- INTRO -เสียงนาฬิกาปลุกร้องดังตั้งแต่ไก่ยังไม่ทันโห่ ผมสะลึมสะลือควานมือสะเปะสะปะหาต้นตอของเสียงที่ดังขัดแก้วหูนั่น ก่อนจะกระแทกกับหัวเตียงแรงๆเพื่อให้มันเงียบเสียง
"มิน"
นั่นชื่อของผมครับ 'มิน' หรือ 'มนสิช' ที่แปลว่าความรัก ชื่อของผมน่ารักครับ แล้วหน้าตาผมก็น่ารักสมชื่อ เกิดมาเป็นน้องชายคนเล็กสุดของบ้าน มีพี่ชายอีกห้าคนรายล้อมคอยเอาอกเอาใจ ป๊ะป๋ากับหม่อมแม่ก็รักผมดั่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวน เลี้ยงผมมาอย่างกับว่าผมเป็นลูกสาวที่บอบบางอย่างนั้นแหละ ริ้นไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม เรื่องของเรื่องคือหม่อมแม่อยากได้ลูกสาว แต่ก็ไม่ได้เสียที เลยตัดสินใจว่า ไม่เป็นไร ไม่ได้ลูกสาว แต่ก็ขอเลี้ยงลูกสักคนให้เหมือนลูกสาวทีเถอะ! นั่นเลยเป็นที่มาของชื่อที่หวานจ๋อยจนเลี่ยนของผมครับ คนที่บ้านผมจะเรียกผมว่า 'น้องมิน' ฟังแล้วขนลุกจะตายไป
แต่ผมอยากพิสูจน์ความเป็นลูกผู้ชายครับ เลยออกจากบ้านที่เชียงราย มาอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านสยาม เรียนรู้สังคมผู้ชาย แล้วก็ได้หัดภาษาพ่อขุนรามฯกับเขาบ้าง นี่ถ้าหากกลับบ้านแล้วหลุดให้ครอบครัวได้ยิน ผมยังไม่รู้เลยครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น
"มิน ตื่นได้แล้ว คนอื่นกำลังจะมารับแล้วนะครับ"
เสียงห้าวๆจากเพื่อนผู้หวังดีที่ไม่ได้มาแค่เสียง มือหนาเริ่มฉุดกระชากลากผ้านวมที่ห่อหุ้มร่างกายของผมอยู่อย่างรุนแรง จนในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ ใช่สิครับ ไอ้เพื่อนของผมคนนี้มันเป็นนักกีฬา หุ่นล่ำยิ่งกว่านักร้องเกาหลี ไอ้ผมที่หุ่นผู้ชายไทยปกติจะไปสู้แรงได้อย่างไรไหว
"ขอกูอีกสิบนาทีน่า" ผมยังอดต่อรองไม่ได้ครับ ก็นี่มันเพิ่งจะตีสามครึ่ง ผมเข้านอนไปตอนเกือบจะตีสอง ใครมันจะไปตื่นไหว
"ใครใช้ให้เล่นเกมส์จนดึกล่ะวะ ลุกขึ้นมาเดี่ยวนี้เลย หรือจะให้กูอุ้มไปที่ห้องน้ำ"
ไม่พูดเปล่าครับ เดินอาดๆเข้ามาช้อนร่างของผมเอาไว้จริงๆ เล่นกันแบบนี้ผมแทบตาสว่าง รีบลุกเลยครับ
"ไม่ต้องๆ เดี๋ยวกูไปเอง จะรีบไปไหนกันวะเนี่ย"
"ก็รีบไปเสม็ดน่ะสิ มึงเป็นคนรีเควสเองนะถ้าเผื่อจะลืม"
ตอนนี้ตาของผมเริ่มชินกับแสงไฟแล้วครับ ถึงได้มองเห็นร่างสูงใหญ่ของคนตรงหน้า ในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินกับเด๊ปสีดำตัวโปรดของมัน ข้างกายมีเป้เตรียมพร้อมออกเดินทาง ในขณะที่ผมยังมีแค่บ๊อกเซอร์ตัวเดียวติดกาย เห็นสายตามันมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าก็อดไม่ได้ที่จะหาวหวอดใส่หน้ามัน
"หาวอะไรนักหนา ไปๆ รีบไปอาบน้ำจะได้ตื่น พูดรู้เรื่องกับเขาซะที"
"กูก็พูดกับมึงรู้เรื่องอยู่เนี่ย"
แต่ก็ขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงครับ ผมเกาหัวแกรกๆพร้อมเดินเข้าห้องอาบน้ำ หอพักของผมถือว่าเป็นห้องพักที่ดูดีอยู่ จะเรียกว่า 'หอ' ก็ไม่เชิง จริงๆก็เป็นคอนโดนั่นแหละ แต่ผมกับเพื่อนเช่าอยู่ด้วยกัน แชร์ค่าห้องกันประหยัดกว่าเพราะห้องกว้าง แถมยังแบ่งเป็นสัดส่วน อยู่กันได้สบายๆ
น้ำเย็นจัดที่พุ่งใส่หน้าทำเอาขนลุกทั่วร่าง ผมรีบถูสบู่แล้วล้างน้ำให้สะอาดอย่างรวดเร็ว เพื่อจะได้กระโดดออกไปหาผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ที่ราวพาด
เมื่อมองตัวเองในกระจก ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มน้อยๆออกมา ไม่ใช่ว่าผมหลงรูปลักษณ์ของตัวเองหรอกครับ แต่ว่าผมขำสีหน้าขาวจนซีดของตัวเองน่ะสิ ก็ผมน่ะเป็นคนเหนือ ผิวขาวตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ยิ่งเจอน้ำเย็นจัดในยามรุ่งเช้าแบบนี้ก็ยิ่งซีด แถมสั่นอย่างกับลูกหมาตกน้ำ จะไม่ให้ขำได้ยังไงล่ะครับ
เพียงไม่นานผมก็ก้าวออกมาจากห้องน้ำ ผมไม่ใช่พวกชอบแต่งองค์ทรงเครื่องครับ ผมยาวไม่มากเท่าไหร่ ติดจะหยักศกนิดหน่อย แค่เป่าให้แห้งแล้วใช้มือสางหน่อยก็เป็นทรงแล้วครับ
"มากันยังวะ"
ผมชะโงกหน้าไปหาคนที่กำลังนั่งเต๊ะอยู่บนโซฟาครับ ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ดูนอกจากข่าวเช้าตรู่ ผมจึงแปลกใจที่นัทธิว เพื่อนรักของผมถึงจ้องจอตาเป็นมันขนาดนั้น พอได้เห็นผู้ประกาศข่าวสาวในจอเท่านั้นแหละครับถึงได้ร้องอ๋อ ก็บึ้บบั้บ แถมขาวจั๊วะน่าเจี๊ยะซะขนาดนั้น
"เฮ้ย ธิว พวกมันมายัง?" ผมทวนคำถามอีกรอบ ตอนนั้นแหละมันถึงได้หันมาเห็นหน้าของผม แล้วกวาดตามองสำรวจเสื้อผ้าของผมพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม "ยิ้มไรของมึงวะ กูขนลุก"
"ธิวก็แค่อยากเห็นว่าวันนี้มินจะแต่งตัวแบบไหนแค่นั้นเองครับ"
"กูก็แต่งแบบที่มึงเห็นอยู่ทุกวันนั่นแหละ"
ธิวยิ้มโดยไม่พูดอะไร ไม่รู้อะไรนักหนา ผมก็แค่สวมเสื้อกล้ามสีดำ กับเดฟสีดำ คาดเข็มขัด HERMES ที่พี่สาวซื้อให้ แล้วก็สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าสดทับแบบไม่กลัดกระดุม ส่วนใหญ่ผมก็แต่งตัวแบบนี้ล่ะครับ นอกจากไปวันธรรมดาที่ต้องไปเรียน ก็สวมชุดนิสิตตามกฎระเบียบมหาวิทยาลัย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ธิวรีบลุกไปที่โต๊ะกินข้าว มันวางไอโฟน 4GS ของมันไว้บนนั้นครับ ส่วนของผมยังใช้รุ่น 3G อยู่ เก่ามากแล้วแหละ แต่ขี้เกียจซื้อใหม่ บ้านผมไม่ได้ร่ำรวยอะไรขนาดนั้น
"ถึงแล้วเหรอวะ เออๆ เดี๋ยวพวกกูลงไป" ธิวกรอกเสียงลงไปในสาย ก่อนจะหันมาทางผมที่คว้าเป้มาถือไว้อย่างเตรียมพร้อม "ไปกัน มิน พวกมันรออยู่ข้างล่าง"
"โอเค นี่เอารถใครไปวะ"
"รถไอ้ศักดิ์มัน ส่วนพีทไปกับฟินอีกคันนึง เห็นว่ามันเอาเพื่อนมาด้วย"
"เออๆ รถไอ้ศักดิ์ก็ดี บอกมันขับช้าหน่อย กูอยากนอนต่อ"
ธิวหัวเราะในลำคอ "หึๆ มึงก็รู้ว่าไอ้ศักดิ์มันเคยขับรถช้ากว่า 140 กม.ต่อชั่วโมงซะที่ไหน"
ผมบ่นพึมพำในลำคอ ไม่ได้อะไรหรอกครับ ผมไม่ได้กลัวความเร็ว แต่ผมยังห่วงชีวิตของตัวเอง ถ้าแค่ 140 ผมก็ไม่กังวลหรอก แต่ปกติที่ผมขึ้นรถมันนะ เหยียบไม่ต่ำกว่า 180 ทุกที หัวงี้แทบจมไปกับเบาะรถ แม่งไม่สมควรขับรถ แต่น่าจะไปขับเครื่องบินเจ๊ทแทนมากกว่าจริงๆ
พวกผมลงลิฟต์มา เจอเฟอรารี่สีแดงสดจอดรออยู่หน้าคอนโดแล้ว ยามไม่กล้าไล่หรอกครับถ้าเป็นรถหรู แทบจะอยากให้จอดค้างอยู่หน้าคอนโดนานๆ ถ้าเป็นวีออสของผมเหรอครับ อย่าหวัง
ธิวก้าวขึ้นรถ มันชอบนั่งหน้าครับ จะได้คุยกับศักดิ์สะดวกๆ ผมไม่ซีเรียสอยู่แล้ว ได้ยึดเบาะหลังไว้คนเดียวออกจะดี จะได้นอนเลื้อยอย่างสบายใจไม่มีใครเกะกะ
"เฮ้ย ศักดิ์ มึงขับไหวแน่นะเว้ย?"
"เออ กูโด๊ปมาดีไม่ต้องห่วง เมื่อคืนเป็นเด็กดีรีบนอนตั้งแต่หัวค่ำ"
"เออดี ดูไอ้มินมัน แม่งกว่าจะนอนก็ตีสอง"
"หึๆ ถึงได้ม่อยกระรอกอยู่แบบนั้นล่ะสิ ดูมันนอนแหกขาอย่างกับลูกหมา ถ้าสาวๆที่ติดมันมาเห็นคงหนีกันแทบไม่ทัน"
เพื่อนที่แสนดีนินทาผมระยะเผาขนครับ แต่ผมไม่สนใจ วินาทีนี้อยากนอนอย่างเดียว
"ปล่อยมันนอนเหอะ เดี๋ยวนอนไม่พอมันจะหงุดหงิด ไม่ต้องเปิดเพลงล่ะ เดี๋ยวมันนอนไม่หลับ" ธิวพูด ลดเสียงลงเมื่อเห็นว่าผมปิดตาสนิทอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้น
"โหย ดูแลดีอย่างกับเป็นพ่อมันเลยว่ะ ธิว"
"เออ ไอ้มินมันลูกรักกู ต้องเอาใจมันไม่งั้นมันไม่ทำกับข้าวให้กิน"
ธิวหัวเราะ แล้วก็พูดอะไรอีกก็ไม่รู้ผมไม่ได้ฟัง ระหว่างเดินทางที่ผมหลับสนิท ได้ยินเสียงคุยงุ้งงิ้งที่จับใจความไม่ได้ไปตลอดทางจนกระทั่งถึงจังหวัดระยอง
นี่เป็นปิดเทอมแรกของพวกเราตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา ผมที่ถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหินก็หวังว่าจะมีเรื่องดีๆที่แปลกใหม่เกิดขึ้นกับชีวิตบ้างก็เท่านั้น
ใครจะไปเชื่อ ว่าคำขอของผมจะเป็นจริงอย่างรวดเร็วขนาดนี้
แต่ว่า ผมไม่มั่นใจนะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม จะสามารถจัดเป็น 'เรื่องดีๆ' ได้รึเปล่า
Talk : สวัสดีค่ะ แฮะๆๆ เปิดเรื่องใหม่อีกอารมณ์นึง
ฝนตก อารมณ์เลยเปลี่ยนค่ะ (มันไม่ใช่ข้ออ้างเลยนะ = =)
ชานมแต่งเรื่องนี้มาสักพักนึงแล้วค่ะ แต่เป็นครั้งแรกที่แต่งนิยายโดยใช้มุมมองของนายเอก
มีข้อติชมตรงไหน รบกวนชี้แนะด้วยนะคะ เรายังอ่อนด้อยนักกับการแต่งนิยายค่ะ

ป.ล. เรื่อง Scarlet Bond ก็ยังคงลงต่อเรื่อยๆค่ะไม่ต้องห่วงนะคะ ^ ^