สวัสดีค่ะทุกคน หายไปนานเลยคราวนี้ ลืมพี่วินกับน้องปอมกันไปหรือยัง
รู้สึกไม่ดีเลยที่ทิ้งช่วงไปนานแบบนี้ เพราะนอกจากจะทำให้คนอ่านจะอารมณ์ไม่ต่อเนื่องแล้ว ยังรู้สึกเหมือนกับว่าจำนวนคอมเม้นท์จะลดน้อยลงไปด้วย T___T คนอ่านขาประจำบางคนก็หายหน้าไป เราคิดถึงนะ

ยังไงก็ยังอยากให้ติดตามเรื่องราวต่อไปจนจบเน้อ สัญญาว่าจะเขียนมาลงให้เร็วที่สุดเท่าที่ทุกอย่างจะเอื้ออำนวย
เหตุผลที่มาช้าก็ตามที่เคยบอกไปในตอนที่แล้วเลยค่ะ คือช่วงนี้งานเยอะมาก ใครที่เรียนสถาปัตย์หรือมีพี่มีน้องมีเพื่อนเรียนสถาปัตย์ก็คงรู้ดีว่าเวลาทำโปรเจ็คมันกินเวลาชีวิตไปแค่ไหน ส่วนหนังสั้นที่เคยบอกไปก็เพิ่งจะทำเสร็จเมื่อวานสดๆร้อนๆ เสร็จปุ๊บก็รีบมาเขียนต่อปั๊บเลย
สำหรับวันนี้ ทำโพลมาให้โหวตกันเล่นๆค่ะ ลองไปโหวตกันดูนะ ผลโหวตไม่ได้จะเอาไปทำอะไร แค่อยากรู้เฉยๆ
ขอบคุณทุกท่านจากใจจริงที่ยังคงติดตามมาถึงตอนนี้ค่ะ
หัวใจหลังเลนส์
#28
เกิดความเงียบขึ้นมาพักใหญ่ คนที่เพิ่งจะยอมรับความรู้สึกกลายๆได้แต่ก้มหน้าก้มตามองพื้นด้วยไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้ควรทำตัวแบบไหน ในขณะที่คนที่เหลือก็ยืนนึกทบทวนคำตอบที่ได้ฟังเมื่อครู่พลางอมยิ้มเต็มแก้ม
แล้วในที่สุดก็เป็นอ้นที่ทำลายความเงียบขึ้นมาเมื่อหันไปสังเกตเห็นสีหน้าของคนที่นั่งอยู่ตรงขั้นบันได
“เห้ย มึงหน้าแดงอ่ะไอ้ปอม” พูดจบฝ่ามือหยาบกร้านของอ้นก็เอื้อมมาจับคางเพื่อนรักตัวเล็กของตนหมุนไปหมุนมาเพื่อสำรวจให้ทั่วใบหน้าอีกฝ่ายชัดๆ
สีเลือดฝาดจางๆบนแก้มขาวทั้งสองข้างนั้นปรากฏเด่นชัด เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีว่าเพื่อนของเขากำลัง...เขิน
จักรวาลปัดมือคนตรงหน้าออกจากเรียวคางของตนพร้อมโวยวายขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อน คือจริงๆก็พอจะรู้ตัวล่ะนะว่าหน้ามันร้อนๆ “ห่าอะไรเนี่ย ไม่แดงเว้ย!”
“โถ น่ารักจริงพ่อคุณ” อ้นโยกหัวโยกตัวเพื่อนรักไปมาด้วยท่าทีกวนประสาท แต่ลึกๆแล้วก็รู้สึกเอ็นดูไอ้เตี้ยนี่จริงๆนั่นแหละ สมาชิกในกลุ่มคนที่เหลือเองก็พากันช่วยผสมโรงแกล้งจักรวาลไปด้วย
ลูบหน้าลูบหัวกันอยู่อย่างนั้นสักพัก คนที่นั่งอยู่กลางวงก็ถามออกมาเสียงแผ่ว เรียกให้เพื่อนๆทั้งหมดต้องเงี่ยหูฟัง
“พวกมึงไม่รังเกียจเหรอวะ...”
ได้ยินดังนั้นคนฟังก็ต้องขมวดคิ้วลง ก่อนจะเป็นเจที่ถามขึ้นมา “รังเกียจเหี้ยไรวะ?”
“ก็ที่กู...กับพี่วิน เอ่อ...แบบ...ผู้ชายกับ...ผู้ชาย”
-ป๊าบ-
ฝ่ามือของอ้นเอื้อมมาตบกะโหลกเพื่อนรักไปไม่เบาหนึ่งที ก่อนที่เสียงแหบห้าวจะพูดขึ้น “โถ่! ไอ้หอยหลอด มึงบ้าเหรอวะ เห็นพวกกูเป็นคนยังไงเนี่ย”
“ก็กู...กลัวพวกมึงจะรับไม่ได้นี่...” เด็กหนุ่มก้มลงมองปลายเท้าตัวเองนิ่งๆ กว่าจะยอมรับกับตัวเองได้ก็ลำบากแทบแย่ เขาเลยไม่แน่ใจน่ะสิว่าคนอื่นจะทำใจยอมรับเรื่องแบบนี้ยากอย่างเขาหรือเปล่า
“ถามกลับกันนะ...” ก๊อบแก๊บเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ถ้าเกิดวันนึง สมมุติว่ากูมีแฟนเป็นผู้ชายขึ้นมา มึงจะรังเกียจกูเหรอ?”
คนถูกถามสั่นศีรษะปฏิเสธแรงๆ “ไม่มีทาง...มึงเป็นเพื่อนกู...”
“ก็เออไง พวกกูก็เหมือนกันนั่นแหละ แล้วต่อให้มึงไม่ใช่เพื่อนกู ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องไปรังเกียจเหมือนกัน เข้าใจไหม”
จักรวาลเงยหน้ามองก๊อบแก๊บที่เอื้อมมาทั้งสองข้างมาจับบ่าเขาไว้ด้วยแววตาซาบซึ้ง ใบหน้าเรียวได้รูปพยักขึ้นลงเบาๆ ได้ยินแค่นี้ก็โล่งใจแล้ว “ขอบคุณว่ะมึง...”
“เออ แล้วทีนี้ก็เลิกคิดเรื่องนี้ซะนะไอ้เตี้ย มึงกับท่านไอดอลของมึงออกจากเหมาะสมกัน รีบๆรักกันเร็วๆ พวกกูรอเสพซีรีย์เกาหลีอยู่” อ้นกล่าวขึ้นพาให้บรรยากาศเปลี่ยนกลับเป็นปกติ
ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็เพียงแค่หัวเราะเบาๆในลำคอ ก่อนจะยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วจึงลุกขึ้นจากบันไดที่นั่งอยู่ “ใกล้ได้เวลาทำงานต่อแล้วว่ะ กูขอเข้าไปเตรียมตัวก่อนนะ”
“เออรีบไปเหอะ กูขอดูมึงทำงานต่อสักพัก อยากเห็นเหลือเกินว่าคุณจักรวาลโปรแค่ไหนแล้ว”
“ถ้างั้นมึงคอยดูไว้ดีๆแล้วกันไอ้อ้น กูเท่นะจะบอกให้ ฮ่าๆๆ” พูดจบเด็กหนุ่มก็เอื้อมมือไปขยี้หัวเพื่อนแต่ละคนเรียงตัวเป็นการบอกลา ก่อนจะเดินนำกลับเข้าสตูดิโอไป
ร่างเล็กวิ่งเข้าไปประจำการที่กล้องตัวเดิม พลางเหลือบสายตาไปช่างภาพคนดังที่หันมามองเขาเช่นกัน
คนทั้งคู่ส่งยิ้มให้กันเงียบๆท่ามกลางความวุ่นวายของทีมงานรอบตัว
และเมื่อเลื่อนสายตาหมายจะกลับมามองที่กล้องตรงหน้า จักรวาลก็ต้องสะดุดกับสายตาอีกคู่ของคนเป็นอาจารย์ที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเสียก่อน
กรวิทย์หรี่ตามองเด็กหนุ่มอย่างล้อเลียน นึกไปถึงวันที่เขาต้องลากไปคุยที่ร้านกาแฟข้างโรงพยาบาลในวันนั้นกับปฏิกิริยาที่ลูกศิษย์คนนี้มีกับน้องชายเขาในวันนี้ มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...
ถือว่ามีพัฒนาการที่ดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก
เห็นดังนั้นจักรวาลก็ได้แต่ทำหน้าเหวอ ยกมือขึ้นเกาหัวเกาหูเก้อๆ ก่อนจะยกมือไหว้อาจารย์หนุ่มอย่างทำอะไรไม่ถูก แล้วจึงรีบหันกลับมาจัดการกับกล้องของตนต่อทันที
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
วันนี้ก็เป็นเช่นหลายวันที่ผ่านๆมาที่กวินและจักรวาลช่วยกันสร้างโลกส่วนตัวใบเล็กๆกันอยู่สองคนบนโต๊ะอาหาร
บทสนทนาของคนทั้งคู่กำลังดำเนินไปอย่างออกรสออกชาติขณะที่เสียงเรียกเข้าจากเครื่องมือสื่อสารรุ่นเก่าในกระเป๋ากางเกงของเด็กหนุ่มดังขัดจังหวะขึ้น
“แป๊บนึงนะครับพี่วิน” มือเรียวล้วงลงหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะกดรับในเวลาต่อมาเมื่อเห็นชื่อของคนคุ้นเคยที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ “สวัสดีครับพี่เมษ...”
เสียงกล่าวทักทายคนที่อยู่ปลายสายของเด็กหนุ่มข้างกายทำให้กวินอดหันไปมองด้วยความรู้สึกจุกเสียดไม่ได้ ดวงตาคู่คมจับจ้องเด็กหนุ่มอยู่อย่างนั้น
“ครับๆ...โอเคครับ เดี๋ยวผมจะลงไปหาเดี๋ยวนี้แหละ” แม้ปากจะพูดใส่โทรศัพท์ หากแต่สายตากลับจ้องมองไปยังคนที่จ้องเขาอยู่เช่นกัน
เมษาวางสายไปแล้ว และร่างเล็กก็กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้ โดยไม่ลืมที่จะหันมาบอกกวินที่ดูจากสีหน้าแล้ว คงจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่อยู่แน่ๆ
“พี่เมษซื้อขนมมาฝากครับ ตอนนี้รออยู่ข้างล่าง เดี๋ยวผมจะลงไปเอา...” ระหว่างที่พูดจักรวาลก็คอยสังเกตปฏิกิริยาคนฟังไปด้วย และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มจะฉายแววเคลือบแคลงออกมาทางสายตา เด็กหนุ่มจึงพูดต่อขึ้นมาเบาๆ “เห็นพี่เมษบอกว่าซื้อมาแบ่งให้พี่ๆทีมงานด้วย...ท่าทางจะหลายถุง คือ...พี่วินไปช่วยผมขนขึ้นมาหน่อยได้ไหมครับ”
เดาได้ไม่ยากว่าชายหนุ่มจะตอบว่าอะไร
ร่างสูงใหญ่ของช่างภาพคนดังลุกขึ้นเดินตามเด็กหนุ่มออกมาจากสตูดิโอไปโดยไม่ต้องให้เซ้าซี้นาน คนทั้งคู่เดินลงมาจนถึงบริเวณต้อนรับที่ทางเข้า ชายหนุ่มผิวพรรณหน้าตาดีดูสะอาดสะอ้านในชุดสูทหรูเนี๊ยบกริบปรากฏขึ้นในระยะการมองเห็นทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาหานาน
“พี่เมษ...”
เสียงร้องเรียกที่ดังมาจากด้านหลังเรียกให้คนที่มารออยู่หันกลับมามองด้วยรอยยิ้ม
หากแต่เมื่อเลื่อนสายตาเลยไปที่ใครบางคนที่ยืนอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่ม เมษาก็ต้องรู้สึกสะดุดใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“สวัสดีปอม สวัสดีครับคุณกวิน...” ใบหน้าหล่อเหลายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มการทูตอยู่อย่างนั้น น้ำเสียงที่เอ่ยทักทายออกมาฟังดูสุภาพปกติดี
“สวัสดีครับ...” ช่างภาพคนดังกล่าวทักทายกลับไปตามมารยาท ไม่ได้แสดงท่าทีหวงข้าวหวงของอะไรออกมาให้เกินงาม หากแต่เมษามองออกว่าในแววตาคมคู่นั้นก็แอบแสดงอาการกันท่าอยู่ในที
ลูกชายนายแบงค์ละสายตาออกจากกวินกลับลงมามองที่รุ่นน้องคนสนิทตรงหน้า ก่อนถุงขนมเต็มมือจะถูกยื่นออกไป “เอ้านี่ พี่เพิ่งพาลูกค้าไปเลี้ยงที่โรงแรมมา เลยซื้อขนมมาฝาก เอาไว้เติมพลังนะ” เมษากล่าวสีหน้ายิ้มแย้มพลางกวาดสายตาสำรวจไปทั่วใบหน้าและร่างกายของเด็กหนุ่ม “นี่ผอมลงหรือเปล่า ทำงานหนักมากเลยเหรอ หน้าซูบลงนะเรา คุณกวินใช้งานน้องผมหนักหรือเปล่าครับเนี่ย” คำพูดติดตลกที่มาพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะเบาๆท้ายประโยคไม่ได้ทำให้คนถูกแซวรู้สึกขำไปด้วยเลยสักนิด
กวินยิ้มมุมปากนิดๆกลบเกลื่อนความไม่พอใจลึกๆไว้ข้างใน “งั้นเหรอครับ ไว้เดี๋ยวหลังจากนี้ผมจะขุนให้อ้วนๆเลยแล้วกันนะ”
เมษาหัวเราะน้อยๆไปกับคำพูดของช่างภาพหนุ่ม ในขณะที่คนที่ตกเป็นประเด็นได้แต่เหลือบมองหน้าคนข้างกายเป็นระยะ กลัวเหลือเกินว่าจะกลายเป็นตาแก่ขี้น้อยใจพาลให้หัวล้านก่อนวัยอันควรไปเสียก่อน
“น้ำหนักผมเท่าเดิมเลยนะพี่เมษ ไม่ได้ผอมลงหรอก พูดอย่างนี้เดี๋ยวผมก็ตกงานกันพอดี ฮะๆๆ” จักรวาลส่งมุขกลับไปเป็นการตัดบท มือเรียวทั้งสองข้างชูถุงขนมขึ้นโบกไปโบกมาตรงหน้า “ขอบคุณมากนะครับสำหรับขนมพวกนี้ วันหลังพี่ไม่ต้องลำบากซื้อมาก็ได้ ผมเกรงใจ”
“เกรงใจทำไม คนกันเอง” เมษาเอื้อมมือมาขยี้เส้นผมนุ่มบนหัวทุยๆนั่นอย่างเบามือ การกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาของบุคคลที่สามที่ยืนเป็นหัวหลักหัวตอเงียบๆอยู่ตรงนั้น
...ท่องไว้กวินเอ๋ย...
…พุทโธ ธัมโม สังโฆ...
…ใจเย็นหนอ ไม่หึงหนอ บีคูลหนอ...
“เออใช่ปอม” เมษาเอ่ยขึ้นเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “เปิดเทอมที่จะถึงนี้ปอมยังจะกลับไปทำงานที่ร้านแม่พี่อยู่ใช่ไหม?” ปกติแล้วช่วงปิดเทอมเด็กหนุ่มจะกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ส่วนปิดเทอมนี้ก็มาทำงานเต็มชั่วโมงที่บริษัทของกวิน ทำให้งานพาร์ทไทม์ที่ร้านหรูย่านทองหล่อหยุดพักไปสองสามเดือน
“ใช่ครับ ทำกะเดิมเลย”
ได้ฟังดังนั้นเมษาก็พยักหน้ารับอย่างพออกพอใจ ในขณะที่อีกคนได้แต่ยืนตั้งสมาธิอยู่กับตัวเองเงียบๆ บทสนทนาของคนทั้งสามดำเนินต่อไปอีกเพียงไม่กี่นาที ก่อนแขกผู้มาเยือนจะเป็นฝ่ายขอตัวกลับไปทำงานเมื่อเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว
การทำงานในตลอดบ่ายวันนั้นเป็นไปอย่างปกติ กวินไม่ได้เก็บเรื่องเมษามาใส่ใจมากนัก ที่จริงแล้วควรจะเรียกว่า 'พยายาม' จะไม่เก็บมาใส่ใจมากกว่า ก็คงต้องยอมรับล่ะว่ามีแอบคิดบ้างแวบๆเป็นธรรมดา แต่ชายหนุ่มก็ไม่อยากจะทำตัวคิดเล็กคิดน้อยให้เสียจริต ก็ในเมื่อจักรวาลเคยพูดชัดเจนแล้วว่าไม่มีอะไร ก็คงไม่มีเหตุผลต้องไปฟึดฟัดเป็นนิสัยผู้หญิง อีกทั้ง...สถานะของเขาและเด็กหนุ่มในตอนนี้ก็ยังไม่ได้คืบหน้าไปเกินกว่าเดิมเสียหน่อย
และหลังจากง่วนกับงานกันต่ออีกหลายชั่วโมง เวลาก็หมุนเดินมาถึงช่วงพักทานอาหารเย็นอีกรอบ...
.
.
.
.
“เห้ย ที่ร้านข้าวกล่องที่สั่งไปแม่งมาส่งไม่ได้แล้วอ่ะ” เต้กล่าวขึ้นทันทีเมื่อวางสายลงจากร้านที่สั่งข้าวกล่องมาประทังชีวิตคนทั้งสตูดิโอกันทุกวัน เนื่องจากทางร้านมีปัญหาบางอย่างทำให้ข้าวหลายสิบกล่องที่สั่งไว้ไม่สามารถมาส่งได้
“อ้าวเหี้ย กูหิวจะตายอยู่แล้ว” กวินสบถออกมาเบาๆขณะวางกล้องคู่ใจลงบนโต๊ะ
“เอาไงดีวะพี่?”
ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่ครู่ ใบหน้าหล่อเหลาก้มลงมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือของตนพลางครุ่นคิด ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะเอ่ยออกมา “งั้นออกไปกินข้างนอกก็แล้วกัน วันนี้กูให้เวลาชั่วโมงนึง แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาทำงานต่อ” การกินข้าวกล่องในสตู เป็นการช่วยประหยัดเวลาไปได้ถึงครึ่ง แต่วันนี้ เนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัย ก็คงต้องยอมยืดเวลาออกมาอีกนิด
.
.
.
.
สุดท้าย มื้อเย็นวันนั้นของคนทั้งสตูดิโอก็จบลงที่ร้านข้าวต้มในซอยถัดจากบริษัทไปไม่กี่ซอย ตลอดมื้ออาหาร ท้องฟ้ามืดครึ้มที่ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆก้อนโตก็พาให้ใจทุกคนเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ไม่รู้ว่าฝนจะเทลงมาเมื่อไหร่ จากที่กวินบอกให้พักได้หนึ่งชั่วโมงเป็นพิเศษ กลับกลายเป็นว่าพวกเขาใช้เวลากินกันเร็วกว่าเก่าเสียอีกเนื่องด้วยกลัวว่าหากฝนตกลงมาก่อน ตอนขากลับจะลำบาก
พนักงานบางส่วนค่อยๆทยอยกันเรียกแท็กซี่กลับบริษัทหลังทานอาหารเสร็จ โดยที่คนเป็นเจ้ามืออย่างกวินยังคงต้องรอจ่ายเงินเป็นคนสุดท้ายโดยมีจักรวาลนั่งรอเป็นเพื่อน
รถบีเอ็มสีดำคันเดิมที่ขับออกมาจากบริษัท ไม่มีลูกน้องคนไหนกล้าเสนอตัวขอติดรถมาและกลับด้วยเลย เพราะถึงตอนนี้ ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าเจ้านายของพวกเขาต้องการเวลาเป็นส่วนตัวกับ 'ว่าที่คนรัก' มากแค่ไหน สุดท้าย เมื่อจัดการจ่ายเงินกับเด็กเสิร์ฟไปเรียบร้อยแล้ว คนทั้งคู่จึงลุกออกจากร้านมาเป็นสองคนสุดท้าย
รถถูกจอดอยู่ค่อนข้างห่างจากตัวร้านพอสมควร
ชายหนุ่มยกข้อมือขึ้นมองหน้าปัดนาฬิกา เวลาพักที่เขาเป็นคนกำหนดมันขึ้นมาเองเพิ่งจะถูกใช้ไปเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นไม่มีอะไรต้องรีบร้อนแล้วสำหรับตอนนี้ จังหวะการเดินที่เขาก้าวนำคนตัวเล็กข้างกายจึงเป็นไปอย่างสบายๆ
หากแต่สภาพอากาศกลับไม่เป็นใจสำหรับการก้าวย่างเอื่อยๆแบบนั้นนัก เนื่องจากหลังคนทั้งคู่เดินพ้นร้านข้าวต้มมาเพียงไม่กี่ช่วงห้องแถว หยาดน้ำเม็ดใหญ่ที่ดูเหมือนจะถูกก้อนเมฆอุ้มเอาไว้อยู่นานแล้วก็ถูกปล่อยลงมาราวกับเทกระจาด
ฝนที่ตกลงมาอย่างแรงเรียกให้สัญชาตญาณของกวินต้องรีบคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มวิ่งหาที่กำบัง เขารู้ดีว่างานแบบที่พวกเขากำลังทำกันอยู่ หากร่างกายไม่เอื้ออำนวยจะทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบากแค่ไหน แม้โปรเจ็คใหญ่ชิ้นนี้กำลังจะจบลงในอีกไม่กี่วัน แต่อย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้ตัวเองป่วยอยู่ดี
กันสาดที่ยื่นออกมาจากตามตึกแถวที่เรียงรายกันอยู่นี้สั้นเกินไปสำหรับเม็ดฝนที่มาพร้อมกับลมแรงๆ ละอองน้ำสาดเข้ามาโดนเนื้อโดนตัวคนทั้งสองให้ชื้นไปหมด ขาทั้งสองคู่รีบออกแรงวิ่งมาจนกระทั่งถึงบริเวณซากตึกร้างห้องหนึ่งที่พอจะมีพื้นที่แคบๆหลุบเข้าไปพอให้คนทั้งคู่แทรกตัวหลบฝนกันได้
หยาดฝนถูกสาดเข้ามาถึงตัวได้น้อยลงหากเทียบกับบริเวณหน้าห้องแถวห้องอื่นๆ แต่ก็ยังคงมีละอองปลิวตามลมเข้ามาบ้างประปราย
กวินดันตัวเด็กหนุ่มให้เบียดตัวทาบผนังลึกเข้าไปอีก ก่อนจะค่อยๆถอดเสื้อคลุมลายสก็อตของตนออกแล้วขึงมันด้วยสองแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อเพื่อช่วยบังทั้งตัวเขาและคนตรงหน้าไว้จากละอองฝน ท่าทางของคนทั้งสองในตอนนี้ หากมีใครในบริษัทผ่านมาเห็น คงไม่วายถูกล้ออย่างเสียไม่ได้ ก็ไอ้การยืนแนบชิดประจันหน้ากัน พร้อมสองแขนของคนตัวสูงกว่าที่กางเสื้อท้าวกับผนังด้านหลังของอีกฝ่ายไว้แบบนี้....
มันดูยังไงก็...ละค๊อน ละคร
“หนาวไหมปอม?” กวินเปล่งเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามเด็กหนุ่มเบาๆ พลางใช้สายตากวาดสำรวจไปตามเนื้อตัวชื้นๆนั่น
คนถูกถามส่ายหน้า “ผมว่าผมน่าจะถามพี่มากกว่านะ”
ได้ยินอย่างนั้นกวินก็ก้มลงมองตัวเองบ้าง แล้วก็เข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มจึงพูดอย่างนั้น ก็ในเมื่อเขาน่ะ...ชุ่มยิ่งกว่าคนตรงหน้าเสียอีก
หยดน้ำที่เกาะพราวอยู่บนใบหน้าทำให้ชายหนุ่มรู้สึกรำคาญความเปียกชื้นนี้อยู่ไม่น้อย แต่เนื่องจากสองแขนที่ทำหน้าที่กางเสื้อปกป้องลูกนกไว้ใต้ปีกทำให้ไม่สามารถยกขึ้นปาดพวกมันออกไปได้ สิ่งที่ทำตอนนี้จึงมีเพียงการพยายามไถหน้ากับหัวไหล่ของตนอย่างทุลักทุเล
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองอากัปกิริยาของกวินพลางเม้มปากแน่นอย่างครุ่นคิด หากแต่เพียงไม่นานก็ตัดสินใจสอดมือเรียวลงไปหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเข้มในกระเป๋ากางเกงยีนส์ของตนขึ้นมา
สัมผัสนุ่มๆของเนื้อผ้าที่ทาบลงมากับแก้มของเขา ทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดการกระทำทุกอย่างลง แรงซับน้ำจากมือของคนใต้อ้อมแขนของเขาขยับไปตามใบหน้าแผ่วเบา รู้สึกได้ถึงหยาดน้ำที่ค่อยๆถูกทำให้แห้งลงไปที่ละส่วน
รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากด้วยความรู้สึกพองโตในอก ดวงตาคู่เรียวได้รูปที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าดูตั้งใจกับการเช็ดหน้าให้เขามาก เห็นแบบนี้มันก็อยากจะร้องตะโกนออกมาด้วยความสุขจริงๆ
ฝ่ายจักรวาลเองที่บรรจงลูบผ้าไปตามไรหน้าผากของคนร่างสูงตรงหน้าก็อดใจเต้นไม่ได้เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่าตนกำลังถูกคนตรงหน้าจ้องด้วยสายตาแบบไหนอยู่ มือที่เคยเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติเมื่อครู่ก็กลับขยับเก้ๆกังๆขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
เด็กหนุ่มค่อยๆลดมือลงมาอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นว่าใบหน้าหล่อเหลาแห้งสนิทแล้ว ดวงตาทั้งคู่หลุบลงมองต่ำอย่างเก้อเขิน
“ขอบคุณนะ” เสียงทุ้มต่ำที่แม้จะเอ่ยออกมาแผ่วเบา แต่ด้วยระยะห่างเพียงคืบก็ทำให้คนฟังได้ยินมันชัดเจนดี
จักรวาลอมยิ้มบางๆ รู้สึกได้ว่าแก้มทั้งสองข้างของตนร้อนขึ้นมาอีกแล้ว “ไม่เป็นไรครับ..”
เห็นกิริยาท่าทางน่าเอ็นดูอย่างนั้นแล้วกวินก็อดยกยิ้มกว้างขึ้นไม่ได้ ดวงตาคู่คมจับจ้องไปทั่วใบหน้าขึ้นสีระเรื่อของเด็กหนุ่มอย่างมีความสุข
ความสุข...ที่ห่างหายไปหลายวัน
ความจริงแล้วเขาคงต้องขอบคุณฝนที่ตกลงมาอย่างหนักที่หยิบยื่นช่วงเวลาที่โหยหาแบบนี้มาให้...
ชายหนุ่มโน้มลงแตะริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนของอีกฝ่ายเนิ่นนาน ทั้งคู่หลับตาลงดื่มด่ำสัมผัสโดยอัตโนมัติ หัวใจสองดวงแข่งกันเต้นดังๆฝ่าเสียงฝนตกด้วยความอิ่มเอม
สองร่างยืนค้างกันอยู่ท่านั้นเป็นนาที ก่อนที่เจ้าของริมฝีปากจะเป็นฝ่ายผละออกช้าๆ
ดวงตาคู่คมสบเข้ากับอีกคน ส่งผ่านความรู้สึกมากมายที่เก็บสะสมมาหลายต่อหลายวันไปตรงหน้า
“...คิดถึงจัง...”
คิดถึง...กวินหมายความอย่างที่พูด
เจอกันทุกวัน ไม่ได้แปลว่าจะคิดถึงกันไม่ได้
สิ่งที่เขาคิดถึง คือช่วงเวลาแบบนี้...ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันสองคน
คนฟังที่เงยหน้ามองเจ้าของคำสารภาพก็กระพริบตาปริบๆสองสามที ก่อนที่แก้มทั้งสองข้างจะขึ้นสีมากกว่าเก่า ดวงตาที่สบอยู่กับคนตรงหน้าเมื่อครู่เริ่มเสมองไปทางอื่น และจนในที่สุด เด็กหนุ่มก็อดทนต่อความเขินอายของตนเองไม่ไหว จนต้องฟุบหัวลงกับไหล่ของกวินเพื่อซ่อนใบหน้าของตนจากสายตาคมกริบของคนพูดตรงไว้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
“ฮื่อ...” เสียงอู้อี้ที่ดังอยู่ในลำคอของเด็กหนุ่ม เป็นเหมือนคำตอบรับที่ตั้งใจจะส่งออกไปให้คนฟังได้รับรู้เช่นเดียวกัน
'ฮื่อ' ที่ว่านี่แปลว่าอะไรไม่แน่ใจ แต่จะผิดไหม หากกวินจะคิดเออออไปเองว่ามันหมายถึง
….'คิดถึงเหมือนกัน' น่ะ
ใบหน้าที่ถูกซ่อนอยู่กับไหล่แข็งแรงของช่างภาพหนุ่ม ลอบยิ้มออกมากับตัวเองอย่างควบคุมไม่ได้ ในหัวนึกย้อนไปถึงคำที่เคยตอบอ้นไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
...'ไม่แน่ใจ'...
...แล้ววันนี้เขาจะแน่ใจได้หรือยัง...
“ปอม...” เสียงเรียกเบาๆที่ข้างหูพาให้เด็กหนุ่มผละขึ้นมาฟังคนตรงหน้าอีกครั้ง
กวินทิ้งระยะการพูดไปครู่...เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามถึงเหตุผลการเรียกครั้งนี้ กระตุ้นให้ช่วงภาพคนดังเอ่ยถามต่อออกมา
“ไปนิวยอร์กกันนะ...”
ดวงตาคู่เรียวของคนฟังเบิกขึ้นน้อยๆด้วยความฉงน “นิวยอร์กหรือครับ?”
“อืม...ฉันอยากพานายไปดูผลงานตัวเอง...ไปนะ...”
เด็กหนุ่มมองคนตรงหน้าอย่างลังเล ไปเมืองนอกใช้เงินเยอะไม่ใช่เล่น ถึงไม่เคยไป แต่เขาก็รู้ดี “คือ...”
แต่กวินเองก็ดูเหมือนจะรู้ทันไปเสียหมดว่าจักรวาลคิดอะไร เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นดักคอทันทีเมื่อเห็นแววไม่แน่ใจในสายตาของเด็กหนุ่ม
“เมื่อก่อน ตอนงานใหญ่ชิ้นแรกของไอ้ก้อกับไอ้จอม ฉันก็พามันไปอย่างนี้แหละ นายไม่ต้องคิดมากหรอก ทำงานมาเหนื่อยๆก็ควรได้ไปดูผลงานของตัวเอง อีกอย่าง...นายเคยบอกฉันว่าไม่เคยไปเที่ยว...ถือโอกาสไปมันซะตอนนี้แหละ”
จักรวาลหลุบตามองพื้นครุ่นคิดอยู่ครู่ ก่อนจะเอ่ยถึงข้อเท็จจริงบางประการขึ้นมา “แต่ว่า...วันจัดแสดงมันเป็นช่วงที่ผมเปิดเทอมแล้วไม่ใช่เหรอครับ...”
ถึงตรงนี้ คนฟังก็ยกยิ้มขึ้น “ไม่ต้องห่วง ฉันขอพี่วิทย์ไว้ให้เรียบร้อยแล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มนิ่งคิดไปเมื่อได้ฟังดังนั้น...
“...นะ...”
ไม่น่าเชื่อว่าคำพูดพยางค์เดียวจากกวินที่มาพร้อมสายตาน่ามองจะทำให้เขาลืมความรู้สึกเกรงอกเกรงใจมากเกินความจำเป็นหายไปหมด...
ใบหน้าเรียวผงกขึ้นลงเบาๆเป็นการตอบรับไปในที่สุด
ได้รับคำตอบมาแบบนั้นคนที่ลุ้นอยู่ในใจเมื่อครู่ก็รู้สึกเหมือนได้ก้าวข้ามภูเขาไปอีกหนึ่งลูก
...และแน่นอนว่ายังมีภูเขาอีกหลายลูกที่เขาเตรียมไว้ให้ตัวเองที่นิวยอร์กแล้วด้วย...
TBC.