั่นหัวเราะด้วย”
“อ๋อ…คุณธีรัชเขารู้ว่าฉันอกหัก เขาเลยเสนอตัวมาดามหัวใจให้ฉันแทนน่ะ”
กวินแกล้งบอก ทำให้การินเบิกตาค้าง แล้วมองหน้ากวินอย่างตกใจ
“แล้วนายบอกว่าไง ตกลงกับเขาหรือเปล่า!”
กวินมองอีกฝ่ายแล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกขำ ก่อนจะตบบ่าชายหนุ่มหน้าสวยเบา ๆ
“ขอโทษ ฉันล้อเล่นน่ะ เชื่อด้วยหรือ”
“อ๊ะ...เจ้าบ้า นี่นายแกล้งหลอกฉันหรือไง!”
การินบอกอย่างงอน ๆ แต่ก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายกระซิบบอกเขา
“ขอโทษ...จริง ๆ แล้วเราคุยกันเรื่องนายต่างหากน่ะ”
การินนิ่งอึ้งแล้วหันมามองคนพูดอย่างสงสัย
“เรื่องฉัน...เรื่องอะไร....หรือว่า...”
คนพูดหน้าซีดเผือด เพราะคิดว่าธีรัชจะเอาความลับเรื่องที่เขาแอบชอบกวินไปบอกเจ้าตัว
“คุณธีรัชเขาบอกฉันว่า นายน่ะน่ารัก น่าจีบ แต่น่าเสียดาย ที่นายหัวใจไม่ว่างเสียแล้ว เขาก็เลยต้องถอนตัว... ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยริน ว่านายมีคนที่ชอบแล้ว ไม่เห็นบอกกันบ้างเลยนะ”
กวินพูดออกไปแล้วรอคอยดูปฏิกิริยาของอีกฝ่าย การินหน้าร้อนวูบวาบจนต้องเบือนหน้าหลบ พลางอุบอิบตอบชายหนุ่มเบา ๆ
“กะ...ก็... ฉันไม่กล้าพูดนี่”
“ขนาดฉันยังกล้าบอกเลยนะ นายก็บอกมาเถอะ รับรองฉันไม่ล้อนายแน่”
การินฟังแล้วก็หน้าแดงหนักยิ่งขึ้น และก่อนที่กวินจะซักไซ้เขาต่อ ลูกค้าโต๊ะหนึ่งก็เรียกชายหนุ่มไปคิดเงิน กวินขานรับลูกค้าเสียงดังอย่างร่าเริง แล้วจึงหันกลับมากระซิบบอกคนข้างกาย
“งั้นไว้ฉันจะรอคำตอบจากนายตอนพักนะริน... และฉันก็มีเรื่องบางอย่างจะเล่าให้นายฟังตามสัญญาที่ให้ไว้ของเราด้วยล่ะ”
การินมองตามอีกฝ่ายไปด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ ก่อนจะพยายามปรับตัวปรับใจให้เป็นปกติ เพื่อทำหน้าที่ของตนต่อไป
ช่วงพักกลางวันรอบแรก เป็นเวรพักของกวินและการิน ตามปกติชายหนุ่มหน้าสวยก็มักจะเข้าไปพักตามกำหนดเวลาของตน มีวันนี้นี่ล่ะที่เจ้าตัวเถลไถลถ่วงเวลา จนกวินต้องออกมาดึงแขนอีกฝ่ายให้ตามเข้าไปพักด้วยกันในที่สุด
“ปล่อยนะวิน ...ฉันยังมีงานต้องทำอีกนะ”
“งานนายก็ให้พวกโยทำต่อสิ ...นี่มันเวลาพักพวกเราไม่ใช่หรือไง ...อ้อ คุณนนครับ ขอยกข้าวขึ้นไปกินข้างบนได้ไหมครับ”
กวินดุอีกฝ่าย แล้วหันไปถามเชฟหนุ่มที่กำลังจัดแต่งจานอาหารให้ลูกค้าอยู่
“ตามสบายเลยครับคุณวิน”
ชานนตอบพร้อมรอยยิ้ม และหันไปสนใจอาหารข้างหน้าต่อ ส่วนขวัญตาเหลือบมองสองหนุ่ม แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กับพี่สาวของเธอที่ก็นั่งกินอาหารกลางวันอยู่ในห้องด้วยเช่นกัน
“เอ้า! ยกจานตามไปสิ เร็วเข้า”
กวินหันไปสั่งคนตัวเล็กกว่า การินนั้นบ่นอุบ แต่ก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายบอกแต่โดยดี พวกเขามานั่งกินข้าวที่ห้องพักบนชั้นสอง โดยระหว่างกินการินก็ลอบมองคนที่นั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อยเป็นระยะ
“ริน...ต้องช่วยป้อนด้วยไหม... กินช้าเชียว”
กวินเอ่ยแซว เขารู้อยู่หรอกว่าถูกแอบมอง แต่ก็อดที่จะแกล้งแหย่ให้อีกฝ่ายเขินไม่ได้
“มะ...ไม่ต้อง! ฉันกินเองได้!”
การินรีบบอกและรีบตักข้าวในจานกินไปจนเกือบติดคอ ร้อนถึงคนที่ดูอยู่ต้องเดินไปรินน้ำมาให้อีกฝ่ายดื่ม
“เอ้า ดื่มซะ ไม่ต้องรีบกินขนาดนั้นหรอก ฉันไม่แย่งนายหรอกน่า”
การินหน้าแดงวาบ เขาดื่มน้ำที่ได้รับมาจากอีกฝ่ายและกินข้าวที่เหลือต่อจนหมด ก่อนจะนั่งมองไปทางอื่นอย่างอึดอัด เพราะกวินเล่นจ้องเขาแทบไม่กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ
“นายจะมองอะไรน่ะวิน ไม่เคยเห็นคนหรือไง!”
การินที่ทนไม่ไหวโพล่งใส่ด้วยความเขินปนอึดอัด ทางด้านกวินเลิกคิ้วนิด ๆ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปาก ก่อนจะย้อนกลับไป
“ฉันก็แค่รอให้นายบอกเรื่องคนที่นายแอบชอบน่ะ ตกลงจะบอกฉันได้หรือยัง”
การินชะงักกึก หน้าแดงก่ำ ก้มหน้ามองพื้น พูดอะไรไม่ออก จนกวินต้องอมยิ้ม แล้วแสร้งทำเป็นถอนหายใจหนัก ๆ ตามมา
“บอกกันไม่ได้จริง ๆ หรือริน ...หรือว่าฉันไม่มีค่าพอ จะเป็นที่ปรึกษาของนายกัน”
การินสะดุ้งเฮือก รีบเงยหน้ามองอีกฝ่าย ก่อนจะโพล่งบอกด้วยความตกใจ
“ไม่ใช่นะ! ฉันก็แค่...ฉันก็แค่...”
คนหน้าแดงยิ่งหน้าแดงหนัก แถมยังทำตาเหมือนจะร้องไห้จนกวินนึกสงสาร เจ้าตัวจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขัดขึ้น
“โอเค ๆ ยังไม่บอกก็ไม่เป็นไร ...งั้นมาฟังเรื่องของฉันแทนดีกว่า จำได้ไหมเรื่องที่ฉันสัญญาว่าจะบอกนายน่ะ...”
การินชะงัก ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ ด้วยใบหน้าที่ยังคงแดงระเรื่อ
“อืม...จะเริ่มยังไงดีนะ...คือเมื่อคืนนายดื่มหนักจนฉันต้องห้าม แล้วนายก็ไม่ยอม จะแย่งเบียร์คืนไปให้ได้ ...พอจะจำได้บ้างไหม”
การินนิ่วหน้าพลางสั่นศีรษะค่อย ๆ เพราะเขาจำเรื่องที่กวินเล่าไม่ได้เลยสักนิด
“...จำไม่ได้สินะ...ก็เอาเป็นว่านายจะแย่งคืน แต่ฉันไม่ให้ นายก็เลยล้มมาทับตัวฉัน แล้วก็...เอ่อ บอกว่านายน่ะแอบชอบฉัน...พอฉันย้อนถามเพราะไม่แน่ใจว่าฟังผิดหรือเปล่า นายก็ตะโกนเสียจนได้ยินกันแทบทั้งบ้านพักเลยมั้งว่า นายชอบฉันน่ะ จำได้บ้างไหม?”
เท่านั้นเอง การินก็หน้าแดงก่ำ พูดอะไรไม่ออก ชายหนุ่มตกอยู่ในสภาพช็อกสุดขีดด้วยความอับอาย จนกระทั่งกวินขยับเข้ามาใกล้ ก่อนจะถามพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ
“แล้วตกลงบอกฉันได้หรือยังล่ะว่า คนที่นายแอบชอบเป็นใคร...หือ?”
เท่านั้นเอง การินก็เกิดอาการสติแตก เขาตะโกนโวยวายต่อว่าคนตรงหน้าลั่น พร้อมกับทำท่าจะวิ่งหนีไปจากห้อง แต่ก็ถูกกวินรวบตัวไว้ได้ก่อน
“ชู่ว! ใจเย็น ๆ ริน ...ไม่เป็นไรนะ ไม่ต้องอายก็ได้...ฉันรู้แล้วยังไม่เห็นจะอายตรงไหนเลย”
“ไอ้บ้า! ปล่อยฉันนะ! ฉันไม่ได้ชอบนายสักหน่อย! ฉันก็แค่เมาแล้วเผลอพูดเพ้อเจ้อเท่านั้น!”
คนโดนกอดโวยวายด้วยใบหน้าแดงก่ำ อายจนไม่รู้จะทำยังไง และอยากจะมุดดินหนีไปเสียถ้าทำได้ด้วยซ้ำ
“จริงหรือ...ไม่ชอบจริงหรือ...อย่างนี้ฉันก็ต้องอกหักอีกรอบสินะ..”
กวินกระซิบถามข้างหู ทำให้คนกำลังดิ้นชะงักกึก แล้วมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“วิน...นาย....ไม่จริง...โกหกใช่ไหม....”
การินถามด้วยน้ำเสียงแผ่วแทบไม่พ้นลำคอ ด้วยใบหน้าตกตะลึง ทางด้านกวินนั้นแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยตอบในสิ่งที่ทำให้คนฟังต้องหลุดน้ำตาไหลออกมาอย่างลืมตัว
“ฉันดีใจนะริน ขอบใจที่รักฉัน ...แล้วก็ขอโทษที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลย”
“ฉัน...ฉัน...”
การินพูดอะไรไม่ออก ทั้งที่มีคำพูดอยากจะบอกคนตรงหน้ามากมาย แต่เหมือนคำพูดทุกคำกลับมาติดอยู่ที่ลำคอเขาดื้อ ๆ เสียอย่างนั้น
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้วล่ะริน... ฉันเข้าใจดีทุกอย่างแล้ว ...แล้วก็ เอ่อ...อาจจะดูเหมือนคนใจง่ายไปนิด...คือว่า ถ้านายไม่รังเกียจล่ะก็... เราสองคน...จะคบกันแบบนั้นได้ไหม...เอ่อ แต่ถ้ามันเร็วไป แล้วนายยังเตรียมใจไม่ทัน หรือไม่สะดวกใจยังไง ก็บอกได้นะ ฉันรอได้อยู่แล้ว”
กวินเอ่ยตามมา ด้วยใบหน้าขัดเขินเล็กน้อย แต่ก็ยังคงจ้องอีกฝ่ายอย่างรอคำตอบ การินปาดน้ำตาตัวเอง แล้วโผเข้ากอดอีกฝ่ายแน่น พร้อมกับบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอู้อี้
“จะรังเกียจได้ยังไงเล่า เจ้าบ้า!”
กวินชะงักกึก ขมวดคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความดีใจตามมา
“หมายความว่า นายโอเคสินะ!”
การินหน้าแดงก่ำ พลางก้มหน้าซุกกับอกของอีกฝ่ายงุด ๆ ไม่ยอมบอก ทำให้กวินต้องดันร่างบางออกมา แล้วย้ำถามอีกครั้ง
“ริน...ตกลงโอเคใช่ไหม ยอมคบกันแบบแฟนแล้วสินะ...”
การินหน้าแดงหนักขึ้นอีก ชายหนุ่มทุบอกกวินดังปึก จนเจ้าของร่างสูดปากด้วยความเจ็บ เพราะอีกฝ่ายเล่นตีด้วยความเขินเสียเต็มแรง
“แค่นั้นแปลเองไม่ออกหรือไง!”
“ก็อยากได้ยินชัด ๆ อีกรอบนี่นา ...”
กวินอ้อน แล้วทำตาละห้อย จนคนมองนึกขำ ก่อนจะยอมบอกออกไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิว อย่างเขินอายเต็มที่
“ฉันรักนาย...แล้วก็ยินดีที่จะเป็นแฟนกับนายด้วย”
คนฟังยิ้มกว้าง พลางยกตัวคนตรงหน้าหมุนไปมารอบห้องอย่างยินดี จนการินต้องทุบบ่าอีกฝ่ายให้ปล่อยเขาลงอย่างตกใจ
“อุ๊บ! มือหนักจังนะเรา ตัวก็นิดเดียวแท้ ๆ”
กวินบ่นอุบที่ถูกอีกฝ่ายทุบเอาเข้าแรง ๆ แบบนั้น
“ไม่ต้องมาบ่นเลย! จู่ ๆ ก็จับหมุนแบบนั้น ฉันก็ตาลายพอดีน่ะสิ!”
การินแย้งอย่างกึ่งฉุนกึ่งขำนิด ๆ กวินแสร้งทำหน้าเศร้า แต่พอการินเผลอ ชายหนุ่มก็ขโมยหอมแก้มเข้าให้หนึ่งฟอด
“วิน!” ชายหนุ่มหน้าสวยอุทานด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างตกใจ ทางด้านกวินหัวเราะเบา ๆ แล้วเหลือบนาฬิกา ก่อนรีบยกมือห้ามเมื่ออีกฝ่ายเตรียมจะเข้ามาเล่นงานเขาด้วยความเขิน
“อ๊ะ ๆ อย่าเพิ่งมาเล่นตบจูบกันตอนนี้ นี่ใกล้เวลาทำงานแล้ว มันคงไม่ดีใช่ไหม ที่คนอื่นจะขึ้นมาแล้วเห็นตอนเราจู๋จี๋กันน่ะ หือ?”
กวินแกล้งแหย่ ก่อนจะรีบยกจานของเขาและของการินลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้อีกฝ่ายกำลังมองหาหมอนหรือของใกล้มือเพื่อเขวี้ยงใส่เขาแก้เขินยกใหญ่อย่างจริงจังเลยทีเดียว
... TBC ...
เป็นไงคะ สำหรับคู่นี้ มาไวเคลมไวทันใจดีไหมเนี่ย
(อาจจะไวเกินไปด้วยซ้ำ) ส่วนแม่ยกคู่อื่น ๆ ไม่ต้องกลัวน้อยหน้าค่ะ ช่วงนี้หนุ่ม ๆ ขนน้ำตาลมากันเพียบ จะพยายามเขียนไม่ให้ใครน้อยหน้าใครเลยแล้วกันนะคะ ^^"