Dormitory Boys - สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 37 - หนึ่งสัปดาห์ ปิ่นหยกไม่รู้สักนิดว่าตัวเองอ้าปากค้างอยู่จนกระทั่งตอนคิดจะเปล่งเสียงพูดนั่นเอง
“...แม่เพชร...”เขาครางออกมาอ่อนระโหย ความคิดปั่นป่วนเรื่องจะโดนฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือเปล่ายังไม่เท่าความสงสัยในประโยคที่ว่าหมัดเมื่อกี้เป็นของแม่พลอย อุตส่าห์สงบจิตสงบใจได้ในระดับหนึ่งแล้วแท้ ๆ แต่พอมาได้ยินอย่างนี้เข้ากลับยิ่งวิตกจริตขึ้นมาบอกไม่ถูก
แม่เพชรรู้อะไร? แล้วทำไมเขาที่อยู่กับเธอมาตั้งนานถึงได้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
“ขอโทษค่ะ” กิ่งเพชรเอ่ยซ้ำ ก้มลงช่วยลูกชายพยุงร่างอีกฝ่ายขึ้นมายืนให้มั่นคงแล้วส่งกระดาษทิชชูให้ “คุณเลือดออก นั่งพักก่อนเดี๋ยวฉันไปหาน้ำแข็งมาช่วยประคบ”
อานนท์ไม่สามารถงงมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว ในเมื่อเธอเองที่เป็นคนต่อยเขาเสียหน้าหงายเมื่อครู่ แต่พอเอากำปั้นทักทายเสร็จกลับพูดจาเหมือนกำลังเชิญแขกมานั่งจิบน้ำชาในสถานการณ์แสนธรรมดาสามัญ
“คุณกิ่งเพชร ผมไม่ทราบพลอยเล่าอะไรให้คุณฟังบ้าง” เขาเปิดบทสนทนาให้เข้าเรื่องอย่างที่มันควรเป็นเรียกให้เธอชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมา ทุกครั้งที่เปล่งเสียงกระตุ้นความรู้สึกปวดหนึบขึ้นมาที่จมูกทว่าเขาไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้อีกแล้ว “แต่ผมจะขอพูดตรงประเด็นเลย”
“ไม่ว่างคุยค่ะ ฉันต้องทำงานทำการ” เธอตัดบท สีหน้าหงุดหงิดใจเต็มแก่เหมือนพร้อมจะสมนาคุณเขาอีกสักหมัดในนาทีสองนาทีนี้
“ขายอาหารใช่ไหมครับ”
“ใช่”
“งั้นผมเหมาทั้งหมด”
“หา..?”
“ผมเหมาทั้งหมด” อานนท์เอ่ยย้ำเสียงหนักแน่น แววตามุ่งมั่นกับเรื่องประหลาด ๆ เสียจนกิ่งเพชรขมวดคิ้วงุนงง
“แล้วจะได้ปิดร้าน มาคุยกัน...เท่าไหร่ครับ”
ปิ่นหยกตะโกนเชียร์ในใจว่าโก่งราคาให้หมดกระเป๋าไปเลยก็ดีไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แต่เธอกลับทำเพียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ หันมายืนกอดอกอย่างไว้เชิง
“เอาอย่างนี้ คุณมีอะไรว่ามาเลยค่ะ”
“ผมว่าพูดกันที่อื่นดีกว่าไหม”
เขาหันมามองปิ่นหยกแล้วเบนสายตากลับไปหาเธออีกครั้งเป็นทำนองว่ามีเด็กอยู่ตรงนี้อีกคน แต่กิ่งเพชรยักไหล่แล้วตอบกลับมาไม่ยี่หระ
“ทำไม? เกิดอายเด็กขึ้นมาหรือคะ”
“ผมเพียงแต่..”
อานนท์หรี่ตา เชื่อแน่แล้วว่าผู้หญิงตรงหน้าคงรู้เรื่องอะไรไม่น้อยทีเดียวจึงได้พูดออกมาถึงขนาดนี้
“...คิดว่าปิ่นหยกอาจจะรู้สึกไม่ดีหากต้องมาได้ยิน—”
“ได้ยินเรื่องที่คุณเมาแอ๋แล้วด่าว่าพลอยเสีย ๆ หาย ๆ เพราะเธอจะแต่งงานตอนเจอกันครั้งสุดท้ายน่ะเหรอคะ?”
เธอแหวใส่ “ไม่นับเรื่องที่เกือบปล้ำเธออีก กล้าทำก็ต้องกล้ารับหน่อยสิคุณ! เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า!?”
“หือ..!?” ใช้คำว่าหูผึ่งยังอธิบายอาการของเขาไม่ได้สักกระผีกเลย
เกือบปล้ำ?“เป็นอะไรไปคะ!?”
.......................................................................
.........................................
.
.
.
.
.
‘ปิ่นหยกเป็นลูกของพลอยกับพี่เขยฉัน!’...คำพูดของแม่เพชรทำให้เขาอุ่นใจพอจะคิดว่าคุณอานนท์เมาแล้วเพ้อเจ้อไปเองตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต
ทว่าแม้จะบอกตัวเองอย่างนั้นก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้เลย แม่เพชรกับแม่พลอยเป็นแฝดกันน่าจะสนิทกันพอจะเล่าเรื่องราวที่ไปเจอมาให้อีกฝ่ายฟัง แต่พวกเธอเล่าให้ฝาแฝดของตัวเองฟังทั้งหมดจริง ๆ หรือ?
เธอยืนยันหนักแน่นว่าคุณอานนท์กับแม่ของเขาไม่ได้มีอะไรกันแน่นอน นอกจากผู้ชายคนนี้เมาแล้วพูดกับแม่พลอยด้วยภาษาวอนให้เอาแข้งฟาดก้านคอเรื่องเธอจะแต่งงานทั้งที่ตัวเองเป็นคนไปมีครอบครัวก่อนแท้ ๆ สุดท้ายแม่พลอยก็หนีกลับมาก่อนโดยไม่ลืมจะบอกเพื่อนร่วมรุ่นไปสองหรือสามคนว่าเจอหน้า
‘อานนท์ วิจิตรนิรันดร์’ อีกเมื่อไหร่ช่วยต่อยแรง ๆ ให้หมดหล่อแทนเธอคนละทีเป็นการเอาคืน
‘ถ้าคุณข้องใจนักฉันท้าให้ตรวจได้เลย!’ ปิ่นหยกหลับตา เสียงประกาศกร้าวของแม่เพชรยังดังก้องอยู่ในหู กับสัมผัสที่ยังค้างคาอยู่จากแรงบีบเบา ๆ ที่ไหล่ของเขาเป็นเชิงเรียกความมั่นใจ
...และเขาควรเชื่อเธอ เหมือนที่เคยเชื่อตลอดมา...
พวกเขาเพิ่งเดินทางออกจากห้องแลบเอกชนซึ่งรับตรวจดีเอ็นเอโดยใช้เซลล์จากกระพุ้งแก้ม กว่าจะได้ผลตรวจก็อีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลัง แล้วระหว่างนี้เขาควรวางตัวอย่างไรดี
“คุณอานนท์” ปิ่นหยกพึมพำทำลายความเงียบขณะที่ยังนั่งสงบเสงี่ยมอยู่บนรถ สมองนึกหาบทสนทนาอะไรสักอย่างเพื่อไม่ทำให้บรรยากาศอึมครึมเกินไปนัก
“หือ?”
“...เวลาคุณเมาแล้ว...พูดจา....ไม่ดี...เหรอครับ?”
ถามบ้าอะไรออกไปวะเนี่ย!?อีกฝ่ายหัวเราะหึ ๆ ออกมาแผ่วเบา แตะเบรกจนรถชะลอแล้วหยุดลงตรงสี่แยกไฟแดงก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้เขา
“...เรียกว่าปากหมาเลยดีกว่า”
ปิ่นหยกสะดุ้งเล็กน้อย มาดผู้ชายคนนี้ไม่ให้จะเอ่ยอะไรอย่างคำว่า
‘ปากหมา’ ออกมาได้หน้านิ่งแบบนี้เลย อีกอย่างเขาไม่ได้ตั้งใจพูดอย่างนั้นสักหน่อย แม้ไม่ปฏิเสธว่ามีแอบคิดอยู่บ้างก็เถอะ
“...เหมือนลูกชายคุณเลย”
“อาทิตย์เมาด้วยเหรอ?”
บ้าฉิบ!
ลืมไปเสียสนิทว่าหมอนั่นอยู่บ้านเป็นคุณชายไม่น่าเคยเมาให้พ่อเห็น เอามาพูดอย่างนี้จะเสียเครดิตเด็กดีของป๊ะป๋ารึเปล่า อึกอักอยู่ครู่ใหญ่จนอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเหมือนอ่านใจออก
“เล่ามาเถอะ ไม่ว่าอะไรหรอก” อานนท์พูดกลั้วหัวเราะ “ฉันก็อยากรู้มุมที่ไม่เคยเห็นของลูกชายตัวเองเหมือนกัน”
ปิ่นหยกเหลือบมองคนข้าง ๆ รถเริ่มออกตัวเมื่อไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวอีกครั้ง แล้วเขาก็กลับมาก้มหน้าก้มตามองตักตัวเองอย่างกับมีลายแทงขุมทรัพย์ปรากฏอยู่ “ให้พูดจริง ๆ หรือเอาแบบถนอมน้ำใจดีล่ะครับ”
นั่นทำให้ชายหนุ่มยิ่งหัวเราะเสียงดัง
“เอาสิ คุยแบบคิดว่าฉันเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเธอก็ได้ เหมือนที่เธอเล่าเรื่องเขาให้ฉันฟังตอนกินไอติมกันวันนั้นไง”
อยากเอาหน้าซุกใต้เบาะแล้วไม่ต้องโผล่หัวขึ้นมาอีกเลยตลอดการเดินทาง! โดนรู้จริงด้วยว่าวันนั้นเขาพูดถึงอาทิตย์
เด็กหนุ่มนั่งกระอักกระอ่วนไปอีกครู่ใหญ่ แต่สุดท้ายก็คิดได้ว่าช่างหัว(เขาเอง)เถอะ...ไม่เหลืออะไรจะเสียแล้วจึงได้สูดลมหายใจเฮือก ก่อนจะพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำ
“อาทิตย์เมาแล้วปากหมามากครับ”
“นั่นไง..กะอยู่เชียว”
ปิ่นหยกลอบมองเสี้ยวหน้าของคนที่ขับรถอยู่ อาทิตย์เองพออายุเยอะขึ้นแล้วก็คงรูปลักษณ์ประมาณนี้ มันน่าตลกที่หลังจากได้คุยกับแม่เพชรบรรยากาศระหว่างเขาและผู้ใหญ่ข้างกายก็เหมือนกับเชือกซึ่งผูกเป็นปมตึงจนเกือบขาดแต่แล้วอยู่ ๆ ปมนั้นก็ค่อยคลายตัวออกกลายเป็นเส้นเชือกหย่อน ๆ กองขยุกขยุยอยู่บนพื้น ยังแก้ให้เป็นเส้นสวยงามไม่สำเร็จแต่ก็ไม่ได้ตึงเปรี๊ยะจนหายใจไม่ทั่วท้องอย่างก่อนหน้านี้
แต่ให้ว่ากันตามจริง...ไอ้กองเชือกพันกันอีนุงตุงนังนี่มันคาใจชะมัดเลย“คุณเองก็ไม่ได้อยากให้ผมเป็นลูกหรอกใช่ไหมครับ”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”
“คุณแค่รู้สึกผิดต่อแม่พลอย ต่อคนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำไร้ความรับผิดชอบของตัวเอง”
อานนท์ขยับมุมปากยักยิ้มพึงใจ กระนั้นคิ้วก็ยังขมวดเป็นปมอยู่กลางหน้าผาก
“เธอเป็นเด็กฉลาด แถมยังพูดตรงอีกด้วย”
“...ขอโทษครับ”
เขาโบกมือเป็นทำนองว่าอย่าใส่ใจ “ฉันรู้สึกผิดต่อแม่ของเธอ และขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดต่อภรรยาของฉัน อาทิตย์ แล้วก็อันนา”
เด็กหนุ่มพยักหน้า อีกฝ่ายจะรู้สึกอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก หากไม่รู้สึกอะไรเลยต่างหากจึงเรียกว่าผิดมนุษย์มนา
“เธอพอจะเข้าใจความทรมานที่อยู่กับฉันมาเนิ่นนานนี้หรือเปล่า ฉันรักภรรยาของฉัน รักลูก ๆ ทั้งสองคน” เขาหยุดพักครู่หนึ่ง เพื่อปรับสีหน้าให้เป็นปกติ พูดถึงเรื่องพวกนี้ทีไรก็เจ็บปวดที่ไหนสักแห่งขึ้นมาทุกครั้งกับความรู้สึกผิดซึ่งหลอกหลอนเขามาหลายปี “...แต่ก็ยอมรับว่าเคยรักกิ่งพลอยจริง จนถึงวันที่รู้ว่าเธอจะแต่งงานก็ยังอดสะเทือนใจอยู่ลึก ๆ ไม่ได้ เรื่องมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้”
“คุณก็เลยพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยความรู้สึกผิดในใจ?”
“จะว่างั้นก็ได้”
ปิ่นหยกขมวดคิ้ว จด ๆ จ้อง ๆ อีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ทนต่อความค้างคาใจไม่ไหวเอง
“คุณอานนท์..ผมถามจริง ๆ คุยกันแบบเปิดอกเลย”
“ว่ามาสิ”
“คืนนั้นคุณมีอะไรกับแม่พลอยจริงหรือครับ”ถามตรงดีจริงเด็กอะไร“ถ้าให้พูดความจริงเลยคือฉันจำไม่ได้ ตลกดีไหม แต่องค์ประกอบหลายอย่างมันทำให้น่าสงสัย ซึ่งให้เล่ารายละเอียดเลยคงไม่เหมาะกับเด็กเท่าไหร่” ชายหนุ่มเหลือบมองกลับมาแวบหนึ่งแล้วหันไปสนใจเส้นทางตรงหน้าต่อ “...อย่างที่บอกว่ามีเหล้า..”
เหล้าอีกแล้ว “....เหล้านี่แย่นะครับ” เขาเปรย ความหงุดหงิดใจเจืออยู่ในสีหน้าด้วยสาเหตุทั้งเรื่องที่ไม่ได้คำตอบชัดเจนและจากความทรงจำซึ่งมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาเกี่ยวข้องครั้งก่อน ๆ
“ผมก็สั่งห้ามไอ้ลูกเจี๊ยบกินอีกเด็ดขาด”
“ไอ้ลูกเจี๊ยบ? …สั่งห้าม?”
รู้สึกได้เลยว่ารถซึ่งเคลื่อนตัวไปเนิบนาบถึงกับกระตุกไปวูบหนึ่ง
ว้อยยยยยย! ปากหนอปาก! นิสัยปากไวอย่างนี้ต้องแก้ยังไงถึงจะหาย “....คือ....ผมหมายถึงอาทิตย์”
“ลูกเจี๊ยบเหรอ..”
อานนท์ทวนคำแล้วถึงกับหลุดหัวเราะออกมายกใหญ่ บรรยากาศคร่ำเครียดระเหยเป็นควันแล้วโดนเป่าออกทางท่อไอเสียรถเรียบร้อย ที่แย่คือทำไมเขาต้องหน้าร้อนผ่าวไปหมดอย่างนี้ก็ไม่รู้
“ฟังดูก็เหมาะดีนะ”
ชายหนุ่มสังเกตอาการผู้เยาว์ด้านข้างด้วยหางตา ทุกครั้งที่มีเรื่องของอาทิตย์ปรากฏในบทสนทนาเป็นต้องได้เห็นปฏิกิริยาน่าสนใจซึ่งเขาเชื่อว่าไม่ได้คิดไปเองจากเด็กคนนี้
“เดาว่าคงสนิทกันในระดับหนึ่งเลยใช่ไหมถึงสั่งห้ามได้”
“.....”
สีหน้ากึ่งระแวงปนวิตกจริตซึ่งพยายามทำขรึมแต่ไม่สำเร็จของปิ่นหยกทำให้เขาเกือบหัวเราะออกมาอีกแล้ว
“อย่าเครียดสิ...แค่ถามในฐานะพ่อ....”
“??” เด็กหนุ่มชะงัก หันมาเลิกคิ้วพร้อมส่งสายตากดดันซึ่งเดาว่าเจ้าตัวคงไม่ได้ตั้งใจจนเขาต้องพูดต่อให้ครบ
“...ของเพื่อน”
“อ้อ....ครับ....” อีกฝ่ายพึมพำ
“ก็เรียนห้องเดียวกัน แถมเป็นรูมเมทกันด้วย”
“แล้วยังทำงานด้วยกันอีก” เขาช่วยต่อ “อย่างนี้แทบจะตัวติดกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเชียวนะ”
ปิ่นหยกนั่งยุกยิก คุยเรื่องอื่นกันอยู่ดี ๆ ทำไมถึงเข้าประเด็นนี้ไปได้ นึกตัดพ้ออยู่ในใจว่าคู่สนทนาเขาช่างขี้โกงเป็นบ้าที่สามารถเบนทิศทางจากเรื่องซึ่งตัวเองกำลังถูกไล่ต้อนมาเป็นฝ่ายหัวเราะใส่เขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทันรู้ตัว หรือเป็นเพราะตัวเขาเองที่แพ้ทางในด้านชั้นเชิงเสียราบคาบ
ทิวทัศน์ด้านนอกตัวรถเริ่มกลับมาคุ้นตาบอกให้รู้ว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะกลับถึงร้าน ช่วงนี้ลาบ่อยอู้บ่อยเสียจนถ้าโดนหักเงินเดือนจะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย รถควรเลี้ยวขวาข้างหน้านี้ ทว่าสารถีหน้ามึนก็ยังไม่คิดเปิดไฟเลี้ยวหรือชะลอความเร็วรถสักทีจนทำท่าจะออกนอกเส้นทาง เห็นท่าไม่ดีเลยรีบท้วงก่อนอีกฝ่ายได้มีโอกาสทำเนียนขับเลยไปไกลกว่านี้
“ไปไหนครับ!?”
“อ้าว...โดนจับได้ซะแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นทีเล่นทีจริงกลั้วหัวเราะ หลังออกมาจากบ้านเขามาดูจะอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน
“แวะหาอะไรกินกันก่อนไหม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมอยากรีบกลับแล้ว”
“ให้อาทิตย์รอหน่อยไม่ได้หรือ”
ปิ่นหยกทำหน้าตาตื่น “ผมจะกลับไปทำงานต่อต่างหาก”
“ล้อเล่นเท่านั้นเอง” อานนท์เผลอยิ้มชอบใจ หักพวงมาลัยให้รถเลี้ยวไปในทิศทางที่ควรจะเป็น ขืนบังคับพาไปไหนไม่รู้เจ้าเด็กนี่จะทำตัวบ้าบิ่นขู่กระโจนลงจากรถอย่างครั้งก่อนอีกหรือเปล่า
“เธอนี่เป็นคนตลกจริง”
“.....”
และเขาได้รับสายตาค่อนขอดแบบเดียวกับที่กิ่งพลอยชอบทำในอดีตเวลาโดนเขาแกล้งอำโน่นนี่กลับมา เห็นแล้วก็อดไม่ได้จะเอื้อมมือไปยีผมเสียจนยุ่งเหยิง มานึกตกใจกับตัวเองในอีกไม่กี่วินาทีให้หลังว่าเขารู้สึกเอ็นดูเด็กคนนี้มากกว่าที่คิด จากตอนแรกแค่อยากรับผิดชอบการกระทำตัวเอง ถึงตอนนี้เผลอรู้สึกไปแล้วว่าหากมีลูกชายแบบปิ่นหยกอีกสักคนชีวิตคงสนุกสนานครึกครื้นดีไม่น้อย
ล้อรถนิ่งสนิทลงเยื้องกับทางเข้าร้านเค้กทานตะวันอยู่นิดหน่อย อานนท์เลือกไม่จอดตรงหน้าร้านเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้ากับลูกชายตัวเองซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูง เจอแล้วเดี๋ยวก็อดไปนั่งพูดคุยด้วยนาน ๆ ไม่ได้อีก
หันไปเห็นปิ่นหยกยกมือไหว้ ร่างโปร่งทะมัดทะแมงขยับตัวเตรียมลงจากรถ แต่การเคลื่อนไหวกลับชะงักลงเพราะเขาขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“สมมตินะ...แค่สมมติเฉย ๆ ถ้าเราเป็นพ่อลูกกันจริง”
เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง มองหน้าเขาด้วยสายตาครุ่นคิด ริมฝีปากเม้มจนเกือบเป็นเส้นตรงแต่ไม่ได้ตอบ และเขาก็ไม่คิดว่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงกับการนั่งรอให้เจ้าตัวพูดอะไรกลับมาสักอย่าง
“...เธอคิดว่าไง”
ปิ่นหยกเป็นฝ่ายละสายตาออกมาก่อนแต่ไม่รู้ควรมองไปที่ไหนจึงเปลี่ยนไปจับจ้องกับหัวเข่าสองข้างของตัวเอง เรื่องนั้นเขาก็ยังไม่แน่ใจคำตอบ ถึงพยายามบอกอะไรไปตอนนี้แต่ใครจะรู้ว่าตอนแจ้งผลตรวจจริง ๆ อีกหนึ่งสัปดาห์ให้หลังแล้วยังสามารถทำตามความคิดเดิมได้อยู่หรือเปล่า
“ผม....ยังไม่รู้ครับ...” เขาผลักประตูแล้วพาตัวเองออกจากรถ หันกลับมายืนลังเลอีกหนึ่งอึดใจก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจังให้ได้ยินไปถึงเจ้าของพาหนะคันงาม
“แต่ผมคิดว่าคุณเป็นคนแก่เฟอะฟะความจำแย่ หน้ามึน แล้วก็ติดจะเพี้ยนหน่อย ๆ”
ถือว่าปิ่นหยกใจกล้ามากทีเดียวสำหรับการแสดงความเห็นอย่างนั้นออกไป คนที่นั่งหน้าเหวอหลังจากได้ยินถ้อยคำบรรยายของเขาอยู่นี่น่ะหรือจะเป็นพ่อแท้จริงเขาไปได้ ...บ้าแล้ว เขาเชื่อแม่เพชร หรืออย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่พยายามบอกตัวเองให้มั่นใจ
“ผมไม่ใช่ลูกคุณหรอก...เชื่อสิ”ก่อนเขาจะปิดประตูแล้ววิ่งหายลับเข้าร้านเค้ก ทิ้งอานนท์นั่งหัวเราะกับตัวเองเพียงลำพังในรถหลังตั้งตัวติดในที่สุดกับความเห็นตรงไปตรงมาซึ่งน้อยคนนักจะกล้าพูดกับเขาแบบนี้
..................................................................
............................................
.
.
.
.
.
.
“กลับช้าจัง” อาทิตย์แทบจะกระโดดกอดคนตรงหน้า พอเข้าใจความรู้สึกคิมว่าทำไมชอบเกาะปิ่นหยกนัก ตัวกำลังน่ากอดเลยทีเดียว
“ธุระเยอะไปหน่อย”
ร่างโปร่งยกมือผลักเขาออกไม่จริงจังนัก ประเมินแล้วเดี๋ยวต้องสบถอะไรสักอย่างออกมาเป็นแน่เลยชิงพูดเรื่องอื่นก่อน
“มีลูกค้าถามถึงนายด้วย”
ปิ่นหยกทำตาโต อาจเป็นพี่สาวหนึ่งในลูกค้าประจำที่ชอบมีขนมมาเผื่อบ่อย ๆ
“แล้วมีฝากของอะไรมาให้ด้วยหรือเปล่า”
“มี”
“ไหน?”
“แต่ฉันบอกว่าไม่ต้องแล้ว”
“ห๊ะ!?”“บอกไปว่านายมีแฟนแล้ว ให้ของบ่อย ๆ เดี๋ยวแฟนหึง”
บรรยายไม่ถูกเลยว่าเขาอยากจับมันฆ่าหมกส้วมขนาดไหน ติดที่ว่าตัวใหญ่ขนาดนี้เดี๋ยวส้วมเต็มเร็วเลยเปลี่ยนเป็นผลักหัวทิ่มแทน
“เลวววว!! ไอ้ตัวขัดลาภ!!”
“อุตส่าห์ไม่พูดแล้วนะว่าแฟนคนนั้นคือฉันเอง” ท่านชายเงยหน้าขึ้นมาทำเสียงน่าสงสารพร้อมแจกแจงเหตุผลซึ่งไม่ช่วยเรียกคะแนนกลับมาแม้แต่น้อย “กลัวนายเรตติ้งตก”
ปิ่นหยกยกมือขึ้นนวดขมับ รู้สึกปรับอารมณ์ไม่ค่อยทันขึ้นมาพิกล เมื่อตอนกลางวันเขาเพิ่งสู้รบปรบมือกับคุณพ่อมึนใหญ่ที่ขนเอาอดีตขมุกขมัวอะไรมาไม่รู้ตั้งมากมาย พาไปโดนแม่เพชรต่อยเรียกสติมาหนึ่งครั้ง ก่อนจะโดนหิ้วกระเตงไปแลบเอกชนเข้าขั้นตอนนู่นนี่นั่นเพื่อตรวจดีเอ็นเอซึ่งกว่าจะรู้ผลก็ต้องทนวุ่นวายใจไปอีกหนึ่งสัปดาห์เต็ม นั่งรถกลับมาพร้อมดำเนินบทสนทนาซึ่งให้อารมณ์ประหลาดกับหนุ่มใหญ่ตัวต้นเหตุเรื่องวุ่นวาย สุดท้ายมาจบที่พฤติกรรมเพี้ยน ๆ อย่างน่าโดดเตะของคุณชายหน้าหล่อผู้เป็นลูก คนตระกูลนี้คิดจะทำชีวิตเขาสับสนอลหม่านไปถึงไหนกัน...?
“เวรเอ๊ย อยู่กับแกแล้วปวดหัวฉิบหาย”
“ปวดหัวได้ แต่ไม่ปวดใจแน่นอนครับ”
...ถึงกับขนลุก“เสี่ยวบัดซบ!! ไปขุดมาจากไหนวะ!”
“พี่แววสอนมา”
เสียงทุ้มไขข้อสงสัยยิ่งพาลจะทำให้ไมเกรนขึ้น คนร้านนี้เป็นอะไรกันไปหมด ไอ้ตัวสูงตรงหน้านี่ก็เกิดอยากทำตัวเป็นลูกไก่ใสซื่อ ใครสอนอะไรมาท่านชายเอามาใช้หมด ไม่ไหวจะเคลียร์แล้วจริง ๆ ได้แต่บ่นออกมาเสียงอ่อนแรง
“เออ...กรูยอม”
“จริงเหรอ!?”
ปิ่นหยกขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะดีใจทำไมมากมายอยู่นานกว่าจะรู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไป คงไม่ใช่ว่าลูกเจี๊ยบน้อยทำมึนตีความไปไกลแล้วใช่ไหม
“งั้นคืนนี้เลยนะครับ หลังอาบน้ำเสร็จ”
อาทิตย์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ นัยน์ตาเป็นประกายวิบวับมีเลศนัย ถ้าเป็นลูกหมาคงต้องบอกว่าออกอาการหูตั้งหางกระดิก แต่เป็นลูกไก่อาจนึกภาพเอาว่ากำลังตีปีกพั่บ ๆ อยู่แทนน่าจะพอไหว
เดี๋ยวนะ...ชักไปกันใหญ่แล้ว“.....คืนนี้อะไร!?”
“ก็บอกยอมแล้วไง”
“ไม่ใช่ยอมแบบนั้น!”
“รู้เหรอฉันหมายถึงแบบไหน” ใบหน้าคมโปรยยิ้มกรุ้มกริ่ม กดเสียงลงต่ำได้ยินแล้วชวนให้ใจกระเด้งมาออกสเต็ปอยู่นอกซี่โครง “..ปิ่นหยกลามก”
อ้าว..ตกลงกรูผิด? แต่อย่างมันมีหน้ามาว่าคนอื่นเขาแบบนี้ด้วยเรอะ!?
“อาทิตย์ครับ” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม มีอันต้องได้งัดมุกนายปิ่นหยกผู้มารยาทงามพูดจาไพเราะเสนาะหูมาใช้อีกแล้ว
“...อย่าดื้อสิ.......นะ?”
อีกฝ่ายทำสีหน้าประหลาดใจเพียงแวบหนึ่งแล้วจึงก้มลงงับเบา ๆ ที่ปลายจมูกเขา
“อือ...ไม่ดื้อ ปิ่นหยกพูดเพราะน่ารักจัง”
ไอ้ลูกเจี๊ยบลามปาม...ได้ทีเอาใหญ่นะเมิง!“ฉันยังไม่พร้อม...”
อาทิตย์ดูจะสนุกสนานกับการยื่นหน้ามางับ ๆ ปล่อย ๆ อยู่แถวจมูก ไม่รู้ชอบใจอะไรนักหนา แม้แต่ตอนถามออกมาริมฝีปากก็ยังง่วนอยู่ที่เดิมไม่ยอมห่าง “แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม”
เขาทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว ถอยห่างออกมานิดหน่อยก่อนจะโดนกินเข้าไปทั้งจมูก กว่าผลตรวจดีเอ็นเอจะออกก็ปาเข้าไปตั้งอีกหนึ่งสัปดาห์ ถึงแม้เชื่อใจในคำพูดแม่เพชรแต่จะให้ทำตัวเหมือนเป็นคู่รักไปมากกว่านี้คงทนต่อความรู้สึกผิดบาปไม่ได้หรอก
“อีกอาทิตย์นึงค่อยคุยกันใหม่”
แต่ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วสัปดาห์หน้าจะยอมมอบกายถวายร่างหรอกนะ เขาแก้ต่างให้ตัวเองในใจ สถานการณ์จวนตัวขอเอาให้รอดคืนนี้ไปได้ก่อน ที่เหลือค่อยว่ากันทีหลัง
“หนึ่งอาทิตย์? มีความหมายหรือมีเรื่องอะไรที่ฉันควรรู้หรือเปล่า”
อาทิตย์สบตาเขานิ่ง แม้แววตาไม่ได้สื่อไปทางกดดันหรือคาดคั้น แต่ความหวั่นไหวลึก ๆ ซึ่งฉายอยู่ในนั้นทำให้เขาอึดอัดใจบอกไม่ถูกจนต้องถอนหายใจยาวออกมาแทบเกลี้ยงปอด
พอเถอะ...เขาเหนื่อยจะปิดบังแล้ว
“..เดี๋ยวเล่าให้ฟัง”To be continued…===================================
เราก็ยังอดอรั๊งหนุ่มใหญ่อยู่ลึก ๆ ไม่ได้ค่ะ (ฮาา)
ขอบพระคุณงาม ๆ ทุกคอมเม้นต์และที่ช่วยแก้คำผิดให้ด้วยค่ะ *ฟัด*
แล้วพบกันตอนหน้า ตอนพิเศษวันเกิดอาทิตย์ 19/09/55 จะพยายามปั่นให้ทันค่ะแฮ่ก ๆ
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***