ซีรีย์หวานอมขม : ภาค จูปาจุ๊บ กับ ซิกาแร๊ตแท่งที่ 8“...แล้วรู้รึเปล่าว่าจูปาจุ๊บมีกี่รส มีตั้ง 33 รสเลยนะเว้ย
มีรสชาเขียวด้วยอ่ะ ใช่ ๆ เราอยากลองกินดูเหมือนกัน...
โห...แต่อันนี้ยังไม่เท่าคิทแคทหรอก นั่นมีตั้งสองร้อยกว่ารส
เฮ้ย...พูดจริงนะ มีรสดอกซากุระ รสถั่วแดง รสข้าวโพดมันฝรั่งยังมีเลย
...เออนั่นดิเราก็งงเหมือนกัน คิทแคทมันเป็นช็อกโกแลตใช่มั้ยล่ะ...
หืม ช็อคโกแลตหรอ...เออเราก็ชอบกิน ยิ่งเป็นพวกเค้กขม ๆ หน่อยนะ...
โหย...สุดยอดดด!! เออแล้วก็ยังมีอีกนะ...”
“โอยยย!! ไอ้เกมส์นี่แกจะมั่วเมาส์แตกไปถึงไหนยะ จะซ้อมมั้ยพรีเซนต์งานเนี่ย!!”
เสียงตวาดแวดจากเจ๊บอลล่าเบรกการสนทนาอย่างออกรสของนายซีเกมส์ลงทันควัน
ยิ่งเมื่อหันไปประสานสายตาของบรรดาเพื่อนในกลุ่มทั้งห้า
ที่จ้องมองมาที่เขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อก็ยิ่งทำให้นายซีเกมส์สะดุ้ง
รีบหันไปขอตัวบอกปลายสาย
“เออ...งั้นแค่นี้ก่อนนะ เราต้องไปทำงาน...อืม ๆ บาย”
เขากดวางโทรศัพท์พร้อมกับเสียงของคู่กัดเจ้าประจำรีบบ่นประชดเหน็บแนม
“แหม...ที่บ้านมีหุ้นอยู่ค่ายโทรศัพท์ไหนรึไง
ถึงได้คุยกันเป็นชาติ ฉันฟังแล้วเมื่อยหูแทนเลย
ถามจริงโทรคุยอยู่กับใคร เดี๋ยวนี้ก้าวหน้าไปกุ๊กกิ๊กกับสาวที่ไหนได้แล้วเหรอยะ”
บอลล่าเริ่มซอกแซ่กถามอย่างสอดรู้สอดเห็นตามประสาเจ้าแม่หน่วยข่าว
แต่คนถูกจ้องจับผิดกลับร้องตะโกนปฏิเสธเสียงหลัง
“เฮ้ย! ไม่ใช่ก็แค่...เออ...แค่เพื่อนอ่ะ”
ท้ายประโยคถูกตอบด้วยน้ำเสียงอึกอักเล็กน้อย
จนคนฟังเลิกคิ้วถามเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“เหรอ อย่างแกมีเพื่อนคนอื่นนอกจากพวกเราทนคุยด้วย?
ไม่ใช่ว่าแกไปติดหนี้ใครไว้จนเขาโทรมาทวงรึเปล่า”
“โห...เจ๊อย่าดูถูก หน้าตาดี นิสัยเพอร์เฟคขนาดนี้
มันก็ต้องมีคนอยากคุยด้วยอยู่แล้ว”
เกมส์พูดโชว์พาวอวดตัวแบบไม่มีสะดุด
ส่วนบอลล่าทำหน้าพะอืดพะอมตอกกลับอย่างหมั้นไส้
“จ้า ๆ พ่อคนเนื้อหอม แต่ถ้าขืนแกยังไม่มาทำงานต่อ
เดี๋ยวฉันจะแช่งให้แกเนื้อหอมเฉพาะกับผู้ชายเยอะๆ เลยดีมั้ย”
ถ้อยคำที่ได้ยินทำเอาคนถูกแช่งถึงกับสะอึก
ด้วยรู้ดีว่าอานุภาพในตัวเจ้าแม่บอลล่านั้นศักดิ์สิทธิ์ขนาดไหน
แถมความจริงปลายสายที่เขาคุยโทรศัพท์ด้วยจนเพลินนั้นไม่ใช่ใคร
หากแต่เป็นเดือนวิศวะที่ ‘ทำท่าเหมือนจะจีบ’ เขาต่างหาก
ทว่าตอนนี้เจ้าตัวกลับยืนยันสถานะชัดเจนกับเขาแล้วว่าเป็น ‘แค่เพื่อน’
เช่นเดียวกับที่เขาอธิบายให้บอลล่าฟังไป
กระนั้นลึก ๆ เขาก็ยังคงงง ๆ กับความสัมพันธ์อยู่เหมือนกัน
เพราะนี่ก็เข้าวันที่สามแล้วที่เขาคุยโทรศัพท์กับดิวแบบนี้
แล้วเรื่องที่คุยก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรด้วย
ออกแนวเรื่อยเปื่อยไร้สาระเสียมากกว่า
แต่เขาสองคนก็ยังจะคุยต่อกันไปได้โดยไม่มีหยุดเป็นชั่วโมง ๆ
ซึ่งเขาไม่เคยโทรคุยกับใครนานอย่างนี้มาก่อน
เหมือนเรื่องวันนี้ที่อยู่ ๆ ก็ลากวนไปหาขนมได้ไงไม่รู้
คิดแล้วก็ชักอยากกินตงิด ๆ ขึ้นมา
แต่ตอนนี้ไม่มีตังค์เหลือแล้วเพราะใกล้สิ้นเดือนพอดี
กว่าแม่จะโอนค่าขนมให้ก็วันจันทร์ วันนี้เพิ่งวันพฤหัสเอง
สงสัยนายซีเกมส์คงต้องอดไปตามระเบียบ เฮ้อ...
เขาจึงต้องพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากสมอง
หันไปให้ความสนใจกับการเตรียมงานของตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนไปเผชิญสถานการณ์จริงในคาบเรียน
ซึ่งกว่าจะผ่านมาได้ จนเลิกคลาสตอนหกโมงเย็น
ก็เล่นเอาเด็กเภสัชหมดแรงไปตามๆ กัน
เกมส์ขี่มอเตอร์ไซต์กลับหอพัก ไม่ลืมแวะซื้อปลาทูจากร้านป้าดา
กลับไปฝากแมวตัวเล็กที่เลี้ยงไว้เหมือนอย่างเคย
เดินสะโหล่สะเหล่ขึ้นห้องของตัวเอง
อยากจะทิ้งตัวลงเตียงแล้วหลับสักเงียบก่อนกินข้าวเย็น
แต่บางสิ่งที่แขวนอยู่ตรงลูกบิดหน้าประตูห้องกลับทำให้เขาหยุดชะงัก
...ถุงอะไรวะ
เป็นถุงสีขาวเรียบ ๆ ด้านหน้ามีโลโก้ชื่อร้าน ‘บ้านขนมหวานละไม’
เอ๊ะ! นี่มันร้านขายเบเกอรี่กับขนมไทยชื่อดังในตลาดนี่หว่า
เห็นบอลล่าชอบพูดบ่อย ๆ ว่าขนมร้านนี้อร่อยหนักอร่อยหนา
แต่เขายังไม่มีโอกาสได้กินสักที เพราะว่ามันเปิดอยู่ห่างจากมหาลัย
ถ้างั้นอย่าบอกนะว่าของในถุงคือพวกขนม
คนสงสัยเปิดอ้าปากถุงสำรวจ
เขาเห็นกล่องกระดาษสีเหลี่ยมบรรจุอย่างดีวางสงบนิ่ง
แต่สิ่งที่สะดุดตาคือโพสอิทสีส้ม ซึ่งมีข้อความสั้น ๆ เขียนไว้
‘Hope you like na krab’
เพียงเท่านี้ไม่ระบุชื่อผู้รับและผู้ส่ง
เขามองมันงง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง
...ตกลงนี่มีคนเอามาให้เขาจริง ๆ เหรอ
ไม่ใช่เอามาแขวนไว้ผิดห้องหรอกนะ
แม้จะความสงสัยจะมีอยู่ในใจ
แต่ท้ายที่สุดเขาก็ไขประตูเข้าห้องนำถุงไปวางบนโต๊ะ
ก่อนหยิบกล่องออกมาค่อย ๆ แกะเปิด
ด้านในเป็นดังที่คาดไว้...เค้กช็อกโกแล็ต มาคู่กับคาราเมลพุดดิ้งสีสวยน่าทาน
...เฮ้ย! กำลังอยากกินพอดีเลย ใครกันวะรู้ใจขนาดนี้
อย่าบอกนะว่า...
เกมส์หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา
กดโทรหาชื่อที่เพิ่งคุยกันล่าสุด
เพียงไม่นานอีกฝ่ายก็รับสาย
((ครับ เกมส์))
“ดิวเป็นคนเอาขนมมาแขวนไว้ที่ห้องเราใช่รึเปล่า”
ถามออกไปอัตโนมัติ
ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาแน่ใจคิดว่าเป็นดิว
แต่ก็คล้ายจะเดาถูก เพราะคู่สนทนากลับตอบรับง่าย ๆ
((ครับ เมื่อตอนกลางวันที่คุยกันเห็นเกมส์บอกว่าชอบช็อคโกแล็ต
ผมก็เลยซื้อเค้กมาฝาก ร้านนี้อร่อยนะครับไม่หวานมาก
แล้วพุดดิ้งร้านเขาก็ขึ้นชื่อด้วย ผมเลยอยากให้เกมส์ลองชิมดู))
“เฮ้ย! ไม่ต้องซื้อมาให้ขนาดนี้ก็ได้ เราเกรงใจ”
คนฟังตกใจจนร้องเสียงหลง
...ก็แน่ล่ะ ขนมเค้กกับพุดดิ้งนี่มันตั้งกี่บาท
แล้วอย่างที่บอกว่าร้านนี้มันอยู่ค่อนข้างไกลจากมหาลัยเขาด้วย
อยู่ ๆ จะให้รับมาเลยแบบหน้าด้าน ๆ ได้ที่ไหนกัน
ถึงเขาจะชอบกินของฟรี แต่มากเกินไปอย่างนี้มันก็ต้องมีลีมิตกันบ้าง
กระนั้นอีกคนกลับพูดปฏิเสธด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เหมือนไม่ใช่เรื่องลำบาก
((เกมส์ไม่ต้องเกรงใจผมหรอก
ถือซะว่าเพื่อนซื้อมาฝากให้ล่ะกันนะครับ))
เหตุผลที่ได้ยินทำให้เกมส์หยุดชะงักทันควัน
...ถือว่าเพื่อนฝากซื้อให้ก็พอเข้าใจอยู่หรอกนะ
แต่คนเป็นเพื่อนกันมันทำให้กันขนาดนี้เลยเหรอวะ
ขนาดเขาสนิทกับไอ้ปลายยังไม่เคยคิดจะซื้อของอะไรมากฝากกันเลย
บางทีเขายังไปแย่งของมันมากินด้วยซ้ำ
ไม่ใช่ว่าเห็นแก่ตัวหรืออะไร
แค่รู้สึกว่าคนเป็นเพื่อนมันต้องคบกันแบบชิล ๆ
มีอะไรแบ่งกันไป ไม่ต้องคิดมากจุกจิกกับเรื่องเล็กน้อย
แต่กับดิวเขารู้สึกว่ามันแปลก ๆ
ถึงดิวจะบอกชัดว่าอยากคบเขาเป็นเพื่อนในลักษณะเดียวกับปลายหรือบอลล่า
แต่จะยังไงเขาก็วางตัวไม่ถูกอยู่ดี
ยิ่งซื้อของมาให้ใส่ใจกันขนาดนี้ ก็ยิ่งสร้างความสับสนเข้าไปใหญ่
หรืออาจเป็นเพราะเขาไม่ชินกับนิสัยความเป็นเพื่อนในแบบของดิวก็ได้มั้ง
คนนึกว้าวุ่นในใจนึกอยากจะเอ่ยปากถาม
ทว่าเสียงสัญญาณจากโทรศัพท์กลับทำให้เขาต้องหยุด
ก่อนรีบขอตัวกับคู่สนทนา
“แป๊บนะดิว มีสายซ้อน”
เขากดสลับสายบนหน้าจอ ซึ่งคนโทรมาแทรกก็ไม่ใช่ใครอื่น
หากแต่เป็นคุณนายสายสมรคุณแม่ผู้บังเกิดเกล้าคนเดิม
ผู้มาพร้อมกับเสียงน้อยใจลูกตามเสต็ป
((เกมส์ ช่วงนี้บ่ค่อยโทรหาแม่เลยเน้อ ยะอะหยังอยู่))
“อู้โทรศัพท์อยู่แม่”
((แหนะ! ฮูกคนนี่บ่ต้องทำเป๋นยอกย้อน))
“บ่ได้ยอกย้อนเน้อเจ้า เกมส์อู้โทรศัพท์กับเปื้อนจริง ๆ นี่เปิ้ลก็รอสายอยู่”
((อ้าว...ถ้างั้นก็ไป๋คุยเต๊อะ แม่แค่โทรมาถามเฮื้องฟัน เป๋นจะได๋ดีขึ้นแล้วไจ้ก้อ))
“ก็บ่ค่อยเจ็บเต้าได้แล้ว”
((งั้นก็ดี๋ เกมส์อย่ากิ๋นขนมฮื้อมันมาก
แล้วก็อย่าลื๋มวันนัดตัดไหมด้วยเน้อลูก))
“เจ้า”
เขารอให้ผู้เป็นแม่วางสายไปเรียบร้อยแล้ว
จึงรีบสับเปลี่ยนไปคุยกับอีกคนที่รออยู่
“ฮัลโหล ดิว โทษทีนะ แม่โทรมา”
((ไม่เป็นไรครับ คราวหลังเกมส์วางสายผมแล้วคุยกับแม่ก่อนก็ได้
เดี๋ยวผมค่อยโทรหาเกมส์ใหม่))
ถ้อยคำบอกคล้ายดิวให้ความสำคัญกับแม่ของเขามากกว่าคนเป็นลูกเสียอีก
แต่ไม่ใช่ว่านายซีเกมส์คนนี้จะไม่อยากคุยกับคุณนายสายสมรหรอกนะ
ก็แค่กำลังติดพันกับสายแรกที่โทรมาก่อนเท่านั่นเอง
แล้วอีกอย่างเขายอมรับตรง ๆ ว่ายังไม่อยากเลิกคุยกับดิวตอนนี้
มันน่าประหลาดอยู่หน่อย ๆ เหมือนกัน ที่ดันมารู้สึกสนุกเวลาคุยกับดิว
อาจเป็นเพราะเขาสองคนมีทัศนคติตรงกันในบางเรื่องเลยคุยกันได้ถูกคอ
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่แน่ใจว่าดิวจะรู้สึกแบบเดียวกับเขารึเปล่า
บางทีเขาอาจจะไปรบกวนดิวก็ได้
เพราะคุยกันแต่ละทีไม่เคยต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงเลยสักครั้ง
อย่างวันนี้เขาก็เป็นฝ่ายโทรไปหาก่อนโดยที่ยังไม่ถามว่าดิวว่างคุยมั้ยเลย
คนที่เพิ่งจะตระหนักถึงความจริงเลยแกล้งตะล่อมถามอ้อม ๆ
“แล้วนี่ดิวทำอะไรอยู่เหรอ”
((อ้อ...ผมอยู่กำลังเช็คบรรณานุกรมรายงานอยู่น่ะครับ
อาจารย์นัดส่งพรุ่งนี้แล้ว แกเฮี้ยบมาก เลยต้องตรวจให้ถูก))
พอได้ยินว่ามีงานคนที่นอนเกลือกกลิ้งบนเตียงว่าง ๆ
ถึงกับต้องรีบกระเด้งตัวนั่งรีบพูดขึ้นด้วยความเกรงใจซ้ำอีกครั้ง
“อ้าว...ถ้างั้นก็ไปทำเถอะ เราไม่กวนแล้ว”
...นั่นไงไอ้เกมส์ เห็นมั้ยว่าเหมือนที่เดาไว้ไม่ผิด
เขานึกตำหนิตัวเองในใจที่ดันไปดึงเวลาของอีกคนซึ่งกำลังยุ่ง
กระนั้นถ้อยคำของคู่สนทนาในประโยคต่อมากลับทำให้เขาเป็นฝ่ายนิ่งอึ้ง
((ไม่กวนหรอกครับ เพราะผมเองก็อยากคุยกับเกมส์เหมือนกัน))
...คำตอบแรกตรงกับสิ่งที่เขาคาดเดาไว้
...แต่คำตอบที่สองเหมือนกับสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจ
รู้สึกใจมันแกว่งนิดหน่อยแปลก ๆ คล้ายมันผสมด้วยความโล่งอก
ไม่ใช่ว่าดิวฝืนทนฟังเขา เพราะส่วนมากมีแต่เขาที่เป็นฝ่ายชอบพูดเรื่องนู้นเรื่องนี้
นาน ๆ ครั้งที่ดิวถึงจะหลุดคุยอะไรยาว ๆ ออกมาบ้าง
แต่โดยส่วนใหญ่ดิวก็มักเป็นคนเริ่มต้นประเด็นถามเช่นเดียวกับตอนนี้
((แล้วเมื่อกี๊คุณแม่โทรมาคุยเรื่องอะไรครับถึงรีบวางสายจัง))
“อ้อ ไม่มีอะไรหรอก แม่แค่โทรมาถามเรื่องฟัน
แล้วก็มาเตือนว่าอย่าลืมไปตัดไหมวันเสาร์นี้”
((ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ย))
ลมหายใจของคนฟังสะดุดลงทันทีที่จบคำ
...สำหรับคนอื่นมันอาจเป็นคำหวังดีมีน้ำใจธรรมดาทั่วไป
แต่สำหรับคนมีประวัติความหลังฝังใจมันกลับเป็นเหมือนคำถามเสี่ยงชีวิต
จนทำได้แค่เพียงอ้ำอึ้งพูดตอบตะกุกตะกัก
“เออ...คือ...”
((คงไม่ได้ใช่มั้ยครับ ไม่เป็นไร ผมลืมไปว่าเกมส์กลัวผม))
คู่สนทนากลับเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนเหมือนจะรู้อยู่แล้วในคำตอบ
แต่แทนทีเกมส์จะเบาใจมันดันส่งผลตรงข้าม
...ใช่ เขายอมรับว่าตอนนี้เขายังกลัวดิว
แต่มันลดน้อยลงมากกว่าเมื่อก่อน
อาจเพราะไม่เห็นหน้ากันได้ยินแค่เพียงเสียง
ถึงอย่างนั้นมันกลับทำให้เขารู้จักดิวมากขึ้น
พอได้พูดคุยถึงได้รู้ว่าดิวไม่ใช่คนเลวร้าย
ดิวคุยสนุก เป็นกันเอง มองโลกในแง่ดี
บางครั้งก็ให้กำลังใจเขาเวลาที่เขาบ่นเรื่องภาระงาน
หรือบางครั้งก็คอยแนะนำหลายอย่างในเรื่องที่เขาไม่รู้
เลยทำให้เขาเผลอเล่าอะไรหลาย ๆ อย่างให้ฟัง
ทั้งเรื่องครอบครัว เรื่องเรียน เรื่องไร้สาระบ้าบอ
หรือแม้กระทั่งความฝันที่อยากจะทำในอนาคตซึ่งเขาไม่เคยบอกกับใคร
...ความรู้สึกสบายใจเวลาเราสามารถเปิดใจคุยทุกเรื่องให้ใครสักคนได้รับฟังคงเป็นแบบนี้
แต่ถึงอย่างไรไอ้โรคกลัวผู้ชายมาจีบฝังใจก็ใช่จะหายขาดกันได้ง่าย ๆ
จะให้เขาโผล่ไปคุยกับดิวต่อหน้าก็คงอาจจะเข้าลูปเดิมคือเป็นลมน็อคตายซะก่อน
อารมณ์ตอนนี้เลยออกมาสับสนก้ำกึ่ง
กระนั้นเขาก็พยายามเรียบเรียงสิ่งที่อยากสื่อออกไปให้ชัดเจนมากที่สุด
“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก
ตอนนี้เราคุยกับดิวได้ไม่ค่อยรู้สึกกลัวแล้ว
แต่ถ้าจะให้เจอตัวจริง ๆ เรายังไม่ชิน”
เกมส์ได้ยินเสียงปลายสายถอนหายใจเบา ๆ
แต่วินาทีต่อมาเขาก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายพูดคำเสนอ
((ถ้างั้นเรามาเริ่มฝึกกันก่อนให้เกมส์ชินดีมั้ยครับ))
“ห่ะ! ทำให้เราชินได้ด้วยเหรอ แล้วต้องทำยังไง”
((เกมส์วางสายก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะทำให้ดู))
แม้จะเต็มไปด้วยความมึนงง แต่คนฟังก็กดวางโทรศัพท์ลงไปตามคำสั่ง
ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงร้องเตือนว่ามีข้อความเข้า
เขากดรับรอดาวน์โหลดสักพักจึงเห็นชัดว่ามันเป็นรูปภาพของคนที่เพิ่งคุยด้วย
ใบหน้าหล่อขมวดคิ้วเซ็ง ๆ ในมือถือกล่องข้าวผัดปูแช่แข็งตามร้านสะดวกซื้อ
ซึ่งดูเหมือนจะอุ่นเปิดฝาไว้เรียบร้อย โดยมาพร้อมกับคำบรรยายใต้ภาพ
‘ข้าวเย็นมื้อนี้ของผม สงสัยเนื้อปูคงหดตอนผมเอาไปเวฟ’
เกมส์ถึงกับหัวเราะขำก๊ากทันทีที่อ่านจบ
เพราะเนื้อปูที่อยู่ในกล่องข้าวเทียบกับป้ายซึ่งแปะบนฝาปิดด้านหน้าแล้ว
มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ยังไม่ทันตลกกับมุกของอีกฝ่ายได้นาน
เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าก็ดังมาพร้อมคำถามวัดผล
((เป็นไงครับ ถ้าเห็นแต่ภาพไปก่อนเจอตัวจริง แบบนี้พอไหวมั้ย))
“เออ ๆ ฮาดี”
((งั้นเกมส์ลองส่งมาให้ผมบ้างสิ ถ่ายมาให้เห็นหน้าเกมส์ด้วยนะครับ))
คนถูกท้าจึงทดลองทำดูบ้าง เหลียวซ้ายแลขวาหามุม
ก่อนหันไปเจอลูกแมวตัวเล็กที่กำลังงัวเงียเหมือนเพิ่งตื่น
เขาจึงอุ้มลูกแมวขึ้นมาพร้อมหิ้วถุงปลาทูที่ซื้อติดมือก่อนเข้าหอ
แล้วหันมือถือของตัวเองกดถ่ายภาพตัวเขาซึ่งอุ้มลูกแมวตัวเล็กเทียบกับปลาทูชิ้นโต
ก่อนจะพิมพ์ข้อความขยุกขยิก ส่งไปพร้อมกับภาพกวน ๆ
‘ข้าวเย็นไอ้จั๊ดง่าว ดูดีกว่าของใครบางคนเยอะ’
ไม่นานเกินรอโทรศัพท์ในมือก็ส่งสัญญาณว่ามีสายโทรเข้ามาอีกรอบ
เขาจึงรีบกดรับก่อนได้ยินคำบ่นโอดครวญดังตามมา
((เกมส์ใจร้ายจังเลยครับ))
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า ก็อยากให้เราส่งรูปไปให้เอง”
คนแกล้งเอ่ยคำยียวนอย่างไม่สำนึกตามนิสัย
...คิด ๆ ไปไอ้การส่งรูปไปมาแบบนี้มันก็สนุกดีเหมือนกัน
ต้องขอนับถือไอเดียเข้าท่าของดิวเลย
กระนั้นความชื่นชมกลับเปลี่ยนเป็นอาการสะดุ้ง
เมื่อได้ยินประโยคต่อมาจากคู่สนทนา
((เห็นเกมส์เลี้ยงจั๊ดง่าวดีแบบนี้
ผมยอมเป็นแมวให้เกมส์เลี้ยงไปตลอดชีวิตดีกว่า))
คำหยอดหวาน ๆ ที่อยู่ ๆ ก็พูดขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ถึงจะไม่ได้เห็นหน้า มาแค่เสียงมันก็ยังอดหวั่น ๆ ไม่ได้
เขาจึงรีบพูดเฉไฉเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น
“ดิวไปกินข้าวเถอะ เราก็จะไปกินเหมือนกัน”
ที่บอกเพราะเห็นรูปดิวถือกล่องข้าวอุ่นไว้เตรียมกินแล้วเลยไม่ขอรบกวนต่อดีกว่า
อีกอย่างท้องเขาก็ชักจะร้องขึ้นมานิด ๆ เหมือนกัน
ซึ่งปลายสายก็ไม่คิดจะรั้งไว้ ทว่ากลับยังคงไม่ลืมเอ่ยเตือน
((ครับ แล้วเกมส์อย่าลืมเค้กที่ผมให้ไปนะ
ถ้ากินหมดแล้วถ่ายรูปมาให้ผมดูเป็นหลักฐานด้วยนะครับ))
“เออ ๆ ก็ได้ งั้นแค่นี้นะ”
เกมส์รับปากก่อนกดวางสายโทรศัพท์ลง ตั้งใจจะลงไปหาซื้ออะไรกิน
แต่พอหันมามองกล่องเค้กซึ่งวางยั่วน้ำลายตรงหน้าใครล่ะจะอดใจไหว
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เอาให้มันเป็นข้าวเย็นเขาวันนี้เลยแล้วกัน
คนหิวจึงหยิบเค้กที่อยู่ในกล่องมาวางใส่จาน
ชิ้นแรกเป็นช็อกโกแล็ตเค้กสีน้ำตาลกำลังสวยดูเรียบ ๆ แต่กลิ่นหอมยั่วจมูก
มีหรือที่เขาจะรอช้า รีบตักเนื้อเค้กเนียนนุ่มเข้าปาก และทันทีที่สัมผัสปลายลิ้น
เขาก็แทบจะยึดโต๊ะไว้ไม่ทันเพราะรู้สึกได้ว่าตัวมันกำลังลอยขึ้นไปบนสวรรค์
รสเข้มข้นของเค้กช็อกโกแล็ตไม่หวานมากกลับออกขมนิด ๆ ตามแบบที่เขาชอบ
ส่วนน้องพุดดิ้งซึ่งวางอยู่เคียงข้างล้อตา เขาก็รีบตักชิมให้รู้รส
ซึ่งก็พบว่ามันทั้งหวานละมุนนุ่มลิ้นละลายหายลงคอไปโดยไม่ต้องเคี้ยว
คนชอบกินขนมจะมีอะไรสุขไปกว่าการได้ละเลียดขนมอร่อย ๆ สักชิ้น
สมแล้วที่เป็นร้านเจ้าอร่อยตามคำล่ำลือ
แบบนี้ต่อให้อยู่ใกล้จากมหาลัยเขาก็ต้องขอไปชิมอีกให้ได้
ไว้รอแม่โอนเงินค่าขนมมาต้นเดือนหน้า
นายซีเกมส์คนนี้ขอสัญญาว่าจะพากระเพาะตัวเอง
ไปถล่มร้านบ้านขนมหวานละไมให้ราบคาบ!
แต่ก่อนอื่นต้องขอจัดการขนมเค้กตรงหน้าให้หมด
ข้าวมื้อเย็นจึงถูกเขาฟาดเรียบอย่างสบายอุรา
นั่งลูบท้องอิ่มแปล้ของตัวเองกำลังจะลุกเดินเอากล่องเค้กไปทิ้ง
แต่กลับได้ยินเสียงเตือนเบา ๆ จากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง
เจ้าของจึงล้วงหยิบมันขึ้นมากดดู แล้วก็ได้เห็นข้อความจากคนเดิม
เป็นรูปดิวถือกล่องข้าวเปล่า ๆ โดยด้านข้างเป็นคอมพิวเตอร์
ซึ่งวางบนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยหนังสือกับกระดาษเอกสารมากมาย
ตรงกับคำบรรยายที่เจ้าตัวเขียนมา
‘กินอิ่มแล้วครับ พร้อมลุยงานต่อ :]’
เห็นแบบนั้นแล้วเกมส์จึงเปลี่ยนโปรแกรมโทรศัพท์เป็นโหมดกล้อง
จัดการถ่ายรูปซากเค้กที่กินเกลี้ยงโดยมีเขายกชูนิ้วโป้งให้
ก่อนพิมพ์ข้อความส่งกลับไปบ้าง
‘เค้กอร่อยมาก ขอบใจนะ สู้ ๆ ล่ะ ; ) ’
...
..
.
ตี๊ด! ตี๊ด!ดิวหยิบไอโฟนของตัวเองขึ้นมาสไลด์เปิดอ่าน
ก่อนจะยิ้มบางเมื่อภาพของใครบางคนปรากฏบนหน้าจอ
รู้สึกเหมือนมีกำลังใจทำงานต่อทันทีแค่ได้เห็นคนทำหน้ากวน ๆ
แต่กลับดูน่ารักเหลือเกินในสายตาเขา
แม้ตอนนี้เกมส์จะยังคงไม่กล้าจะมาเจอกัน
แต่จากการที่ได้คุยกันบ่อย ๆ ก็นับได้ว่าเขาเข้าใกล้เกมส์ไปอีกขั้น
ที่เหลือก็เพียงแค่รอให้เกมส์ค่อย ๆ เปิดใจให้เขาทีละนิด ๆ อย่างอดทน
ซึ่งเขาเชื่อว่าแผนการรักษาโรคกลัวผู้ชายจีบของเกมส์
...คงจะประสบผลสำเร็จอีกไม่นานแน่นอน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
กลับมาแล้วจ้า 
คลานกลับมาด้วยสภาพสะบักสะบอมจากการรอดตายเพราะมรสุมงาน
แต่ตอนนี้เคลียร์ภารกิจไปได้บางส่วนแล้ว
เลยคาดว่า (น่าจะ) มาอัพให้เร็วขึ้นกว่าสปีดเดิมอีกนิดดดดด!!
เพราะเรารู้มีใครหลายคนอยากติดตามว่า
หมาป่าเจ้าเล่ห์อย่างดิวจะงัดกลเม็ดอะไรมาดักจับกระต่ายน้อยซีเกมส์อีกรึเปล่า
ไม่ใช่อะไรเผื่อหยิบมุกจีบเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้บ้าง (ฮา) 
ดังนั้นก็จะพยายามมาขยันอัพเรื่องให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้นะคะ (หันกลับไปซดกระทิงแดง)
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า
BitterSweet