โอยยยยยยยยยยยยย

ขอถอนคำพูด ที่เคยบอกว่าจะมาก่อนหกโมงเย็น ภายในเวลาสามวัน
ไม่ไหวแล้วค่ะ 555 งานราษฎร์งานหลวงจ่อคอหอยกันให้เต็มไปหมด
ขอเปลี่ยนเป็น 'จะมาให้เร็วที่สุด' แล้วกันนะคะ 555
กลัวว่าเร่งมากๆแล้วโครงเรื่องที่วางไว้มันจะบิดๆเบี้ยวๆไปหมด
ปล.รักคนอ่านมากๆค่ะ

----------
หัวใจหลังเลนส์
#26
“โอ๊ยปอม เบาๆหน่อย”
“ข..ขอโทษครับ ก็ผมไม่เคย...”
จักรวาลผ่อนแรงขยับที่ฝ่ามือลง ก็ว่าค่อยๆทำแล้วนะ...ไม่นึกว่าตัวอย่างกับยักษ์แบบนั้นจะรู้สึกเจ็บกับแรงเพียงแค่นี้
เกิดมาเขาไม่เคยเห็นคนเป็นแผลลึกขนาดนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องมานั่งเพ่งเข้าไปในบาดแผลของชาวบ้านใกล้ชิดขนาดนี้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าพยาบาลยากเหลือเกิน ไม่อยากจะนึกเลยว่าก่อนหน้านี้หลังจากออกจากโรงพยาบาลกวินทำแผลให้ตัวเองท่าไหน
หากไม่ใช่เพราะวันนี้เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นเลือดที่ซึมอยู่บนเสื้อยืดสีอ่อนของชายหนุ่ม เขาก็คงไม่มีทางรู้เลยว่าแผลที่ผ่านมากว่าสัปดาห์แล้วจะยังสดขนาดเลือดซึมซิบๆได้ขนาดนี้ นึกว่าจะตกสะเก็ดไปแล้วเสียอีก
“ทำไมพี่ไม่บอกผมว่าพี่ทำแผลเองไม่ได้ครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้นขณะบรรจงเช็ดสำลีชุดยาลงไปบนร่องรอยตะปูตำบนแผ่นหลังกว้างอย่างแผ่วเบา แค่รู้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้คนตรงหน้าบาดเจ็บก็รู้สึกแย่พออยู่แล้ว ถ้ายิ่งกลายเป็นแผลเรื้อรังหรือติดเชื้อไปมีหวังเขาไปต้องลาบวชเลยหรือ
“ใครว่าทำไมได้ ฉันแขนยาวนะ” เสียงทุ้มต่ำตอบออกมาแบบขอไปที เพราะมันก็จริงอย่างที่จักรวาลว่านั่นแหละ หลังจากออกจากโรงพยาบาลมาเขาก็ต้องประสบกับเวลาแห่งความยากลำบากในการพยายามทำแผลให้ตัวเอง มองก็มองไม่เห็น กว่าจะเอื้อมถึงก็แทบจะต้องถอดแขนออกมาเลยทีเดียว
“ถ้าทำได้เลือดจะยังๆไหลอยู่แบบนี้เหรอครับ มีอะไรก็บอกกันสิ ผมจะได้ช่วย”
ได้ฟังดังนั้นกวินก็ต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ “ก็ถ้าบอก นายก็จะมานั่งรู้สึกผิดอยู่อย่างนั้นน่ะสิ ฉันแค่อยากให้นายเลิกคิดได้แล้วว่ามันเป็นความผิดนาย...”
ถึงตรงนี้คนเจ็บก็เอี้ยวตัวกลับหลังมามองบุรุษพยาบาลจำเป็นที่นั่งถือสำลีค้างไว้อยู่ด้านหลัง
“...ฉันเต็มใจช่วย คิดซะว่าฉันทำเพื่อตัวเองก็ได้ถ้าไม่สบายใจ เพราะถ้าเป็นนายที่นอนเจ็บอยู่ตอนนั้นฉันคงโกรธตัวเองมาก...”
เด็กหนุ่มนิ่งไปหลังฟังจบประโยค ในหัวค่อยๆทบทวนคำพูดของคนตรงหน้าซ้ำอีกรอบ ก่อนจะต้องทำหน้าไม่ถูก...
ได้ฟังอย่างนี้แล้วมันก็...
รู้สึกพองๆในหัวใจ...
และเมื่อกวินรู้สึกตัวว่าเพิ่งพูดจาแบบไหนออกไป ชายหนุ่มก็หันหน้ากลับด้วยความสมเพชตัวเอง
พูดจาน้ำเน่าอีกแล้วสิกู...
.
.
.
.
“เรียบร้อยแล้วครับ” พลาสเตอร์ยากันน้ำชิ้นสุดท้ายถูกแปะลงบนแผ่นหลังพร้อมกับแรงจบลงไปเบาๆเป็นสัญญาณว่าการทำแผลสิ้นสุดลงแล้ว
ช่างภาพคนดังสวมเสื้อทับแผ่นหลังเปลือยเปล่า ก่อนจะหันกลับมาหาพยาบาลส่วนตัว
“ขอบใจมากนะ” เสียงทุ้มต่ำกล่าวออกมากับคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มหล่อเหลา
“ไม่เป็นไรครับ ระหว่างนี้ก็พยายามอย่าให้เหงื่อออกที่หลังนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมมาทำให้ใหม่”
วันนี้เป็นวันศุกร์ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องลำบากที่จักรวาลจะมาที่นี่อีกทีในตอนเช้าของพรุ่งนี้
“เดี๋ยวสิ...แล้วนี่จะไปไหน” คนเป็นผู้ใหญ่กว่าท้วงขึ้นเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทำท่าจะเก็บข้าวของลงกระเป๋า
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นกระพริบตาปริบๆ “ก็กลับบ้านไงครับ...”
“แล้วใครจะไปส่ง...แขนฉันใส่เฝือกอยู่อย่างนี้ ขับรถไม่ได้...”
ได้ยินดังนั้นจักรวาลก็ต้องขมวดคิ้วลงบางๆ “ทำไมต้องให้ใครไปส่ง...ผมกลับเองได้” ไม่เคยเข้าใจคนตรงหน้าเสียทีว่าทำไมจะต้องมีปัญหากับการที่เขาจะกลับบ้านเองอยู่เรื่อย...ไม่ได้เป็นง่อยเสียหน่อย
“ก็มันมืดแล้ว...อย่ากลับเองเลย...มันอันตราย”
ฟังแล้วมันหงุดหงิดชอบกล...
“...ผม-เป็น-ผู้-ชาย-นะ-ครับ...” เด็กหนุ่มพูดเน้นชัดถ้อยชัดคำมันทั้งประโยค รู้สึกเหมือนโดนปรามาสว่าอ่อนแออย่างไรบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง แถมทุกส่วนของร่างกายก็ไม่มีตรงไหนดูพิกลพิการเหมือนคนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วย
หากแต่ขณะที่ในใจกำลังนึกขุ่นเคืองอยู่นั้น สัมผัสอบอุ่นบริเวณหัวไหล่ก็เรียกให้เขาต้องจ้องมองเจ้าของมือที่เอื้อมมาแตะอีกครั้ง
“...เป็นห่วง...”
น้ำเสียงเป็นกังวลพร้อมทั้งแววตาอ้อนวอนที่ส่งมาทำเอาจักรวาลต้องหัวใจกระตุกวูบ
“ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ประเด็นมันอยู่ที่เป็นนายฉันเลยห่วง...” กวินยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงแบบเดิม “...ดังนั้น...คืนนี้นอนนี่เถอะนะ พรุ่งนี้ฟ้าสว่างค่อยกลับ...อย่ามองว่าฉันจะฉวยโอกาสหรืออะไร ฉันสัญญา...ว่าจะไม่แตะต้องนายแม้แต่ปลายนิ้ว อยากให้อยู่...เพราะเป็นห่วงจริงๆ...”
พูดจบกวินก็ทำตามที่สัญญาไว้ทันทีคือปล่อยมือของตนลงจากไหล่บางๆนั่น
เด็กหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาคมดุคู่นั้นอยู่นานพักใหญ่ เขากลั้นใจทำเป็นมองข้ามความร้อนผะผ่าวบนใบหน้าของตน ก่อนที่ในที่สุดกระเป๋าคู่ใจในมือก็ค่อยๆถูกวางลงบนพื้นห้องช้าๆ
ใบหน้าเรียวได้รูปก้มต่ำลง เสียงแผ่วเบาถูกเปล่งออกมาอย่างอู้อี้
“...ถ้าอย่างนั้น...ขอรบกวนด้วยหนึ่งคืนครับ...”
.
.
.
.
คอมพิวเตอร์มือสองถูกดึงขึ้นจากกระเป๋ามาวางไว้บนโต๊ะรับแขกตัวเตี้ยในขณะที่เจ้าของของมันนั่งอยู่บนพื้นพรมขนนุ่มในชุดนอนตัวโคร่งตัวเดิมของกวิน
โชคดีที่วันนี้เขาพกมันมาบริษัทด้วย คืนนี้เขาจึงสามารถทำงานที่เซฟค้างไว้ในเครื่องต่อได้
ร่างสูงของช่างภาพคนดังเดินมาหย่อนตัวลงนั่งบนโซฟารับแขกด้านหลังเด็กหนุ่มพร้อมด้วยโกโก้ร้อนสองแก้วในมือ โดยที่แก้วหนึ่งถูกวางลงข้างคอมพิวเตอร์บนโต๊ะรับแขก
จักรวาลกล่าวขอบคุณเบาๆขณะรอให้เครื่องเปิดขึ้น แต่เพียงอีกไม่กี่วินาทีให้หลัง เขาก็เพิ่งจะรู้สึกตัวว่ากำลังจะทำเรื่องขายหน้าเข้าให้แล้ว
คิดได้ดังนั้น มือเรียวก็รีบเอื้อมออกไปข้างหน้า หมายจะพับหน้าจอลงก่อนที่เครื่องจะบูทเสร็จ
หากแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว...
กวินที่นั่งจิบโกโก้เงียบๆอยู่บนโต๊ะเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นภาพพื้นหลังบนหน้าจอของเด็กหนุ่มตรงหน้า ก่อนจะรีบไถลตัวลงมานั่งลงที่พื้นข้างๆกับอีกคนเพื่อเพ่งมองรูปนั้นชัดๆราวกับไม่เชื่อสายตา...
เด็กหนุ่มเจ้าของเครื่องรีบตะครุบโน๊ตบุ๊คของตนให้ปิดลงทันที ริมฝีปากบางถูกขบลงอย่างแรง ดวงตาเหลือบมองคนข้างกาย...
ช่างภาพคนดังนั่งทำหน้างงอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ ก่อนที่ในที่สุด รอยยิ้มกรุ้มกริ่มก็ถูกจุดขึ้นบนมุมปากพร้อมด้วยแววตาพราวระยับที่หันมองจักรวาลโดยไม่มีคำพูดใดๆทั้งสิ้น
แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้เอ่ยออกไรออกมา แต่กิริยาท่าทางแบบนั้นกลับทำหน้าที่ในการคาดคั้นได้ดีกว่าคำพูดเป็นไหนๆ
“ย...ยิ้มอะไรของพี่...” เด็กหนุ่มท้วงขึ้นตะกุกตะกัก
แบบนี้จะเรียกว่าเข้าข่าย 'เสียหมา' ได้ไหมนะ...
คนถูกถามยังคงยิ้มค้างไว้อย่างนั้นและส่งคำถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ทำเอาคนฟังยิ่งรู้สึกเหมือนโดนต้อนติดผามากเข้าไปอีก
“จะไม่แก้ตัวอะไรหน่อยเหรอ?...หืม?...”
“ก...แก้ตัวอะไร ทำไมต้องแก้ตัวด้วย....ท...ทีพี่ยังใช้รูปผมเป็นวอลเปเปอร์ได้เลย...” ให้แก้ตัวอะไร สถานการณ์แบบนี้เขาคิดไม่ทันหรอก ในเมื่อตอนตั้งไว้ยังไม่รู้เหตุผลเลย...
“เอ้า!...ก็ฉันชอบนาย...จะเอามาตั้งเป็นวอลก็ไม่เห็นแปลก...” ถึงตรงนี้ดวงตาคมดุก็หรี่มองอีกฝ่ายอย่างเจ้าเล่ห์ “หรือว่า...นายตกหลุมรักฉันแล้วล่ะสิ?...”
เพียงเท่านั้นเด็กหนุ่มก็ต้องคว้าหมอนบนโซฟามาอุดหน้าช่างภาพคนดังอย่างลืมตัว
ส่วนคนโดนประทุษร้าย แทนที่จะป้องกันตัว กลับนั่งหัวเราะเสียงดังอยู่อน่างนั้นโดยไม่คิดจะขยับตัวหนีหรือยกมือขึ้นปัดป้องแต่อย่างใด
จนกระทั่งเป็นจักรวาลเองที่เหนื่อยลงไปเสียก่อนจึงยอมถอนมือออกมา
ใบหน้าขึ้นสีแดงก่ำที่ไม่รู้ว่าเกิดจากความเหนื่อยหรืออะไรแสดงออกชัดเจนว่าเจ้าตัวรู้สึกอับอายแค่ไหน “ยังสักหน่อยครับพี่วิน...” สุ้มเสียงที่กล่าวออกมายามที่สงบลงฟังดูแผ่ว ทำเอาหัวใจคนฟังเบาหวิวจนแทบจะปลิวหายไปด้วยอีกคน
ช่างภาพหนุ่มเอ่ยตอบกลับมาเบาๆซึ่งดูเหมือนจะเป็นการรำพึงกับตัวเองเสียมากกว่า
“สักนิดก็ยังเหรอ...?”
ได้ยินดังนั้นจักรวาลก็ต้องถอนหายใจออกมา “...กว่าผมจะทำใจยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ก็ยากมากๆแล้วนะครับ...ให้เวลาผมอีกนิด...นี่ก็เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันเอง...” และเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้ายังทำท่าเหมือนหมาหงอย เด็กหนุ่มก็พูดปิดท้ายซึ่งถือว่าเป็นการให้กำลังใจทั้งตัวเองและคนฟัง
“แต่อย่างน้อย...พี่ก็เป็นผู้ชายคนแรกแล้วก็คงจะเป็นคนเดียวที่ผม...เอ่อ...ยอมให้เข้าใกล้ได้ขนาดนี้นะครับ...”
พูดจบ ความเขินที่ดูจะทุเลาลงไปจากวันก่อนมากก็กลับมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าทำไมพอกวินได้ยินอย่างนี้แล้ว ใบหน้าของลูกชายนายแบงค์ก็ผุดขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกลังเลอยู่ในใจจนต้องเอ่ยปากถามออกมาเบาๆ
“...คุณเมษาก็ไม่เคยเข้าใกล้ปอมได้ขนาดนี้ใช่ไหม?...”
จักรวาลขมวดหัวคิ้วลงอย่างครุ่นคิด ในหัวทบทวนไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่กวินคอยถามนู่นถามนี่เรื่องระหว่างเขากับเมษาอยู่เรื่อย ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้นในเวลาถัดมา...
“มั่นใจเถอะครับ...ว่าที่ผมเคยบอกเกี่ยวกับพี่เมษไปทั้งหมดเป็นเรื่องจริง...” เด็กหนุ่มยกแก้วโกโก้ขึ้นซดเพื่อไล่น้ำลายเหนียวหนืดลงคอ เพียงเพื่อจะกลั้นใจเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไป
“...ที่แน่ๆ....พี่เมษไม่เคยอยู่บนวอลเปเปอร์ในคอมฯผมก็แล้วกัน...”
.
.
.
.
ไฟในห้องดับสนิททุกดวง เหลือเพียงแสงจันทร์นวลๆที่ส่องลอดกรอบหน้าต่างเข้ามาภายในห้องนอนแห่งนี้เท่านั้น
ร่างสองร่างที่นอนกันอยู่บนเตียงโดยทิ้งช่องว่างตรงกลางไว้เล็กน้อยตามคำสัญญาของคนตัวโตกว่าว่าจะไม่แตะต้องตัวเด็กหนุ่มยังคงไม่หลับตากันทั้งคู่
กวินนอนจ้องคนที่นอนขดหันหลังให้เขาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันด้วยแววตาอ่อนโยน รู้สึกอยากจะดึงร่างเล็กๆนั่นมานอนกกไว้แทนหมอนข้าง แต่ก็รู้ตัวดีว่ามันยังไม่ถึงเวลานั้น...คงต้องรอต่อไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะสามารถก้าวข้ามสถานะที่เป็นอยู่ไปเป็นอย่างอื่นที่หวังไว้ได้
จักรวาลทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างที่มีเพียงท้องฟ้าที่มืดมิดและดวงจันทร์ที่คืนนี้มีเพียงครึ่งเสี้ยวพลางเงี้ยหูฟังเสียงลมหายใจของคนข้างหลังไปด้วยความสงสัยว่าป่านนี้หลับลงไปหรือยัง แต่เข้านอนกันมานานขนาดนี้แล้ว...ใครจะมานอนตาสว่างแบบเขากันล่ะ...
เด็กหนุ่มค่อยๆพลิกตัวตะแคงหันกลับไปหาอีกฝ่าย แต่ก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบกับดวงตาคู่คมที่จับจ้องมาที่เขาอยู่แล้ว
นอนไม่หลับเหมือนกันเหรอ...
ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมาให้ได้ยินจากทั้งสองฝ่าย...
มีเพียงสายตาที่สบกันนิ่งอยู่อย่างนั้นในความมืด...เนิ่นนาน...
เสียงหัวใจสองดวงเต้นดังขึ้นเป็นลำดับท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบ...
รอยยิ้มบนริมฝีปากค่อยๆปรากฏขึ้นชัดเจนโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนคิดจะกลั้นเอาไว้...
และหากห้องสว่างกว่านี้ ก็คงจะได้เห็นกันว่าบัดนี้เลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าของทั้งคู่ขนาดไหน...
ก็ถ้าไม่ยอมหลับเสียที...นอนจ้องกันไปเรื่อยๆอย่างนี้แทนการนับแกะก็ดูจะไม่เลวเหมือนกัน...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เสียงตะโกนโหวกเหวกอื้ออึงดังไปทั่วสตูดิโอ
นับจากวันนี้ไป บริษัทโฟโต้แฟคตอรี่จะขอหยุดรับงานอื่นชั่วคราว เนื่องจากโปรเจ็คใหญ่ที่ได้รับเชิญจากทางนิวยอร์กถูกเตรียมการจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว เหลือก็แต่ขั้นตอนการผลิตที่ดูแล้วคงหนักหนาเอาการ
ฉากชิ้นที่เคยหล่นทับกวินและจักรวาลถูกซ่อมใหม่เป็นที่เรียบร้อย ห้องจำลองเล็กๆประกอบขึ้นมาได้ตามที่คาดหวังกันไว้กลางสตูดิโอแห่งนี้ และกลุ่มคนหลากหลายประเภทชุดแรกซึ่งเป็นส่วนสำคัญของภาพ...ทีมงานก็ลำเลียงให้เข้าไปอยู่ในห้องไว้แล้ว
ช่างภาพทั้งสี่คนที่ได้ถูกวางตัวไว้สำหรับโปรเจ็คนี้อันได้แก่กวิน จักรวาล ก้อ และจอมประจำการเตรียมพร้อมอยู่กับกล้องของตน
เสียงรบกวนสมาธิจากคนอื่นๆค่อยๆเงียบลงไปเมื่อทุกอย่างในสตูดิโอดูจะเข้าที่เข้าทาง
จักรวาลกระชับกล้องในมือตนแน่น ไรหน้าผากชื้นเหงื่อซึ่งเกิดจากความตื่นเต้น ตอนนี้เข้ารู้สึกเหมือนเป็นตากล้องสารคดีคอยจับภาพฝูงสัตว์ในแอฟริกาอยู่ก็ไม่ปาน เนื่องจากต้องคอยดูปฏิกิริยาผู้คนในห้องผ่านหน้าต่างกระจกด้านเดียว หาจังหวะที่คนเหล่านั้นจะแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นแล้วบันทึกมันไว้ไม่ให้พลาด เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น
ดวงตาคู่เรียวเผลอเหลือบมองช่างภาพคนดังที่ประจำการอยู่ที่หน้าต่างกระจกอีกบานไม่ไกลกันนัก โชคดีที่หมออนุญาตให้กวินสามารถถอดเฝือกได้ทันก่อนที่งานนี้จะเรื่ม ไม่อย่างนั้นคงจะวุ่นวายใหญ่...
เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปรัวชัตเตอร์เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวจากกลุ่มคนในห้อง...
.
.
.
.
หลังจากได้รับตารางงานสำหรับโปรเจ็คชิ้นนี้มาจากลูกน้องเมื่อไม่กี่วันก่อน กวินก็ต้องกุมขมับ กลุ่มคนประเภทต่างๆที่จะนำมาเป็นแบลบในงานไทโพโลจี้เซ็ทนี้ มีทั้งหมดสิบแปดกลุ่มด้วยกัน โดยแต่ละชุดจะต้องใช้เวลาอยู่ในห้องจำลองเล็กๆนั่นสิบห้าชั่วโมงเต็มๆนับตั้งแต่เก้าโมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน พวกเขาจะถ่ายภาพคนพวกนั้นหนึ่งกลุ่มต่อหนึ่งวันโดยไม่มีวันหยุด นั่นหมายความว่าสิบแปดวันต่อจากนี้พวกเขาจะต้องทำงานสิบห้าชั่วโมงทุกวันติดๆกัน
ตัวเขา ก้อ และจอมคงไม่มีปัญหาอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ต้องมาเจอของหนักๆแบบนี้ ห่วงก็แต่...เจ้าหนูตัวกระเปี๊ยกนั่น ไม่รู้จะอึดพอหรือเปล่า...แต่พอถามไป เจ้าตัวก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไหวแน่นอน
และยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ชายหนุ่มอดกังวลไม่ได้....ถึงจะไม่เกี่ยวอะไรกับงานก็ตาม
ทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำโดยที่ไม่มีช่วงหยุดพักให้หายใจหายคอแม้แต่เสาร์อาทิตย์แบบนี้ก็แปลว่า จากนี้ไปเกือบยี่สิบวัน...
เขากับจักรวาลจะไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวเหมือนตอนอยู่ในห้องทำงานแล้วสิ...
TBC
หวานกันพอหอมปากหอมคอแล้ว เดี๋ยวเทกระจาดกันมากๆแล้วจะเลี่ยนเอา เลยหาอุปสรรคเล็กๆมาให้พี่วินแสดงความสามารถเสียหน่อย เอิ๊กๆ
