Friend's brother Brother's friend 19, สารภาพ
[Beam's talk]
หลังจากการทำงานเกินหน้าที่ผ่านพ้นไป งานสังสรรค์ปิดกองเป็นสิ่งสุดท้ายที่คณะทำงานได้พบปะกันเฉลิมฉลองให้กับความเหน็ดเหนื่อยที่แปรสภาพมาเป็นเม็ดเงิน ละครที่ออนแอร์หลังข่าวช่วงนี้เรตติ้งดีเป็นที่นิยมของตลาดพลอยทำให้ภูมินทร์โด่งดังเปรี้ยงปร้างเทียบชั้นกับเอมี่ในระยะเวลาอันสั้น จากนั้นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนของผมก็เดินทางมาถึง ช่างจวบเหมาะจนน่าหงุดหงิดเหลือเกินที่มันบังเอิญตรงกับฤดูกาลสอบของณัฏฐนิชพอดิบพอดี
ความหงุดหงิดทั้งหลายแหล่ไม่ใช่เน็ตจะหัวหมุนสิงอยู่ในหอสมุดกับจ้องตาในหน้าหนังสือเท่านั้น แต่เพราะสองสัปดาห์จากการสอบไฟนอลมันต้องเก็บข้าวของไปอยุธยา ดังนั้นหมายความว่า2สัปดาห์หลังสอบ เน็ตมันต้องใช้อย่างคุ้มค่ากับคนที่มันจะต้องห่างร้างไกลลแน่นอนอยู่แล้ว
“ผมเลยจะกลับบ้าน” พอถูกประโยคเรียบๆของไอ้หัวแดงตอบหน้าตายในร้านข้าวหน้า ม. เท่านั้น ผมถึงกับหงายเงิบ มันก็สมเหตุสมผลอยู่หรอกว่าจะกลับไปอยู่กับแม่ แต่ก็อดน้อยใจนิดๆไม่ได้เหมือนกันว่าแล้วกูล่ะ แล้วกูล่ะ เหมือนพวกผู้หญิงที่แฟนไม่มีเวลาให้
ไม่รู้ว่ากลายเป็นคนงี่เง่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ตรรกะง่ายๆที่ควรเข้าใจบางทีผมก็ไม่อยากยอมรับมันเหมือนกัน
“โฮ่! ว่างแล้วเหรอครับเฮีย ไม่เห็นหน้ามาเดือนกว่าๆแล้ว ล่าสุดก็ตอนกลับมาจากเชียงใหม่สลบไสลไม่เป็นคนอยู่บนโซฟาโน่น”
พอก้าวเท้าเข้าบ้าน น้องชายคนรองก็ทักทันที จริงอย่างที่บอมว่าที่ผมไม่ได้กลับบ้านเลยทั้งๆที่ปกติวันหยุดกองก็พอจะมี แต่ไอ้อาการ
’ติดเด็ก’ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนกลับกักขังผมไว้ให้ใช้ร่วมกับเน็ตจนลืมหน้าที่ลูกกตัญญูเสียสิ้น ผมพยักหน้ารับคำ ไม่โต้ตอบประโยควอนให้ไอ้ที่หงุดหงิดในอกปะทุขึ้นมาจากน้องชายด้วยสีหน้านิ่งสนิท อันที่จริงวันนี้ถ้าไม่โดนตัวเล็กไล่กลับมาเพราะมันจะตั้งใจอ่านหนังสือล่ะก็ ผมยังไม่เห็นโอกาสที่ตัวเองจะเสด็จกลับบ้านตามวิสัยพี่ชายคนโตที่น่ารักของน้องๆเหมือนกัน
อายุก็ปาไป 25 เจียน 26 เพิ่งมาเสียคนตอนแก่หรือไงวะกู
“ปิดเทอมนี้มึงฝึกงานหรือเปล่าบอม?”
“เออ ลืมไปเลย ปิดเทอมนี่ผมไประยองนะ ไอ้บูมต้องไปแคมป์ที่นั่นสองอาทิตย์เลยจะตามมันไป คงได้เจอกันวันสองวันก่อนมันกลับจากแคมป์แหละ ช่วงนั้นงานจะเยอะไหมเฮีย กลับมาดูป๊ากับม้าบ่อยๆนะลูกชายสุดหล่อไม่อยู่สองคนเลย”
“มีพวกโฆษณานิดๆหน่อยแหละ พี่เต้ยเพิ่งปิดกองเรื่องเก่าไปคงอีกซักพักกว่าจะยุ่งเดี๋ยวกูกลับมาอยู่บ้านก็ได้ แล้วนี่ตี๋เล็กไปไหน อ่านหนังสือเหรอ?”
“อยู่บนห้อง เข้าไปดูมันหน่อยดิเฮีย แปลกๆมาจะเดือนแล้ว ถามก็ไม่บอกว่าเป็นอะไร”
ผมเลิ่กคิ้วขึ้น ตี๋เล็กไม่ใช่เด็กที่น่าเป็นห่วง เป็นคนสดใสร่าเริงมองทุกเรื่องเป็นเรื่องเล็กแก้ไขได้จึงไม่ค่อยเห็นมันเครียดเท่าไหร่ ครั้งสุดท้ายก็ตอน ม.5 ที่เหมือนทะเลาะกับไอ้ต้าร์ เพื่อนสนิทที่พอเข้ามหาลัยก็บินไปต่อนอกหายต๋อมไปเลยโน่น
“งั้นมึงเอาแปะก๊วยนมสดไปใส่จานให้แล้วยกตามกูขึ้นไปให้หน่อย”
ผมยื่นถุงขนมที่ซื้อมาจากข้างนอกให้น้องชายคนรองแล้วเดินขึ้นบันไดมาชั้น 2 นึกเป็นห่วงบูมขึ้นมาตงิดๆ เคาะห้องนอนตี๋เล็ก พอได้รับเสียงอนุญาตจากคนข้างในก็เดินอาดเข้ามา บูมนอนคว่ำหน้าอ่านหนังสืออยู่บนเตียงเสียบหูฟังไปด้วยไม่ได้สนใจการเข้ามาของคนในบ้านสักเท่าไร
“สอบเมื่อไหร่ตี๋เล็ก”
“อ้าวเฮีย กลับมาเมื่อไหร่” ผมไม่ได้รับคำตอบ แต่กลับได้คำถาม
“เมื่อกี้เอง ผอมลงหรือเปล่า ทำไมดูโทรมๆ หืม?”
“ใกล้สอบก็เงี้ย บูมเครียดๆ ทำมิดเทอมไว้ดี ไฟนอลไม่Aนี่อายเขาแย่”
“ตี๋เล็กของเฮียไม่เห็นจะเคยเครียดเรื่องเรียนสักครั้งนี่ ทะเลาะกับเพื่อนอีกหรือเปล่า?”
“เปล่า..”
บูมตอบ มันถอนหายใจพรืดยาว เปลี่ยนท่านังเป็นพิงกับหัวเตียง พับหนังสือเก็บโดยใช้แว่นคั่นไว้แล้วหยิบตุ๊กตาหมีเน่าขึ้นมากอด
“เป็นอะไรบอกเฮียได้ไหม”
น้องชายคนเล็กก้มหน้ากับเข่า ผมขยับตัวเข้าหาแล้วลูบหัวเบาๆ ปกติเวลามีปัญหาเรื่องไม่ค่อยถึงผมหรอก สองพี่น้องมันช่วยกันจัดการง่ายกว่า ด้วยทั้งวัยและเวลา แต่ลองบอมมาบอกแบบนี้คงหมายความว่าบูมไม่ยอมให้พี่ชายคนกลางของมันเข้าไปรับรู้ด้วยแน่ๆ
“ไม่มีอะไร”
แบบนี้เรียกว่าโกหกไม่เนียน หน้ามุ่ยเหมือนแบกดาวพฤหัสเอาไว้ทั้งดวงยังทำซึนบอกไม่มีอะไรใช้ได้ที่ไหน ผมเอื้อมมือไปตบไหล่ลาดของน้องชายแล้วยิ้มให้
“พูดมาเถอะน่า เฮียใจดีจะตาย เราก็รู้”
บูมมีท่าทีลังเลนิดหน่อย มันถอนหายใจพรืดเห็นว่าบอมไม่ได้เข้ามาด้วยเลยค่อยๆแซะถาม
“พี่เน็ตดีกับเฮียไหม?”
“หืม?? หมายความยังไงล่ะ?”
“ก็แบบ พี่เน็ตกั๊กเฮียรึเปล่า? ไม่ชอบแต่ก็ให้ความหวังอะ”
“เวลามองก็มองได้สองแบบแหละบูม จะมองว่ากั๊กก็ได้ หรือจะมองว่ามันกำลังค่อยๆเปิดใจก็ได้ แล้วแต่พื้นฐานนิสัยแล้วก็ใจเราที่มองอีกคนเป็นยังไง สำหรับเฮีย เฮียว่าเน็ตมันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว เลยมองว่าเน็ตมันกำลังให้โอกาส ถามแบบนี้ถูกใครทำตัวลังเลใส่หรือยังไง?”
“เปล่าซักหน่อย”
บูมยังก้มหน้ากอดตุ๊กตาหมีเน่าเอาไว้กับอก เป็นหมีที่ไอ้ต้าร์เพื่อนสนิทมันซื้อให้วันเกิดตอนมัธยมที่ทำเอาที่บ้านฮาสนิท ไม่คิดว่าเด็กผู้ชายมันจะให้อะไรหน่อมแน้มกันขนาดนี้ ผมดึงหูตุ๊กตาที่มีรอยเย็บของด้ายคนละสีเบาๆแล้วชวนน้องคุยต่อ
“คิดถึงต้าร์เนอะ”
จำได้ว่าเมื่อก่อนมันมาเล่นที่บ้านบ่อยๆ กลุ่มมันมีต้าร์ ต้นหลิว กาย ตอนนี้กระจัดกระจายหลังเรียนจบไม่เห็นจะติดต่อใครกันสักคนไม่เหมือนบอม รายนั้นติดเพื่อนยังกับตังเม บูมเบ้ปาก เอานิ้วจิ้มจมูกหมีจนยุบย่นสองสามที
“ตามพ่อไปเรียนสิงคโปร์ มีเมียใหม่ไปหลายคนแล้ว”
“หือ?”
“ต้าร์เป็นแฟนคนแรกของบูม”
คำพูดเรียบๆหลุดออกมาจากปากสีอ่อนของน้องชาย ผมกระพริบตาปริบไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดี หมายความว่าบูมเป็นเกย์ เป็นมานานขณะที่ผมยังเข้าใจตลอดว่ามันเป็นแค่เด็กผู้ชายที่ถูกเลี้ยงแบบลูกคนเล็กเลยไม่ห้าวซ่าส์เหมือนผู้ชายคนอื่นในวัยเดียวกัน
“ป๊ากับม้าก็รู้ ม้าเกือบเป็นลมแหน่ะตอนที่บูมบอก ป๊าเองก็นิ่งๆไปพักใหญ่เหมือนกัน แต่พอบูมขอโทษป๊าก็บอกว่าไม่เป็นไร บูมเป็นเด็กดีป๊าก็ไม่สนแล้วว่าบูมจะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง สำหรับบูมแล้ว ป๊าอะ เท่ห์ที่สุดเลย”
อืม.. เท่ห์มาก แต่คนที่เท่ห์กว่าป๊ามันกลับมองตาตุ๊กตาหมีในมือตาแป๋ว อายุยังไม่ครบ20 มันก็สารภาพกับเสี่ยร้านทองว่าเป็นเกย์แบบไม่กลัวโดนตัดออกจากกองมรดกเลยสักนิด ตอนที่พูดมันเตรียมใจยังไงวะ? มันกลัวป๊า ม้ารับไม่ได้บ้างไหม หรือพูดหน้าตาเฉยเหมือนที่บอกกับผมตอนนี้กันแน่
ผมรู้สึกแห้งผากในคอนิดๆ นี่ถ้าผมเดินไปบอกอีกคนว่าตัวเองก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน ม้าจะหัวใจวาย หรือป๊าจะช็อคไปเลยไหม อายุอนามก็เกินกว่าจะรับรู้เรื่องราวให้หัวใจทำงานหนักกันทั้งคู่แล้วแท้ๆ
ไอ้บูมเหลือบตามองผมที่ยังไม่เอ่ยอะไร แล้วขยับปากพูดไม่เบา แต่ก็ไม่ดังทะลุฝาบ้าน
“บูมชอบพี่ปัน” “ห๊ะ?????”เสียงตะโกนตกอกตกใจนั่นไม่ได้ดังมาจากผม แต่คนที่ร้องกลับเป็นคนมาใหม่ที่ถือถ้วยแปะก๊วยอยู่ในมือ ไอ้บอมเบิกตากว้าง สิ้นคำอุทาน
‘ห๊ะ’ มันก็ยังไม่หุบปากจนบูมกลัว ใช้หลังผมเป็นที่กำบังเผื่อพี่ชายคนกลางจะไม่พอใจ รับไม่ได้ขึ้นมาแล้วจะไซด์คิ๊กมันหน้าหงาย ผมหันไปส่ายหัวให้บอมแล้วเตือนกลัวถ้วยในมือจะร่วง
“บอม วางถ้วยก่อน”
“เออๆรู้แล้ว” มันตอบ เหมือนสติเริ่มกลับมาเลยก้าวฉับๆมาหาตี๋เล็กที่เตียง
“เหี้ยแล้วไง ไอ้บูม มึงเป็นเกย์นี่กูไม่ตกใจเท่าที่มึงเสร่อไปชอบไอ้ปันเลยนะ"
ผมเลิ่กคิ้วขึ้น “แสดงว่าที่พูดเมื่อกี๊คือนอกจากบูมจะชอบปันแล้ว มันก็รู้ว่าบูมชอบใช่ไหม?”
“กะ... ก็ก่อนหน้านี้บูมไปจีบพี่ปันอะเฮีย แต่บูมไม่รู้นี่! เคยแต่โดนจีบ ไม่รู้ว่าถ้าจีบคนอื่นก่อนต้องทำยังไง ไปเซ้าซี้มากเลยโดนพี่ปันด่าเปิงมา แต่พอจะถอดใจมันเสือกมาจูบบูม.."
“ห๊ะ?!?”ครั้งนี้เป็นผมกับบอมตะโกนประสานเสียงพร้อมกันตั้งแต่ไม่ยังไม่จบประโยค บูมก้มหน้างุดหัวหูแดงก่ำ ไอ้บอมถึงสบถออกมาว่า “เหี้ย...”
“แล้วพี่ปัยก็หายไปเลย.. บูมไม่ไปหา เขาก็ไม่มาเจอ ที่ทำไปก็ไม่อธิบายอะไรสักอย่างปล่อยให้บูมเป็นบ้าเครียดอยู่คนเดียว แม่งไม่ใช่แค่ตบหัว เหมือนถูกกระทืบม้ามแตกแล้วมาลูบหลังอะเฮีย ตอนปฏิเสธเจ็บเหมือนโดนมีดกระซวกแต่เฮียรู้ไหม พอถูกจูบโดยไม่รู้เหตุผลน่ะ มันเจ็บเหมือนถูกควานมีดบิดซ้ำในปอดเลย”
พอได้พูด ตี๋เล็กก็พรั่งพรูความอัดอั้นออกมาหมด ไม่ได้ร้องไห้แต่หายใจแรงกอดหมีเน่าไว้กับอกแน่นมัน พยายามข่มอารมณ์ที่ปะทุขึ้นให้มอดดับ เอาแล้วไงบอม เพื่อนมึงเล่นน้องชายเข้าให้แล้ว ผมถอนหายใจระอา ลูบหัวตี๋เล็กไม่หยุดหวังว่าจะช่วยให้มันผ่อนคลายลงบ้าง
“มึงก็พูดเกินไป ที่จริงปันมันไม่ได้เหี้ยขนาดนั้น แต่นะ ตัดใจเหอะ มันไม่ได้เป็นเกย์ เห็นเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้าแบบนั้นแต่มันก็มีเป้าหมายในชีวิตนะเว่ย มึงก็รู้ว่าบ้านมันเป็นยังไง วันนึงปันจะเจอผู้หญิงที่เหมาะสมกับมัน ซึ่งกูคาดว่าพ่อมันนั่นแหละจะหาให้ ทำงานสานต่อธุรกิจที่บ้าน มีครอบครัวที่ไม่ต้องรักกันก็ได้แค่อยู่แบบเคารพก็พอ เห็นปะ เป้าหมายชีวิตเป็นระเบียบเป๊ะๆของมันไม่มีส่วนไหนที่มึงจะเสือกแทรกเข้าไปได้เลย นี่ แปะก๊วย แดกๆไปจะได้ฉลาดคิดขึ้นมาบ้าง โถ.. ชอบใครเสือกไม่ชอบ เสือกชอบปันนภ” บอมส่ายหัวบ่น ยื่นถ้วยแปะก๊วยนมให้น้องชาย ทอดสายตามองตี๋เล็กที่นั่งย่นหน้าแล้วส่ายหัว
“เครียดน่ะรู้ แต่ช่วงสอบ บูมพักเรื่องปันไปก่อนได้ไหม เฮียเป็นห่วง” ผมบอก ขยับตัวให้บอมนั่งลงข้างๆ
“หลังจากสอบเสร็จบูมก็ไประยองเลย กว่าจะกลับพี่ปันก็บินไปฝึกงานอเมริกาแล้ว”
“มึงก็ถือโอกาสนี้ตัดใจซะ กูไม่รู้หรอกที่มันจูบมึงนี่เพราะบรรยากาศพาไปหรือเหี้ยอะไร แต่อย่าไปยุ่งกับมัน กูจริงจังนะ ไม่อยากเห็นมึงเสียใจ"
“รู้แล้วน่า! แต่มันทำได้ง่ายๆที่ไหนล่ะ ไม่งั้นเจ้ทรายก็เลิกวนเวียนแถวนี้ไปนานแล้วแหละ เลิกกับเฮียมาตั้งกี่เดือนแล้วยังโทรเซ้าซี้บอมอยู่ได้”
ผมสะดุดลมหายใจไปครู่หนึ่งพอได้ยินประโยคพาลๆจากไอ้บูม เหลือบตามองน้องชายคนกลางซึ่งเบือนหน้าหนีทันที
ไม่ใช่หึงหวงผู้หญิง ห่วงก็แต่ไอ้บอม คนที่สามารถคุยกับผู้ชายสองคนที่เป็นพี่น้องพร้อมกันได้แล้วไม่ใช่คนที่มันน่าจะยุ่งด้วยสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ลืมตามาดูโลก หน้ามืดตามัวกับทรายแก้วและภาพลักษณ์ดีๆที่ผมเองก็เคยเชื่อไปครั้งหนึ่งเหมือนกัน
ใช่.. ทรายแก้วเป็นคนใจเย็น ใจดี วางตัวดีน่าคบหา ถ้ารู้จักกันในฐานะเพื่อนจะเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีมากเลยทีเดียว แต่ภายในใจที่เต็มไปด้วยความไม่รู้จักพอนั่นทำให้ในฐานะคนรัก ทรายแก้วไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับมัน
ผมเลิกสนใจบอม มองน้องชายคนเล็กที่คนขนมในถ้วยไม่ยอมตักกินเสียทีแล้วเตือน
“เฮียไม่ให้คำแนะนำอะไรเพิ่มนะตี๋ น้องชายเฮียเป็นคนฉลาดเดี๋ยวก็จัดการได้ แต่อยากให้คิดอยู่เรื่องนึงว่าเวลาจะรักจะชอบใครบูมควรจะเริ่มรักตัวเองก่อน เครียดจนโทรมแบบนี้ทำให้คนอื่นที่รักบูมไม่สบายใจไปด้วยเข้าใจไหม?"
ปรมัตถ์เบ้หน้า สุดท้ายก็ยอมตักแปะก๊วยกินแต่ไม่รับปาก ผมลูบหัวไอ้บูมเบาๆพลางนึกถึงบางคนก็โล่งอก เป็นโชคดีของเน็ตสินะที่มันรู้จักกลัว ไม่อย่างนั้นคนที่นั่งเครียดแบบนี้คงมีไอ้ตัวเล็กของผมเพิ่มอีกคนแน่ๆ
“เฮียกลับมาอยู่บ้านนานปะ?”
“2-3 วันแหละ ว่าจะปรึกษามาป๊าด้วย วันก่อนพี่เจี๊ยบติดต่อมาบอกแคสเปอร์สกีกำลังหาแบรนเอสบราสเตอร์ในไทยจะให้กูลองไปแคสดู”
“โห ค่าตัวเป็นล้านเลยดิงี้” บอมตาโต
“สิบล้าน แต่เวลาลงกองกับพี่เต้ยก็จะน้อยลง กูเลยคิดไม่ตกเนี่ยว่าจะเอายังไง มันก็เป็นโอกาสเพราะนี่ก็แบรนด์นอก ได้เจอทีมงานต่างประเทศบ่อย เจอคนมากๆปัญหามันก็ต่างไป ได้เรียนงานมากขึ้น แต่ก็อีกแหละ กูชอบทำงานข้างหลังมากกว่า”
ผมล้มตัวนอนบนเตียงเดียวกับบูม ยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก นอกจากเวลาที่น้อยลงแล้วยังคิดถึงเรื่องความเป็นส่วนตัว อยู่เบื้องหลังนักข่าวไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไหร่ ล่าสุดที่ลงหนังสือพิมพ์ก็ที่สะบั้นรักกับทรายแก้วเมื่อหลายเดือนก่อน ลองเป็นตอนนี้ห่วงก็แต่นิสิตวิศวะที่มีชีวิตปกติธรรมดาจะรั่วจะเกรียนที่ไหนก็ได้ตามสบาย ถ้าผมกลับไปอยู่ท่ามกลางแสงสีของแฟลชกล้องแล้วล่ะก็ เรื่องไอ้หัวแดงก็คงถูกขุดคุ้ยกระดิกตัวไปไหนก็ลำบาก
ผมถอนหายใจยาวๆอีกครั้ง แม้จะเข้าใจดี
ทุกทางแยก มีหนึ่งโอกาสหายไปเสมอ
******************
“เฮีย โทรศัพท์”
หลังมื้อเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาในวันหยุดผมก็มานั่งช่วยม้าดูบัญชีในห้องทำงาน บอมเปิดประตูเข้ามาพร้อมโทรศัพท์พกพาที่ถูกวางทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น ผมขอม้าออกมารับสายข้างนอกแล้วฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นรูปหน้าจอโทรเข้าเด่นหราคือใครบางคนที่นั่งอ้าปากหวอตอนดูสารคดีในห้องแล้วเข้าฉากที่เสือดาววิ่งไล่กวางในทุ่งหญ้าแอบแอฟริกาใจจดใจจ่อ
บอมมองเหมือนจะพูดอะไร แต่ผมเดินตัดหน้าออกมานั่งม้านั่งหน้าบ้านใต้ต้นลีลาวดีที่ออกดอกสีขาวบานสพรั่ง พระอาทิตย์ตกดินแล้วแต่ไฟจากนอกประตูรั้วยังส่องให้เห็นว่าผมระยิบตาวาวด้วยความดีใจเมื่อกดรับแล้วปลายสายลากเสียงยาวมาถึง
“ฮาโหลวววววว รับช้าจัง” “อืม ออกมาคุยนอกบ้านน่ะ เป็นไง อ่านหนังสือถึงไหนแล้ว”
“ใกล้จบแล้วแหละ แต่ออกมาดูดบุหรี่เลยโทรหาตาแก่ขี้งอนสักหน่อย เดี๋ยวเครียดกลับบ้านไปติดยาน้องๆมันจะด่าผมเอา” “ใครแก่ ใครงอน พูดให้มันดีๆซิ”
“ไม่รู้ใคร แต่พอไล่กลับบ้านก็หน้าบูดเป็นตูดลิง เนี่ย ถึงบ้านแล้วก็ไม่โทรหาเลย” ผมหัวเราะ ไอ้น้อยใจก็มีหรอก แต่ไม่ได้งอนเป็นเรื่องเป็นราวอะไร เน็ตมีสอบวิชาหนักๆสองตัวติดต้องจริงจังกับการอ่านหนังสือมีผมคอยไปนั่งกวนใจมันก็ใช่เรื่อง
“ยุ่งอยู่ต่างหาก แล้วนี่กินข้าวหรือยัง”
“เพิ่งกินเสร็จ ข้าวไข่เจียวหน้าหอสมุดนี่แหละ คืนนี้ว่าจะโต้รุ่ง” “กลับไปกินแบรนด์ด้วยนะ ของกินในตู้เย็นกูซื้อไว้ไม่ใช่ซื้อเลี้ยงไอ้โชติ กินให้ทันมันหน่อย”
เสียงหัวเราะใสลอดออกมาตามสาย
“เน็ตเป็นคนว่ะเฮีย พยายามแค่ไหนก็แดกไม่ทันหมีควายหรอก สัตว์โชติ! ตบหัวกูทำไม!!” เสียงไอ้เน็ตทะเลาะกับเพื่อนมันดังล้งเล้งลอดมาตามสาย ไอ้เสียงคู่กรณีมันคงหนีไม่พ้นคนที่มันพาดพิงเมื่อกี้แน่ๆ
“เอาล่ะๆ เน็ตเลิกทะเลาะกับเพื่อนก่อน”
“มันแกล้งผม โวะ เดี๋ยวนี้มีฟ้อง” เสียงหลังเป็นไอ้โชติตะโกนแทรกเข้ามา
“อืมรู้แล้ว มัวแต่คุยกับเพื่อน เฮียอยู่ในสายเดี๋ยวก็งอนซะหรอก”
“อะ ครับๆ กลับมาแล้วๆ นี่เฮียทำอะไรอยู่” “ตอนนี้นั่งเล่นดอกลั่นทมไปคุยโทรศัพท์กับเน็ตไป เดี๋ยววางสายเสร็จจะช่วยม้าปิดบัญชีของเดือนนี้หน่อยแล้วก็เข้านอน”
“นอนเผื่อด้วยดิ นี่ผมซัดลิโพไปสองขวดแล้วไม่รู้สายๆพรุ่งนี้จะหลับลงหรือเปล่า” “ได้ ให้เอาน้ำออกเผื่อด้วยหรือเปล่าจะได้หายเครียด”
“ทะลึ่งแล้วครับเหี้ย” “เสียงท้ายสูงไปหน่อยนะ จะไปอ่านหนังสือหรือยัง เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก”
“อืม ดูดบุหรี่หมดก็ไปแล้ว เฮียกลับคอนโดวันไหน” “วันอังคารเน็ตสอบเสร็จเดี๋ยวไปรับหน้าตึกเรียน แล้วบุหรี่น่ะอย่าให้มากนัก เพลาๆลงหน่อยรู้ว่าช่วงสอบเครียด แต่มันไม่ดีต่อสุขภาพ ร่างกายมึงยังต้องใช้อีกหลายปี”
“ครับพ่อ ครับ” ไอ้เน็ตกวน
“งั้นพอแล้วก็ได้ เดี๋ยวเน็ตเข้าไปอ่านหนังสือก่อน ฝันดีเผื่อด้วยนะ” ผมยิ้ม “อืม จะฝันถึง เน็ตก็ตั้งใจอ่านหนังสือล่ะ อย่าให้เฮียเสียแรงเปล่าที่ยอมไม่เจอหน้าตั้งสามวัน”
“ครับพ่อ ครับ” มันตอบ แน่จริงมาพูดใกล้ๆตอนนี้สิ จะตั้งตนเป็นพ่อทูนหัวของมันให้เสียเดี๋ยวนี้ หลังจากประโยคจบลงสักพักผมก็รอให้มันเป็นคนตัดสายเหมือนทุกที
คืนนี้ไม่ได้เจอเน็ต ไม่ได้มีมันเอาไว้ให้จูบหน้าผากและนอนกอด แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายจนเกินไป
ผมยังคงยิ้มค้างแม้สายล่าสุดจะถูกตัดไปแล้ว กระทั่งเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ถึงหันกลับไปมองไอ้บอมที่ทรุดตัวลงบนเก้าอี้ตัวข้างๆกัน
“คุยกับเน็ตยังกับคุยกับแฟน”
บอมพูด เหยียดขายาวใช้ข้อศอกยันตัวเองกับโต๊ะเอาไว้ไม่มองคู่สนทนา
“ทั้งๆที่ตอนนั้นบอกว่าไม่ได้ชอบมัน แต่เฮียกับเน็ตดูสนิทกันมากจนผมแปลกใจเลยแหละรู้ไหม?”
“ที่จริงตอนนั้นกูก็สนใจมันอยู่นะ เป็นเด็กที่น่ารักแต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นรู้สึกกับมันแบบนี้”
“เฮียจะบอกผมว่าเฮียชอบมัน?”
ผมยังคงไม่มอง ทั้งๆที่ผมเหลือบตาดูน้องชายคนกลางบ่อยครั้งพร้อมตั้งคำถามว่าที่มาพูดแบบนี้มันต้องการอะไร
“กูชอบมัน”“เออ เจริญ ทั้งพี่ทั้งน้อง แล้วแม่งเล่นเพื่อนกูกันทั้งคู่”
ผมหัวเราะในลำคอ ส่ายหัวเบาๆแต่ดูเหมือนไอ้บอมจะไม่ขำไปด้วย เม้มปากเข้าหากันแน่นข่มอารมณ์ลึก ดูท่าแล้วเดี๋ยวก็ปล่อยระเบิดออกมาสมชื่อบอม ของมันนั่นแหละ
“ถามจริงเหอะเฮีย เป็นเกย์แล้วไปหลอกทรายทำไมตั้งหลายปีวะ แม่งเหี้ย ทำเขาเสียใจแค่ไหนเคยรู้ตัวหรือเปล่า!” สิ้นเสียงตะคอกน้องชายคนกลางก็ทุบมือลงบนโต๊ะไม้ดังปึก !
“บอม...” ผมเรียก เว้นจังหวะหายใจยาวๆใจเย็น “ถ้ามึงรู้จักเฮียมึง มึงน่าจะรู้ว่ากูเป็นคนยังไง ตลอดเวลาที่คบกันมากูไม่เคยหลอกทราย กูรักเขามาตลอดแต่มันก็มีเหตุผลที่ทำให้กูต้อง ‘เลิก’ ซึ่งบางที มึงอาจรู้ดีแก่ใจว่าเพราะอะไร”
“มันจะเพราะอะไรวะนอกจากเฮียเป็นเกย์! แล้วนี่ไอ้เหี้ยเน็ตเล่นด้วยหรือเปล่า? หรือช่วยกันปิดเฉยๆ”
มันลุกขึ้นยืนชี้หน้าผมนิ่ง เห็นน้องชายสติหลุดแบบนี้ใจนึกอยากยืนขึ้นไปตบกระโหลกเรียกสติบ้าง แต่สุดท้ายก็ทำแค่ใจเย็นกับมันให้มากกว่าเดิม
“เรื่องกูกับทรายไม่เกี่ยวกับเน็ต อย่าพาล”
“ถ้าไม่เกี่ยวกับไอ้เน็ตเฮียก็กลับไปหาทรายสิ ทรายยังรอเฮียอยู่ ทรายรักเฮียมากแค่ไหนเฮียก็น่าจะรู้!”
ตาของไอ้บอมมีประกายรื้นของน้ำเต็มหน่วย ผมถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นแตะบ่ามัน
“
กูไม่กลับไปหาทราย”จบประโยคที่บอมควรเข้าใจเสียทีผมก็เดินแยกเข้าบ้าน พาลนึกขึ้นว่าบางทีที่เน็ตไม่อยากให้เพื่อนในกลุ่มรู้นักอาจไม่ใช่เพราะปันแต่เพราะมันห่วงความสัมพันธ์ของบอม ผม และมัน
ลูกชายบ้านนี้เอาแต่ใจแค่ไหน ทำไมจะไม่รู้ นอกจากพี่ชายไอ้บอมจะวางตัวลำบากแล้วมันกับน้องชายผมที่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่มัธยมคงเป็นไปในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง กดเลือกเบอร์มันแล้วส่งข้อความตัวอักษรสั้นๆ
“คิดถึงหัวแดง” ทั้งๆที่เพิ่งวางสายแท้ๆ แต่พอนึกขึ้นว่าเน็ตมันจะลำบากใจแค่ไหนกับความสัมพันธ์ที่ผมหยิบยื่นให้ก็รู้สึกรักมันขึ้นมาอย่างประหลาด อาจจะคิดไปเองแต่แค่ได้คิดว่าที่มันทำเพราะแคร์ก็อุ่นวาบขึ้นมาในใจ
สักพักเสียงเมจเสจเข้าก็ดังเตือน ผมกดอ่านด้วยความหวังว่ามันจะตอบกลับมาในทำนองเดียวกันแต่พอเลื่อนดูแล้วก็อดหัวเราะนิดๆลืมเรื่องกวนใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นปลิดทิ้ง
“ผิดคนแล้วครับ หัวกูสีส้ม! olo”
ไอ้เวรนี่ ตัดอารมณ์กูได้ให้มันตลอดสิให้ตาย!
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 19
25/07/12
มาแบ้ววว

พาร์ทที่แล้วทั้งแม่ยกปัน แม่ยกบูมแทบเอามีดเสียบคนเขียน

พักมาม่าไว้ก่อนแบบค้างๆเค้าจะโดน

มั้ย?? ไม่นะ.. คนอ่านแต่ละคนใจดีจะตายเนอะ

พาร์ทนี้เน็ตมาแต่ชื่อให้หายคิดถึงพอเป็นกระสัย บอมรู้เรื่องแล้วหวยเลยออกที่เฮียก่อนคนแรก (ไหนว่าหล่อนจะพักดราม่า

) เลยแอบปิดท้ายหวานหน่อยๆ (นี่หวานแล้ว?)
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์มากๆเลยค่ะ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล ซาบซึ้ง คุณlady red เม้นยาวกว่าเค้าแต่งอีก

(ละอายใจ) ไม่ต้องกลัวเค้าโกรธนะ รับฟังทุกความเห็นค่ะ ว่าแล้วกอดคนอ่านหน่อย

แล้วเจอกันตอนหน้า วันพุธสีเขียวก๊าบบ!!
