Friend's brother Brother's friend 22 ,เจ้าชายน้อย
[Pun's talk]
ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ผมนั่งชะเง้อคอมองหา 'คนมาใหม่' จากในร้านกินดื่มที่ผู้คนเริ่มหนาตาในเวลาเช่นนี้ รู้แต่ว่าน้ำหนักความร้อนรนในจิตใจมีมากเสียจนคณานับไม่ได้เมื่อประโยคชวนใคร่รู้ของเพื่อนร่วมสถาบันที่ 'ไม่อยากจะเม้าธ์' จบลง
"อย่าว่างั้นงี้เลย กูพูดเผื่อให้มึงๆเตรียมใจกันไว้ว่าแผนการล่อเก้งของไอ้บอมแม่งสัมฤทธิ์ผล ได้ผลแบบยิงปืนนัดเดียวได้ตุ๊ด2 ตัวเลยแหละ โอ๊ย อย่าให้กูเผา เพื่อนตัวสั้นของมึงมา แหกตาดูต้นคอขาวๆของมันเอาเหอะ!"
ความรู้สึกวูบโหวงแล่นมาสุมที่อก ดูจะมากที่สุดในบรรดาสหายทั้งสามที่มาก่อน ยิ่งเมื่อแน่ใจตัวเองว่าการก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างเพศไปสามารถทำได้ง่ายดายจากอารมณ์ชั่ววูบ ยิ่งรู้สึกนั่งไม่ติดที่
เหมือนเพิ่งรำลึกถึงคำว่า
"รู้อย่างนี้ทำเสียตั้งแต่ตอนนั้นก็ดี" เป็นครั้งแรก
ผู้ชายที่วางระเบียบแบบแผนซึ่งผ่านการกลั่นกรองมาตลอด 21 ปี บัดนี้กลับมารู้สึกเสียดายในเรื่องที่น่าขันได้อย่างเหลือเชื่อ ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มไม่ให้ว่างจนฟุ้งซ่าน สุดท้ายก็อดรนทนไม่ไหวขอบุหรี่จากไอ้โชติออกมาดูดดับกังวลคนเดียวหน้าร้าน มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงจับโทรศัพท์เอาไว้ลังเลว่าจะโทรเรียกคนที่นึกถึงให้รีบมาหรือทำทีเป็นสงบใจเย็นอยู่แบบนั้นดี ทว่าไม่ทันได้ตัดสินใจ slk 250 สองที่นั่งก็แล่นปราดจอดเทียบอยู่ตรงลานจอดรถให้เห็นโดยสะดวก จากนั้นเวลาไม่ถึงอึดใจกลับยาวนานเหลือเกินกว่าสองร่างภายในรถจะค่อยๆปรากฏตัวออกมา
เน็ตใส่ยีนส์สีดำขาเดฟตัวเก่ง แต่ที่แปลกไปคือคนที่ชอบใส่แขนยาวตลอดเวลากลับสวมเสื้อโปโลสีฟ้าสดใส ยกคอตั้งเป็นจิ๊กโก๋กร่างเดินนำผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่สวมเสื้อเชิร์ตแขนยาวอย่างดีกับเรย์แบนด์ทั้งที่ตะวันตกดินแล้วไม่ห่าง ถึงจะมีทีท่าสงบนิ่ง แต่ผมรู้ว่านัยน์ตาตัวเองไม่อาจซ่อนความเคลื่อนไหวหลุกหลิกไม่ได้ดั่งใจได้เหมือนก่อน คนมาใหม่ถึงขมวดคิ้วเป็นหมาสงสัยตั้งแต่เห็นหน้าผมกระทั่งเดินมาถึงตัว
“ไมออกมาดูดคนเดียววะ”ณัฎฐนิชถามเสียงซื่อ ผมตอบคำถามมันส่งๆด้วยความหงุดหงิด แต่ไอ้เน็ตยังซักไซ้ถามปัญหาที่แปะหราบนหน้าผากผมให้ตอบ กระนั้นท้ายที่สุดผมก็ไม่ได้คิดจะเล่าอะไรให้ฟังเหมือนเคย มันจึงหันไปไล่คนติดตามมันให้กลับแทน เฮียยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ผมไม่ค่อยมีโอกาสเห็นบ่อยนักแล้วหันมาฝากฝังไอ้สั้นกับผมให้รู้สึกวูบไหวกลางอก
ความโกรธที่เฮียแสดงทีท่าว่าเป็น’เจ้าของ’ ไอ้เน็ตด้วยคำว่า ‘กูอนุญาต’ ไม่ได้มีมากไปกว่ารู้สึกโกรธณัฎฐนิชที่ทำตัวเป็น’ของๆเฮีย’ แบบไม่ผลักไส..
ที่โกรธไปมากกว่านั้น คือตัวเอง..
ห้าปีที่ผ่านมา มัวกลัวอะไรอยู่...
กระทั่งผู้ใหญ่เรียกผมไปคุยว่ามีธุระ ตอนนั้นถึงไม่อยากเดินตามมันไปสุดท้ายพอคิดว่าน่าจะเกี่ยวกับเน็ตก็ยอมก้าวตามไปง่ายๆ เฮียไม่ได้เดินไปไกลแต่พอแน่ใจว่าอยู่ในบริเวณที่เน็ตไม่ได้ยินแล้วมันก็พูดลอยๆ
“กันไอ้บอมให้ด้วย มันรู้เรื่องกูกับเน็ตแล้วดูท่าไม่พอใจเท่าไหร่ กลัวมาระรานไอ้เน็ตแล้วจะมีปัญหากัน”
“เป็นแฟนกันหรือไงบอมถึงจะมีปัญหากับเน็ต?”
“ยัง.. แต่กำลังดำเนินไปในแบบที่มันไม่ชอบใจ กูห่วง แล้วเรื่องบูมด้วย ขอบใจที่ให้เวลามัน ตอนนี้เหมือนมันคิดอะไรได้แล้วอย่าไปทำมันเขว...”
ผมหยุดเดิน แต่เฮียไม่หยุด มันพูดต่อโดยอาศัยก้าวให้ช้าลง
“ถ้าไม่ชอบ ก็บอกให้มันตัดใจ อย่าเที่ยวใจดีกับมัน กูมีเรื่องจะฝากแค่นี้แหละ กลับไปดูไอ้เน็ตได้แล้ว ขอบใจมาก”
ผมไม่รอให้ได้ยินเฮียพูดจบ เดินหันขวับหัวเสียออกมาโดยไม่สบตาเพื่อนตัวเล็กที่ยืนเกาหัวราวสังคังขึ้นแม้แต่น้อย ทั้งๆที่คิดว่าต้องทำอะไรสักอย่างตั้งแต่ก่อนเจอไอ้เน็ต มาถึงตอนนี้กลับร้อนรนอยากทำอะไรหลายๆอย่างให้สายตาคู่นั้นกลับมามองเว้าวอนที่ผมเพียงคนเดียวอย่างที่เคย
แต่บางสิ่งที่สะท้อนออกจากตาใสๆของเน็ตกลับตอกย้ำให้ผมรู้ว่า มันช้าเกินไป
แม้พยายามเอาใจอ้อมๆไม่ให้เพื่อนคนอื่นจับสังเกต ใกล้ชิดเน็ตมากกว่าที่เคยโดยหวังจะได้เห็นปฏิกิริยาบางอย่างจากเพื่อนตัวเล็กบ้าง แต่ก็เปล่า..
มันมีทีท่าเคลือบแคลงสงสัยในการพยายามแสดงออกอย่างชัดเจนของผม กระนั้นยังทำตัว’สบายๆ’ ใส่จนน่าหงุดหงิด และยิ่งทวีเท่าตัว ตอนที่เน็ตพูดจาเหมือนตัวเองกำลังเป็นพ่อสื่อพ่อชักให้กับ หมวยเล็ก ที่นั่งนิ่งเสียจนน่าใจหายอีกคน กระนั้นบูมก็ยังมีผลต่อความรู้สึกของผมน้อยกว่าการผลักไสของเน็ตหลายเท่านัก...
รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง
ชักช้าและขลาดกลัวไปหมดเสียทุกอย่าง..
แม้กระทั่งฉวยจูบ ผมยังไม่กล้าลงมือทำกับไอ้เน็ตที่มันเองก็ชอบผมมาหลายต่อหลายปีจนสุดท้ายต้องยืนมองตาละห้อยส่งคนที่เคย’รอการหันมา’ ของผมเสมอให้เดินไปกับใครอีกคน
ความรู้สึกเจ็บปวดเพราะความผิดหวังแล่นปราดเข้ามาในอกด้านซ้ายเมื่อภาพตรงหน้าปรากฎให้เห็นชัดเจนว่าความสำคัญของตัวเองถูกลดทอนต่ำลงจนเกือบเทียบขั้นเพื่อนคนอื่นด้วยการกระทำซื่อๆของเพื่อนตัวเล็ก แม้ในบางทีดวงตาคู่นั้นวูบไหวไปบ้างแต่เหมือนแค่ไม่นานเท่านั้นที่ผมสามารถดึงจิตใจณัฏฐนิชให้เขวได้ ท้ายที่สุดท้ายมันก็สงบนิ่งเหมือนผิวน้ำเหนือมหาสมุทรจนผมพอจะเห็นอนาคตตัวเองอยู่รำไร..
หัวใจของเน็ต มีใครเข้าไปอยู่ในนั้นโดยทับถมให้ผมเป็นเพียงซากตะกอนก้นบึ้งไปแล้ว
อย่างดีก็แค่กวนให้มันฟุ้ง.. ไม่นานปารมีก็จะเอาสารส้มมาแกว่งให้ตะกอนนั้นนอนพื้นอย่างสงบเช่นเคย
บูมเป็นคนแรกที่เดินกลับมาหลังจากส่งพี่รหัสไปกับเฮียของมัน หยุดยืนเยื้องๆกับผมโดยไม่พูดอะไร ตาตี่เป็นขีดจับจ้องมองผมนิ่งให้ตัวเองนึกย้อนไปถึงครั้งสุดท้ายที่ได้มองมันเต็มๆตาแบบนี้
ทั้งๆที่มีเส้นกรอบแน่นหนาระหว่างตัวเองกับน้องชายเพื่อนแท้ๆ ทั้งเรื่องที่มันเป็นผู้ชาย ไหนจะเป็นคนใกล้ตัวที่ผมเองไม่อยากจะเข้าไปยุ่งให้เกิดปัญหา แต่วันนั้นกลับเผลอตัวก่อเรื่องแบบไม่น่าให้อภัยตัวเองจนได้
“พี่ปัน ไปไหนต่อหรือเปล่า”
ประโยคแรกที่มันถามหลังจากมองผมกับเน็ตมาตลอดทั้งงาน พอส่ายหัวให้คำตอบหมวยก็เม้มปากเข้าหากันแน่น
“บูมมีเรื่องอยากคุยด้วย”
แสงไฟนีออนจากสะพานพระราม 8 ทำให้ในยามรัตติกาลความมืดไม่ได้ครอบงำทุกสรรพสิ่งให้กลืนหาย ผมจอดรถไว้ตีนสะพาน เดินถือกระป๋องเบียร์จิบขึ้นมากับบูมจนถึงกึ่งกลางจึงหยุดฝีเท้า เรายังไม่พูดอะไรกันนอกจากต่างฝ่ายต่างปล่อยตัวเองให้ตกผลึกความคิดเงียบๆ
ลมจากแม่น้ำพัดโกรกเย็นแม้จะใกล้เข้าฤดูร้อนแล้ว บูมปีนเหล็กที่เป็นโครงสร้างสะพานขึ้นไปนั่ง สายลมโหมจนช่วยพัดเอาเสื้อตัวโคร่งที่มันใส่ปลิวไปข้างหลังพร้อมกับตัวขาวที่โงนเงนไปนิดๆ ผมไม่ได้ปีนขึ้นไปกับมัน แต่ยืนเอาศอกท้าวมองทอดออกไปบนผืนน้ำที่มีเรือขนส่งสินค้าลอยลำมาเป็นพักๆ
“อยู่ๆบูมก็รู้สึกว่าพี่ปันพยายามเข้าหาพี่เน็ตมากกว่าก่อน”
ผมไม่ตอบรับประโยคเชิงซักถามเชิงบอกกล่าวของคนข้างๆแต่ยกเบียร์ขึ้นมาจิบแทน บูมในเวลานี้ดูใจเย็นกว่าปกติและนิ่งเงียบไม่มีท่าทีไฮเปอร์เหมือนที่เคยเป็น สงบและเยือกเย็นอย่างเป็นธรรมชาติจนผมคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นตัวตนที่แท้จริงของมัน
“บูมเป็นน้องชายคนเล็ก ถูกตามใจมาตลอด เป็นเกย์สาวที่หาหนุ่มๆได้ไม่ยากด้วย”
“แล้ว...?”
“จนมาเจอพี่ปัน ที่จากบูมเคยชอบมองเฉยๆกลายเป็นชอบจนอยากครอบครอง พี่ปันใจดีแล้วเข้ามาในวันที่บูมโคตรอ่อนไหว ตอนนั้นแหละที่บูมคิดว่าจะทำยังไงดีนะ คนๆนี้ถึงจะมาอยู่ข้างๆกันตลอดเวลาได้... รู้ไหม บูมไม่เคยต้องขวนขวายอะไรเลยจนเรื่องนี้ ที่เหมือนตัวเองเป็นคนโง่ วิ่งไล่ตามใครสักคนอย่างไร้ศักดิ์ศรีทั้งๆที่เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้ต้องการ”
“....................”
“แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่ พี่ปันเป็นคนที่ดึงดูดมาก เหมือนชวนให้สายตาและความสนใจของทุกคนมาอยู่ที่พี่หมด...”
บูมเว้นจังหวะเพื่อยกเบียร์ขึ้นจิบ ผมรอให้มันเข้าประเด็น และไม่นานเกินไปบูมก็พูดต่อ
“แม้แต่พี่เน็ต.. พี่ปันก็รู้ใช่ไหมว่าเพื่อนตัวเองรู้สึกยังไง”
ความเงียบครอบงำไปแค่อึดใจ ที่ผมรู้ไม่แปลก เพราะเป็นคนที่สังเกตปฏิกิริยาของไอ้เน็ตที่ทำกับตัวเองได้ชัดเจน แต่กับบูมแล้วตอนนั้นผมก็ชะงักในความคิดเช่นเดียวกันว่าบางทีมันก็รู้ดีมากเกินไป
“..แต่เน็ตไม่รู้ ว่ากูรู้”
สุดท้ายก็ตัดสินใจตอบ
“พี่เน็ตซื่อบื้อจะตาย ไม่ได้ตั้งใจจะว่าเพื่อนพี่นะ แค่รู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
“มันก็แบบนี้แหละถึงได้โดนแกล้งตลอด..”
“ถ้าชอบพี่เน็ต ตอนนั้นจูบบูมทำไม?”
ผมยกเบียร์ขึ้นจิบ มองคนถามด้วยหางตา หมวยยังคงทอดสายตายาวเวิ้งว้างออกไปไม่สิ้นสุดถึงไม่เห็นว่าผมกำลังสังเกตตัวมันที่พูดเรื่องน่าเสียใจได้ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“หลายอย่างมันวูบขึ้นมา เมา กลัว โมโห”
ไอ้บูมหันกลับมาจ้องหน้าผมที่เสสายตาลงพื้นทัน รู้สึกผิดที่ไม่ได้มีคำว่า ชอบ หรือ อยากจูบ เจือปนอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย
“กลัวว่ามึงจะเปลี่ยนไป โมโหมึงไปให้คนอื่นจูบทั้งๆที่ชอบกู แล้วก็โมโหตัวเองที่เป็นคนนิสัยแบบนี้ กูมักจะกังวลว่าจะเป็นคนที่ถูกลืม”
ผมไม่ได้มองคู่สนทนา เลยไม่รู้ว่าตอนนี้ไอ้บูมกำลังแสดงสีหน้าแบบไหน แล้วพูดต่อ
“กูไม่ได้ติดต่อแม่เลยตั้งแต่หย่ากับพ่อ เขาคงลืมกูไปแล้ว เหลือก็แต่พ่อที่ฝากความหวังทุกอย่างเอาไว้ กูโกรธตัวเองที่กลัวว่าถ้าทำให้พ่อผิดหวังแค่สักเรื่องขึ้นมาแล้วจะไม่เหลือใคร กลัวว่าอนาคตกูจะผิดพลาดถ้าเดินไม่ตรงตามก้าวที่สมควรเดิน กลัว... กลัวจนทำให้วันนี้ไอ้เน็ตห่างเกินกว่ากูจะไปคว้ามันกลับมา..”
“บูมว่าแล้วว่าพี่ปันชอบพี่เน็ต...”
พอเงยหน้าขึ้น ทั้งๆที่คิดว่าจะเห็นรอยยิ้มเสแสร้ง แต่ตอนนี้บูมกลับนิ่งไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมาแม้แต่น้อย
ไม่แม้แต่เย้ยหยัน ผิดหวัง หรือยินดี
“...จะกลัวอะไรนักหนาวะ ผู้ชายก็ผู้ชายสิ ไหนๆเรื่องมึงก็คล้ายไอ้เน็ตยังกับเป็นภาคต่อกันอยู่แล้วจับจูบแม่งซักทีให้หายโกรธจะเป็นยังไง กลับมาตามกูต้อยๆเหมือนเดิมไหม ยังกล้าไปจูบใครหรือเปล่า แล้วก็ กูจะกล้าพอที่จะข้ามเส้นเหี้ยๆของตัวเองออกมาหรือยัง นั่นแหละที่กูคิดทั้งหมดตอนนั้น”
“เหตุผลที่แท้จริงคือข้อหลังสุดต่างหาก พี่ปันอยากแหกคอกตัวเองเพื่อพี่เน็ตโดยใช้บูมเป็นเครื่องมือ ถามจริง...ไม่สงสารบูมบ้างเหรอ?”
“เวลาโมโหมึงเคยคิดถึงความรู้สึกคนอื่นนอกจากตัวเองไหม ตอนนั้นก็แบบนั้นแหละ กูขอโทษ”
ไอ้บูมตอบผมแค่ อืม ในลำคอ มันยกเบียร์ขึ้นดื่มอึก อึก แล้ววางกระป๋องลงข้างๆ ผมเหลือบมองมันอีกนิดก่อนพูดต่อ
“แล้วก็ ขอบคุณด้วย...”
“เรื่องพี่เน็ต ตั้งใจจะเดินหน้าเหรอ?”
“กูก็เพิ่งรู้วันนี้แหละว่ามันสายเกินไปแล้ว...” ผมตอบ สิ่งที่เน็ตแสดงออกมามันชัดเจนจนจนไม่กล้าฝืนยัดเยียดตัวเองเข้าไปทำให้อีกฝ่ายวุ่นวาย ภาพของเน็ตกับเฮียที่อยู่ด้วยกันดูอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ
“แต่ถึงแบบนั้น กูก็รักมันไปแล้ว ดังนั้นถ้าวันไหนที่มันเสียใจ กูเข้าไปเอาเน็ตออกมาจากเฮียมึงแน่”
“รักจริงๆเนอะ คนเนี้ย น่าอิจฉา”
ผมเงียบ บูมกระโดดจากที่นั่งมาเกาะขอบสะพาน หลับตาให้ลมตีหน้าพัดเอาผมปลิวไปข้างหลัง ผมอ่านความคิดของมันไม่ออกเลยจริงๆ เหมือนกับมันแค่ต้องการมาคุยด้วยเท่านั้นตามที่บอกตั้งแต่แรก
หนึ่งเดือนที่ผ่านมา อย่างที่เฮียบอกก็คือบูมเหมือนคิดอะไรได้บ้างแล้ว...
“บูมไม่เคยอกหัก.. ลองซักครั้งก็เจ็บๆคันๆแต่ไม่ยักจะตาย”
คนตัวเล็กกว่าไหวไหล่ ผมหัวเราะ “กูก็เพิ่งเคยเหมือนกัน แต่นะ...ไม่มีใครตายเพราะอกหักหรอก”
“อืม...” รุ่นน้องเว้นระยะพักหนึ่งแล้วพูดต่อ
“พรุ่งนี้เช้าบูมไปเซอร์เวย์แคมป์ที่ระยอง กลับมาพี่ปันคงไปอเมริกาแล้ว ถ้ารักกันขนาดนี้ สองเดือนครึ่ง บูมจะตัดใจจากพี่แล้วกลายเป็นน้องชายคนเดิมให้ได้ ช่วยไม่ได้นะพี่ปันเป็นคนแรกที่ทำให้บูมรู้สึกแบบนี้คงต้องใช้เวลาอีกหน่อย ตอนนี้บูมก็ดีขึ้นมากแล้ว แต่ถึงแบบนั้นก็ไม่พูดหรอกว่าขอให้พี่ปันโชคดี บูมไม่ใช่พี่เน็ตที่จะแคร์คนรอบข้างโดยไม่ค่อยสนใจตัวเอง ไม่ได้คิดให้พี่ปันสมหวังกับพี่เน็ต ความรักของบูมคือส่วนผสมของการเสียสละและความเห็นแก่ตัว”
มันหันกลับมามองผม หยีตาเพราะเส้นผมสีอ่อนซึ่งถูกลมพัดปลิวมาระใบหน้า
“บูมเป็นคนธรรมดาที่อยากให้คนที่ตัวเองชอบรู้สึกแบบเดียวกัน”
กลายเป็นผมเองที่ต้องยิ้มเจื่อนเมื่อหมวยเล็กพูดจบ
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกบูมที่จะสมหวังกับความรัก ทุกๆวันมีคนเสียใจเพราะความรัก”
ประโยคนั้นเหมือนทั้งปลอบมันและตัวเองพร้อมๆกัน นึกถึงตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่นนายภาคภูมิ กับนางเกศรา ทั้งสองคนก็เจ็บปวดกับมันเหมือนกัน ซ้ำร้ายของนายภาคภูมิ ตติรัตนาตรงที่เขาไม่ได้เจ็บปวดแค่ครั้งเดียวตอนภรรยาจากไป แต่จนถึงทุกวันนี้ผมก็รู้ว่าพ่อยังรู้สึกเจ็บกับแผลเป็นนั้นของตัวเองอยู่ ก็ยิ่งนึกสมเพชตัวเองจึ้นมาถนัดว่าทั้งๆที่สาบานกับไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจะไม่มีวันเป็นคนโง่เพราะความรักเด็ดขาด แต่สุดท้าย ก็กลับมาพลาดท่าให้คนใกล้ตัวที่ไม่เคยคิดจะเหลียวมองจนได้
ยิ้มเยาะให้ตัวเองแบบนั้น กระทั่งคู่สนทนาพูดต่อจึงดึงสติกลับมา
“บูมรู้ แต่ก็นะ บูมก็มีเรื่องจะขอบคุณพี่ปันเหมือนกัน พูดตามประสาคนรักเขาข้างเดียว ถึงจะต้องมองคนที่เราชอบรู้สึกพิเศษกับคนอื่น ก็ต้องยอมรับเลยว่าในความเจ็บปวดที่ฉาบไว้ เบื้องลึกแล้วบางทีเราก็อิ่มเอมใจที่ได้เห็นว่าเขายังรักใครสักคนเหมือนกัน”
ผมนิ่ง ไม่อยากจะเห็นด้วยเพราะสำหรับตัวเองแล้วนั่นมันโหดร้ายจนเกินไป
“ยอมรับเถอะพี่ปัน ความรักน่ะ คือความสุข”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากัน หมดแรงที่จะปฏิเสธอีกต่อไปเพราะเมื่อได้ลองคิดโดยปราศจากอคติแล้วก็รู้สึกได้ว่ามันจริงอย่างที่บูมว่า
“กลับเถอะ เดี๋ยวต้องไปเก็บกระเป๋าต่อ”
ประโยคสุดท้ายน้องชายเพื่อนยังพูดโดยที่ไม่มองหน้า มันเก็บซากกระป๋องเบียร์เดินลงจากสะพานแล้วโยนลงถังขยะใกล้ๆ ผมตามแผ่นหลังไอ้หมวยมาเงียบๆ กระทั่งเราสองคนนั่งถอนหายใจพรืดใหญ่บนรถ
“นอกจากเน็ตก็มีมึง ที่ชอบกูทั้งๆที่รู้สันดาน...”
“น่าดีใจจัง”
“แต่สำหรับมึง คงมีแค่กูที่จะเห็นโหมดดาร์กของมึงแบบนี้ น่าดีใจกว่าไหมล่ะ”
ผมยิ้ม ค่อนข้างแปลกใจกับท่าทางเป็นผู้ใหญ่ของมันแต่กลับสบายใจกว่าถูกง๊องแง๊งใส่หลายเท่า มันไม่ได้เข้าโหมดดาร์คเพราะอารมณ์โกรธงอนเหมือนครั้งก่อน แต่เหมือนหลังจากได้คิดทบทวนอะไรด้วยตัวเองแล้วเลยตัดสินใจมาเคลียร์ให้ผมมั่นใจว่ามันไม่ได้คิดจะตัดใจเล่นๆ
แน่นอนว่าอดรู้สึกใจหายนิดๆไม่ได้ แต่คงดีกับน้องมากกว่า ถ้าผมจะปล่อยมันไปตามทางที่ควร
ผมมองเสี้ยวหน้าบูมจากกระจกมองหลัง น้องชายเพื่อนเบนหน้าเอาหัวพิงกระจกเอาไว้ไม่พูดอะไรต่อ กอดอกตัวเองนิ่งขณะที่หลับตาลงเหมือนพยายามข่มจิตใจให้ฟื้นจากความเศร้าไม่อยากให้น้ำตาไหล ผมเม้มปากเข้าหากัน ไม่แน่ใจว่าเวลานี้ควรทำอะไรกับมัน
“บูม....”
“หืม?”
“ให้กูปลอบไหม”
บูมนิ่ง ทั้งร่างกายไม่ได้สั่นไหว ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากเปลือกตาที่ปิดสนิทแต่ผมกลับรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด จังหวะนั้นตัวเองเริ่มลังเลว่าควรจะดึงมันมาเลย หรือปล่อยเอาไว้ กระทั่งคำตอบของบูมก็ทำให้ผมตัดสินใจได้
“ถ้าพี่ปันรู้ตัวว่าตัวเองรักใครแล้ว ไม่ควรใจดีกับคนอื่น เพราะมันทำให้คำว่ารักของพี่ปันดูไร้ค่า กว่าจะก้าวข้ามความยึดตัวถือตัวของตัวเองมาบอกกับบูมว่าชอบพี่เน็ตได้มันยากแค่ไหน อย่าทำให้มันสูญปล่า”
บูมลืมตาขึ้น ขยับตัวเองนั่งตัวตรงมองออกไปด้านหน้าที่ผมเปิดไฟสูงทิ้งไว้ ยังไม่เคลื่อนรถออก
ผมพยักหน้ารับรู้ เปลี่ยนเกียร์แล้วค่อยๆแตะคันเร่งขยับรถออกจากบริเวณเป้าหมายเพื่อไปส่งเพื่อนน้องชายที่บ้านตามสมควรทั้งที่เวลาล่วงมาจนเกือบตี 4 คำพูดของบูมสะท้อนหลายๆอย่างให้ผมได้คิดทบทวน พอถึงบ้านตัวเองจึงล้มตัวลงเอามือยกขึ้นก่ายหน้าผาก อยู่ๆก็นึกไปถึงหนังสือ
‘เจ้าชายน้อย’ ที่ตัวเองเคยยืนอ่านเล่นในร้านหนังสือแต่ไม่คิดจะซื้อกลับมาสะสมจริงจังเพราะคิดว่านั่นมันไร้สาระเกินกว่าจะมีโอกาสอ่านซ้ำ
ตัวอักษรจากย่อหน้าสั้นๆจู่ๆก็ปรากฏชัดขึ้นมาในความทรงจำ แม้เคยไม่เข้าใจความหมายที่เจ้าชายน้อยจะพยายามสื่อแต่วันนี้บูมกลับเรียบเรียงสอนผมด้วยถ้อยคำที่เข้าใจง่าย
‘หากใครสักคนหลงรักดอกไม้ดอกหนึ่งซึ่งเกิดมาโดดๆเพียงดอกเดียวในท่ามกลางหมู่ดาวเป็นล้านๆดวง แค่ได้มองดาวเหล่านั้น เขาก็รู้สึกเป็นสุขใจแล้ว’มันคือสุขที่ได้รัก... บางทีซัมเมอร์นี้ ผมอาจต้องซื้อหนังสือเด็กน้อยนั่นไปนั่งอ่านระหว่างการฝึกงานที่ต่างแดนเข้าจริงๆ
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 22
10/08/12
ข่าวดี คือเรามาต่อไวแหละ
ข่าวร้าย ไฟล์ที่เราเก็บพล็อตไว้ หาย...

ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์ค่ะ ตอนนี้นอยด์รับประทานทะลุจอ สครีมมมมมมมมมมม 
see you again on green wednesday ค่ะ
อ้างอิง :
