Friend's brother Brother's friend 21 , TRUST
[NET's talk]
“ก็ใช้รองพื้นทาแล้วโปะแป้งทับสิ..”
“รองพื้นเหี้ยอะไรครับเฮีย ของแบบนั้นผู้ชายทั่วไปเขาไม่มีติดห้องกันหรอกโว้ย"
“พลาสเตอร์แปะแผลล่ะ รอยมันไม่ใหญ่มากไม่ใช่เหรอ?”
“มีแค่พลาสเตอร์ใส ปิดไม่มิดหรอก”
“โอเคๆ งั้นเดี๋ยวแวะเซเว่นให้ก่อนเข้าไปแล้วกัน มีเสื้อคอปกใช่ไหม ใส่แบบนั้นไปด้วย แค่นี้ก่อนนะขับรถอยู่”สิ้นเสียงทุ้มจากลำโพงเครื่องมือสื่อสาร ไอ้ตัวต้นเรื่องก็ตัดสายทันที ทิ้งผมให้หน้าหงิกงอเอาเหรียญบาทมาขูดๆลากๆรอยห้อเลือดสีม่วงช้ำบริเวณเหนือไหปาร้าขึ้นมาเกือบๆถึงโคนต้นคอให้เส้นเลือดกระจายจ้ำที่เห็นเด่นชัดตัดกับผิวขาวซีดของตัวเองให้จางลง แต่ดูท่าทีแล้วยังไง๊ ยังไง มันก็ไม่ช่วยให้’รอยดูด’ มันดูเป็นอย่างอื่นไปได้เลย
โอเค กูยอมแพ้ สุดท้ายพอเห็นว่ายิ่งขูดยิ่งแดง ยิ่งขยายตัวกว้างผมก็ได้แต่ยืนหน้าตู้เสื้อผ้าหาเสื้อคอปกที่มีน้อยนิดเหลือเกินขึ้นมาสวม รอความหวังอันเรือนลางคือพลาสเตอร์จากสรวงสวรรค์ที่ไอ้คนจากนรกจะซื้อมาปกปิดความผิดของมันที่แจ่ดจาแด่ดแจ่มว้าวบนตัวผมสงบๆเพียงลำพัง นึกไปถึงไอ้คนแซวก็ได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าสะเออะหลุดปากอะไรไปต่อหน้าไอ้บอมให้มันลากเครื่องประหารหัวสุนัขออกมาหั่นคอผมก็พอ
ก็ไม่ได้อยากปิดมัน พอๆกับไม่ได้อยากรู้สึกแบบนี้กับเฮียหรอก ถ้าย้อนเวลากลับไปได้น่ะนะ...
เออ.. แล้วกูควรย้อนกลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ดี ????
นั่นสิ.. เมื่อไหร่กันที่ไอ้เฮียมีผลต่อใจตัวเองขนาดนี้ ขนาดไหนก็คิดเอาเถอะว่าผมไม่ได้มีอารมณ์ตื่นเต้นรอคอยวันได้เจอปัน พอๆกับไม่ได้เศร้าสลดโศกีที่รู้ว่ามันจะไปฝึกงานอีกฟากโลกที่แม้เวลานอนยังไม่สามารถนอนพร้อมกันได้เลยด้วยซ้ำ
เฮ้อ....มึงแน่มาก ปารมีกริ๊ก...มีเวลารำพึงรำพันกับความรักราวนิยายแจ่มใสของตัวเองได้ไม่นาน เสียงไขกุญแจก็ดังขึ้นจากผู้บุกรุกปลุกให้ผมหลุดจากภวังค์ มือที่จับเซ็ทเรือนผมสีแดงข้างหนึ่งกับอีกข้างที่ถือไดร์เป่าผมให้ตั้งทรงชะงัก เหลือบมองคนมาใหม่ไม่ได้ทักท้วงอะไรผิวปากควักแว้กสีขาวจากกระปุกสีดำมาป้ายซ้ำ แล้วดึงปลายผมจนหนังหัวแทบหลุด เฮียวางถุงพลาสติกใบเล็กที่มีโลโก้ร้านสะดวกซื้อสกรีนอยู่ด้านหน้าลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ถอดรองเท้าลวกๆเดินอ้อมมาหยิบครีมบำรุงของมันที่ทิ้งไว้ในลิ้นชักขึ้นมา ป้ายๆแปะๆลงบนหน้าผมสามสี่จุดแล้วลากนวดให้เบาๆ
“บอกให้บำรุงหน้าบ้าง อุตส่าห์ทิ้งครีมไว้ให้ทำไมไม่ทาบ้าง ฮื้อ”
เฮียบ่นเป็นคนแก่ อันที่จริงมันก็บ่นได้ทุกเรื่องของผมแหละแต่เริ่มจะชินแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีเถียงบ้างแต่ตอนนี้เลิกเพราะรู้ว่าไอ้เรื่องที่มันบ่นแต่ละอย่างหวังดีทั้งนั้น เฮียป้ายครีมเหนือหน้าผาก ยกมือไม้ขึ้นพันกับผมที่ยังเซ็ตทรงอยู่สุดท้ายมันรำคาญก็แย่งไดร์เปล่าออกมาแล้วจับแขนผมให้แนบลำตัวจะได้ทาครีมให้สะดวกขึ้น
“หน้ามัน”
“เดี๋ยวเอาซับมันซับออกแล้วลงแป้งฝุ่นก็ได้”
“เรื่องเยอะเนอะ”
“ทำบ่อยๆเดี๋ยวก็ชิน ดูสิมึงไม่เคยทาห่าอะไรเลยหน้านี่ด้านหมดแล้ว หอมทีไม่นิ่มเลยแก้มเนี่ย”
“นี่ขนาดไม่นิ่มยังถูกตาแก่แถวนี้ลวนลามทุกวันอะ”
พอยักคิ้วกวนประสาทเฮียก็ดีดนิ้วลงบนหน้าผากทันที จากนั้นมันก็หันไปหยิบพลาสเตอร์ปิดแผลออกมาจากถุง เหลือบตาไปเห็นลายเท่านั้นแหละ ผมแม่งกรีดร้องโหยหวนแทบไม่ทัน
“เฮ้ย!!”“อะไร?”
“ลายเหี้ยอะไรเนี่ย”“สีฟ้าลายกระต่าย สีเขียวลายเป็ด สีชมพูลายคิดตี้ จะใช้อันไหน”
“หวานแหววแบบนี้เนี่ยนะ ถามจริง กวนตีนกูใช่ไหม?”
“กวนตีนบ้าอะไร ก็มันมีแต่แบบนี้ ถ้าเป็นแบบไม่มีลายมันเป็นผ้า ตอนแกะออกมันจะเจ็บ อย่าเรื่องมากน่า ไหนว่านัดเพื่อนไว้สามทุ่ม อีก20นาทีกูจะไปส่งทันไหมถ้ามึงลีลาแบบนี้ เอียงคอมา”
สุดท้ายพอถูกบ่นยืดยาวผมก็ได้แต่ทำหน้าสลด ฟายยย แย่งซีนตลอด!! เวลานี้คนสำนึกผิดควรเป็นมึงครับเฮียที่ทำให้กูเดือดร้อน ไม่ใช่กูที่ต้องโดนมึงด่าเพราะเรื่องมาก เอียงคอถูกมันใช้นิ้วสากๆกดย้ำๆสองสามทีแล้วโยนขยะทิ้งลงถัง ผมค้อนตามองมันลูกใหญ่แล้วหันไปส่องกระจก อื้อหือ.. ลายเป็ดสีเขียวอ่อนนี่มันช่างแมชท์กันได้ดีกับเสื้อโปโลสีฟ้าสดใสเชียวล่ะครับ ท่านผู้โช้มมม
ตอนนี้เริ่มลังเลขึ้นมาตงิดๆแล้วว่าไอ้รอยดูดที่ไม่น่าจะเด่นเท่าพลาสเตอร์เนี่ย จะทำให้ผมถูกแซวน้อยกว่าสีสันของพลาสเตอร์จากสรวงสวรรค์จริงๆเหรอวะ???
*********************
มาเลทกว่าเวลานัด 15 นาทีSlk 250สีบลอนด์เงินจอดเทียบบริเวณลานจอดรถหน้าร้านกินดื่มตอน 21.15 น. แต่เพราะเป็นวันพฤหัสที่ร้านถึงไม่หนาตาด้วยผู้คนมนุษย์วัยทำงานนักลานจอดรถจึงค่อนข้างว่าง ผมเห็นรถไอ้หมอที่น่าจะหิ้วโชติพงษ์มาด้วยกับแคมรี่ของพ่อปันนภแต่ยังไม่เห็นวีออสของไอ้บอม เหมารวมแล้วก็คิดว่ามันคงรอมาพร้อมน้องชายคนเล็กเลยเดินนำเฮียมายังร้านได้อย่างสบายใจ กระทั่งเจอใครบางคนออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ข้างประตูเข้าร้านก็เดินเข้าไปทัก
“ไมออกมาดูดคนเดียววะ”
“ไอ้โชติกับหมอนั่งหลีสาวอยู่ข้างใน มึงเข้าไปสิ”
“อ่อ เออ บอมบอกว่าจะมากี่โมง?”
ไอ้ปันอัดบุหรี่เข้าปอดแล้วตอบ “สี่ทุ่ม” แค่ในลำคอ ผมพยักหน้ารับรู้แต่ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่เห็นปันนภสูบบุหรี่ ในกลุ่มเรามีแค่บอมที่ไม่แตะบุหรี่เลย กระนั้นคนที่สูบหนักๆก็เป็นโชติกับหมอโต๊ดเสียมากกว่า ดังนั้นสำหรับภาพตอนนี้ถึงถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นตาอยู่มาก
“มึงมีเรื่องอะไรหรือเปล่าเนี่ย? ดูเครียดๆ”
ตาไอ้ปันตอนนี้ไม่ได้สงบนิ่ง มันลอกแลกเหมือนคนร้อนรนที่ผมพยายามค้นลงไปเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เพื่อนในกลุ่มเงียบไม่ตอบซึ่งผมคิดว่าผลของคำถามคงออกมาเป็นแบบนี้อยู่แล้วเลยไม่อยากซักไซ้ไล่เรียง เปลี่ยนเป็นหันไปบอกคนที่มาส่งถึงที่ให้กลับไปได้ในเมื่อระหว่างทางไม่กี่ร้อยเมตรจากตัวรถมาถึงเพื่อนไม่ได้มีใครมาดักฉุดผมไปปล้ำแบบที่เฮียเป็นกังวลแทน
“ถ้าเฮียคุยกับพี่เจี๊ยบเสร็จแล้วก็ตามมานะ ถ้าเน็ตเสร็จก่อนจะโทรบอก ตอนนี้ไปได้ละ เดี๋ยวเลท”
เฮียก้มลงมองนาฬิกา แล้วพยักหน้า
“อืม อย่าเมาแล้วกันพรุ่งนี้แฮงค์กลับบ้านไม่แก้ตัวกับแม่ให้นะ ปัน ดูเน็ตด้วย ถ้าแดกเยอะ ตบหัวได้เลยกูอนุญาต” เฮียหันไปฝากฝังเพื่อน หวังจะให้มันเป็นกบฎ ผมหันไปดันๆไหล่มันด้วยความหมั่นไส้แล้วไล่
“ตลก ตลก ไปเลยไปไม่ต้องห่วง ดูแลตัวเองได้”
เฮียยิ้มให้ผมแล้วหันไปหาปันนภ “เออ กูมีเรื่องจะคุยกับมึงด้วยหน่อย ตามมานี่แป๊บนึงสิ”
คู่สนทนาของเฮียใช้มือข้างหนึ่งกอดอกตัวเองไว้ ส่วนอีกข้างดีดขี้บุหรี่ลงพื้น ก้มลงมองต่ำแต่พอเฮียเดินนำมันออกไปปันก็ทิ้งบุหรี่มวนเดิมแล้วเดินตามเงียบๆ ผมยกมือขึ้นเกาหัวแกร่ก ประมวลผลหาคำตอบว่าแล้วเป็นบ้าอะไรคุยกันตรงนี้ไม่ได้ แต่สุดท้ายยังไม่ทันได้คำตอบ ปันก็เดินกลับมาทั้งๆที่ทิ้งผมไว้ไม่ถึงนาที เฮียเดินไปต่อ ไม่ได้หันหน้ามาคุยกันแต่เหมือนแม่งพูดจบแล้วด้วยเวลาอันสั้น ผู้ขายในเสื้อเชิร์ตแบรนด์หรูหันมาโบกมือให้ผมก่อนแทรกตัวหายไปในรถทิ้งเอาไว้แค่อีกคนที่ยังมีสีหน้าประหลาดๆตั้งแต่ที่เจอกันจนตอนนี้ให้ผมงงหนักกว่าเดิมว่านี่กูจะถามมันเรื่องที่มันคุยกับเฮียหรือถามเรื่องปัญหาหนักอกของมันก่อนดี
สุดท้ายปันก็ไม่อยู่รอ เดินสวนผมเข้าไปในร้านเงียบๆคนเดียวให้คนมาที่หลังวิ่งตามเข้าไปแทบไม่ทัน
“กูว่าสิบ”“เยอะไป๊ แหม่มที่ไหนจะชอบเพื่อนตัวเล็กผิวเหลือง”
“ดูถูก!! ไอ้หมอดูถูกอาจารย์กู นี่ปันนภ *ไม่เล็กนะครับ”
“สัตว์! ปันนภ ไม่ใช่*ช่างแอร์”
“เออ นั่นแหละ ไอ้เน็ตในฐานะที่มึงไม่ออกเสียงมึงเป็นกรรมการ ส่วนบูมมึงเป็นพยานว่าไอ้บอมเดาว่าสองเดือนไอ้ปันจะฟันแหม่มได้สิบนาง ไอ้หมอเดาว่าน้อยกว่า เชื่อกู กูฟันเฟิร์มว่ามากกว่า! ชัวร์!!”
โชติพงษ์เป็นคนสุดท้ายที่แหกปากเสียงดัง เริ่มดึกก็เริ่มคึก ไอ้บอมที่หน้าหงิกเป็นตูดลิงตอนที่มาถึงใหม่ๆจนปันต้องลากให้ผมมานั่งข้างมันแทนก็เริ่มเฮฮามากขึ้น คุณชายนั่งยกเบียร์ขึ้นดื่มวางแขนพาดพนักพิงด้านหลังให้เวลาที่ผมเอนตัวพิงเบาะจะรู้สึกถึงแขนยาวของมันเหมือนโอบอยู่กลายๆเป็นพักๆ ไม่ได้ดูเครียดเหมือนที่เจอหน้าร้าน กระทั่งบูมที่ทำทีไม่อยากมาก็ยังนั่งยิ้มกับมุกตลกฝืดของไอ้โชติแต่กระนั้นก็ไม่ได้กวนตีนเหมือนปกติ ได้ฮูการ์เด้นไปสามแก้วใหญ่สมใจแต่กลับไม่พยายามชวนไอ้คนที่นั่งติดผมคุยอย่างที่ควรเป็นสักนิด ไอ้ปันเองเหมือนกัน มันก็ไม่ได้สนใจน้องหรือมีทีท่าว่าสนิทสนมอะไรกัน ซ้ำร้าย นอกจากมันนิ่งเฉยและเย็นชาใส่บูมแล้ว ปันนภกลับเรียกบริกรมาสั่งกับแกล้มที่ผมชอบเอาใจจนเต็มโต๊ะไปหมด..
คนอื่นอาจไม่รู้สึก แต่ผมว่ามันแปลกๆ.. “วางตังค์เลยไหมล่ะ คนละห้าร้อย น้อยกว่าสิบกูให้มึง ไอ้หมอ มากกว่าสิบมึงให้กู” โชติพงษ์ท้า ผมได้ยินเสียงหัวเราะหยันมาจากเจ้าของกระทู้ ปันวางแก้วเบียร์ลงแล้วหันไปพูดกับเพื่อนสนิทสมองเหี้ย
“มึงก็เอาตังค์ให้ไอ้หมอไปเลยโชติ”
พอรินเบียร์จากทาวเวอร์จนเต็มแก้วปันก็ยกขึ้นจิบยิ้มๆให้โชติพงษ์ทำหน้างงเป็นหมาแดกแฟ้บฝั่งตรงข้าม
“ไหงงั้นล่ะ อาจารย์ปัน?”
“กูว่าจะเลิกแล้ว นิสัยแบบนั้น”
“มุสาวาทา...”
“เอาจริง”
ผมได้แต่ขำไอ้โชติที่ทำปากพะงาบๆทันทีที่ได้รับคำยืนยัน คุณชายยักไหล่แล้วหันมามองผม มันไม่พูดอะไรนอกจากมองนิ่งๆ กระทั่งไอ้หมอกระแอมไอออกมานั่นแหละมันถึงละสายตาออกไป
“เรื่องของเรื่องคือ พวกมึงควรแสดงความยินดีกับคุณชายเพลบอยนะ มันพบรักแท้แล้ว”
“ห๊ะ? ไอ้หมอ ไมมึงรู้แต่กูไม่รู้วะ?”
“ก็กูอยู่มหาลัยเดียวกับไอ้ปันไงหมาโชติ”
“เอาจริง งั้นให้ว่องเลย แถลงมาว่าใครมาเบรคอาจารย์กูให้สิ้นลายได้” ผมมองไอ้บูม ที่เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบเหมือนอยากหลุดออกจากวงสนทนาไปตรงนี้ ขณะที่ไอ้บอมใช้สายตาดุดันมองมาที่ปันนภนิ่ง
ทุกสิ่งรอบตัวเหมือนพร้อมใจกันเงียบสนิท หมอโต๊ดเอนตัวกระชับวงสนทนาเข้าหาทุกคนบนโต๊ะ แล้วตอบ
“กูก็ไม่รู้” ออกมาตัดความหวังทุกคนให้สิ้นสูญ
“ถุย! กูก็นึกว่าแน่” ไอ้โชติโวยวาย หมอโต๊ดทำหน้าเหรอหราไหวไหล่กวนประสาท
“มันก็นั่งอยู่นี่ พวกมึงถามมันสิ กูถามแล้วแม่งไม่ตอบ แต่เสือกโทรมาปรึกษากูว่าตอนก่อนจีบอรกูคิดยังไง เตรียมใจยังไง โถ คนอย่างไอ้ปันมันเอาเรื่องคนอื่นมาเป็นกรณีศึกษาเพราะมันจะลงมือทำอะไรเท่านั้นแหละวะ พอถามว่าไปสปาร์คใครเข้าให้เสือกปากแข็งบอกว่าเปล่า”
“อ้าว ไหงงั้นล่ะอาจารย์”
“พอเลย พวกมึง2ตัว”
สุดท้ายคุณชายก็ทนไม่ไหว หันมาปรามเพื่อนซี้ปากมาก ผมยกเบียร์ขึ้นดื่ม เห็นบูมยังเบือนหน้าหนีออกนอกวงสนทนาแล้วก็แอบกลัวการผิดหวังของน้องรหัสขึ้นมาดื้อๆ ถ้าคนที่ปันชอบเป็นบูม ตี๋เล็กของเฮียคงไม่นั่งซึมเป็นสากกระเบือแบบนี้หรอก หรือเพราะแบบนี้บูมถึงไม่อยากจะมางานเลี้ยงส่งทั้งๆที่ปกติถ้าแค่เหนื่อย เพลีย ไม่ได้เจ็บป่วยถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลเรื่องแบบนี้มันไม่พลาดอยู่แล้ว ยิ่งพี่ชายคนโตไฟเขียว ปรมัตถ์ก็ไม่น่ามีเรื่องอะไรให้ลำบากใจเลยด้วยซ้ำ
“ปัน ไปสูบบุหรี่กับกูหน่อย”คนถูกสะกิดชวนเลิกคิ้ว มันวางแก้วเบียร์ลงแล้วลุกตามผมไปหลังร้าน ไอ้โชติยังตะโกนแซวคุณชายไม่เลิก “มึงรีดมาให้ได้เลยนะเน็ตว่าสตรีนางไหนคว้าใจเจ้าชายของกูไปครอง”
ผมยิ้มให้คนโวยวาย แต่พอหันหน้ากลับพบว่าไอ้บูมมองผมนิ่งก่อนหลบสายตาลงก็รู้สึกวูบโหวงขึ้นมาในใจ กระนั้นก็ทำเป็นไม่ได้สนใจเดินนำคุณชายให้ออกมาข้างนอก กระทั่งฝ่ามือถูกคว้าเอาไว้นั่นแหละถึงได้ชะงักงัน..
ปันนภไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวผมเกินความจำเป็น.. “คนมันเยอะ เดี๋ยวหลง..”
พูดจบก็กลายเป็นเพื่อนร่วมกลุ่มที่จูงนำผมไปด้านหน้า ก้มลงฝ่ามือที่ถูกกอบกำไว้ด้วยความรู้สึกประหลาด จะว่าดีใจมันก็ดีใจ แต่ความรู้สึกผิดมันประดังประเดเข้ามามากกว่า ทั้งๆที่เฮียเคยหึงหวงผมกับปัน แต่วันนี้มันฝากฝังผมไว้กับคนที่เป็นเหมือนศัตรูหัวใจด้วยความเชื่อใจแท้ๆ..
ผมค่อยๆแกะมือตัวเองออก คนเดินนำชะงักไปวูบหนึ่งแต่ก็เดินต่อไปเงียบกระทั่งถึงนอกร้าน
ผมหยิบบุหรี่ตัวเดียวที่ซุกไว้ในกางเกงขึ้นมาจุด นั่งยองๆลงกับบันไดหน้าร้านจุดเดียวกับที่เจอปันตอนแรก คุณชายนั่งลงข้างๆเป็นเพื่อนแล้วหงายมือตรงหน้า
“บุหรี่กูหมด”
“สัตว์ กูมีตัวเดียว เข้าไปขอไอ้โชติเลย”
“ดูดกับมึงก็ได้..”
พูดจบมันก็แย่งมวนบุหรี่จากปากผมไปคีบต่อ ผมเม้มปากเข้าหากันแน่น ทั้งๆที่ปกติมันจะมีแก็ปช่องว่างระหว่างผมกับมันแท้ๆ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่ามันถึงดูพยายามเข้าใกล้ให้ช่องว่างโหว่นั้นถูกเติมเต็มกว่าเดิม
จริงๆนะ.. ผมคงดีใจมาก ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อน แค่ได้ใกล้ก็อุ่นจนร้อน แต่ตอนนี้กลับเป็นผมเองที่อยากถอยห่างจากมันให้มากขึ้น
“มึงทะเลาะอะไรกับบูม?”
“หืม? เปล่านี่”
“มึงก็รู้ว่าน้องมันชอบ”
“สำคัญเท่ากูชอบมันหรือเปล่าล่ะ?”
“กูรู้ว่ามึงไม่ใช่เกย์...” ผมยื้อบุหรี่มาจากปากปันแล้วอัดเข้าปอด ไอ้คนข้างๆจุดยิ้มที่มุมปากเจ้าเล่ห์นิดๆให้ผมต้องเหลือบตาไปมองถาม
“อะไร?”
“กูอาจเป็นเกย์ก็ได้ ใครจะรู้..”
“ถ้ามึงไม่ชอบน้องมันก็เคลียร์กับมันให้ชัดๆ อย่าเอานิสัยมึงมาใช้กับคนใกล้ตัว กูขอ”
“นิสัยยังไง”
“เลี้ยงไว้ ไม่ตัดทิ้ง”
ปันนภเงียบ มันทิ้งตัวลงบนพื้นบันไดเต็มตัว “กูไม่ได้นิสัยแบบนั้นสักหน่อย”
“ก็เห็นเด็กมึงเยอะเหลือเกิน คบที2-3คน ห่า สงสารคนที่ชอบมึงบ้าง”
“รวมถึงมึงด้วยรึเปล่า?”
“เหี้ยอะไรของมึง?” ผมตอบเสียงนิ่ง เริ่มวูบไหวในตา สัตว์... อย่าบอกนะว่ามึงรู้มาตลอด..
“โจ๊กน่ะ กูไม่อยากให้มึงเครียด”
...ขำตายห่า... “แล้วที่คอเป็นอะไร?” ปันถามพร้อมควันบุหรี่ลอยละล่อง ยื้อแย่งสลับกันไปมากระทั่งตอนนี้มวนบุหรี่ถูกเคาะขี้เถ้าลงถังขยะใกล้ๆด้วยมือของผม
“หาา? หืม?? นี่เหรอ เอ่อ..เป็นแผล”
“ไปโดนอะไรมา”
สัมผัสอุ่นเกิดขึ้นเหนือพลาสเตอร์สีหวานพร้อมประโยคสุดท้าย ผมสะดุ้งนิดๆตอนที่ปันลูบเบาๆแล้วผละออก เผลอสบตากับปันนภที่ดูแห้งเหี่ยวลงแล้วเบือนหน้าหนีไม่ยอมตอบ คิดไม่ออกจริงๆว่าจะแก้ตัวยังไง
“...ไอ้โชติบอกว่าให้รอดูรอยที่คอ ก่อนมึงจะมาถึง”
“มันพูดอย่างนั้นเหรอ?”
“เน็ต มึงกับเฮียถึงขั้นไหนกันแล้ว...”
ผมนิ่ง ประโยคของปันฟังดูเหมือนขอร้องให้ตอบมากกว่าคาดคั้น เผลอยกมือขึ้นมาแตะที่รอยเดิมเบาๆกระทั่งมือของอีกฝ่ายมาวางทับแล้วดึงไป มันจับมือผมไว้แบบนั้น ขยับตัวเข้าใกล้จนไหล่ชน ผมยังมองทอดตรงไปเบื้องหน้ากระทั่งถูกเรียก
“....เน็ต........”
สิ้นเสียงเรียกผมก็หันหน้าไปหา ปันนภขยับยื่นหน้ามาใกล้จนผมเบิกตากว้าง นิ่งอึ้งกับความใกล้ชิดแบบไม่ทันตั้งตัว จมูกคมสัมผัสลงที่แก้ม สบตากับมันนิ่ง เผลอทิ้งบุหรี่ลงพื้นด้วยอารามตกใจ แต่ในขณะที่ริมฝีปากกำลังจะถูกทาบทับผมก็รีบร้องเตือนมันแทบไม่ทัน
“มึงเมาแล้ว”ปันนภชะงัก ก่อนผละถอยออก ยกมือขึ้นยีผมตัวเองให้ผมถอนหายใจพรืดยาว ในหัวนึกโทษตัวเองสารพัดถ้าช้ากว่านี้แค่วินาทีล่ะก็กูได้ใช้ปากที่จูบเฮียไปจูบคนอื่นแน่ๆ
ผมเกยคางตัวเองลงบนหัวเข่า กระทั่งไฟรถสีเหลือส้มเปิดสาดลอดเข้ามาถึงหรี่ตาเงยมองไอ้ SLK ที่เปิดไฟสูงส่อง หัวใจที่เต้นหน่วงเมื่อครู่วูบโหวงเหมือนคนโดดจากบันจี้จัมพ์ เหยดดด ดีมากที่มึงมาเอาตอนนี้ครับเฮีย เพราะถ้ามาไวกว่านี้สักนาทีสองนาทีหัวกูได้หลุดจากบ่าแน่ รถคันสีบลอนด์เงินถอยยึกยักๆเข้าซองไม่นานเจ้าของยานพาหนะก็เดินส่องออร่ากระจายตรงมาที่ผมนั่ง มันเลิกคิ้วขึ้นนิดๆแกว่งกุญแจรถในมือไปมา
“กูโทรมาหลายรอบแล้ว ทำไมไม่รับ”
“อ้อ ลืมไว้ข้างในอะ ผมออกมาดูดบุหรี่”
“ไอ้โชติบอกอยู่ มันให้กูมารับมึงด้วยเนี่ย บอกว่าจะกลับกันแล้ว”
ผมยกข้อมือซ้ายขึ้นมาดูนาฬิกา เกือบๆตีหนึ่งแล้วแต่บูมคงรีบกลับไปเก็บของแหละ พรุ่งนี้เช้ามันเดินทางไประยองพวกนั้นถึงเลิกเร็ว ลุกขึ้นยืนเหน็บก็แดกจนไอ้คนข้างๆรีบจับประคองเอาไว้
ผมสบตาไอ้ปันที่ไม่ยอมปล่อยมือที่จับแขนผมไว้จนสุดท้ายต้องขืนออก คุณชายหลบสายตาลงต่ำเม้มปากเข้าหากันแล้วเดินนำเข้าร้านโดยไม่พูดอะไร ผมหันมองเฮียพอเห็นว่ามันมองไปที่แผ่นหลังปันนภนิ่งก็เดินไปแตะที่ข้อศอกตัวโตเบาๆ
“เข้าไปเอากระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ก่อน”
เฮียพยักหน้า เดินตามเข้ามาในร้าน ไอ้พวกข้างในไม่ได้ปากมาก ต่างฝ่ายต่างนั่งกินเบียร์ของตัวเองไปเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องเรียนต่อกันหมด โทรศัพท์ผมอยู่ที่โชติพงษ์มันยื่นให้พอผมไปถึงโต๊ะอย่างรู้งาน ไอ้บอมยกแก้วเบียร์ขึ้นดวดเอาๆทำสายตาขึงขังไม่พอใจใส่ผมเหมือนที่เจอกันตอนแรกแล้ววางแก้วกระแทกลงบนโต๊ะจนไอ้โชติสะดุ้ง เหลือบๆตาสบกับหมอโต๊ดทีไอ้ปันทีแล้วหยิบข้าวเกรียบขึ้นกินเต็มปาก แหงล่ะ มันเป็นตัวเดียวที่จะถูกไอ้บอมเค้นคอถามเรื่องผมกับเฮียได้นี่ พอประชันหน้ากันครบองค์แบบนี้ไอ้ตัวปากดีเลยรีบหาอะไรยัดปากกลบเกลื่อน
“พวกมึงจะกลับกันหรือยัง”
“เชคบิลแล้ว รอตังค์ทอนอยู่” หมอโต๊ดบอก ผมพยักหน้าหงึกหงักแล้วหันไปบอกคนอื่นๆ
“เดี๋ยวกูกลับกะเฮียมึงเลยแล้วกันนะบอม”
“เฮียไม่กลับไปนอนบ้านเหรอ? จะตามรับส่งเน็ตทำไมมันไม่ใช่ตุ๊ดนะ” คู่สนทนาผมถามเสียงหลง เอาแล้วไงล่ะ ผมมองพี่ชายเพื่อนด้วยหางตา ตอนนี้มันยังนิ่งไม่ได้ร้อนใจอะไรไปด้วยเลย
“ก็คอนโดกูอยู่ใกล้มัน ยังไงก็ต้องกลับไปเก็บของกลับไปอยู่บ้านสองเดือนที่มึงไม่อยู่อยู่แล้ว มารับมันไปด้วยจะเป็นไรไป มึงนั่นแหละ ขับรถอย่าแดกเยอะ”
“ผมรู้เส้นทางหลบด่านหรอก”
“มันอันตราย ไอ้บูมดูพี่มึงด้วย ถ้ามันขับรถไม่ไหวโทรมาบอกกู ไม่เมาใช่ไหม?”
น้องชายคนเล็กพยักหน้า เฮียเลยรุนหลังผมออกจากร้าน ไม่นานพวกที่เหลือก็ค่อยๆลุกตาม SLK คันเดิมจอดนิ่งสนิทอยู่บริเวณลานจอดรถ ผมโบกมือลาเพื่อนคนอื่นแล้วขึ้นรถมากับเฮียที่ดูนิ่งแปลกๆก่อนหันไปคาดเบลท์แล้วถามเรื่องที่มันไปคุยกับพี่เจี๊ยบ
“ตกลงเอาไงอะ เรื่องงาน?”
“ไม่รับ”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก เฮียเลื่อนเกียร์ถอยรถออกจากลานช้าๆ ผมเหลือบตามองกระจกหลังที่สะท้อนภาพไอ้บูมเดินไปคุยกับปันแล้วก็ถอนหายใจเอนตัวพิงเบาะหนังด้วยความสบายใจ
อย่างน้อยมันคงพูดอะไรกันบ้าง ปั้นปึ่งใส่กันแบบนี้แม่งอึดอัดแทนจริงๆ“กูเห็นนะ”อยู่ๆเฮียก็พูดขึ้น ผมเลิกคิ้วเอียงคอถาม เห็นอะไรวะ? ที่กูแอบมองน้องมึงกับเพื่อนกูน่ะเหรอ? แต่ดูจากสีหน้าเครียดๆแล้วไม่น่าจะใช่ เฮียนิ่งไปอึดใจพอเห็นว่าผมไม่รู้จริงๆก็เฉลย
“ไอ้ปันกับมึง... ที่บันได”
“เฮ้ย! นั่นปันนภมันเมา”
“แล้วมึงเมาด้วยหรือเปล่าเน็ต ถึงยอมให้มันจูบ หรือเต็มใจ?”
“เปล่า ไม่ได้จูบ”
“ก็กูเห็นคาตา!”
“เอ้า! ก็นี่มันปากกู! ปากกูยังไม่โดนมันก็ไม่เรียกว่าจูบปะวะ! เชี่ย กูไม่เคยจูบคนอื่นนอกจากมึงนะ!”พอผมโวยวายกลับเฮียก็เบรครถจอดข้างทาง เพิ่งสังเกตว่ามันกำพวงมาลัยแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน นาทีนั้นนึกย้อนไปว่ามันเห็นภาพผมกับปันและเข้าใจผิดตั้งแต่ตอนที่เจอแต่ก็ไม่มีทีท่าโมโหขึงขังอะไร ทั้งๆที่ตอนเรื่องภูมินทร์เฮียแสดงออกชัดเจนกว่านี้แท้ๆเลยเอื้อมมือไปแตะมันเบาๆ
ใจเย็นขึ้นเยอะ จากตอนนั้น แต่ก็ยังดุดันอยู่ดี
“มึงมีโอกาสแล้วนี่.. ทำไมไม่ให้มันจูบซะล่ะ”
“เฮีย...” ผมครางเรียกชื่อมัน คนตัวโตใจน้อยสะบัดหน้าพรืด อื้อหือ งอนเป็นตุ๊ดเลยพี่ชายเพื่อนกู
“มึงไม่มีวันลืมปันอยู่แล้ว รักแรก รักเดียวของมึงนี่ ทำไมไม่คว้าเอาไว้ล่ะ”
“เลิกประชดกันก่อนได้ไหม.. อยากให้กูจูบมันนักหรือไง”
คนขับรถหลับตาลง คิดว่ามันเองต้องข่มอารมณ์ไว้มากแค่ไหนแล้วนวดที่มือมันเบาๆให้ผ่อนคลาย ผมในเวลานี้ก็ไม่ควรใจร้อนเหมือนกัน สุดท้ายเฮียก็ถอนหายใจฟืดฟาดทิ้งน้ำหนักตัวลงกับเบาะแรงแล้วใช้มือขวาจับขมับยอมพูดด้วยดีๆ
“กูไม่อยากระแวงมึงไปตลอด เลยพยายามวางใจเรื่องปัน ถ้าเราคบกันกูไม่อยากมาทะเลาะกับมึงเรื่องเพื่อนสนิทของมึงแล้วดูสิ่งที่กูได้สิ...”
“ถ้าไม่อยากระแวงแล้วทำไมไม่เชื่อที่กูพูดล่ะวะ”
ก็เข้าใจแหละว่าจากรูปการณ์มันเชื่อยากแต่แม่งงี่เง่าไม่ฟังอะไรเลยผมก็หน่าย ปลดเบลท์ออกให้ตัวเองขยับตัวสะดวกขึ้นแล้วยื่นมือไปจับโครงหน้าหล่อเหลาของคนข้างๆให้หันมา สองมือแนบแก้มนิ่มเอาไว้ นิ่มจริงๆตามสภาพคนเอาใจใส่นั่นแหละ จนกระทั่งเฮียค่อยๆลืมตาขึ้น จ้องผมนิ่ง และตอนนั้นที่ปากรีค่อยๆคลี่ยิ้มให้เพราะรู้ว่ามันพร้อมจะรับฟังที่ผมจะอธิบาย
“ก็บอกว่าดูแลตัวเองได้ ใครจะยอมปล่อยให้คนอื่นมาขโมยจูบ..ฮึ?”
“...........”
ดวงตาของเฮียหลุกหลิก ไหนวะพี่ชายของน้องๆ อยู่กับกูกลายเป็นเด็กขี้งกไปได้ทุกทีเชียว ผมใช้หน้าผากชนเฮียเบาๆก่อนพูดต่อ
“ปากนี้ของมึงคนเดียวแหละ ไอ้โง่” จบประโยคผมก็รู้สึกถึงสัมผัสอุ่นวาบที่ริมฝีปาก มือหยาบสางเข้าเรือนผมบริเวณท้ายทอยกดให้ผมแนบหน้ารับจูบจากกลีบปากอิ่มเบาๆ เฮียตอดดูดที่ปากบนและล่างซ้ำๆหลายทีก่อนผละออกไม่ได้ล้วงลิ้นเข้ามาเหมือนที่เคย มือที่ประคองท้ายทอยผมไว้เมื่อครู่เลื่อนมาจับมือผมแน่น
“รู้ไหมเน็ต.. ตอนนี้ต่อให้มึงโกหกกูก็จะเชื่อ...”
“โง่จริงๆด้วยแฮะ”
“มาเป็นแฟนกันนะ”“เลิกระแวงแล้วเหรอ?”
“ไม่เลิก แต่จะฟังมึงให้มากขึ้น”
ผมฉีกยิ้มกว้าง หยิกแก้มเฮียบิดด้วยความหมั่นเขี้ยวแรงๆจนมันร้องโอดโอยเรียกร้องความสนใจ สุดท้ายก็ปล่อยมันแล้วมาจัดการคาดเบลท์ตัวเองต่อ เฮียยังไม่ออกรถ แถมยังงอแงส่งเสียงฮื้อฮ้าในลำคอรอคำตอบแบบนั้นร่วมนาที
“ไอ้บอมว่าไง ผมก็ว่างั้นแหละ”
ได้ผลเลย พอตอบปุ๊บ เฮียทำหน้าหงิกส่งเสียงจิ๊จ๊ะปั๊บ ผมแนบหน้าตัวเองไปกับกระจกเหลือบมองอาการคนถูกขัดใจขำๆ
ความรักมันไม่ใช่เรื่องของคน2คนหรอก..
ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกนี้ เราก็ควรแคร์คนใกล้ตัวบ้าง อย่างน้อยก็เป็นคนที่รักเรา และเรารัก
ยิ่งเป็นคนที่รัก คนรักของแล้วล่ะก็..
เรายิ่งต้องแคร์ให้มากกว่าคนอื่น จริงๆนะครับ------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 21
08/08/12
*มุกจากหนังเรื่องน้องเมียพันธุ์Xค่ะ
สวัสดีวันพุธสีเขียวค่ะ > <
ไว้อาลัยให้คนแต่ง ไม่สามารถจินตนาการว่าแม่ยกปันเน็ตจะมีกระแสเช่นไรบ้าง แอร่ก
ตอนนี้เน็ตเฮียแอบมาโหมดงอนกันนิดๆอีกแล้ว เฮียงี่เง่าเนอะ แหะๆ พาร์ทหน้าเดี๋ยวเราเอาปันมาทอล์คกันเนาะ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มากๆเลย คนอ่านน่ารักเอาโล่จริงๆเล่นเอาเรามาต่อทียาวเหยียดแข่งคอมเมนต์เลยค่ะ 
ปล. แอบมีคนเดาเพลงที่เราใช้ฟังตอนแต่งความรู้สึกเน็ตต่อปันออกด้วย ดีใจมากเลยแหละ
ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงา กิ่งก้านมันไม่ได้สูงสักเท่าไร แต่รากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในใจ มีความหมายที่มากมายตลอดมา