อ๊ากกกกกกกกกกก มีคนมารอด้วยอ่ะ

ต้องกราบขอประทานอภัยจริงๆนะคะที่เมื่อวานไม่ได้เอามาลง เริ่มเข้าสู่ช่วงยุ่งจริงๆแล้ว
หลังจากนี้ไปคงเริ่มไม่ได้มาสม่ำเสมอแล้วล่ะ ยังไงถ้าวันไหนมารอแล้วเลยหกโมงเย็นไปยังไม่มาลง ค่อยเข้ามาดูใหม่วันถัดไปเลยนะคะ แต่สัญญาว่าจะไม่ให้รอนานเกินสามวันต่อหนึ่งตอนค่ะ
อีกเรื่องคือ มันมาอีกแล้วจ้า ศัพท์เทคนิค
สำหรับบางท่านที่อ่านแล้วมึนๆก็ข้ามๆไปเลยก็ได้ค่ะ แต่มันอาจจะเกี่ยวเนื่องกับเนื้อเรื่องในภายภาคหน้าเล็กน้อย
ขอบคุณค่ะ
------------
หัวใจหลังเลนส์
#17
“อรุณสวัสดิ์ครับพี่วิน” เสียงใสที่ดังขึ้นจากทางหน้าประตูห้องทำงานเรียกชายหนุ่มที่กำลังนั่งจมอยู่กับความคิดบางอย่างของตัวเองต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยรอยยิ้มที่ดูจะสดใสกว่าเก่า
“อรุณสวัสดิ์ปอม”
ทันทีที่เห็นใบหน้าของช่างภาพหนุ่มที่โผล่มาจากหลังจอคอมพิวเตอร์ชัดเจน ดวงตาเรียวสวยก็ต้องเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ
“โหพี่ ทำไมวันนี้หล่อเป็นพิเศษ ไปทำอะไรมาน่ะครับ”
ทรงผมกระเซอะกระเซิงที่เคยดูรุงรังอยู่ทุกวี่ทุกวัน สำหรับวันนี้มันถูกเซ็ตขึ้นอย่างดีเผยให้เห็นหน้าผากได้รูป ไรหนวดไรเคราจางๆที่เคยเขียวครึ้มถูกโกนออกจนไม่เหลือดูสะอาดเกลี้ยงเกลาขึ้นทันตา
คนถูกทักกระแอมไอในลำคอน้อยๆ ก่อนตอบออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เอาฤกษ์เอาชัยน่ะ”
“หืม? พูดอย่างกับจะไปออกรบ” เด็กหนุ่มกล่าวล้อเลียนขณะหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ประจำของตน
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง” ชายหนุ่มตอบเบาๆพลางกลั้วหัวเราะ ก่อนจะเอ่ยถามถึงลูกชายนายแบงค์ที่รับหน้าที่เป็นสารถีรับส่งเด็กหนุ่มทุกเย็นขึ้น “เอ้อปอม ช่วงนี้นายต้องกลับกับคุณเมษาทุกวันเลยเหรอ”
คนถูกถามพยักหน้าขึ้นลงสองสามที “ครับ เมื่อวันก่อนพี่เมษบอกว่าเป็นทางผ่านบ้านเขาอยู่แล้ว ก็เลยจะมารับกลับด้วยกัน”
“งั้นเหรอ...”
“พี่วินมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“อืม...ก็นิดหน่อย” ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบคางสีหน้าครุ่นคิด “คือฉันกำลังคิดว่า เดี๋ยวฉันไปส่งให้เองก็ได้นะ เพราะหอพักนายก็อยู่ใกล้ๆคอนโดฉันเหมือนกัน”
“แต่จากที่นี่มันถึงคอนโดพี่ก่อนถึงหอผมนี่ครับ พี่ต้องวนไปวนกลับเสียเวลาเปล่าๆ”
“ไม่เสียเวลาหรอกน่า ฉันว่ามันน่าจะสะดวกกว่ากลับกับคุณเมษานะ นายก็รู้ งานแบบนี้บางทีก็ต้องอยู่ล่วงเวลาจนดึก ยังไงนายกับฉันก็เลิกพร้อมกันทุกวันอยู่แล้ว กลับกับฉันดีกว่า”
คนถูกชักชวนมีสีหน้าลังเล ก็จริงอย่างที่กวินว่า หลังจากเข้าทำงานที่นี่มาเป็นเวลาเกือบจะสองสัปดาห์แล้ว ก่อนหน้านี้ก็มีบางวันที่ต้องอยู่เร่งงานให้เสร็จถึงดึกดื่น แย่กว่านั้นคือบางทีก็กระทันหันเกินไป หากโทรบอกไม่ทันก็อาจทำให้เมษาต้องเสียเวลาแวะมาเก้อเปล่าๆ
“ว่าไง?...”
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกาหัวก่อนตอบออกมาอย่างไม่แน่ใจ “อืม...ผมขอถามพี่เมษก่อนแล้วกันนะครับ”
ฝ่ายคนถามชะงักไป ได้ยินอย่างนี้มันปวดหนึบๆชอบกล...
“...ต้องถามด้วยเหรอ...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเสียงเบา “สำคัญขนาดนั้นเชียว...”
ดวงตาเรียวคู่สวยจับจ้องมาที่ช่างภาพหนุ่มอย่างไม่เข้าใจในประโยคสุดท้ายที่แม้จะเป็นคำถาม แต่ก็ฟังดูคล้ายๆพูดขึ้นมาลอยๆกับตัวเองเท่านั้น
“วันก่อนพี่วินก็ถามคล้ายๆแบบนี้ไป วันนี้เอาอีกแล้ว มีอะไรหรือเปล่า...”
โดนถามกลับแบบนั้นเข้าไปชายหนุ่มก็ถอนหายใจดังเฮือก อย่างน้อยก่อนที่จะเริ่มทำอะไรเขาเองก็อยากจะแน่ใจก่อนว่าในหัวใจของอีกฝ่ายยังไม่ได้มีใครอยู่ นายเมษานั่นเขาพอจะดูออกแหละว่าคงคิดอะไรกับเจ้าหนูนี่ไม่มากก็น้อยแน่ๆ แต่อีกฝ่ายนี่สิ ภายใต้ตาใสๆแบบนั้นคิดอะไรอยู่ ผู้ใหญ่อย่างเขาก็เดาไม่ถูกเหมือนกัน
เมื่อเห็นชายหนุ่มเงียบไปจักรวาลก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ รู้เพียงแต่ว่าคงต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อลบบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ออกไป
“ผมต้องถามพี่เมษก่อนก็ไม่เห็นจะแปลกเลยนี่ครับ ก็เขาอุตส่าห์ตั้งใจจะมารับผม แล้วอีกอย่างพี่เมษก็เป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากด้วย”
“...แค่รุ่นพี่จริงเหรอ?” เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยออกมาทำเอาจักรวาลต้องเลิกคิ้วขึ้น
“ก็จริงน่ะสิครับ ไม่งั้นจะให้เป็นอะไร”
รอยยิ้มถูกจุดขึ้นบนริมฝีปากของชายหนุ่มอีกครั้ง ร่างสูงลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนตรงมาที่โต๊ะของอีกคน ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างค้ำลงไปที่ขอบโต๊ะก่อนที่ใบหน้าหล่อคมคายนั้นจะยื่นลงไปหาเด็กหนุ่มใกล้ๆ
“เป็นแค่รุ่นพี่ก็ดีแล้ว...ฉันจะได้สบายใจ...”
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“เฮีย ข้าวมันไก่พิเศษสองจาน” เสียงทุ้มต่ำตะโกนสั่งอาหารกับอาแปะที่ยืนสับไก่อยู่หลังเขียงบริเวณหน้าร้าน ก่อนจะหันมาบอกกับคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “ฉันกะจะพานายมาลองร้านนี้หลายทีแล้ว น้ำซุปเขาอร่อยเหาะเลยนะ”
ต่อให้หวีผมโกนหนวด กวินก็ยังคงเป็นกวินที่กินง่ายอยู่ง่ายตามแบบฉบับของช่างภาพผู้ติดดินอยู่วันยังค่ำ ขนาดคิดจะจีบใครกับเขาสักทีก็ยังคงรักษาจุดยืนไว้อย่างสม่ำเสมอ...
“ขนาดนั้นเลยเหรอพี่” เด็กหนุ่มหันไปมองรอบร้านพลางผงกหัวขึ้นลงเบาๆ “แต่ลูกค้าเขาก็เยอะจริงๆแหละ”
“ใช่ ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดเดียวนะไก่หมด” คนร่างสูงยังคงพูดอวดสรรพคุณร้านไปเรื่อย โดยไม่ลืมที่จะกล่าวปูทางไว้สำหรับมื้อเที่ยงในวันต่อๆไปอีกด้วย “นอกจากร้านนี้นะ ละแวกนี้ยังมีร้านแนะนำอีกเยอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปกินหมี่เกี๊ยวหมูแดงตรงซอยเจ็ด นั่นก็อร่อยเหาะเหมือนกัน”
คนฟังยิ้มรับในขณะที่ข้าวที่เพิ่งสั่งไปเมื่อครู่ถูกนำมาเสิร์ฟลงบนโต๊ะ...
กวินพยักพเยิดให้อีกฝ่ายลองชิมน้ำซุปที่ตนโฆษณาไว้เมื่อครู่ ก่อนจะเริ่มลงมือกินของตัวเองบ้าง
คนทั้งคู่ต่างเพลิดเพลินไปกับอาหารโอชะตรงหน้าจนลืมพูดคุยอะไรกันไปพักใหญ่ และในที่สุดก็เป็นคนเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เปิดบทสนทนาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากนั่งเงียบกันอยู่นาน แต่หัวข้อที่ถูกหยิบยกมาพูดคุยในรอบนี้ไม่ใช่เรื่องสัพเพเหระอย่างตอนแรกอีกต่อไป สิ่งที่ชายหนุ่มกำลังจะถามเป็นสิ่งที่เขาอยากรู้จากคนตรงหน้า...
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
โบราณว่าไว้อย่างนั้น...
“นอกจากเรื่องถ่ายรูปแล้วปอมชอบทำอะไรอีกบ้างเหรอ” ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการถ่ายภาพของเด็กหนุ่มกวินรู้ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะศิลปินคนโปรด สไตล์ที่ชอบ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่นอกจากนั้น เรื่องชีวิตส่วนตัวเขาแทบไม่รู้อะไรเลย
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นจากจานพลาสติกตรงหน้าพลางทำหน้านึกเล็กน้อย “เอ...ที่จริงวันๆนึงผมก็หมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องกล้องนี่แหละครับ ถ้านอกจากนั้นเหรอ....ก็คงเป็นดูหนังฟังเพลงมั้ง ไม่งั้นก็เตะบอลเล่นรักบี้กับเพื่อนนิดๆหน่อยๆน่ะครับ พี่วินล่ะ?”
“ฉันก็ชอบดูหนังฟังเพลงเหมือนกัน บอลก็เตะนะ แต่รักบี้นี่เล่นไม่เป็น จริงๆแล้วเรื่องที่ชอบอีกอย่างของฉันคือท่องเที่ยว แต่ไม่ค่อยได้ทำเพราะไม่ค่อยมีเวลา”
“ผมเห็นคนชอบถ่ายรูปส่วนมากชอบไปเที่ยวกันทั้งนั้นเลย” เสียงใสที่แสดงความเห็นออกมาทำเอาชายหนุ่มยิ้มบางๆ ก่อนถามกลับไป
“แล้วปอมล่ะ ไม่ชอบเที่ยวบ้างเหรอ”
หัวกลมๆนั่นสบัดไปมาทำเอาเส้นผมเส้นผมกระจายตัวออกเล็กน้อย “ผมไม่รู้หรอกว่าคนชอบเที่ยวเขารู้สึกยังไงกัน เกิดมาก็มีแค่กรุงเทพฯนี่แหละไกลบ้านที่สุดที่เคยมาแล้ว”
ได้ยินดังนั้นช่างภาพหนุ่มก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ
ไม่เคยไปเที่ยวเหรอ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ปัญหาตอนนี้คือคอนเซ็ปที่เราคิดค้างกันเอาไว้รอบที่แล้วมันไม่เวิร์คน่ะครับ พวกผมลองเอาไปทำดูแล้วออกมาไม่เหมือนที่คิดเท่าไหร่ ก็เลยคิดว่าอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่หมดเลย” เสียงอธิบายอย่างกังวลใจของช่างภาพเบอร์สองในบริษัทอย่างก้อดังขึ้นเปิดการประชุม
ด้วยบริบทของสังคมและอะไรอีกหลายๆอย่างทำให้คอนเซ็ปที่ทุกคนในทีมระดมสมองกันคิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อนมีอันต้องโดนพับไป ยังดีที่เพิ่งเริ่มโปรเจ็คไปได้เพียงไม่กี่สัปดาห์ ถือว่ายังกลับตัวทัน แต่ถ้าขืนไม่รีบคิดของใหม่ให้ได้เร็วๆนี้งานที่จะต้องส่งให้นิวยอร์กมีหวังเสร็จไม่ทันการแน่ๆ
กวินนั่งกุมขมับฟังลูกน้องถกเถียงปัญหากันอย่างเคร่งเครียด ก็มีแอบคิดไว้ตั้งแต่ตอนประชุมคราวที่แล้วว่าอาจจะเจอปัญหา แต่ไม่คิดว่ามันจะต้องถึงขั้นโละใหม่ทั้งหมด แต่พอได้เห็นภาพที่ลองให้ลูกน้องไปลองถ่ายมาดูแล้วเขาเองก็เห็นด้วยว่ามันไม่เวิร์คเลยแม้แต่นิดเดียว
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นสำหรับคนทำงานสายนี้ ยิ่งหากเป็นผู้ผลิตผลงานสู่สาธารณะชนแล้วล่ะก็ การคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมเป็นเรื่องสำคัญที่หลายครั้งมันก็มาจำกัดขอบเขตของงาน
คีย์เวิร์ดหรือโจทย์ของงานในครั้งนี้ที่ได้รับมาจากทางนิวยอร์กคือคำว่า 'Culture Shock' ที่แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า 'ความรู้สึกสับสนต่อวัฒนธรรมที่ไม่คุ้นเคย' และสาเหตุที่บริษัทโฟโต้แฟคตอรี่สตูดิโอแห่งนี้ถูกรับเลือกเป็นตัวแทนแสดงผลงานจากประเทศไทยเนื่องจากทางผู้จัดที่นิวยอร์กต้องการเชิญสตูดิโอชั้นนำจากประเทศต่างๆให้ถ่ายทอดผลงานในแนวทางของถิ่นที่ตัวเองอยู่นั่นเอง
และคอนเซ็ปที่พวกเขาคิดกันไปเมื่อคราวที่แล้ว ฟังดูค่อนข้างดีตอนอยู่ในห้องประชุม แต่เมื่อตัวอย่างรูปจริงออกมา มันกลับสะท้อนด้านลบของสังคมไทยมากเกินไป ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายและละเอียดอ่อนมากๆสำหรับผู้เสพผลงานบางส่วนและอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลังได้
ชายหนุ่มหลับตาลงพยายามเค้นสมองคิดอะไรสักอย่างออกมาท่ามกลางเสียงโต้เถียงแสดงความคิดเห็นของลูกน้องในทีมต่างๆนาๆ แม้กระนั้นสุดท้ายก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าคอนเซ็ปคราวที่แล้วหากตัดเรื่องที่มันจะเป็นผลกระทบต่อภาพพจน์ประเทศออกไปเลย
ฉับพลัน...ห้วงความคิดของช่างภาพคนดังก็หยุดลงเมื่อเสียงใสจากเด็กหนุ่มที่นั่งข้างกายค่อยๆพูดขึ้นมาอย่างลังเล...
“เอ่อ...คือว่า” น้ำเสียงขาดความมั่นใจเล็กๆของปอมกล่าวขึ้นเบาๆเมื่อได้จังหวะ “ผมมีไอเดียนึงอยากเสนอครับ แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่านะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ท้ายประโยค กวินก็ต้องกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงดุๆ ผิดกับเวลาปกติที่หลังๆมานี้เขามักจะทำเสียงอ่อนกับเจ้าหนูนี่อยู่เรื่อย แต่สำหรับตอนนี้เขาถือว่าเขาพูดในฐานะหัวหน้า “อย่าออกตัวก่อน ถ้าอยากเสนออะไรก็เสนอมาเลย ให้มันมั่นใจหน่อย”
“อ๊ะ...ขอโทษครับ” ได้ฟังดังนั้นเด็กหนุ่มก็รีบยืดตัวที่นั่งห่อไหล่ขึ้นก่อนจะกระแอมไอเบาๆเตรียมพร้อมถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในหัวออกไป “คือว่าผมกำลังนึกไปถึงงานประเภทไทโพโลจี้น่ะครับ อย่างคราวที่แล้วเราพยายามจะนำเสนออาการคัลเจอร์ช็อคที่คนไทยมีต่อวัฒนธรรมต่างชาติใช่ไหมครับ มันเลยมีปัญหา แต่ถ้าสมมุติเรานำเสนอในลักษณะของอาการคัลเจอร์ช็อคที่มีต่อคนในชาติเดียวกันนี่แหละ แต่เป็นคนที่มาจากต่างสังคมย่อย ถ้าอย่างนี้เราอาจจะเลี่ยงพวกจุดเซนซิทีฟของคราวที่แล้วได้นะครับ”
ทุกคนในห้องประชุมตั้งใจฟังและคิดตามสิ่งที่เด็กหนุ่มกล่าว...
“แล้วมันเกี่ยวกับไทโพโลจี้ยังไงครับ” พี่ในทีมคนหนึ่งถามต่อเป็นสัญญาณว่าเข้าใจในสิ่งที่จักรวาลพูดเมื่อครู่แล้ว ให้อธิบายต่อได้
“ครับ คือผมคิดเล่นๆว่าถ้าเราจับคนจากต่างๆสังคมในเมืองไทยมารวมกันไว้ในที่ๆนึง ปฏิกิริยาของแต่ละคนมันน่าจะต่างกันออกไป เช่นเปรียบเทียบแบบหยาบๆว่า ถ้าเราเอากลุ่มคนที่มาจากสังคมในชนบทมาปล่อยรวมไว้กับคนอีกกลุ่มที่เป็นตัวแทนของสังคมคนเมืองในห้องเล็กๆโดยไม่ให้ออกไปไหนพักนึง ถึงจะเป็นคนไทยเหมือนกัน แต่เราก็จะเห็นปฏิกิริยาที่ต่างกันของคนสองประเภทนี้ อย่างถ้าเป็นคนที่มาจากชนบท ก็อาจจะไปนั่งเงียบๆอยู่ตามมุมตามขอบ ในขณะที่พวกคนเมืองก็อาจจะจับกลุ่มนั่งร้องรำทำเพลงแก้เซ็งกันกลางห้อง อันนี้ผมแค่ยกตัวอย่างนะครับ คือผมก็ไม่รู้ว่าจริงๆมันจะเป็นยังไง แต่ที่แน่ๆมันจะต้องเกิดความแตกต่างที่เห็นได้ชัดขึ้นในห้องนั้นแน่ๆ”
จักรวาลหยุดมองหน้าผู้ฟังทั้งหมดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ
“แล้วที่ว่าจะให้มันออกมาเป็นแบบไทโพโลจี้ก็คือ เราจะเก็บภาพอารมณ์จริงๆปฏิกิริยาจริงๆของคนในห้องนั้นจากมุมเดียวกันทั้งหมด เช่นอาจจะตั้งกล้องไว้ในมุมที่เห็นได้ทั้งห้อง แล้วก็ถ่ายสิ่งที่เกิดขึ้นจริงโดยไม่ต้องคิดถึงองค์ประกอบภาพอะไรเลย แล้วแต่ละภาพเราก็จะแบ่งออกเป็นหมวดๆ เช่นหมวดคนจากแต่ละภูมิภาค หมวดคนที่มาจากครอบครัวแต่ละประเภท หมวดคนที่มีระดับการศึกษาในระดับต่างๆกันอะไรแบบนี้ นึกออกไหมครับ คือทุกภาพในเซ็ทที่เราจะส่งไป ก็จะถูกถ่ายจากมุมเดียวกันสถานที่เดียวกันทั้งหมด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในภาพจะแตกต่างกันเพราะคนที่อยู่ในแต่ละภาพจะถูกเลือกมาจากซับกรุ๊ปที่ต่างกัน”
ไทโพโลจี้คือแขนงหนึ่งของการถ่ายภาพที่เน้นการศึกษาวัตถุชนิดเดียวกันที่มีรูปลักษณ์ต่างๆกัน โดยมีจุดประสงค์หลักคือเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ดังนั้นคุณค่าของงานประเภทนี้ไม่ได้อยู่ที่ความสวยงามหรือองค์ประกอบที่เพอร์เฟ็ค แต่อยู่ที่การได้ศึกษาอัตลักษณ์ของสิ่งต่างๆ ซึ่งสำหรับกรณีโปรเจ็ค 'คัลเจอร์ช็อค' นี้เป็นการศึกษาปฏิกิริยาของคนแต่ละประเภทในแต่ละหมวดหมู่นั่นเอง
ทีมงานทุกคนในที่ประชุมดูจะเห็นชอบกับสิ่งที่เด็กหนุ่มเสนอกันมาก โดยเฉพาะ 'ป๋าดัน' ที่นั่งอมยิ้มพยักหน้าอย่างพึงพอใจอยู่ข้างๆ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“ไอเดียไม่เลวเลยนี่” เสียงทุ้มต่ำที่ดังขึ้นจากคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถเรียกให้เด็กหนุ่มยิ้มแก้มปริ
กว่าจะจบการประชุมเมื่อครู่เวลาก็ปาเข้าไปสามทุ่มกว่าเสียแล้ว แต่จักรวาลก็ไม่ต้องกังวลอะไรในเมื่อสี่ห้าวันที่ผ่านมานี้กวินอาสาไปส่งเขาที่บ้านอย่างที่ชวนไว้เมื่อวันก่อนแทนเมษาตลอด
“ได้เทรนเนอร์ดีครับ” เด็กหนุ่มตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส ดีใจที่ความคิดของตนเป็นที่ยอมรับของพี่ๆในทีม
ได้ยินดังนั้นกวินก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เมืื่อกี้เทรนเนอร์ยังคิดไม่ออกเลย นายนั่นแหละเก่งด้วยตัวเอง ไม่ต้องมายอคนแก่”
.
.
.
.
จักรวาลนั่งขำเอิ๊กอ๊ากไปเรื่อยเปื่อยกับบทสนทนาที่ดำเนินไปเรื่อยๆตลอดการเดินทาง ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองหรือเปล่าว่าพักหลังๆมานี้ช่วงนอกเวลางานดูช่างภาพคนดังจะขี้เล่นขึ้นเป็นกอง มาดขรึมก็มีเหลือให้เห็นเฉพาะตอนทำงานเท่านั้น
แต่เมื่อหัวข้อการพูดคุยล่าสุดจบสิ้นลง ก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนทั้งสองเมื่อคนที่โตกว่าผู้มักเป็นฝ่ายชวนคุยไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
เห็นดังนั้นเด็กหนุ่มก็หันหน้าออกนอกหน้าต่างเพื่อชมวิวแทน
“เอ้อปอม...”
“ครับผม?” ใบหน้าเรียวได้รูปหันกลับมาเมื่อถูกอีกฝ่ายเรียกขึ้นอีกครั้งก่อนจะต้องฉงนงงงวยกับสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวในวินาทีถัดไป
“นาย...แบบว่า....ยังไม่มีแฟนใช่ไหม?”
คนถูกถามทำหน้าเหวอไปทันทีที่ได้ยินประโยคที่ถูกถามขึ้นมาดื้อๆแบบนั้น แต่แม้จะไม่เข้าใจจุดประสงค์ของชายหนุ่มนักก็ยอมตอบออกมาโดยไม่ได้ถามอะไรกลับไป
“ยังครับ”
“อืม...เหรอ” เสียงทุ้มต่ำตอบรับเบาๆ แล้วเพียงไม่นานคำถามต่อไปก็ตามมา
“แล้วคิดจะมีบ้างไหม?”
“อ่า...” จักรวาลยกมือขึ้นเกาหัวอย่างงุนงง “ตอนนี้ยังไม่คิดครับ พี่วินมีอะไรหรือเปล่า”
หากแต่อีกคนไม่ได้สนใจในคำถามที่ถูกส่งกลับ ชายหนุ่มยังคงเดินหน้าถามสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ต่อ
“แล้วทำไมถึงยังไม่คิดล่ะ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วกับประโยคที่ได้ฟัง ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนนี้ผมยังไม่มีปัญญาไปเลี้ยงใครหรอกครับ ก่อนผมจะคบหากับใครผมอยากแน่ใจก่อนว่าสามารถเลี้ยงดูแม่กับน้าที่ต่างจังหวัดให้อยู่ได้สบายๆ พูดอีกอย่างคือตราบใดที่ผมยังไม่มีที่ยืนในวงการถ่ายภาพ ผมก็ไม่มีทางแน่ใจว่าผมจะสร้างฐานะที่มั่นคงให้ครอบครัวได้”
ได้ฟังคำตอบสุดแสนจะมุ่งมั่นจากเด็กหนุ่ม ก็เป็นฝ่ายกวินบ้างที่ต้องขมวดคิ้วขึ้นมา
“แล้วถ้าเกิดว่าคนที่คบกับนายเขาพร้อมจะเลี้ยงทั้งตัวนายทั้งครอบครัวนายล่ะ?”
ใบหน้าเรียวสวยหันมามองคนถามด้วยสายตาตกใจ “พี่วิน! ผมไม่ใช่แมงดานะ จะให้ผู้หญิงมาเลี้ยงได้ไงเล่า”
“อ้าว แล้วถ้าคนนั้นไม่ใช่ผู้หญิงล่ะ?”
และคราวนี้คนฟังดูจะตกใจยิ่งกว่าเก่าเสียอีก...
“พี่วิน! ผมไม่ได้เป็นเกย์ ผมไม่ชอบผู้ชาย แล้วก็ไม่มีวันชอบด้วย”
อื้อหือ...
ชัดเจนเต็มสองรูหู!
TBC.