Friend's brother Brother's friend 18, ใจร้าย
[Boom's talk]
พี่เน็ตพูดโกหกรอยยิ้มเฝื่อนที่ให้มากับสัมผัสเชิงหยอกล้อไม่ได้เกลี้ยกล่อมให้ผมหลงเชื่อในคำพูดเชิงแบ่งรับแบ่งสู้ของพี่รหัสตัวเองเลยสักนิด
ตอบว่า
ยังชอบอยู่ หรือ
เลิกชอบไปแล้วยังฟังดูดีกว่า
‘เป็นแค่เพื่อนกัน’ หลายเท่านัก
ไม่ใช่ว่าผมไม่สังเกต ไม่ใช่ว่าถามเชิงโยนหินถามทาง แต่คำถามว่า
‘ยังชอบพี่ปันอยู่ไหม’ เป็นคำถามที่ผมไตร่ตรองมาด้วยระยะเวลานานพอสมควรที่จะแน่ใจแล้วว่าพี่เน็ตรู้สึกพิเศษกับเพื่อนตัวเอง
นายณัฏฐนิชเป็นคนที่ถูกเพ่งเล็งเรื่องโฮโมเซ็กชวลตั้งแต่สมัยมัธยม ไม่ใช่แค่หน้าตี๋ตัวขาวปากแดงเอวบาง แต่ด้วยสภาพครอบครัวที่อยู่กับแม่ซึ่งเป็นคุณครูสอนทำขนมสุดแสนจะใจดีกับพี่สาวคนสวยซึ่งเรียบร้อยราวผ้าพับไว้ทำให้ตัวเองอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดูอมชมพูหวานๆตลอดเวลา อีกทั้งเมื่ออยู่รวมกับกลุ่มเพื่อนชายล้วน แทนที่จะมีบุคลิกเหมือนคนอื่นๆอีก 4 คนพี่เน็ตกลับต่างออกไป ผู้ชายตัวเล็กสุดในกลุ่มถูกปฏิบัติตัวราวกับเป็นไข่แดง มีบอมปกป้อง มีพี่โชติหนุนหลัง พี่โต๊ดให้คำปรึกษา และพี่ปันเป็นไอดอล คงน่าแปลกใจมากกว่าถ้าคนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมซึ่งตัวเองเป็นผู้ถูกดูแลมาตลอดจะปฎิบัติตัวเป็นเจ้าชายให้ผู้หญิงสักคน ดังนั้นวันที่ความสัมพันธ์ของพี่เน็ตกับเฮียดูแปลกไปจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับผมสักนิด
ถ้าเพียงแต่... เหมือนมีอะไรบางๆกั้นอยู่ที่ทำให้พี่เน็ตไม่อาจตอบรับความรู้สึกของเฮียได้เต็มที่
ผมไม่ได้ตั้งใจหาเหตุผลหรอกว่าอะไรทำให้พี่เน็ตมองเฮียไม่เต็มตาทั้งๆที่เฮียของผมก็ออกจะครบองค์ขนาดนี้ กระทั่งเหตุการณ์ที่ร้านเหล้าวันนั้น
ทั้งๆที่เพื่อนร่วมกลุ่มมาแท้ๆ แต่พี่เน็ตกลับทำตัวเหินห่าง ยิ่งผมแนะนำกับอาร์มว่าพี่ปันเป็นแฟน โดยหวังแค่ให้อีกฝ่ายเป็นไม้กันหมาเท่านั้น ทว่าคนที่มีปฏิกิริยาชัดเจนกลับเป็นพี่รหัสตัวเองซึ่งเบือนหน้าหนี กระทั่งผมยกมือกล่าวลาพี่เน็ตก็ไม่ชายตากลับมามอง
ภาพความสัมพันธ์กึ่งเพื่อนกึ่งคนรู้จักของทั้งสองคนค่อยๆฉายวนทับในหัวเป็นแฟลชแบ็ค มือที่จับพี่ปันอยู่เย็นเยียบยิ่งเมื่อชายหนุ่มหัวเสียที่ผมอาจทำให้เพื่อนตัวเองเข้าใจผิด รสขมเฝื่อนยิ่งรู้สึกชัดเจนในลำคอ
พี่ปันเหมือนเป็นคนที่มาเติมเต็มความรู้สึก ดูแลเอาใจใส่ภายใต้หน้ากากคุณชายเย็นชาๆ ทำท่าเหมือนไม่แคร์โลกแต่เก็บรายละเอียดโดยไม่มาสาธยายให้ตัวเองดูดี ผมหลงรักเสน่ห์ที่มาจากเบื้องลึกของผู้ชายคนนั้นไปเต็มๆแม้รู้ดีว่าตัวเองกำลังเป็นแมงเม่าโง่ๆที่อยากจะบินเข้ากองไฟ..
ที่เจ็บกว่าพี่ปันเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า คือฝ่ายนั้นรู้ดีว่าพี่เน็ตคิดยังไงและพี่ปันก็แสดงท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้เหมือนลังเลสับสนในตัวเองอย่างเห็นได้ชัดจนผมรู้สึกว่า ถ้าพี่เน็ตเป็นฝ่ายเข้าหาพี่ปันจริงๆจังๆแล้ว ทางนี้อาจไม่ปฏิเสธหรือทำเย็นชาเหมือนที่ทำกับผมก็ได้
เกิดเป็นคำถามให้ผมนึกแย้งในใจว่า ทำไมคนที่ไม่ลุกขึ้นยืนเพื่อความรักของตัวเองแบบพี่เน็ตแล้ว จึงสมควรได้รับความรักจากพี่ปันทั้งๆที่คนอื่นพยายามกันสุดใจด้วยเล่า?
พระเจ้าไม่ยุติธรรมเกินไป และเพราะแบบนั้นหลังคำปดที่แสดงออกมาถึงความอ่อนแอของพี่รหัสผมจึงตั้งใจว่าจะไม่ปล่อย
ถึงแม้ทั้งสองคนใจตรงกัน ผมก็จะไม่มีวันปล่อยให้คนที่ไม่สมควรได้พี่ปันไปแน่ๆสุดท้ายผมถึงมานั่งอยู่ที่นี่ โต๊ะไม้หน้าคณะบริหารธุรกิจ ทั้งที่ตัวเองสวมเสื้อชอปต่างมหาลัยเด่นหรากับพวกกบฏปี 3 เพื่อนพี่ปันที่แปรพักรมาเป็นเพื่อนผมเพราะ
‘เด็ก’ ที่มาเฝ้า
’ไอ้ปัน’ ครั้งนี้ ไม่ใช่สาวน้อยหน้าแฉล้มชวนน้ำลายหก แต่เป็นอาตี๋ผิวขาวเหลืองตัวไม่เล็กไม่ใหญ่มาดกวนชวนตบกระโหลกแบบที่เรียกว่าเข้าขากันได้ดีกับคนอื่นๆ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่จะเป็นชะนีขี้วีนให้เพื่อนๆพี่ปันเบ้หน้าหนีแทบไม่ทัน
เสียงคุยโหวกเหวกดังหน้าตึกขณะที่รอการออกมาจากห้องพักอาจารย์ของใครบางคน พี่เกมส์บอกว่าพี่ปันเข้าไปคุยเรื่องฝึกงานเพราะซัมเมอร์นี้พ่อของพี่ปันอยากให้ลูกชายไปฝึกงานที่อเมริกา ซึ่งเจ้าตัวเองก็ดูเต็มอกเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
สิ่งนั้นทำให้ความรู้สึกภายในใจของผมกระตุกวูบ
เคยได้ยินหรือเปล่าว่าเวลาของคนเรามันไม่เท่ากัน2 เดือนของบางคนอาจเป็นคำว่า
แค่ แต่สำหรับผม มันคือคำว่า
ตั้ง2 เดือน เกิดอะไรขึ้นได้ตั้งมากมาย มากจนแค่ผมได้ยินยังหวั่นๆ
ถึงแบบนั้น ตอนนี้ผมก็ได้แต่ยิ้มที่ถูกพี่เกมส์กวนประสาท กระทั่งเจ้าของร่างสูงสมสัดส่วนแต่งตัวถูกระเบียบทุกกระเบียดนิ้วปรากฏตัวขึ้นพร้อมแฟ้มเอกสารในมือ ตาคมปราดมองด้วยหางตาเป็นเชิงว่าเห็นแล้วแต่ขายาวยังเดินเลยโต๊ะไม้ไปเฉยๆ ผมยกมือไหว้ลาพวกพี่ๆ กระโดดข้ามเก้าอี้ตามพี่ปันที่เดินลิ่วไม่สนใจการมาของน้องชายเพื่อนแล้วกระโจนขึ้นรถเชฟโรเลตครูซแบบไม่ต้องรับเชิญทันทีที่อีกฝ่ายปลดลอค ไม่ลืมหันมายิ้มหน้าแป้นให้คนหน้าบูดแบบไม่รู้สึกว่าการมาของตัวเองเป็นการรบกวนอีกฝ่ายเลยสักนิด
“มึงเลิกมาเฝ้ากูซักทีเหอะ รำคาญ”
“งั้นพี่ปันก็ไปเฝ้าบูมที่คณะสิ”
“ส้นตีน! มันใช่เรื่องไหม? ผัวเผอมึงไม่มีหรือไงมาเกาะแกะกูอยู่ได้”
“ไม่มี กำลังหาอยู่เนี่ย”
ผมตอบหน้าซื่อ ในปากยังเคี้ยวหมากฝรั่งบิ๊กบลูมรสส้มหวานแสบคออยู่ พี่ปันหันมายกนิ้วกลางให้ผมเต็มๆโดยไม่หันมามอง แต่แทนที่จะเกี่ยงงอนผมกลับหัวเราะเสียงใสที่ได้กระตุกต่อมประสาทเพื่อนพี่ชายเข้าให้
“แล้วนี่จะไปไหน ขึ้นรถกูมาเนี่ย”
“ที่จริงว่าจะชวนไปอ่านหนังสือที่TK PARK แต่พี่เกมส์บอกว่า 3 ทุ่มนัดกันไปเที่ยวบูมเลยว่าจะชวนไปหาอะไรกินแถวเยาวราช”
“สัตว์ เยาวราชบ้านพ่อมึงเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็นเหรอ?”
“พี่ปันก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนสิ กว่าจะออกมาก็พอดีร้านเปิด ไปกินก๋วยจั๊บใต้โรงหนังแล้วค่อยไปเที่ยวต่อ บูมกะเวลาไว้เป๊ะมาก!”
“เจริญเหอะ พ่อกูไม่ใช่เจ้าของบ่อน้ำมัน ให้ไปบ้านกู มากินก๋วยจั๊บเยาวราชแล้วกลับไปส่งมึงก่อนย้อนไปผับเนี่ยนะ ไปแดกที่บ้านกูแล้วเดี๋ยววนไปส่งมึงที่บ้านง่ายกว่า”
“ส่งทำไม บูมไปด้วย”
“เสือก!”พี่ปันตอบทันทีแบบไม่คิด ผมฉีกยิ้มกว้างขวางยื่นมือไปเกาะแขนพี่ปันอ้อนๆแต่อีกฝ่ายก็สะบัดหนี โคตรใจร้ายอ่ะ!
“นะ ไปด้วย”
“มึงจะไปทำไม กูไปกับเพื่อน”
“แล้วทำไมไปไม่ได้อะ บูมอยากไปเที่ยวด้วยนี่”
“
ทำไมไปไม่ได้? ก็กูไม่ให้ไปไง ชัดนะ?”
เจ้าของรถหันมายักคิ้วกวนๆ แสดงเจตนาชัดเจนว่าหัวเด็ดตีนขาดยังไงก็จะไม่ให้สัมพเวสีอย่างผมไปขัดโอกาสฟันสาวตามที่เพื่อนล้อว่าฮีกลายเป็นเสือสิ้นลายตั้งแต่ที่มีผมตามมาวนเวียนเป็นเจ้ากรรมนายเวร ไม่ใช่ฝ่ายนั้นหยุดสายตาไม่ละม้ายชายมองสาวใดแบบพระเอกหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ตกหลุมรักนางเอกแสนดีแต่อย่างใด แต่เพราะพอชะนีนางใดตกบ่วงที่พรานหนุ่ม ผมก็จะเสนอหน้าเข้าไปกวนอารมณ์ให้คุณชายปันนภเสียจริตจนรับประทานแห้วไปทุกที พี่เกมส์บอกว่าคืนนี้พี่ปันกะไม่พลาดแน่ ถ้าอยากตามไปเป็นหมาหวงก้างก็งัดมารยาล้านแปดเล่มเกวียนขอคุณชายมาเอง แต่โถ่.. มารยาผมมันใช้ได้กับพวกที่มีทุนเห็นอกเห็นใจกันบ้างนี่ครับ เจอผู้ชายใจไม้ไส้ระกำแบบปันนภมันก็กลายเป็นหมันสนิท สุดท้ายได้แต่นั่งหน้าหงิกฟังเจ้าของรถผิวปากสบายใจจากมหาลัยไปถึงบ้าน ไม่มีทีท่าว่าเพื่อนพี่ชายคนดีจะใจอ่อนยอมพกน้องชายไปเที่ยวตามคำอ้อนวอนสักนิดเดียว
มิหนำซ้ำ นอกจากไม่ได้กินก๋วยจั๊บเยาวราช ไม่ได้ฝากท้องไว้กับป้าดวง สุดท้ายกลายเป็นพี่ปันเองที่มาอาศัยมื้อเย็นของพี่วรรณรองท้องก่อนออกเที่ยว ม้า ป๊า และบอมดูยินดีเหลือเกินในการปรากฏตัวแบบไม่คาดฝันของคุณชาย สำหรับม้าที่รู้ตื้นลึกหนาบางของผมแล้ว ปราดเดียวที่มองเท่านั้นชีก็ยกยิ้มมุมปากแบบคนรู้ทันถึงความรู้สึกของผมที่มีให้เพื่อนพี่ชายคนพิเศษทันที ส่วนป๊าดูไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ทางบอมยังคงเป็นคนเดียวของบ้านในตอนนี้ที่ไม่รู้ถึงเพศสภาพผม มันเลยได้แต่ตบไหล่เพื่อนตัวเองแล้วบอก
เออดี มึงสนิทกันเอาไว้มีอะไรจะได้พึ่งพากันได้ เหมือนคคนแก่ พี่ปันไม่ตอบอะไร มันยิ้มนิดๆไม่ให้เห็นว่าที่จริงแล้วคุณชายก็มีลักยิ้มอยู่ที่แก้มซ้าย ติดอยู่ที่ว่าต้องยิ้มกว้างขวางแบบที่นานๆหลุดออกมาทีถึงจะได้ประสพพบเจอ
โชคดีที่เรามาถึงบ้านตอนพี่วรรณกำลังจัดโต๊ะ ดังนั้นวันนี้เลยมีไข่เจียวหมูสับกับหมูทอดอย่างง่ายเพิ่มมาในเมนูให้เพียงพอสำหรับหกชีวิตบนโต๊ะอาหาร พี่วรรณเป็นแม่บ้านก็จริงแต่เพราะอยู่กับพวกเรามาตั้งแต่เด็กๆ อายุห่างจากเฮียไม่ครบรอบดีเวลาทานข้าวเราจึงนั่งรวมกันแบบไม่แบ่งชนชั้นเหมือนบ้านพี่ปันที่โต๊ะอาหารยาวเป็นกิโลแต่สุดท้ายก็มีแค่เก้าอี้หัวโต๊ะเท่านั้นที่มีคนจับจองอย่างเหงาๆ
“พี่ปันกินนี่สิ เมนูโปรดบูมเลย”
ผมเคยคิดว่าเวลาอยู่บ้านพี่ปันเคยถูกเอาใจแบบนี้ไหม หรือบางทีตอนอยู่กับสาวๆตัวเองอาจเป็นฝ่ายดูแลคนอื่นจนไม่ได้รับการเอาใจใส่นักก็ได้ ผมตักมัสมั่นใส่จาน พี่ปันชะงักช้อนส้อมในมือครู่หนึ่งก่อนหั่นไก่เนื้อๆที่ผมตักให้ทะมัดทะแมง ผมตักอาหารเมนูเดียวกันให้บอม ส่วนป๊ากับม้าเป็นผัดผักเพราะดีต่อสุขภาพจนตัวเองทานหมดเป็นคนหลังสุด
ปันนภเหลือบมองผมเป็นพักๆ ไม่ได้ตักอาหารคืนให้ผมเชิงตอบแทนแต่ยังคงกินเงียบๆตามสไตล์กระทั่งหมด พี่วรรณลุกมาเก็บจาน ม้ากับป๊าลุกไปนอนดูข่าวภาคค่ำส่วนบอมหนีขึ้นไปคุยโทรศัพท์ซึ่งถ้าเดาไม่ผิดก็คงเป็นสายมรณะที่เฮียหนีไม่รับจนเกือบถึงขั้นเปลี่ยนเบอร์นั่นแหละ
ใช่.. แม้ทุกคนมีกิจกรรมใดๆก็ตามเป็นของตัวเอง แต่ม้าบอกเสมอว่าตราบใดที่ยังนอนอยู่ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่อยากให้เป็นเพียงที่ซุกหัวนอน ป๊ากับม้างานยุ่งหัวหมุนเกือบทุกวัน ดังนั้นถ้าเวลาสักครึ่งชั่วโมงต่อวันม้าจึงขอให้เป็นเวลาที่เราได้เจอหน้า ได้พูดคุย ได้ใช้เวลาร่วมกันก็ยังดี ติดก็แต่เฮียที่นานๆกลับบ้านครั้ง ถึงกระนั้นถ้าได้กลับมา
’บ้าน’ เมื่อไหร่ ต้องได้ชิมรสมือพี่วรรณโดยไม่มีข้อโต้แย้ง
ผมไม่รู้ว่าพี่ปันจะพอเข้าใจความรู้สึกของ
’ครอบครัว’บ้างไหม แต่ตอนที่มองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มที่หันไปคุยกับป๊าเรื่องราคาหุ้นทอง ผมรู้สึกถึงความอิ่มเอมในแววตาของพี่ปันอย่างเห็นได้ชัด
“ปุยมานี่ ไม่ไปแกล้งพี่เขาสิ”
ผมตะโกนเรียกซี้สี่ขาที่เอาแต่กระโดดหย็องแหย็งชวนแขกคุ้นหน้าเล่น หลังจากทานมื้อเย็นเสร็จพี่ปันก็ขอตัวกลับโดยอ้างว่ามีธุระ ผมได้แต่แลบลิ้นปลิ้นตาหมั่นไส้เพราะรู้ดีว่า
‘ธุระ’ ที่ว่าคืออะไรแล้วออกมาส่งหน้าตึง จนแล้วจนรอดก็ไม่เปลี่ยนใจจริงๆสิให้ตาย แต่ถ้าคิดว่าเอาผมมาปล่อยบ้านแล้วตัวเองจะได้หนีเที่ยวสบายใจเฉิบแล้วพี่ปันคงผิดมหันต์ เพราะทันทีที่ครูซเคลื่อนตัวออกจากรั้วบ้าน ผมก็ต่อสายตรงฟ้องพี่เกมส์ทันที
“พี่เกมส์.. พี่ปันไม่ให้บูมไป.....”กว่าแท็กซี่จะมาจอดหน้าสถานบันเทิงชื่อดังก็ปาไปสี่ทุ่มกว่า พี่เกมส์บอกว่าจองโต๊ะได้หน้าเวทีมากันชายล้วนทั้งหมด 6 คน ผมกระชับปกเสื้อเชิร์ตสีขาว animal house ให้เข้ารูปกับกางเกงห้าส่วนสีกากี จับผมที่ใช้เวลาเซ็ตร่วมชั่วโมงนิดๆหน่อยๆก่อนเดินเบียดผู้คนที่แออัดจนล้นออกมานอกประตูร้านไปหน้าเวที กระทั่งเห็นผู้ชายตัวสูงใส่แว่นสายตากรอบดำ ดูบางทีก็เป็นเด็กเนิร์ด บางทีก็กวนส้นอย่างพี่เกมส์โบกมือเรียก จึงยิ้มพรายเดินเข้าหา
ที่โต๊ะมีคนเฝ้าอยู่สองคนคือพี่เกมส์กับพี่โจ้ เหล้าหมดไปครึ่งขวดขณะที่ขวดมิกเซอร์วางเรียงรายให้เห็นว่าเน้นเที่ยวมากกว่าดื่ม พี่เกมส์ชงเหล้าให้ผมอ่อนๆผสมโค้กกับโซดาแล้วพยักเพยิดไปทางโต๊ะเยื้องๆกันให้เห็นว่าไอ้คนใจร้ายของผมมันกำลังไปยืนให้สาวปากส้มเต้นแนบเนื้อโดยที่ตัวเองแค่เอามือวางบนสะโพกผายของอีกฝ่ายแล้วโยกหัวไปด้วยเท่านั้น
“พึ่งห้าทุ่มเอง ทำไมได้สาวไวจัง”
“อย่าบอกนะว่ามึงไม่เคยได้ยินกิตติศัพท์ไอ้ปัน? พวกกูไม่อยากเอามันมาเที่ยวด้วยแล้วเนี่ย พาไปไหนชิงได้ดีๆก่อนตลอด”
พี่เกมส์โคลงหัวหน่ายๆ ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบแล้วเอ่ยปากไล่พี่โจ้
“กูมีเพื่อนอยู่แล้ว มึงจะไปหลีสาวก็ไป”
พี่โจ้ยิ้มแก้มปริ คงอยากออกเดินใจจะขาดติดแต่เกรงใจพี่เกมส์เลยเฝ้าโต๊ะเป็นเพื่อน ผมดื่มแก้วแรกหมดรวดเร็วแก้วที่สองถึงชงเองแล้วหันไปถามเพื่อนพี่ปัน
“แล้วพี่ไม่ออกไปเดินเหรอ? บูมเฝ้าโต๊ะให้คนเดียวได้นะ”
“ไม่อะ เมียกูดุ ขืนรู้ว่ามาเที่ยวแล้วหิ้วสาวกลับคราวนี้แหละอดตลอดชีวิต” พี่เกมส์ตอบขำๆ “แล้วมึงไม่ไปกันซีนไอ้ปันหน่อยหรือไง? จะเด้ากันกลางผับแล้ว”
“ไม่อะ เดี๋ยวพี่ปันไม่สนุก”
“ไอ้นี่ก็ซึน ถ้ากลัวมันไม่สนุกมึงก็ไม่ต้องมาตั้งแต่แรกสิวะ”
“บูมไม่ได้ตั้งใจมาทำงานกร่อยพี่ แค่ไม่อยากให้พี่ปันเอาใครกลับไปนอนด้วยแค่นั้นเอง”
“มักน้อย”
พี่เกมส์ยักยิ้มที่มุมปาก ยกแก้วขึ้นชนกับผมแล้วทอดสายตามองไปเรื่อยท่ามกลางแสงสีกระพริบชวนปวดหัว พอดื่มได้แก้วที่ห้า ที่หก โต๊ะข้างๆก็เริ่มส่งวิสกี้มาให้ ผมหันไปยิ้มรับตามมารยาทแล้วยกขึ้นดื่ม เสียงดนตรี บรรยากาศค่อยๆกล่อมให้ตัวเองออกสเตป เหลือบตามองโต๊ะเยื้องกันที่พี่ปันก้มลงไปจูบสาวปากส้มครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นพักๆโดยที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรได้เลย
กระทั่งเวลาผ่านข้ามวัน พี่ปันเดินกลับมาที่โต๊ะและสะดุดเมื่อเห็นผมยืนอยู่ตรงนั้นกับพี่เกมส์ ใบหน้าที่ดูยิ้มกริ่มในทีแรกเปลี่ยนเป็นเรียบตึง สาดแก้วเหล้าเข้าคอแล้ววางบนโต๊ะดังปึก!
“มาทำไม!”“ก็บอกแล้วว่าจะมาด้วย เที่ยวไปเถอะบูมไม่กวนหรอกขากลับแค่แวะไปส่งก็พอ”
ตอนนี้หน้าผมเริ่มแดง เหล้า เบียร์ วิสกี้ตีกันในกระเพาะทำให้เริ่มมึน ท้าวแขนกับโต๊ะทรงสูงยิ้มตาหวานเยิ้มให้พี่ปันแต่อีกฝ่ายดูไม่ได้อารมณ์ดีตามผมไปด้วย อะไรกันๆ ต้องเป็นผมไม่ใช่เหรอที่น้อยอกน้อยใจกับภาพบาดตา นี่ก็ยิ้มให้ไม่วีนเหวี่ยงแล้วทำไมพี่ปันถึงต้องขึงหน้านิ่งไม่พอใจด้วยล่ะ
“ไอ้เกมส์ มึงพามันกลับ กูจะไปต่อกับกิ๊ง คงไม่ต้องบอกนะว่าไปทำอะไรที่ไหนแล้วก็คงรู้ด้วยว่ากูพาไอ้มึนนี่ไปกับกูไม่ได้”
“เฮ้ย ปัน! พูดอะไรถนอมน้ำใจมันหน่อย เด็กมันคิดยังไงมึงก็รู้”
พี่เกมส์ช่วยพูด ตอนนี้ผมนิ่งสนิทไปแล้ว ถึงจะหน้ามึนแบบที่พี่ปันว่า แต่ลองมาถูกคนที่ตัวเองชอบโยนให้คนนั้นคนนี้โดยให้เหตุผลว่าจะไปนอนกับคนอื่น หน้ามึนๆแบบผมก็ชาจนน้ำตาแทบร่วงได้เหมือนกัน เหลือบมองค้อนพี่ปันได้แวบเดียวเท่านั้นก็ถูกตะคอกกลับให้หลบสายตาลงต่ำ
“คิดยังไง? มึงคิดยังไงกับกูบูม พูดมา! กูจะได้ปฏิเสธตรงๆ!”
“ไอ้ปัน!”
“มึงเลิกช่วยไอ้เวรนี่ได้แล้วเกมส์ กูไม่ใช่เกย์! นั่นแหละเหตุผลที่กูจะปฏิเสธมันทันทีถ้ามันพูดว่าคิดยังไงกับกู!”
ผมไม่เคยเห็นพี่ปันโกรธขนาดนี้ ผมอาจจะจู่โจมมากเกินไป รุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากเกินไป แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไร บางอย่างในตาของพี่ปันทำให้ผมเริ่มเข้าใจพี่เน็ตว่าเพราะอะไรพี่รหัสตัวเองถึงไม่ยอมพูดว่าคิดแบบไหนกับพี่ปัน
มีเส้นบางๆกั้นอยู่ในนั้น อาจเป็นความกลัว ความฝัน อะไรสักอย่างที่ในตาพี่ปันบอกว่า จะไม่เดินข้ามกฏเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้ และเมื่อผมกำลังพยายามรุกล้ำเข้ามากเกินไป พี่ปันก็ต้องรีบตัดไฟเสียแต่ต้นลม
เมื่อไหร่ที่บอกว่ารัก เมื่อนั้นความสัมพันธ์ก็จะจบ อยากฝืนรั้งสถานะตัวเองตรงนี้ไว้ ทางเดียวก็คือทำเนียนไม่พูดออกมันออกไปเท่านั้น
ผมกลืนก้อนแข็งๆในคอลงอย่างยากลำบาก เอื้อมมือไปแตะพี่เกมส์ให้เลิกต่อสู้เพื่อผมได้แล้ว หันกลับไปยิ้มจืดๆให้เพื่อนพี่ชายที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
“ไม่เป็นไร บูมมาเอง บูมกลับเองได้”
“ดี!”พี่ปันตอบ ผมพยายามถือแก้วเหล้าในมือที่สั่นหันหลังออกจากโต๊ะ พี่เกมส์ไม่ได้เรียกท้วงไว้แต่ยังมองห่วงๆ ผู้ชายที่ยื่นแก้ววิสกี้ให้ในตอนแรกเดินออกมาดักหน้า เขายิ้มนิดๆชวนผมไปที่โต๊ะ ตอนนี้ในสมองมันว่างเปล่าไปหมด เดินตามอีกฝ่ายไปง่ายๆ ขยับโยกตามจังหวะเพลงทั้งๆที่รู้สึกล่องลอย
ผมมีตัวตนบ้างไหม..วูบหนึ่งก็เกิดคำถามนี้ขึ้นมาในอก ชายแปลกหน้าส่งยิ้มให้อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ทั้งๆที่ปกติผมคงเบี่ยงตัวหลบพริ้วแต่ตอนนี้กลับหลับตาลงให้อีกฝ่ายบดจูบลงบนริมฝีปาก มือหยาบฟอนเฟ้นสะโพกกดตัวเข้าหา ปลายลิ้นจาบจ้วงดึงดันเข้ามาและผมก็ตอบรับมันอย่างดี
ผมยังอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ตรงนี้..“ไอ้บูม!”แรงกระชากจากปกเสื้อด้านหลังทำให้ผมหลุดออกจากพันธนาการของคนแปลกหน้า ผู้ชายคนนั้นทำท่าง้างหมัดเข้าหาพี่ปันแต่ถูกสวนดักไว้
“ขอโทษครับ แต่เด็กมันมากับผม”จากคอเลื่อนเป็นแขน ผมถูกกระชากตัวปลิวลอยออกมานอกร้าน พี่ปันยัดผมเข้าครูซของตัวเองหน้านิ่งสนิท เหยียบคันเร่งแทบจมออกจากลานจอดรถจนผมหยิบเบลท์คาดไม่ทัน พอมีสติขึ้นมาบ้างผมก็เบือนหน้าหนีออกนอกหน้าต่าง
“กูไม่คิดว่ามึงจะเรียกร้องความสนใจด้วยวิธีโง่ๆ ดูเป็นคนฉลาดแท้ๆ”
“แล้วจะมายุ่งทำไม..”
“จะให้พูดไหมว่ากูรู้จักบอมมากี่ปี ถ้ามึงไม่ใช่น้องมันกูจะไม่เอาตัวเข้าไปเสือกเลยว่ามึงจะดูดปากกับใคร จะให้ใครเอาตูด สัตว์!”
เพราะแบบนี้.. เพราะเหตุผลนี้...ผมเม้มปากแน่น ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกไปจากใจกลางเมืองไปยังอีกฟากของพระนคร ไม่ได้ร้องไห้ ไม่ได้โวยวาย แต่ก็ไม่อาจฝืนยิ้มให้เจ้าของรถได้อีก พี่ปันเองก็ไม่พูดอะไรนอกจากถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
ไฟของมหานครอันไม่เคยหลับไหลสว่างโร่ตลอดสองข้างทาง ขณะที่ความรู้สึกในใจผมมืดดับ พี่ปันมาส่งตามคำขอ ไม่พาใครมานอนด้วยตามความต้องการ แต่ผมกลับรู้สึกเวิ้งว้างไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจในสถานการณ์ตรงนี้ กระทั่งรถจอดเทียบที่ประตูรั้วหน้าบ้านเราก็ยังไม่มีบทสนทนาอื่นเกิดขึ้น
ปฏิเสธกันแบบนี้.. เหตุผลที่ยังใจดีทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะบารมีบอม บางทีผมก็คิดว่าควรจะพอ..
ทว่าพอจะเปิดประตูรถลงระบบเซ็นทรัลลอคก็ถูกกดจากปลายนิ้วข้างเดียวของคนขับ
“เลิกทำหน้าแบบนั้นสักที”
“อะไร”
“หน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ไม่ร้อง จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม กูมาส่งตามใจมึงแล้วนี่ไง จะเอายังไงอีก”
“พี่ปันไม่ต้องแคร์บูมมากหรอก มันทำให้บูมมีความหวัง”
“มึงจะหวังหรือไม่หวังก็เรื่องของมึงสิ แต่อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่กู ไม่ชอบ”
“ทำแบบไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้นไม่ใช่หรือไง”
ผมพูดเสียงเนือย มองระบบลอคที่อีกฝ่ายยังไม่ยอมปลดออกหน่ายๆ “จะเข้าบ้านแล้ว”
“หันหน้ามาก่อน”
“จะเอาอะไรจากบูมนัก
อื้อ!!!”
ทันทีที่หันกลับไป ริมฝีปากตัวเองก็ถูกจู่โจมจากเพื่อนพี่ชายทันที นับเป็นครั้งที่สองที่ได้จูบกัน แต่ก็เป็นครั้งแรกที่พี่ปันเริ่มก่อน มือหนาสอดลอคท้ายทอยผมไว้แน่นขณะที่ปากหนายังตะบี้ตะบันจูบหนักหน่วง พี่ปันถอยห่างเพื่อเอียงคอให้จมูกหลบกันเพียงนิดเดียวแล้วก็กดริมฝีปากเข้าทาบทับใหม่ ปลายลิ้นอุ่นยังเจือกลิ่นของแอลกอฮอล์กับบุหรี่อ่อนๆผสานในลมหายใจ ผมเบิกตาโพลงกำเสื้อเชิร์ตสีดำของพี่ปันเอาไว้แน่น นานเกือบนาทีที่ผมหลบปลายลิ้นหนีจนสุดท้ายก็ค่อยๆปรือตาลงตอบสนองจูบอีกฝ่าย มือที่กำเกร็งค่อยๆเปลี่ยนมาโอบรอบคอจนสาแก่ใจถึงค่อยๆผละตัวออกจากกันช้าๆ
ไม่เข้าใจ..ผมยกมือขึ้นมาแตะปากตัวเองที่ได้กลิ่นคาวเลือดเบาๆ พี่ปันยังฟึดฟัดหัวเสียเหมือนขัดใจตัวเองแล้วเบือนหน้าออกไปนอกกระจกรถคนละฝั่งกับผม เสียงถอนหายใจดังกว่าทีแรกกระทั่งระบบล็อครถถูกปลดออก ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันเบาๆเพราะเริ่มเจ็บจากแผลที่ปริแตก เปิดประตูลงเพราะคิดว่าคงไม่ได้ยินประโยคอธิบายการกระทำบุ่มบ่ามของเพื่อนพี่ชายเป็นแน่ แต่พอประตูปิด กระจกรถก็ดันเลื่อนออกให้ผมได้ยินคำพูดของพี่ปันที่เหมือนลอยมากับลมเสียมากกว่า
“ทำหน้ามึนระรื่น กูก็ยังชอบกว่าเมื่อกี้ เข้าใจนะ”
เชพโรเลตครูซเคลื่อนตัวออกไปแล้ว ไอ้ปุยเห่าระงมจากในบ้าน ท่ามกลางความมืดสนิทของรัตติกาล ผมกลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ต้องการอะไร ต้องการให้รู้สึกยังไง?
ทำไม.. ถึงต้องใจร้ายกับผมขนาดนี้กัน
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 18
21/07/12
ดราม่าเนอะ กรี๊ดดด ปันนภนี่มันเจ้าพ่อดราม่าชัดๆ!! ใครคิดถึงเฮียเน็ตขอเป็นตอนหน้านะจ๊ะจะจัดให้
สวัสดีวันเสาร์ เมื่อวานงานเยอะมากก แทบแยกร่าง หวัดก็ยังไม่หายดีจนคุณหัวหน้าแอบถามว่าเป็นมือเท้าปากรึเปล่า
ช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ เสพดราม่านิดๆจิตแจ่มใส 
คิดถึงคนอ่าน
