เอาตอนที่สิบสามมาส่งค่ะ
แต่ก่อนจะเริ่มอ่านกัน มีเรื่องอยากจะแจ้งสักเล็กน้อย
คือว่า เนื่องจากเร็วๆนี้กำลังจะถึงช่วงงานยุ่งของชีวิตคนเขียนแล้วค่ะ
อาจจะไม่ได้มาอัพสม่ำเสมอทุกวันอย่างตอนนี้แล้วนะคะ (ย้ำว่าอาจจะ)
จะพยายามเขียนแล้วเอามาลงให้เร็วที่สุด ความจริงก็อยากจะรักษาระดับวันต่อวันเหมือนเดิมเอาไว้
แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าพองานเข้าแล้วจะรอดหรือเปล่า
ดังนั้นเลยอยากมาบอกไว้ก่อน ท่านผู้อ่านจะได้ไม่งงถ้าเข้ามาแล้วไม่เห็นคนเขียนอัพตอนใหม่ในสปีดเดิม
แต่ยังไงจะมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้แน่นอนค่ะ
ปล.สำหรับบางท่านที่ถามมาว่าเราชอบเต๋าคชาหรือเปล่า ขอตอบตรงนี้เลยว่า
ใช่ค่ะ 
หนูเป็นสวนด.และติ่งคชาค่ะ *อมยิ้มหน้าแดง
---------------
หัวใจหลังเลนส์
#13
ดวงตาคู่คมดุเหล่มองไอ้ลูกน้องร่างอวบที่ยืนทำหน้ากรุ้มกริ่มจ้องเขาอยู่ไม่วางตา ในที่สุดชายหนุ่มก็ทนไม่ไหวจนต้องลดกล้องตัวใหญ่ในมือลงก่อนส่งเสียงถามออกไปอย่างหยาบคาย
“มองเหี้ย'ไรวะไอ้เต้?”
“มองโคแก่” พูดจบคนกวนประสาทเจ้านายก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเรียกฝ่ามือให้โบกลงบนหัวตนได้งามๆไปเต็มรัก
“ลามปามๆ” ช่างภาพคนดังชี้หน้าคาดโทษลูกน้องปากเสีย “โคแก่อะไรของมึง”
“เอ้า! หรือไม่จริงล่ะ มีอย่างที่ไหนยกโต๊ะเขาเข้าห้องทำงานเฉย ไม่ปรึกษาลูกน้องเลย” หน้ากลมๆส่ายไปมาพลางทำเสียงจึ๊กจั๊กในปากสองสามที
ได้ยินดังนั้นกวินก็เพิ่งจะร้องอ๋อในใจ...ก็นึกว่าเรื่องอะไร
“ก็ปอมมันมีเวลานิดเดียว เดี๋ยวก็ต้องกลับไปเรียน กูเลยจะสอนงานแบบเข้มข้นหน่อยไง”
“แน่ะ! เดี๋ยวนี้มีเรียกปงเรียกปอม เมื่อก่อนเห็นไม่ไอ้น้องก็ไอ้หนูไม่ใช่เหรอพี่” คนแซวยังไม่วายใส่ไปอีกดอก ก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นโทนจริงจัง หากแต่แววตายังคงแฝงความกรุ้มกริ่มอยู่ไม่หาย
“ถามจริงเหอะพี่วิน พี่กิ๊กกับน้องเขาอยู่เหรอ”
-โครม-
ขายาวๆขยับยกขึ้นถีบเข้าที่บั้นท้ายโตๆนั่นไปอย่างแรงหนึ่งดอก “กิ๊กบ้านป้ามึงสิ นั่นมันเด็กผู้ชายนะโว้ย”
คนถูกถีบได้แต่ยกมือขึ้นคลำก้นตัวเองป้อยๆ ก่อนแย้งออกมาอย่างไม่รู้สึกเข็ดใดๆ “ผู้ชายแล้วไงวะพี่ จะรักจะชอบไม่เห็นเกี่ยวว่าเพศอะไร ผมจะบอกอะไรให้ในฐานะลูกน้องผู้จงรักภักดีนะ” พูดถึงตรงนี้เต้ก็ลดเสียงให้เบาลงแล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้หัวหน้าสุดหล่อของตน “คนจ้องเคลมน้องเขาเยอะนะเว้ยพี่ ทั้งผู้หญิงผู้ชายเลย ระวังน้า...เดี๋ยวจะโดนคาบไปแดก”
ทันทีที่ฟังจบคนเป็นหัวหน้าก็ทำท่าจะยกขาขึ้นยันอีกครั้ง เจ้าของร่างอวบๆจึงรีบไหวตัววิ่งหนีไปจากบริเวณด้วยความเร็วระดับฝีเท้าม้า แต่ก็ยังไม่วายส่งเสียงหัวเราะแว่วมาให้ช่างภาพคนดังได้กุมขมับทิ้งท้าย
กวินส่ายหัวเบาๆกับตัวเองก่อนหันกลับไปปรับตั้งค่ากล้องเตรียมถ่ายบรรดาวัตถุที่ถูกจัดวางไว้อยู่ตรงหน้าฉากอีกครั้ง พลางในหัวก็นึกไปถึงบุคคลที่สามที่อยู่ในบทสนทนาเมื่อครู่
ช่วงนี้ไม่รู้คนรอบข้างเขาเป็นอะไรไปกันหมด ทั้งพี่ชาย ทั้งลูกน้องพากันมาคาดคั้นเรื่องแบบนี้กับเขากันใหญ่
กิ๊กกั๊กอะไร...ไม่ได้ชอบแบบนั้นเสียหน่อย
...ก็แค่เอ็นดูในฐานะคนที่รักการถ่ายภาพเหมือนกันเท่านั้นเอง...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“พี่วิน” เสียงใสเอ่ยเรียกคนที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์จากโต๊ะตัวเอง ก่อนจะลุกตรงไปหาเจ้าของชื่อพร้อมปึกกระดาษภายในมือ “พี่ช่วยดูไอเดียให้ผมหน่อยได้ไหม ว่าโอเคหรือเปล่า”
ชายหนุ่มละสายตาจากหน้าจอมาพิจารณากระดาษที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยความตั้งใจ ก่อนจะแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาให้จักรวาลได้ฟัง
เด็กหนุ่มจดคำพูดของช่างภาพคนดังลงสมุดยิกๆ ก่อนจะกล่าวขอบคุณเมื่อจบคำคอมเม้นท์แล้วจึงหมุนตัวเดินกลับที่นั่งไป
จากวันแรกมาจนถึงวันนี้ เขาก็เข้ามาทำงานที่นี่ได้เป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว ความตื่นเต้นกระตือรือร้นยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยมไม่หายไปไหน แต่หากจะมีอะไรสักอย่างที่เปลี่ยนไปก็เห็นจะเป็นความมั่นใจที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างเป็นลำดับ
และความดีความชอบทั้งหมดนี้เขาขอยกให้เป็นของกวินที่คอยแนะนำนู่นนี่ให้เขาอยู่ตลอดเวลา...
“เอ้อปอม” เสียงทุ้มต่ำที่ดังแทรกความเงียบขึ้นมาเรียกให้เด็กหนุ่มที่เพิ่งนั่งลงไปเมื่อครู่เงยหน้ากลับขึ้นมามองอีกครั้ง “กลางวันนี้เราไป...”
หากแต่พูดยังไม่ทันจบประโยค คำพูดของชายหนุ่มก็ต้องหยุดลงไปเมื่อเสียงโทรศัพท์ของคนร่างเล็กแผดขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน
กวินพยักพเยิดเป็นเชิงให้อีกคนตามสบาย
จักรวาลก้มลงดูเบอร์ที่โชว์อยู่บนหน้าจอก่อนจะรีบกดรับสาย
“สวัสดีครับพี่เมษ”
เสียงใสที่แว่วมาเรียกให้คนที่หันกลับไปสนใจที่จอคอมพิวเตอร์ต่อต้องเหลือบตากลับมามองอีกรอบ
“พี่ไปรู้มาจากไหนครับเนี่ย” เด็กหนุ่มกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะกับคนที่อยู่ปลายสายอย่างร่าเริง “อ้าว จริงเหรอครับ ได้เลยครับพี่ จะให้ผมไปเจอที่ไหนดี”
กวินเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆกับเนื้อหาในท้ายประโยคที่ได้ยิน
“อ๋อ โอเค งั้นเดี๋ยวพักเที่ยงแล้วผมรอหน้าบริษัทแล้วกัน ครับๆ เจอกันพี่”
โทรศัพท์ถูกวางสายลงไป ก่อนที่เด็กหนุ่มจะหันกลับมาหาคนที่ดูเหมือนจะพูดอะไรค้างไว้เมื่อครู่ “เมื่อกี้พี่วินจะพูดอะไรกับผมหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...ไม่มีอะไรแล้วล่ะ” คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ กลืนคำชวนไปทานข้าวกลางวันหายลงไปในคอ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ร่างสูงใหญ่ก้าวออกจากสตูดิโอพลางปาดเหงื่อเม็ดโตบนขมับด้วยแขนเสื้อยืดสีตุ่นของตน ถ้าไม่บังเอิญว่าไอ้ก้อ คนที่ควรจะเป็นคนถ่ายภาพเซ็ทนี้มาบังเอิญป่วยกระทันหันในวันนี้ล่ะก็ เขาก็คงไม่ต้องมาลงทุนห้อยโหนโจนทะยานถ่ายรูปคอนเซปพิลึกพิลั่นอย่างนี้ด้วยตัวเองเป็นแน่
ชายหนุ่มเดินกลับเข้าห้องทำงานของตนมาด้วยสภาพเหม็นเหงื่อ หากแต่เมื่อมองไปที่โต๊ะอีกตัวที่ว่างเปล่าแล้วก็ต้องก้าวถอยออกมาถามลูกน้องที่นั่งอยู่แถวนั้นถึงเจ้าของของมัน แม้พอจะเดาได้จากบทสนทนาในโทรศัพท์เมื่อครู่ก็ตามว่าไอ้เด็กแสบคนนั้นหายไปไหนในเวลาพักเที่ยงวันนี้
“มีใครเห็นปอมไหม” เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยขึ้นเรียกให้กลุ่มคนจำนวนหรอมแหรมที่นั่งทานข้าวกล่องอยู่ประจำที่ของตัวเองพากันหันมามอง
“เห็นตะกี้มีรถมารับไปไหนก็ไม่รู้ครับ รถโคตรหรูเลยด้วย” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ได้ยินดังนั้นกวินก็พยักหน้าเบาๆแล้วเดินกลับเข้าห้องของตนไปแบบเซ็งๆ ฝ่ามือใหญ่ยกโทรศัพท์ตั้งโต๊ะขึ้นต่อสายหาแม่บ้าน ก่อนไหว้วานให้ช่วยออกไปซื้อข้าวกล่องจากร้านขายข้าวแกงใกล้ๆมาให้แทน...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“บริษัทพี่อยู่ห่างไปจากนี่ไม่ถึงสิบนาทีเองไม่รู้เหรอ” เมษากล่าวขึ้นยิ้มๆ พลางส่งเมนูคืนเด็กเสิร์ฟในร้านบรรยากาศดีที่บัดนี้มีพนักงานบริษัทจับจองที่นั่งกันอยู่เต็มพื้นที่
“ก็พี่ไม่เคยบอกผมนี่นา จะไปรู้ได้ยังไง” ดวงหน้าเรียวได้รูปส่งยิ้มคืนมาให้คนตรงหน้า
“อ้าว! ใครจะไปรู้ล่ะว่าปอมจะมาทำงานแถวนี้ พี่ก็เพิ่งรู้จากเด็กที่ร้านแม่นี่แหละ” เมษาพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “อย่างนี้ตอนเย็นพี่มารับเรากลับบ้านทุกวันดีไหม อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง”
“เกรงใจครับพี่ ลำบากเปล่าๆ”
“เห้ย เกรงใจอะไร อีกอย่างหอปอมก็ทางผ่านกลับบ้านพี่” ชายหนุ่มเอ่ยคะยั้นคะยอคนตัวเล็ก “ประหยัดน้ำมันดีด้วย”
คนถูกถามนิ่งคิดอยู่ครู่ก่อนจะพยักหน้าตกลงในที่สุด
อาหารมื้อนี้เป็นไปอย่างกันเองสำหรับคนทั้งสอง และทุกอย่างก็ดูเหมือนจะราบรื่นดีในความรู้สึกของเมษา ถ้าไม่บังเอิญว่าคนร่างเล็กดันพูดถึงอะไรบางอย่างที่ฟังดูสะดุดหูชอบกลออกมา
“คุณกวินให้ปอมเข้าไปนั่งทำงานในห้องเขาเหรอ” ชายหนุ่มจ้องมองรุ่นน้องคนสนิทอย่างพินิจพิจารณา
แต่ดูเหมือนว่าจักรวาลจะไม่ได้รับรู้ถึงกระแสประหลาดบางอย่างจากคนตรงหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว
“ครับ พี่วินบอกจะสอนงานให้”
“พี่วิน?” นอกจากเรื่องห้องทำงานนั่นแล้ว ไอ้การเรียกชื่อที่เปลี่ยนไปก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เมษาหน้าตึงขึ้นมาดื้อๆ “สนิทกันขนาดนั้นแล้วเหรอ?”
เด็กหนุ่มเหลือบตามองเพดานพลางคิดถึงคำถามที่ถูกส่งมาให้ “ก็...ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ แต่ก็สนิทกว่าเดิมขึ้นมานิดหน่อยมั้ง”
เมษาครางรับงึมงำในลำคอ ก่อนจะตัดสินใจถามขึ้นต่ออย่างลืมตัว “แล้วปอมรู้สึกยังไงกับคุณกวินล่ะ”
คราวนี้จักรวาลมองคนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “รู้สึกยังไง? หมายความว่าอะไรอ่ะพี่”
เมื่อโดนถามกลับมาอย่างนั้นเมษาจึงเพิ่งรู้สึกว่าตนหลุดถามอะไรออกไป ชายหนุ่มรีบปรับท่าทางการแสดงออกของตนให้กลับมายิ้มแย้มตามปกติ “พี่หมายถึงว่าคุณกวินเขาดีกับปอมขนาดนี้ ปอมดีใจไหม...ก็เขาเป็นไอดอลของปอมไม่ใช่เหรอ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าขึ้นลงเบาๆเป็นเชิงเข้าใจ “ก็ดีใจสิครับ ผมได้เรียนรู้อะไรจากเขาเยอะมากเลยนะพี่ เขาโคตรเก่ง” จักรวาลยกนิ้วโป้งขึ้นคอนเฟิร์มคำพูดตัวเองให้คนตรงหน้า
ยังไม่ทันที่เมษาจะได้ซักถามอะไรต่อ หัวข้อการสนทนาก็เปลี่ยนไปกระทันหันเมื่อร่างเล็กตรงหน้าเขาอยู่ๆก็ยิ้มกรุ้มกริ่มแล้วทำท่าป้องปากกระซิบกระซาบ
“พี่เมษๆ หันไปดูที่สามนาฬิกาสิ พี่สาวเสื้อส้มน่ารักมาก”
ได้ยินดังนั้นคนเป็นรุ่นพี่ก็ได้แต่ส่ายหน้าเบาๆให้กับคนที่นั่งทำสายตาเจ้าชู้อยู่ฝั่งตรงกันข้ามของโต๊ะ ก่อนจะนึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
เมษารู้ดีอยูู่แก่ใจว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่เคยมีทีท่าว่าจะหันมาชอบผู้ชายเลยแม้แต่นิดเดียว และเขาเข้าใจจุดนี้ดีเพราะเขาเองก็ไม่ได้มีเจตนาจะไปบังคับรสนิยมใคร หากว่าจักรวาลจะมีแฟนเป็นผู้หญิงสักคน นั่นเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้ แม้จะรู้สึกเจ็บๆที่ใจก็ตาม
แต่...
หากวันหนึ่ง ถ้าคนตัวเล็กคนนี้เกิดรักเกิดชอบกับผู้ชายสักคนขึ้นมา เขาจะไม่ยอมเป็นอันขาด...ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เขา
แต่ดูจากอาการเหล่สาวทำตาแพรวพราวแบบที่เด็กหนุ่มเป็นอยู่ตอนนี้แล้ว คงยังไม่มีอะไรที่เขาต้องเป็นห่วงกระมัง...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“พี่วิน พี่เมษอยากมาทักทายครับ” เสียงใสที่ดังมาพร้อมกับประตูบานเลื่อนสีดำที่เปิดออกแบบไม่ให้เขาได้ตั้งตัวก่อน ทำเอากวินต้องรีบวางช้อนพลาสติกในมือลงบนกล่องโฟมพลางรีบกลืนข้าวไข่เจียวที่อยู่ในปากลงคอไป
ร่างสูงใหญ่ในชุดสูทราคาแพงยืนส่งยิ้มมาให้จากหน้าประตูเรียกให้เขาต้องลุกขึ้นกล่าวสวัสดีด้วยมารยาทที่พึงกระทำ “สวัสดีครับคุณเมษา”
“สวัสดีครับคุณกวิน” น้ำเสียงอบอุ่นชวนฟังที่ส่งไปฟังดูเป็นมิตรเหลือเกิน “ผมซื้อขนมมาฝากจากร้านที่เพิ่งไปกินมากับปอมเมื่อกี้นี้ครับ”
ชายหนุ่มในสภาพตัวเหม็นเหงื่ออันเนื่องมาจากงานถ่ายพิศดารในสตูเมื่อครู่ยกสองมือขึ้นเช็ดน้ำมันที่เปรอะมาจากข้าวกล่องกับกลางเกงยีนส์อย่างลวกๆ ก่อนยื่นมันไปรับขนมถุงใหญ่จากผู้มาเยี่ยมเยียน
“ทีหลังไม่ต้องลำบากก็ได้ครับคุณเมษา เกรงใจเปล่าๆ”
คนฟังส่งยิ้มกลับมาให้บางๆ “ไม่ลำบากหรอกครับ ผมถือเป็นการขอบคุณแทนปอมที่คุณอุตส่าห์ให้โอกาสมาเรียนรู้งาน”
จบประโยค กวินก็ต้องชะงักไปเมื่อได้ยินอย่างนั้น ดวงตาคมดุเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
...เป็นอะไรกับปอมหรือยังไง...ถึงต้องมาขอบคุณแทน...
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ เพราะผมเองพอได้ช่วยเขาก็มีความสุขดีเหมือนกัน...”
และสำหรับเมษา ที่บอกว่าคงยังไม่มีอะไรที่ต้องห่วงเมื่อครู่ เห็นทีว่าจะต้องคิดใหม่เสียแล้ว...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
แขกผู้มาเยือนกลับไปได้เป็นชั่วโมงแล้ว หากแต่บทสนทนาไม่รื่นหูยังคงวนเวียนไปมาในห้วงความคิดของชายหนุ่ม จนในที่สุดเขาก็ต้องหลุดปากถามกับคนตัวเล็กที่นั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะอีกมุมหนึ่งของห้องขึ้นมา
“ไปรู้จักกับคุณเมษาได้ยังไงเหรอ”
เสียงทุ้มต่ำที่ส่งคำถามมาดื้อๆท่ามกลางความเงียบนั้น เรียกให้เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากภาพถ่ายตรงหน้ามามองทางต้นเสียง “พี่เมษเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนสมัยอยู่มัธยมน่ะครับ”
ใบหน้าหล่อเหลาขยับขึ้นลงสองสามทีก่อนกล่าวต่อ
“แล้วสนิทกันมากเลยเหรอ”
เพียงเท่านั้นคนฟังก็ขมวดคิ้วฉับ ไม่รู้ว่าวันนี้คนรอบข้างเขาเป็นอะไรกันไปหมด ตอนทานข้าวกับเมษาเมื่อครู่ก็โดนถามว่าสนิทกับกวินไหม พอมาตอนนี้ก็เป็นฝ่ายกวินบ้างที่ถามว่าสนิทกับเมษาหรือเปล่า
อะไรวะ...
“สนิทครับ ก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้วนี่” เด็กหนุ่มตอบออกไปตามความจริง “อีกอย่างพี่เมษเป็นผู้มีพระคุณของผมอีกคนนึง กล้องตัวที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ได้มาเพราะตอนมอปลายพี่เขาให้ผมยืมกล้องไปถ่ายรูปส่งประกวดจนชนะได้ 350D มานี่แหละครับ แถมพอเข้ามหา'ลัย พี่เมษก็ให้ผมไปทำงานที่ร้านแม่เขาอีก”
“งั้นเหรอ” ชายหนุ่มตอบรับเสียงเบา ในหัวคิดอะไรสะระตะต่อสักพักก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่องขึ้นมาพับหัวข้อเก่าลงไปเมื่อเหลือบไปเห็นเข็มนาฬิกาบอกว่าถึงเวลาที่เขาจะต้องไปคุยธุระกับแผนกอื่นของบริษัทแล้ว
“ว่าแต่นายเอาเอกสารไปให้ฝ่ายเอชอาร์หรือยัง” เอกสารที่ว่านี้คือพวกสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน เรซูเม่หรืออะไรก็ตามที่คนเขาเอาไว้ใช้สมัครงานกัน ซึ่งสำหรับจักรวาลที่ได้เข้ามาแบบพิเศษแล้ว การส่งข้อมูลเหล่านี้ล่าช้าก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
“เอ้อ จริงด้วย เอามาแล้วครับ” เด็กหนุ่มที่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเขาคว้ามันออกจากบ้านมาเรียบร้อยแล้วเมื่อเช้า ล้วงมือลงไปหยิบแฟ้มเอกสารที่ว่าออกจากกระเป๋าของตน “งั้นเดี๋ยวผมเอาไปยื่นให้เขาก่อนนะครับ”
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ฉันต้องไปที่ห้องนั้นอยู่พอดี เดี๋ยวจัดการให้”
ได้ยินดังนั้นเด็กหนุ่มก็กล่าวขอบคุณก่อนจะเดินเอาเอกสารไปให้ช่างภาพคนดัง แล้วกลับมานั่งทำงานต่อตามเดิม
กวินถือแฟ้มที่ว่าเดินออกจากห้องไป ระหว่างทางชายหนุ่มก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงมองข้อมูลส่วนตัวของคนตัวเล็กที่เห็นทะลุแฟ้มใสออกมา
ริมฝีปากได้รูปคลี่ยิ้มขำขันเมื่อเห็นรูปถ่ายหน้าตรงของเจ้าเด็กคนนั้น
ชายหนุ่มสอดส่ายสายตามองไล่ข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนหน้ากระดาษคร่าวๆ ก่อนที่จะมาสะดุดอยู่ที่...วันเกิด...
วันที่ที่ระบุอยู่มันตรงกับมะรืนนี้ไม่ใช่หรือ...
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“พ่อครับ” น้ำเสียงนุ่มนวลเอ่ยเรียกชายวัยภูมิฐานที่นั่งทานข้าวเย็นอยู่ที่หัวโต๊ะ “ธนาคารของเราเป็นผู้ดูแลด้านการเงินให้ธุรกิจของบ้านจารุกิตติ์ใช่ไหมครับ”
ชายเจ้าของธนาคารชื่อดังเงยหน้าขึ้นมองคนเป็นลูกชายก่อนพยักหน้าเบาๆ “ใช่ พ่อเป็นคนเสนอเข้าไปเองตั้งแต่ได้ยินว่าคุณวิกรมจะเริ่มทำธุรกิจอสังหาฯเมื่อสมัยสามสิบกว่าปีที่แล้วด้วย”
“งั้นเหรอครับ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด “แล้วบริษัทที่ทำเกี่ยวกับภาพถ่ายของลูกชายคนรองบ้านนั้นล่ะครับ เราก็เป็นคนดูแลด้วยเหรอ”
“น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ลูกมีอะไรหรือเปล่า”
เมษายืดตัวขึ้นเล็กน้อยพลางเอ่ยปากอธิบายขึ้นด้วยน้ำเสียงฟังดูจริงจัง “คือช่วงนี้ผมบังเอิญมีโอกาสได้คุยกับคุณกวิน เจ้าของบริษัทนั้นบ่อยๆน่ะครับ เลยตั้งใจว่าอยากจะรับเรื่องการเงินของบริษัทเขามาดูแลด้วยตัวเอง คุณพ่อจะว่าอะไรไหมครับ”
ผู้เป็นบิดานิ่งคิดไปครู่ แล้วจึงตอบออกมาในที่สุด “ก็แล้วแต่ลูกแล้วกัน แต่เอาไปรับผิดชอบแล้วทำให้ดีๆด้วยล่ะ”
ได้ฟังดังนั้นชายหนุ่มก็แย้มรอยยิ้มขึ้น
“แน่นอนครับ ผมจะตั้งใจดูแลอย่างดีที่สุด”
TBC.