>29 G.Become 21 Boy.ถ้ากล้ารักจะจัดให้!#แก้คิดถึง 27/6/57
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: >29 G.Become 21 Boy.ถ้ากล้ารักจะจัดให้!#แก้คิดถึง 27/6/57  (อ่าน 138510 ครั้ง)

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 51 # Between. จระเข้ กลางบึงบัว


...แสบตา....

เวียนหัวไปหมด... ซ้ำยังพะอืดพะอมอยากสำรอก...

กว่าจะฝืนให้ตัวเองลืมตาได้ ก็เกือบพักใหญ่ๆ อากาศของโลกฝั่งนี้ยากที่จะหายใจ ... แข็งใจจะยกมือขึ้นนวดขมับ แต่กลับไม่สามารถทำได้ ..เหมือนโดนยึดมือนั้นเอาไว้...สายตาพร่าของคนเพิ่งฟื้นหลุบลงต่ำมองตามแนวแขนตนไล่ลงไป...ถึงเจ้าของเรือนผมดำสนิทที่นอนแนบฟุบหลับลงข้างเตียง มือนิ่มเกาะกุมมือตนเอาไว้จนกระแสความอบอุ่นนั้นรับรู้ได้...บรรยากาศรอบข้างอวลไปด้วยกลิ่นหอมแปลก...กลิ่นประจำตัวของ ‘นาง’. ...สายตาสีมรกต มีแววละมุนโศก... ยามเหม่อไปยังเด็กสาว … ‘จักใช้ร่างนี้ล่อลวง ภินทร์ งั้นรึ..‘นาง’...’ อดหัวเราะเย้ยในลำคอไม่ได้เมื่อมองร่างบางอันน่าทะนุถนอม...

“รักเจ้า...ทำลายข้าจนปราณกระจัดกระจาย...ทำลาย ตรินทร์ จนตายทั้งเป็น....ทำลาย ภัทร ให้ดับสิ้น..พรากความทรงจำเพื่อเริ่มใหม่อีกครา.....กับ ภินทร์ ....เอาสิ พะเตรียง ลองดู...ระหว่างเจ้ากับ ภินทร์ ตนใดกันแน่จักเจียนตายเพราะ รักแห่งเจ้า...ภินทร์ มิใช่ ผู้อันเป็นที่รักแห่งเจ้าอีกแล้ว... พะเตรียง. ”

…..
...แววตาโศกหลุบต่ำ.....ก่อนจะค่อยๆปิดลงอีกครา...
..............


..พร้อมรอยยิ้มเหยียด...


..............
.........................

.
.
.

...ปวดหัวเหี้ยๆ!! ทั้งมึนทั้งแสบตา มองเพดานห้องก็ว่างเปล่า สีขาวโพลน ...ที่ไหน? อะไร? แล้วใคร? ปวดหัวฉิบหาย...

ลองหายใจลึกๆ เพื่อกอบอากาศเข้าไปให้มากที่สุดเผื่ออาการจะดีขึ้นแต่กลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ เข้าจมูกมาแทน...กลิ่นที่ทำให้รู้สึกดี... สูดหายใจตามกลิ่นถึงได้รู้ว่า กลิ่นมาจาก เด็กสาวน่าตาน่ารักที่กุมมือตนไว้ ใบหน้านวล ตัดกับเรือนผมสีดำสนิท แผงขนตายาวหลับพริ้ม ฟุบหน้าอีกฝากเข้ากับเตียง...

..น่ารักจนทำให้คนเพิ่งตื่นลืมไปเลย..

..ว่า......กำลังปวดหัว...อยู่...

..มือนิ่มที่กุมไว้เหมือนจะขยับ... ท่าเด็กสาวจะเริ่มรู้สึกตัว อารมณ์พอป่วยแล้วชอบสำออยทำให้ เกิดปฏิกิริยาอัตโนมัติ ผมตัดสินใจปิดเปลือกตาตัวเองลงไปอีกครั้ง ถ้าลองกุมมือหลับไปด้วยกันแบบนี้ ...ไม่ห่วงมาก...ก็น่าจะรักมาก...ส่วนน้องน่ารักนี่เป็นใคร ...ค่อยว่ากันอีกทีแล้วกัน.....

..
.......

...ตอนแรกว่าจะแค่พักสายตา...

เพื่อจะได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอ้อนเด็กสาวอีกครั้งอย่างเนียนๆ แต่พอปิดเปลือกตาหลับลงไปใหม่...กลับ...

..............
............................



หลับจริงซะอย่างงั้น...
...


…..แรงกดหนักๆ ที่กดลงบนหน้าผาก ก่อน จะย้ายมาที่แก้มซ้าย... ตอขนที่ขูดเข้ากับผิวแก้ม กระตุ้นสติคนหลับได้เป็นอย่างดี

.
.
.

...สำนึกสุดท้ายที่พอจำได้ลางๆคือ น้องน่ารักคนนั้นที่กุมมือตนไว้ ... ‘โห่..ร้อนแรงใช่เล่น...’ ความคิดนั้นมีทันทีที่แรงกดที่แก้มเปลี่ยนเป็นความรู้สึกชื้นเย็นที่ไล้เลียซ้ำๆช่วงซอกคอ...หือ? จะว่าไปสัมผัสมันคุ้นๆ ... ทำไมไม่ นุ่มเนียนเหมือนที่คิด..แต่มันเหมือนกับ...สัมผัสของใครสักคนที่...เคยมือ...แรงขบของฟันคม กัดเน้นเบาๆช่วงซอกคอ บวกกับแรงกดของมือใหญ่ที่ยึดไหล่ตนเอาไว้กับเตียง....


.เอ่อ...ไม่อยากจะลืมตาซะแล้วสิ..


............................
.......


เมื่อการกระทำทั้งหมดทำให้เดาได้ไม่ยากเลยว่า ถ้าลืมตาขึ้นมาจะเจอใคร.....
..
.......
.ผมฝืนลืมตาขึ้นมาทั้งๆที่ยังเวียนหัว..


.
.
.

..
.อย่างที่คิด..ทำอะไรไม่อายผีสาง...

มีแต่ไอ้ด้านอย่างมันที่ทำได้..


..
ไอ้เหี้ยม...คิงส์ !!!


…..
.

ฝันร้ายชัดๆ..แต่เดี๋ยวนะ...นี่มันโรงพยาบาลนะเฟ้ย!!..
แล้วไอ้สัดนี่มันโผล่มาได้ยังไง..?!!
..
.
ไอ้ปีศาจจิ้งจกยังเกาะติดซอกคอผม...เหมือน.... คอผมเป็นผนังห้อง ...ถึงจะออกแรงผลัก แต่มันก็ยังไม่ยอมถอนหน้าออกจากซอกคอ ผมสักที...

ผมขืนเต็มแรง..ดันไอ้จิ้งจกมันออกพร้อมเบนหน้าหลบไปอีกทาง......
แต่ที่เจอคือ ...
กลิ่นดอกไม้ฉุนกึก...?!!? ลืมตาขึ้นมากลีบกุหลาบสีแดงสดเกือบทิ่มตา...


.....
..

“ดีขึ้นรึยัง?”

ไอ้เหี้ยมละหน้ากับจมูก ออกมาจากซอกคอผมสักที แต่ผมยังไม่วายเครียด เพราะมือมันยังกุมมือผมไว้แน่น แถมยังเอาไปอังไว้กับริมฝีปากมันอีก

“ตัวมึงเย็นยังกับคนตาย ภินทร์.. ตอนนี้ดีขึ้นรึยัง?”

ตอนมันพูดลมหายใจอุ่นๆเลย เป่ารดมือผมไปด้วย..... ขนลุกแปลกๆ….ยี้!!

“กูถามทำไมไม่ตอบ?”

มันส่อสันดานออกมาอีกครั้ง ...ผมถอนหายใจให้ความถ่อยของมัน...แล้วพยักหน้าไปทางเหยือกกับแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ ..เหี้ยมคิงส์หันไปมองแล้วปล่อยมือผม เดินไปรินน้ำใส่แก้วให้อย่างใจเย็น

“ให้กูป้อนให้ด้วยเอาไหม?”

มันยื่นข้อเสนอ..

ส่วนผมก็เงียบโดยไม่ตอบสนอง ไม่ได้สนใจอะไรมัน... ผมท้าวแขนผยุงตัวเองขึ้นมาโดยมีมันคอยช่วยเหลือ รับน้ำในแก้วมาดื่มอย่างเหนื่อยหน่าย...อย่ามาล่อลวง...ผมรู้ดีถ้าให้มันป้อนอะไรจะเกิดขึ้น...มุขนี้...มุขพื้นฐานของผม....ขนาดว่าพยายามจิบน้ำนิดหน่อย แต่ยังไม่วายสำลักไอ น่าจะเพราะคอที่แห้งผาก ไอ้เหี้ยมเข้ามาลูบหลังให้...บทจะดีก็ดีโคตร บทจะถ่อย คำว่าสถุน ยังดูดีไปสำหรับมัน..หายไอแล้ว..ผมถือแก้วน้ำนิ่งมองหน้ามันสลับกับมองช่อกุหลาบช่อใหญ่สีแดงสดที่วางอยู่บนเตียงข้างหัวผม

ไอ้ช่อดอกที่เกือบทิ่มตาผมบอดนั้นล่ะ..

“ซื้อมาเยี่ยมมึง..”

หน้ามันเหมือนมีสีแดงจางๆ ไอ้อาการตอบแบบทันทีทันควัน บางครั้งก็ทำให้มันดูซื่อบื้อไปบ้างเหมือนกัน...รักษามาดหน่อยนะมึง อยู่กับกูหลุดตลอด..
.....
.

“ขอเปลี่ยนเป็นเงาะกระป๋องแช่เย็นได้ไหม? หิว...”

มันมองผมแล้วส่ายหน้าระอา แต่ผมจ้องตามันนิ่ง บอกตรงๆไม่ใช่มุข อยากทานจริงๆ

“...รอก่อน..ยังไม่อยู่ใน ภาวะปลอดภัย..กูยังทิ้งมึงไปไม่ได้...”

มันบ่นพึมพำแล้ว เดินไปควานหยิบหาอะไรในตู้เย็นเล็กๆ ได้นมถั่วเหลืองแช่เย็นมากล่อง ยังพอรองท้องได้น่า...

“ทำไมมาอยู่ที่นี้ได้”

ผมถามมันไปดูดนมถั่วเหลืองไป ชอบรสชาติของความเย็นที่เริ่มจะแผ่ไปทั่วปาก รสหวานอ่อนๆ ทำให้สดชื่น....

“เดินไปดูที่คลับใบไม้...แล้วเจอพวกไอ้เรดหิ้วมึงออกมา...ก็เลยตามออกมาด้วย”

“ตามยังไง ถึงรู้ว่าอยู่ที่นี้?”

ผมยังไม่วายสงสัยมัน

“เค้นจากไอ้แว่น...”

นมแทบพุ่ง!!! สัดสันดาน!!

“มึงทำอะไร ไอ้แป้น!!”

พอรู้จากปากมัน...ผมกลับหลุดซะเอง... อุตส่าว่าอยู่ต่อหน้ามันจะไม่หลุดคำหยาบกับความเหี้ยในใจ แต่อดไม่ได้จริงๆตอนรู้ว่ามันคั้นจากไอ้แป้น…ตอนนี้สภาพไอ้แว่นอมยิ้มของ ผมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้

“มันไม่เจ็บไม่ป่วยหรอก...ห่วงเว่อร์นะมึง ชอบมันหรอ?”

“ชอบเหี้ยอะไร นั่นเพื่อนกู...ไม่อยากให้มันมาซวยเพราะกู...เพื่อนยิ่งมีน้อยๆอยู่”

“ถ้าเป็นเพื่อนมึงจริง....งั้น...มันก็ไม่น่าจะต้องบุบสลายอะไร..”

ไอ้เหี้ยม..หันมายิ้มกว้างกับผมก่อนยกโทรศัพท์ของมันกดเบอร์โทรออก

“โฟน..ปล่อยมันไป...เข้าใจผิดกันนิดหน่อย.....ขอโทษด้วยแล้วกัน.. ”

ผมหลับตาถอนหายเฮือกใหญ่.... ว่ากูห่วงเว่อร์ แล้วที่มึงทำนี่มันเรียกว่าอะไร?!

“แล้วไหงมาอยู่ในห้องพิเศษนี่ได้...อย่าบอกนะว่าจับคนในบ้านไปด้วย”

“ทำได้ก็อยากทำ ....แต่ระดับมันต่างกันเกินไป..”

“พึมพำ..อะไร?”

“เปล่า...แค่คิดว่าการที่มาอยู่ใกล้มึง ทำชีวิตกูสั้นลง...”

“ไอ้ประโยคนั่นน่าจะเปลี่ยนคนพูดนะ...”

ผมประท้วงมัน แต่ต้องชะงักเพราะเสียงเปิดประตูเบาๆ เด็กสาวที่ก้าวเข้ามาในห้องทำทุกอย่างสว่างไสว..รอยยิ้มบางๆ เข้ากับแก้มใสๆ ผิวไม่ได้ขาวอมชมพู แต่มันเป็นสีนวลเนียน .........สีที่ทำให้ผมนึกไปถึงกลีบบัว...

“พระแพง...ซื้อเงาะกระป๋องมาให้ค่ะ พี่ชาย... ”

เสียงหวาน...หวานเหมือนหน้าคนพูด....ผมไม่ได้ฝันไปนี่น่า ก่อนหน้านี่ เธอคนนี้นี่หล่ะ ที่กุมมือผมไว้จนหลับ...

“พระแพง...”

ชื่อที่แค่ฟังครั้งเดียวก็เข้าไปฝังในส่วนลึกของสมอง....ผมมองหน้าเธอไปยิ้มไป บอกไม่ถูกกับอารมณ์ ของตัวเอง หัวใจมันหวิวๆ ซ้ำยังเต้นแรง ยิ้มกว้างที่ค้างอยู่บนหน้าเหมือนจะหุบไม่ลงซะงั้น....

เด็กสาวที่ก้าวเข้ามา..จัดแจงใส่น้ำแข็งในถ้วยแก้วใบใหญ่ แล้วเทเงาะกระป๋องใส่....ร่างบางก้าวเข้ามาแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งใกล้ๆผม... หอมกลิ่น...ดอกบัว....

..ตัวก็หอม...หน้าก็หวาน...


...
.ช้อนคันใหญ่ตักลูกเงาะแล้วจ่อเข้ามาใกล้ปากผม....ทำเอาผมได้แต่ยิ้ม...ยิ้มกับความอ่อนโยนของเด็กสาวเบื้องหน้า เงาะเย็นๆ ยังอยู่เต็มปาก ของที่ชอบ อร่อยกว่าทุกครั้งที่เคยกิน...ผมค่อยๆเคี้ยวละเลียด...อิ่มไปหมด ทั้งอกทั้งใจ ....

.



‘โครม!!!’




เสียงดังมาจากข้างๆโต๊ะ ..ไอ้เหี้ยม ทำหน้าตายแต่โต๊ะเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้มันล้มกลิ้งลงไป...เรียบร้อย ผมเกือบลืมไปเลยนะว่ามันอยู่ในห้องด้วย…..

“อย่า ถ่อยให้มาก น้องเขาเป็นผู้หญิง ..”

ผมเอ็ดปรามมัน แต่ที่มันตอบกับมาทำเอาผมเงียบ

“จะตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้ามายุ่งกับมึง ไอ้ตัวไหนก็ศัตรูกูทั้งนั้น...”

เสียงมันเอ่ยเรียบๆ ไม่มีทีท่าหุนหันหรือกวนตีน...แต่นั่นทำให้ผมหวั่นใจมากกว่า การที่มันอาละวาดโวยวายเสียอีก...

 

..............
............................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 17:48:54 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 52 # Lotus flavor ไฟกุหลาบ ...สาป ดอกบัว...


…..
.
“จะตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้ามายุ่งกับมึง ไอ้ตัวไหนก็ศัตรูกูทั้งนั้น...”

ผมหันไปมองหน้ามันอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง...ปกติถ้าอยู่ต่อหน้าสาวไอ้เหี้ยมมักจะกลายเป็นคุณชายเทวดาแทบติดปีกได้เลยก็ว่าได้ แต่พอเจออย่างนี้เลยเอาผมหน้าชาวาบ...ไม่ได้เขินอายอะไรมัน แต่แคร์ความรู้สึกพระแพงมากกว่า..ก็ที่ไอ้เหี้ยมมันพูดมาเหมือนจะวางยากลายๆว่าผมกับมัน อยู่ในฐานะไหน....ซึ่ง..มันไม่จริง... แล้วพระแพงจะมองผมแบบไหน...

“คิงส์...”

ผมเค้นเสียงเรียกมันรอดไรฟัน .... เสียชีพไม่ว่า...แต่ถ้าเสียหน้าต่อหน้าสาว มีได้มีเสีย...

“พี่ชาย..คง.อยากพักแล้วค่ะ...คุณกลับไปก่อนดีไหมคะ?”

เสียงหวาน...นั้นขัดขึ้นมา ผมหันหน้าไปหาเธอ รอยยิ้มบางๆทำให้บรรยากาศดูดีขึ้นหน่อย พระแพงวางแก้วใส่เงาะไว้ที่โต๊ะอีกตัว ก่อนจะเดินไปหยิบโต๊ะตัวเล็กที่ไอ้เหี้ยมทำล้ม ขึ้นตั้งเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ ใบหน้าหวานที่มีรอยยิ้มบางเคลือบไว้เสมอ ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าไปเลย...ตอนมองหน้าไอ้เหี้ยมที่ฉายแววโหด....
..........
.....เหมือนไอ้คิงส์มันลังเล ที่จะออกจากห้อง..

.แต่สุดท้ายมันก็ยอมกลับไป........



...
............


ไอ้เหี้ยมกลับไปแล้ว เหลือแต่ผมที่ กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง อดคิดถึงหน้ามันตอนเดินออกไปจากประตูไม่ได้ สายตาที่มันมองผมอธิบายไม่ถูกว่ามันรู้สึกยังไง...แต่สายตานั่นมันทำให้ผมรู้สึกผิด....ช่อกุหลาบสีแดงยังวางอยู่บนเตียง.... หึ..อย่างไอ้เหี้ยมเนี่ยนะถือดอกกุหลาบแดงมาเยี่ยม..คิดแล้วน่าขำ...ผมหยิบกุหลาบช่อใหญ่นั้นมาดูอย่างพิจารณา กุหลาบสีแดงสด ที่ปลายกลีบแทบจะไม่มีร่องรอยช้ำด้วยช้ำ ....อย่างกับมันเลือกกุหลาบที่ละดอก... อย่างมันอะนะ..เลือกกุหลาบทีละดอก....เชื่อก็ประสาทแล้ว ....

“พระแพง เอาไปเก็บให้ไหมคะ?”

เสียงหวาน เหมือนเรียกสติผมไว้ก่อนจะลอยไปกับเจ้าของกุหลาบ...ผมยิ้มให้พระแพง พร้อมยื่นช่อดอกไม้ให้เธอ...รอยยิ้มกว้าง มีบนหน้าหวาน…กระชากใจสุดๆ..

“ดมได้ไหมคะ?”

เสียงหวานถาม ผมพยักหน้ากุหลาบสีแดงนี้ผมไม่รู้ว่ามันพันธุ์อะไร แต่ที่รู้แน่ๆ มันมีกลิ่นหอม ถึงจะหอมคนละแบบกับกลิ่นที่อยู่รอบตัวพระแพงก็เถอะ ...แล้วผมก็ใจละลายอีกครั้ง ตอนพระแพงรับช่อกุหลาบไปแล้วแนบหน้านวลนั้นเข้าไปใกล้กลีบดอกกุหลาบ....
..
...น่ารัก...สุดๆ..

“ขอตัวนิดนึงนะคะพี่ชาย..พระแพง..ไปถามพี่พยาบาลก่อนว่ามีแจกันหรือเปล่า..เดี๋ยวกลับมานะคะ”

รอยยิ้มกระชากใจมาอีกแล้ว มันไม่ใช่รอยยิ้มแบบโลกสดใส แต่เป็นรอยยิ้มหวาน..ผมได้แค่มองตามแผ่นหลังเล็กที่ก้าวออกจากห้องไป....ถึงเจ้าตัวจะไม่อยู่...แต่กลิ่นหอมจางๆ ยังคงลอยอบอวลอยู่รอบห้อง ....
...
....พระแพงเป็นใคร.....เรียก ตรินทร์ ว่าพี่ชาย...

เป็นญาติฝ่ายไหนกับ ตรินทร์ ??

ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ตรินทร์ มีญาติน่ารักขนาดนี้ ...

น่ารัก....

จนอยากที่จะ....

‘รัก’
..............
............................



“พี่ขา.....สวยจัง....ขอให้หนูดอกหนึ่งได้ไหมคะ?”

เด็กหญิงตัวเล็กๆ ดึงชายกระโปรงลูกไม้ของหญิงสาว..

สีหน้าที่เคยมีรอยยิ้ม ราบเรียบเหมือนไร้ความรู้สึก สายตาเย็นชาจ้องมองไปยังช่อกุหลาบสีสด มือนิ่มกำขยำลงบนกลีบกุหลาบ
...แรงกดของมือเหมือนเปลวไฟไล่ลามปลายกลีบ...ให้ค่อยๆเผาไหม้..เหมือนโดนไฟที่มองไม่เห็นเผาลามอย่างช้าๆ.....จนช่อกุหลาบใหญ่ เหลือเพียงกลีบดอกที่แห้งกรอบ …

พระแพง ลดช่อกุหลาบที่เหี่ยวเฉาในมือลง ขยำกลีบแห้งที่เหลือจากการไหม้ จนมันแหลกคามือ...

ร่างบางเดินเข้าไปใกล้ถังขยะ แล้วทิ้งก้านช่อนั้นลงไปอย่างไม่ใยดี ก่อนจะหันมาหาเด็กหญิงตัวเล็ก พร้อมรอยยิ้มหวาน..

“ให้หนูไม่ได้หรอกคะ....ของมันสกปรก...เพราะได้มาจากพวกสกปรก...”

ร่างบางเดินจากไป..

.เหลือเพียงเด็กหญิงที่ตั้งหน้าตั้งตาร้องไห้........


..............
............................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 17:51:55 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 53# Last ball.ทฤษฎีลูกชิ้น


...

[เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหา และรอคอยเธอมาแสนนาน และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่าง ที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ....]

“แล้วจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ? ”

เสียงทุ้มขัดจังหวะ การเปลี่ยนเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ผม แต่ก็ไม่ได้ขัดอารมณ์ เพราะเจ้าของเสียงมันตักเงาะเย็นๆป้อนเข้าปากผมไปด้วย สุขสุดๆ .... ผมส่ายหน้าไม่รู้ จะพูดก็ไม่ได้เพราะเงาะยังเต็มปาก เคี้ยวไปยิ้มไป...

....


...ไม่คิดว่าอยู่ๆ อะตรอมจะมาเยี่ยม นี่ถ้าหูตั้งหางกระดิ๊กได้ ตอนนี้ผมคง แกว่งหางซะยิ่งกว่าที่ปัดน้ำฝน...

คิดถึงจัง ไม่เจอตั้งนาน...


คุยกันไปก่อนหน้านี่แล้ว อะตรอมรู้เรื่องจากเรด ว่า ผมเข้าโรงพยาบาล..สาเหตุน่าจะมาจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ.... กับการดื่มที่เหมือนจะอาบเสียมากกว่า.... ร่างกายเลยไม่ไหว... แหม ...สาเหตุนี่ใครรู้เข้า เขาคง สมเพช.. มากกว่าสงสาร ….

..คงเพราะรู้เรื่องจากเรด นอกจากจะมาเยี่ยมอย่างเดียวแล้ว เรดมันเลยฝากโทรศัพท์ที่ผมฝากไว้ก่อนจะเข้าโรงพยาบาลมากับอะตรอมด้วย ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมมันไม่มาด้วยกันซะเลย ...แต่มันไม่มาดีแล้ว...

...ผมจะได้ไม่ต้องโดนมองด้วยสายตา หยามเหยียดอย่างสมเพช เป็นลมเพราะแดกเหล้ากับซั่มจนฟ้าเหลือง... ผมว่าไอ้เรดมันต้องรู้เรื่องแน่ๆ.. อย่าปากสว่างบอกใครนะมึง เชี่ยเรด!!

สาธุอีกเรื่องที่ ยิ่งกว่านี้…ดีที่อะตรอมกับไอ้เรดยังไม่รู้...

เรื่องซัมติง...กับ...บัส...


...กว่า พระแพง จะกลับมา เงาะกระป๋องก็หมดไปแล้ว...แหะแหะ...

แก้วใบใหญ่ถูกอะตรอมวางไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใยดี ผมพยายามจะแนะนำ พระแพง กับ อะตรอม แต่ที่ได้มาคือความเงียบ อะตรอมยึดเก้าอี้ตัวเล็กที่พระแพงเคยนั่งมานั่งอ่านหนังสือใกล้ๆผม แถมยังจับมือผมไปกุมไว้ข้างหนึ่ง...อ่านไปก็ถามผมไปด้วย จากสายตาผมที่คอยแต่จะมอง ของน่ารักๆอย่าง พระแพง...เลยทำได้แค่มองหน้าอะตรอมไปตอบคำถามไปจะว่ามันก็ไม่ได้ เพราะมันโดนเรียกกลับบ้านใหญ่ไปตั้งนานทิ้งให้ผมไปเรียนคนเดียว ...อย่ามองดิ เรียนบ้างโดดบ้างก็หยวนๆน่า...ของมันเคยเรียนมาแล้ว ยังไงก็ยังพอได้น่า... กลิ่นหอมอ่อนๆ ยังลอยฟุ้งไปทั่วห้อง กลิ่นน้ำหอมของพระแพง..? .

แต่พอผมจะหันไปมอง พระแพง อะตรอมก็กระตุก พร้อมกำมือที่จับผมไว้แน่น...

“อะตรอม...มืออุ่นมากเลย...”

ผมบอกตามความรู้สึก มืออุ่นๆของอะตรอมที่จับมือผมไว้ คลายออกหลวมๆ รอยยิ้มมีนิดๆที่มุมปากหนา

“มือผม ...ร้อน...แต่เพราะตัวภินทร์เย็น ...สำหรับภินทร์มันถึงได้แค่อุ่น...”

แววตาสีดำสนิทจ้องมองผมเหมือนดึงเข้าผวังค์ กลับมาครั้งนี้อะตรอมดูแปลกไป...ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ความรู้สึกคล้ายตอนเจออะตรอมพร้อมบัส ต่างกันก็แค่....บรรยากาศมัน มาคุ คูณ 3 เท่าจากของเดิม...

เกือบสองทุ่มกว่าอะตรอมจะขอตัวกลับ...ส่วนผมคุณหมอบอกแล้วว่าพรุ่งนี้คงออกจากโรงพยาบาลได้... ผม ขอเดินไปส่งอะตรอมแต่โดน พระแพงห้ามไว้ก่อน นางฟ้าของผมเลยเดินไปส่งอะตรอมเสียเอง.. พระแพง ขอตัวกลับตามอะตรอมด้วย เพราะคงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าจะอยู่เฝ้าผม...ตามลำพัง สรุปพอคล้อยหลังสองคนนั้นไป ผมเลยต้องอยู่คนเดียวในห้องพิเศษ ...คือ...ทำไมไม่ให้ ใครอยู่กับผมสักคน?

.............โรงพยาบาลนะ...

.ห้องพิเศษนะ .....
...

..อยู่คนเดียวนะ..

.
.
.
.



...



“นรก!!!”
...
.........................

“ ไม่คิดนะคะว่าจะ กล้าขัดคำสั่งวงษ์วาน กับ ฝ่าพรายนที ออกมาได้เร็วขนาดนี้... คุณ ภินทร์ คงเป็นคนสำคัญมากสินะคะ...แต่คงต้องเสียใจด้วย ที่คุณภินทร์ในตอนนี้...เหมือนไม้เลื้อย...ใกล้ใครก็รักคนนั้น...เห็นทีคราวนี้คงจะลำบากหน่อยนะคะ....เพราะว่าคู่แข่งอย่างฉัน...คงมีเวลาอยู่กับคุณภินทร์ ได้มากกว่าคนที่เป็นแค่ ‘เพื่อน’ แน่นอน.... ”

เสียงหวานเอ่ยพร้อมสีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม...

ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเรียก TAXI อย่างใจเย็น สายตาคมหันไปสบแววตาสีดำเข้มอย่างท้าทาย ก่อน TAXI จะออกตัว ...

อะตรอมหยุดยืนนิ่งมองตามหลัง TAXI ที่เพิ่งขับออกไป...เสียงเรียบเอ่ยขึ้นกับตัวเองเบาๆ เหมือนฝากคำไปยังคนที่อยู่บนรถ...ประโยคที่เด็กสาวบนรถไม่มีวันได้ยิน...

“ก็อย่างที่เธอว่า ภินทร์ เหมือนเป็นไม้เลื้อย...ใกล้ใครก็รักคนนั้น...แต่สำหรับผม..ผมเป็นดวงตะวันของ ภินทร์ ต่อให้ ภินทร์ เลื้อยไปไหน...ภินทร์ก็ต้องหันมาหาดวงตะวัน.. ”


..............
............................

‘เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหา และรอคอยเธอมาแสนนาน และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่าง ที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ....’

เสียงโทรศัพท์ผมที่ตั้งไว้เป็นเสียงเดียวกับ ภินทร์ ดังขึ้น เสียงเพลงเรียกเข้าที่ตั้งใจจะให้รู้เลยว่า 'ใครง โทรเข้ามา ...

“ครับ ภินทร์....ผมกำลังจะกลับครับ..เปล่าครับ ยังอยู่หน้าโรงพยาบาล..ครับ ทานอะไรอีกไหม? ...
ครับ...รอเดี๋ยวนะครับ...เดี๋ยวซื้อขึ้นไปให้..”

สายโทรเข้าวางลงไปแล้ว...

ผมมองซ้ายมองขวาแล้วเดินข้ามถนน ตรงเข้าไปที่ร้าน 7-11 คงต้องซื้อของกินไว้หลายอย่างหน่อย เผื่อแปรงสีฟันกับยาสีฟันไว้ด้วย ....ก็คืนนี้ต้องนอนเฝ้า ภินทร์ นี่น่า...หึ..ผมคิดไปถึง คนป่วยบนห้องพิเศษ ... ยายพระแพง อะไรนั่นรู้รึเปล่า ว่า ภินทร์ ชอบเก็บลูกชิ้นไว้กินที่หลัง สุด.... เพราะอย่างนั้น คนที่สำคัญที่สุด คือคนสุดท้ายที่ ภินทร์ จะนึกถึง...

...
มันเป็น

.
.
.

..
‘ทฤษฎีลูกชิ้น’


..............
............................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:00:21 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 54 #  My moon belong to your sun. ฤา...อาทิตย์...มิอาจครองจันทร์ [1]



...ในร่มเงาอันหนาทึบแห่งดงไม้...

มืดมิด...จนซ่อนร่างทั้งร่างของเด็กหนุ่มไว้ได้..

ณ ที่นี้... เป็น ....ป้อมปราการลับ อันเป็นที่เฉพาะตน....เงาแห่งดงไม้......มืดมิด....เฉก สิ่งที่อยู่ลึกในจิตใจ... ของเจ้าของสถาน...

...
.....มืดมิดแต่รุ่มร้อน...สิ่งที่อยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่าหัวใจ ….
...ทั้งมืดมน ด้วยอคติ ทั้งรุ่มร้อน ด้วยโทสา ...

.............
...............................................................................


‘หญิงสามัญ!!!’
‘มารดาเจ้าเป็นแค่หญิงสามัญ!!’
‘บุตรหญิงสามัญ!!!’

เสียงตะโกนของเหล่าเชื้อวงศ์..ยังดังก้องอยู่ในความรู้สึกข้าทุกโมงยาม …

เสียงที่เหมือนเชื้อเพลิงอันคอยสุมกองไฟที่ชื่อว่าโทสะ... หึ! บิดาเป็นถึงขุนพลแห่ง สุรโภคนคร หากแต่เพียงแค่มารดาเป็นชนชั้นสามัญ... สิ่งที่ข้าได้รับจึงมีเพียงแต่การหยามเหยียดและดูแคลน... ทั้งๆที่ข้าเองก็เป็นวงศ์วานแห่งสุร เป็นเชื้อสายบริสุทธิ์เสียด้วยซ้ำ!! แล้วเหตุใด...จักต้องเป็นเยี่ยงนี้ !!! มิยุติธรรม... มิเคยยุติธรรมสำหรับข้า.. มิยุติธรรมตั้งแต่ผู้เป็นบิดาให้ข้าเกิดขึ้นมาแล้ว !!!

‘มันต้องตกตายให้หมด... มันต้องถูกเหยียบย่ำให้จมดิน... ข้าสาบาน... สักวัน ข้าจักเหยียบเหนือบัลลังค์แห่ง สุรโภคานคร .... และพวกมันทั้งหมด จักต้องถูกเหยียบอยู่ใต้บาทข้า ..ข้าสาบาน !!!!’


...
.

“พี่ท่าน...ร่ำไห้ด้วยเหตุใดเจ้าขา....?”

..............
............................


สว่างสีขาวนวลตา... มาพร้อมกับเสียงหวานที่เอ่ยประโยคอันห่วงใย..

ปลายนิ้วเล็กไล้ลูบหยาดน้ำตาที่อาบใบหน้าเด็กหนุ่ม...ผิวกายเย็นเฉียบหากแต่อบอุ่นยามสัมผัส...แสงสว่างเดียวที่มาจากการล่วงล้ำอาณาเขตของเด็กน้อย...ดั่งแสงสว่างเล็กๆที่เล็ดรอดเข้าไปในจิตใจอันมืดมน...

“พี่ท่าน...เจ็บมากไหมเจ้าขา...?”

แววตาสีน้ำตาลเหลือบมรกต จดจ้องไปยังเด็กหนุ่ม......รอยยิ้มของน้องน้อยเหมือนน้ำเย็นที่รดลาดกองไฟ…

‘เจ็บรึ ...?..ไม่..ข้ามิได้เจ็บอันใด ’

....เด็กหนุ่มสั่นศีรษะช้าๆ เมื่อสดับคำถามจากเด็กน้อย

..........

“แล้ว...ตรงนี้เล่าเจ้าขา...”

ฝ่ามือเล็กวางทาบเข้ากับตำแหน่งหัวใจของเด็กหนุ่ม...หัวใจ...ที่เต้นแรง...

“มันร้อนเหมือนโดนเผาด้วยกองไฟ ....พี่ท่านมิเจ็บรึเจ้าขา....?”

..ไร้คำตอบอันใดกับถ้อยที่ถามไถ่..

เด็กหนุ่มได้แต่จดจ้องแววตาไร้เดียงสาของเด็กน้อย….หยดน้ำตาไหลเอ่อออกมาอย่างไม่อาจควบคุม...

“มันร้อนใช่ไหมเจ้าขา ?...มันทำพี่ท่านเจ็บ...ใช่ไหมเจ้าขา ?....พี่ท่านต้องถามมันเอง..ว่าร้อนด้วยเหตุใด ? หากร้อนด้วยไฟแห่งโทสา...ไฟ...ที่พี่ท่านสร้าง....มันมิได้เผาผู้ใด นอกจากจักแผดเผาตนพี่ท่านเอง...และหากมันยังคงอยู่... สักวัน...มันจักเผาล่ามไปถึงตนที่พี่ท่านรัก...”

รอยยิ้มบางมิได้เลือนหายไปเมื่อเด็กน้อยเอ่ยประโยคนั้น ...เด็กหนุ่มได้แต่มองจดจ้องเด็กน้อยเบื้องหน้า ร่างเล็กนั้นคะเนแล้วน่าจะเยาว์วัยกว่าตน.... หากแต่สิ่งที่ตนสดับนั้น มันเกินกว่าสิ่งที่เด็กน้อยจักเอ่ย....

............
.......
..
......................

"องค์ภังคียะเจ้าคะ..."

"องค์ภังคียะเจ้าค่ะ..."

"องค์ภังคียะเจ้าคะ...อยู่ไหนเจ้าคะ??”

เสียงเรียกซ้ำๆนั้น เหมือนจะทำให้เด็กน้อยหน้านวล ถอยร้นออกไปตามเสียง แสงสว่างเพียงจุดเดียวในดงไม้ที่เกิดจาก เด็กน้อย กำลังจะหายไป...


...

“อย่าทิ้งข้า...”

เด็กหนุ่มปาดน้ำตาแล้วคว้าเจ้าของข้อแขนเล็กนั้นมาโอบกอดไว้ ผิวกายที่เย็นเยือก ยามสัมผัสกับความรุ่มร้อนในใจ มันทำให้อบอุ่น...แสงสว่างเดียวที่เหลืออยู่ ข้า จักไม่ให้ใครพรากไปทั้งนั้น....

“หากมิอยากให้ข้า เจ็บ...รึ...ทรมาน....เจ้าจักมาเป็นน้ำเย็น ผู้ดับไฟข้าได้รึไม่...?”

วงแขนใหญ่โอบรัดเด็กน้อยไว้แน่น...เสียงกระซิบถามข้างหู....มิดังไปกว่าเสียงสายลม...

.....................................
............
.....................................................................................

ครานั้นเป็นการพบกันครั้งแรกของ รองแม่ทัพ ผู้ไร้พ่าย และ องค์มหาอุปราช อันเป็นที่รัก....



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:03:52 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 54 #  My moon belong to your sun. ฤา...อาทิตย์...มิอาจครองจันทร์ [2


...รอยยิ้มปรีดาฉาบอยู่บนใบหน้าคม

นี้เป็นคราแรกนับจากการเข้าร่วมพลกองแห่งทัพสุรโภคานคร คราแรกที่เด็กหนุ่มได้กลับมายัง สถาน... ‘บ้าน’ นั้นมิเคยจำเป็นเมื่อไม่มีสิ่งสำคัญรอคอย หากแต่สถานแห่งนี้ ต่างหากที่เป็นที่พักทั้งร่างกายและจิตใจ ‘หอจันทร์’ สถานเดียวที่เป็นเสียยิ่งกว่าบ้าน หากมีเจ้าของสถานนี้อยู่ข้าง ไม่ว่าที่ใดๆก็เป็น ‘บ้าน’ ได้ทั้งนั้น

..............
............................

..สิ่งสำคัญถูกวางกองบนผืนผ้าสีคราม ดังจักเอามาโอ้อวดก็มิปาน สิ่งสำคัญที่ว่าที่ขุนพลทราบมากลายๆว่า ผู้เป็นเจ้าของสิ่งเหล่านี้ ในเพลาก่อนหน้านี้ต้องใช้ทั้งวาจา ทั้งความเชื่อใจ และใช้เล่ห์เหลี่ยมหว่านล้อมมากเพียงใดเพื่อได้มา... ‘สิ่งวิเศษชั้นเลิศ’ หึ! เห็น ‘เจ้าของ’ เขาว่ามาเยี่ยงนั้น….

“สิ่งใด ภังคียะ ?”

เม็ดกลมสีทองอำพันขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าปลายนิ้วก้อยหญิงสาว ถูกส่องเข้ากับแสงอาทิตย์ เด็กหนุ่มผู้ที่จะก้าวเป็นว่าที่ขุนพลอดสงสัยมิได้เมื่อ น้องน้อยของตนยัดเม็ดกลมสีทองนี้ใส่มือตน

“ยาพิษแห่งนิรันดร์ พี่ท่าน..สิ่งนี้.หาใช่ไข่ตะบองพลำ แม้จักดูคล้ายไข่ตะบองพลำ จนเกือบจักแยกมิออก”

เสียงหวานเอ่ยอธิบายของสิ่งนั้น...เพียงได้ยิน.....ว่าที่ขุนพลถึงกับหันไปหาเจ้าของเสียง

“ยาพิษแห่งนิรันดร์ น้ำหวานแห่ง ‘วณาไพร’ พระพ่อเจ้าบอกข้าเยี่ยงนั้น...สิ่งนี้ใช้ยื้อชีพและความทรงจำของชีพที่กำลังจะดับ...แต่ข้าเจ้ามิแน่ใจว่ามันจักได้ผลจริงรึไม่ น้ำหวานนี้ยากที่จักได้มาและไม่คุ้มค่าหากที่จักทดลอง...แต่ถึงยังไงพี่ท่านก็เก็บไว้เถิด...ข้าเจ้าทดสอบแล้วว่าเป็น วณาไพร หาใช่ ไข่ตะบองพลำ”

ปลายนิ้วเรียวฉวยคว้าเม็ดอำพันในมือใหญ่มาบรรจงใส่ตลับทองแดงโยงสายห้อยยาว แล้วยื่นให้ผู้เป็นเชษฐา พร้อมยิ้มกว้าง และดูท่าจักยังมิจบสิ้นเมื่อ มือเล็กนั้นดึงรั้งข้อมือใหญ่ให้นั่งชิดกับตน แววตาสีน้ำตาลเคลือบมรกต ฉายแววแปลกเมื่อกวาดมองของอีกสามสี่อย่างบนผืนผ้า .....ท่าทางค่ำคืนนี้จักยาวนาน...

‘หากต้องการฟื้นกำลังยามอ่อนล่า ข้าแนะนำ น้ำผึ้งแห่งภัทรมาส น้ำหวานอันได้แต่ดอกเดือนสิบ’

‘ส่วนนี่ ศิลาลม หินสองก้อนที่เป็นทางเชื่อมของประตู ถ้าลองมีหินสองก้อนนี้ ต่อให้ไกลแค่ไหนข้าก็ไปหาปลายทางได้ วิธีใช้มันยุ่งยาก แต่พี่ชายเก็บไว้ก่อนเถอะ’

‘อันนี้ก็ พยนต์ ฝึกหัด พยนต์ข้ารับใช้แบบพรมน้ำ ขอให้ยังเปียกอยู่พี่ชายใช้ได้เต็มที่’

‘อันนี้ ศุภะ หนอนร้อยศพกำจัดซากได้ทุกอย่าง’

‘ส่วนอันสุดท้าย.... ท้ายสุด ข้าเจ้าภูมิใจ..สุดๆที่หามันมาทัน..มณีแดง ยอดเมรัยที่ ต่อให้ช้างป่ายังยอมสยบ....อภินันทนาการจาก นายด่านนาม ตุลกะ’

..............
............................

...

สุดท้ายของที่วางบนผืนผ้าก็ถูกประเคนให้ว่าที่ขุนพลทั้งหมด... เป็นของกำนัลแด่ว่าที่ขุนพล ของกำนัลแด่การกลับมายังนครอีกครา ของกำนัลแด่ เชษฐาที่รักยิ่ง...รอยยิ้มกว้างของอดีตเจ้าของของ ไม่ได้ลบเลือนจากหน้าหวานสักนิด เพียงเท่านี้ผู้รับก็ทราบดีแล้วว่า ตนสำคัญเพียงใด....

...ใช่ ...ตนสำคัญ..

.....สำคัญตั้งแต่ ตอนรู้ว่าเจ้าตัวน้อยแอบหนีออกมาจาก พันธศิลานิล เพื่อมาหาตนแล้ว.....

จากอาทิตย์อันแรงกล้าเพลานี้จันทราดวงโตเคลื่อนไปเกือบเหนือหัว... เด็กหนุ่มได้แต่ยิ้มละมัยมองเจ้าของริมฝีปากอิ่มที่แนบริมฝีปากเข้ากับท่อนแขนตน...นี่เป็นวิธียืดเพลาแห่ง ภังคียะ ให้สถิตยัง พื้นแดนแห่งสุรให้นานขึ้น ใช้เลือดแห่งสุร ….ซื้อเพลา...

..............
............................

..จวบจนผ่านครึ่งคืน....

รสหอมหวานของน้ำหวานก็ผสมกับกลิ่นหวานยวนแห่งเมรัยนามมณีแดง สติแห่ง ภังคียะเหมือนถูกปั่นให้สับสน เมื่อกฎเกณฑ์ถูกก้าวข้าม บิดานั้นสั่งสอน...แลห้ามมิให้ตนหลงกับรสเมรัย.....เพียงเพราะเมรัยอันหอมหวานเคยทำลายศักดิ์แห่ง สุร ให้ตกต่ำกว่า เทวา บิดาจึงเกลียดยิ่งกับน้ำเมา พาลให้ ภังคียะบอกตนเองห้ามแตะต้องหรือลิ้มรสน้ำนั้น หากแต่ตอนนี้เพียงแค่กลิ่นหอมหวามหวาน....ก็เหมือนจักถ่วงร่างให้หนักลง..บดบังสติอันเลือนลางจน ภังคียะต้องเอนตัวทรุดลงกับพื้นเบาะนุ่ม ผู้เป็นพี่ชายนั้นแม้จักอดอมยิ้มไม่ได้กับอาการของน้องน้อยต่างสายเลือด แต่ก็มิวายกระเซ้าแหย่.....

เมรัยสีทับทิมหมดไปเกือบครึ่ง แต่มิได้ทำให้นักรบนั้นเลือนสติ จักมีก็แต่เจ้าตัวดีที่เพียงได้แต่กลิ่นเท่านั้นสติก็เตลิดลางเลือนจนเอนกายทอดยาวไปกับพื้นโดยมิสนใจสิ่งใด... ร่างใหญ่ดันตัวลุกคว้าข้อมือเล็ก แต่ร่างอ่อนนั้นมิมีวี่แววจะบังคับร่างกายตนเองได้เลย จนผู้เป็นพี่ชายต้องโอบเอวร่างบางพยุงร่างนั้นขึ้นมาพักไว้กับอกก่อนจะเลื่อนตัวลงนั่งโดยปล่อยให้ร่างบางนั้นนั่งค่อมทับอยู่บนตักตนเอง

“บิดา..มิเคยให้แตะต้องเมรัยสินะ?”

น้ำเสียงนั้นถามกึ่งเย้า...

แต่ร่างบางที่ซุกอยู่บนอกได้แต่หอบหายใจเพราะโสตกำลังสัมผัสความรู้สึกประหลาด...

ทั้งที่เปลือกตาหนักบวกกับร่างกายที่พร้อมจะทิ้งปิดลงได้ทุกเมื่อ แต่ทุกสัมผัสแห่งผิวกายกลับรับรู้ได้แม้แต่ไอร้อนและความเย็นแห่งเนื้อหนัง เจ้าตัวน้อยยันตนให้ออกห่างจากร่างใหญ่ แต่นั้นกลับเป็นการกระตุ้นให้ไอสัมผัสชัดเจน ตนร่างใหญ่ยิ่งเห็นอาการผิดแปลกยิ่งมีแต่อยากแกล้งให้หนักขึ้น ริมฝีปากหนานั้นทาบทับริมฝีปากนุ่มพร้อมแทรกลิ้นให้ริมฝีปากนั้นเผยอรับเมรัยรสหวามหวานที่ตนอมไว้สู้น้องชายที่ไร้แรงขัดขืน...

เพลาแรกร่างบาง รวมสติและกำลังผลักร่างใหญ่แห่งพี่ชายแต่ยิ่งนานไปสันดานแห่งสุรยิ่งเร่งเร้าให้กระหายและกระสันอยากในเมรัยรสหวาม จนร่างบางเองที่เป็นฝ่ายดูดเลียลิ้นและริมฝีปากหนาจนพาลไปสู่ความกระสันอยากในกำหนัด ว่าที่ขุนพลยามแรกคิดเพียงแกล้งหยอกเล่น หากบัดนี้กลับมิอาจห้ามตนให้หยุดดั่งแรกคิด ตนมิอาจถอนริมฝีปากที่ถูกรุกเร้านั้นได้และเหมือนยิ่งอยากได้มากกว่านี้ อยากสัมผัสร่างบางแห่งอนุชามากกว่านี้ ปลายนิ้วแกร่งที่เคยจับศาสตราวุธ ไล้ลูบผิวกายเนียนเย็นอย่างมิรู้เบื่อ จนสัมผัสร้อนจากร่างใหญ่เหมือนจะเรียกสติแห่งภังคียะให้กลับมา

แต่ครั้นพอจะเริ่มสำนึก รสหวามแห่งเมรัยก็ถูกเติมจากริมฝีปากสู่ริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า จนผู้เป็นน้องชายมิมีแรงหรือสติอันใด มิมีแม้แต่แรงจักควบคุมตนเองให้ขัดขืนผู้เป็นพี่ชายต่างสายเลือด ว่าที่ขุนพลไล่เลียผิวกายเย็นหวามหวาน รอยแดงระเรือปรากฏขึ้นทุกครั้งที่ว่าที่ขุนพลจูบแม้มลงบนผิวกาย เรื่อนร่างเบื้องหน้าเปลื่อยเปล่า เมื่อผืนผ้าที่เคยปกปิดตนนั้นถูกถอดกองอยู่กับกองข้าวของสำคัญ...

แม้จักกัดเม้มหรือลากลิ้นเลียเท่าไหร่ก็หาได้มีแรงขัดขืนจากร่างบางนอกเสียงจากเสียงครางกระเส่าที่แผ่วเบา ร่างบางถูกปล่อยให้ทอดกายยาวก่อนที่ว่าที่ขุนพลจะทาบทับลงไซ้ลิ้นเลียซอกคอเปลื่อยเปล่า แต่มิวายเงยหน้าขึ้นมาถามไถ่

“เจ้ารักข้ารึเปล่า ภังคียะ?”

..............
............................


“รัก เจ้าค่ะ...”

คำนั้นเหมือนกระซิบ...

แล้วความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นพร้อมความกระสันอยาก เมื่อท่อนเนื้อแห่งว่าที่ขุนพลแทรกเข้าร่างบาง บีบรัดแต่เร้าร้อน เจ็บปวดแต่วาบหวาม ร่างเล็กบิดตัวหนีความเจ็บปวดที่กระแทกกระทั้น แต่มิอาจขัดขืนเมื่อมือใหญ่นั้นจับช่วงเอวตนตรึงไว้แน่น พร้อมค่อยๆกดแท่งเนื้อแห่งตนเข้าไปจนมิดแล้วค่อยๆดึงออกและเริ่มขยับเป็นจังหวะจนร่างเล็กสะท้านไปทั้งตัว

“กลืนเข้าไปให้หมด ภังคียะ หากเจ้ารักข้า...ข้าอยากได้รักมากกว่านี้ มากกว่านี้...ภังคียะ...”

เสียงพร่ำชื่อนั้นเหมือนดังไกลๆ แต่เท่าที่รู้ตน ตอนนี้ความกระสันอยากเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด ร่างบางเหมือนจะรองรับกับแท่งเนื้อและจังหวะแห่งว่าที่ขุนพล

“เข้าไปอีก ให้ลึกกว่านี้ ..อยากให้เจ้ากลืนกินข้าเข้าไปให้มากกว่านี้ ภังคียะ...”

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ร่างใหญ่หยุดตัวเองไม่ได้ที่จะขย่มกระแทกแท่งเนื้อนั้นเข้าร่องเล็กที่ร้อนแรง ดึงรัดและบีบแน่นจนความกระสันอยากถึงที่สุด แรงทั้งหมดยิ่งกระแทกถี่จนร่างบางร้องครางกระเส่าถี่ เสียงนั้นยิ่งทำให้แรงกระแทกเพิ่มขึ้นจนแท่งเนื้อเข้าไปในร่องร้อนนั้นจนมิด ก่อนความกำหนัดจะถูกปล่อยออกมาพร้อมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่หายไป ร่างใหญ่แห่งขุนพลหอบหายใจทาบทับร่างบางที่หัวใจนั้นเต้นรัวไม่ต่างกัน ครั้งพอเริ่มมีแรงอีกครั้งว่าที่ขุนพลก็กระซิบกับร่างแห่งภังคียะ ที่ตนโอบกอดไว้อย่างหวงแหน...

“อย่าเพิ่งหลับ...ข้าอยากกอดเจ้าทั้งคืน..”

แล้วไฟแห่งราคะก็ถูกจุดครั้งแล้วครั้งเล่าโดยมีว่าที่ขุนพลเป็นผู้เริ่มจนจบ....ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ ภังคียะต้องทรมานแทบขาดใจใต้ร่างและวงแขนแห่งว่าที่ขุนพล

..............
......แต่ความทรมานนั้นก็คุ้มค่า แม้ดวงอาทิตย์จะคล้อยบ่ายแต่คมเขี้ยวแห่งภังคียะ ยังคงฝังแน่นจมอยู่กับข้อแขนแห่งว่าที่ขุนพลรอยเขี้ยวแห่งภังคียะบนร่างว่าที่ขุนพลนั้นมีมากพอๆกับรอยจ้ำแดงบนร่าง ภังคียะ แต่มันต่างกันก็ด้วยรอยจ้ำแดงบนร่าง ภังคียะเกิดจากความกำหนัดแห่งว่าที่ขุนพล ส่วนรอยเขี้ยวบนร่างว่าที่ขุนพลเกิดจากการดื่มกินเลือดแห่งสุร เพื่อให้ตนภังคียะดำรงค์ได้ยาวนานขึ้นแม้อยู่นอกสถานแห่งพันธศิลานิล ภังคียะถอนคมเขี้ยวตนออกจากข้อแขนแกร่งแล้วพลิกกายมองยังใบหน้า คม ของขุนพลผู้เป็นพี่ชายที่เหนื่อยอ่อนไม่ต่างจากตน

“พอแล้วรึ?”

เสียงทุ้มต่ำไถ่ถามร่างในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยน....

ไม่ได้ใยดีสักนิดต่อรอยคมเขี้ยวที่ฝังแน่นไปทั่วร่างตน ชินชาสำหรับความเจ็บปวดนี้ ที่จะมียามริมฝีปากแนบคมเขี้ยวลงไปก็แต่ความวาบหวามยามคมเขี้ยวนั้นฝังลงบนเนื้อหนังตน รอยเขี้ยวนั้นจะหายไปเองเมื่อ ภังคียะไล้เลียรอยคมเขี้ยวจากปลายลิ้น หากแต่ที่ปล่อยให้ร่างตนเป็นรอยไว้เยี่ยงนี้ ภังคียะ ก็คงเพียงแค่อยากลิ้มรสทุกส่วนของตนมากกว่า...................




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:08:59 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 54 #  My moon belong to your sun. ฤา...อาทิตย์...มิอาจครองจันทร์ [3]
[Part ภังคียะ]



...ซุ้มกระโจมแสงไฟอันละลานตาเบื้องล่าง ส่งให้สถานนั้นดูเปรี่ยมอำนาจ...

เฉกคำที่เคยได้ยิน เหล่า ‘เหราไฟ’ หาใช่แค่กองโจรธรรมดา... หุบเขาที่เร้นลับซ้อนซอกพลนับพันไว้ในผาหิน..การผ่านทางแห่ง เหราไฟ มีเพียงการเจรจาเท่านั้นที่จะประสบผล...หากคิดหักด่านแห่งเหราด้วยกำลัง ....พินาศคือคำเดียวของบทสรุป !

..............
............................

มันทุกตนที่หาญกล้า ...ต่อกร ...หาได้คงชีพในแดน เหราไฟ ..

.
.
.


ใช่.มันจะเป็นตนใดก็ช่าง ..มันตนใดก็ได้ ที่จักตกตาย ยกเว้น


..พี่ชายข้า !!!


..............
.........................





...

“สาม..”

เสียงต่ำกังวาน เอ่ยออกมาอย่างใจเย็น ร่างที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าของเสียงนั้น..ได้แต่จดจ้องแววตาสีเพลิงมือเล็กชะงักเพียงเกือบจะเอื้อมคว้า ขวดแก้วใสบรรจุของเหลวสีทับทับสด....

“หากแต่ ข้าเจ้าขอ ห้า ทิวา..เพลา.นี้......ข้าเจ้ามีสิ่งต้องทำมากกว่าการเจรจากับเหราไฟ..สามทิวาใยจักพอรึ? ..ท่านลุงก็ทราบความดี ... ”

“ข้าเองทราบความ...แล้วใย ?...บิดาเจ้าทราบความเฉกข้าด้วยกระนั้นรึ?....หน้าที่ของฑูตเฉกเจ้า คือการเจรจาข้ามแดน หาใช่การค้นหา...อดีตหัวหน้ากองที่นำพลกองไปตกตายเพราะความทะนงอันโง่เขลา...หน้าที่ของเจ้าคือการเจรจา หาใช่การเขาช่วยเหลือเชลย...ภังคียะ”

“แต่เชลย ตนนั้นคือ พี่ชายข้า !! ท่านลุงโปรดเถิด..”

“แม้มีบิดาตนเดียวกัน หากแต่มารดาที่เป็นเพียงหญิงสามัญชน เชลยตนนั้นหาคู่ควรกับคำว่า พี่ชายเจ้า...เอาสิ เจ้าเป็นถึงอุปราชมิใช่รึ แสดงให้ข้าเห็นทีสิ ว่าอุปราชเยี่ยงเจ้า จักช่วยเชลยออกมาได้เยี่ยงไร... สาม...แค่สามทิวาเท่านั้น ภังคียะ .....เลือก..ว่าจะยื้อเพลาแล้วดับชีพตน...เพื่อช่วยพี่เจ้า... รึจักทำหน้าที่ฑูตให้ดีที่สุดเพียงเท่านั้น...องค์อุปราช..”
.............................................

...ริมฝีปากอิ่มกัดเม้มเป็นเส้นตรง ..

‘จักให้ข้าเลือกรึ ? เอาสิ หากให้ข้าได้เลือก ข้าก็จักเลือก...ข้าจักเลือกชีพพี่ข้า หาใช่ตนเอง...แล้วเรามาพนันกัน ท่านลุง หากข้าใกล้สิ้นจริง ท่านลุงจักทำเฉกใด?!!’

..............
............................



Part มหินทรา (หัวหน้ากองพล )


.....แสงแห่งวัน...กำลังจะลับฟ้า...กระนั้นรึ ...เหตุใด....มันจึงได้เลือนลางและแดงฉานเฉกนั้น...

..
...ครานี้ข้าพลาดสินะ ....เพียงเพราะความทะนงตนอันเป็นสันดาน ....มันจึงได้จบเยี่ยงนี้.... ข้า...นำกองพลเกือบครึ่งร้อยมาสังเวย เหวแห่งเหรา.... กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นซากศพ..หึ...ข้า....โดนฝังอยู่ใต้กองดินนี้มานานแค่ไหน... จมอยู่ใต้กองซากศพนี้มานานเท่าไหร่..แล้ว ... น่าสังเวช...! คิดจักก้าวขึ้นตำแหน่งรองแม่ทัพ แต่กลับต้องพ่ายอุบายตื้นๆของ เหล่า ‘เหราไฟ’ ไอ้พวกเคี่ยม!! มากเล่ห์ !!!

..............
............................

..........ร่างใหญ่...ไร้การตอบสนอง..เมื่อถูกฝังทั้งเป็น...ใต้กองดินและแผ่นหิน..... สตินั้นค่อยๆลดลงเหมือนโลหิตที่ค่อยๆไหลเจือไปกับสายฝน...แผลใหญ่ช่วงต้นคออยู่ใกล้เส้นเลือดเพียง ปลายนิ้วขั้น... แขนขา ขยับไม่ได้ดังใจ....ไม่รู้ว่าควรจักดีใจ รึเสียใจ เมื่อความเจ็บปวดค่อยๆเลือนหาย ...ร่างกายเริ่มที่จะไร้ความรู้สึกนั้น.....เป็นดั่ง..สัญญาณเตือนแห่งมัจจุราช.....ตะวันลับฟ้าไปนาน...นานพอๆกับ แสงชีพ... ที่ใกล้จะริบหรี่... ทุกสิ่งกำลังจะจมลงสู่อนันตรากาล... นรกขุมไหนกันนะ ที่ข้าจักสถิต ...?

เจ้าของร่างใหญ่ถามตนเอง..

.................
...

‘อสินขะนรก…’

.........
.....

....ชื่อแดนนั้นผุดขึ้นมาเมื่อแสงนวล แห่งจันทร์ ค่อยๆฉายส่องรอดลงมาตามช่องว่างของเศษดินและกองหิน ฉายเคลือบผ่านผิวกาย แสงนวลโอบอุ้มราตรี... แม้มิอบอุ่นเฉกแสงวัน หากแต่ก็ แสนละมุน..นวลตา.... ยามจ้องมอง

‘ทำไมต้องเป็น อสินขะนรก?’

ชีพผู้ใกล้สิ้นเคยถาม..ไปยังผู้เอ่ยชื่อภูมินรกนั้นขึ้นมา ...ภาพของน้องน้อยช่างเจรจาผุดขึ้นมาในความทรงจำ ปลายนิ้วเรียวทั้งสิบยื่นจ่อเข้ามาใกล้ ดังเป็นคำตอบ... นิ้วเรียวทั้งสิบที่เล็บงามบนนิ้วนั้น...เป็นสีนิล ทั้งหมด...

‘พ่อเจ้าเคยบอกว่า.... ข้าเป็นนายแห่ง อสินขะทั้งปวง...หากต้องตกตายสิ้นชีพ ...ตนข้าก้ต้องสถิตยัง อสินขะแดน...พี่ท่านก็เฉกกัน หากพี่ท่านตกตายจริง ก็ต้องสถิตยัง อสินขะแดนเท่านั้น .....จักได้อยู่ใกล้ข้าเจ้าเยี่ยงไรเล่า ...’

........ภาพวงหน้าหวานฉาบ..รอยยิ้มหวาน..เสมอคำ เพลานั้นข้าตอบตนเองมิได้...ตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ข้า ...มิอาจลบ ภังคียะ ออกจากความทรงจำ...

...แม้แต่ตอนชีพใกล้ดับ...ข้ายังคำนึงถึง น้องน้อยตนนั้น ....เพลานี้ เจ้าเสียงหวานจักเป็นเช่นไร ?

จักรู้ความรึไม่ว่า พี่ชายตนนี้...จักดับสิ้นแล้ว...


..............
............................

.
.
.

...

‘.ขุดเจอจนได้ ..เก่งที่ยังไม่ตาย!!!!.ใช่มันตนนี้รึ?....หึ!! สภาพเฉกซากศพ...’

........
เสียงแว่วที่ข้าได้ยิน...ดังก้องขึ้นมา สำเนียงของพวกเหราไฟ..?

........
..


‘ใช่ที่...เอาชีพตนแลกซากศพ รึ...หลานนายด่าน นั้นคิดเฉกใด ?....ถึงได้ซากร่างนี้มาก็ใช่ว่า เจ้าซากนี้จักฟื้นคืนเฉกเดิม....ข้ารึเสียดาย ดวงตาสวยๆ .เสียงหวานๆ..หึ!! นามใดนะ ?...อ้า! ข้าคิดออกแล้ว เจ้าตาสวยนั้นนาม ภังคียะ สินะ ...เอาชีพตนแลกกับซากพี่ชาย....ใครเขาว่า หลานนายด่าน มากเล่ห์..ข้าชักมิเชื่อตามคำแล้ว สิ หึหึหึ...’

‘แล้วจักทำเยี่ยงไรกับซากนี้....?’

‘ยังไงก็ต้องนำส่งคืนยัง เจ้าตาหวานตนนั้น ...น่าสนุกที่จักเฝ้ามอง.....ระหว่างเจ้าตาหวานกับซากตนนี้ ใครมันจักสิ้นก่อนกัน ....น่าปรีดาแทน ....เจ้าซากนี้จริงๆ....ได้น้องที่รักขนาดนี้...ถ้าเกิดเจ้าฟื้นขึ้นมาได้จริง...เจ้าจักยินดีรึไม่....ที่น้องเจ้าต้องมาเจียนตายเพราะเจ้าเอง....พี่ชาย...?'


..............................เสียงนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าได้ยิน...ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกครา..... พร้อมข่าวร้าย....

...

.
.
.

....ข้า...เคยคิด...ว่าตน..เป็นเพียงชีวิตหนึ่งที่ถูกลืมเลือน มารดา...ที่มิเคยมีปากเสียงกับผู้ใด มิคิดแม้แต่จักปกป้องบุตรเยี่ยงข้า ...บิดาที่มิเคยให้ไออุ่น มีรึมิมีก็เฉกกัน ... ข้ามิเคยได้สิ่งที่เรียกว่า  ‘รัก’  .... จน...ตนข้าเกิดความสงสัย...หากข้าเป็นตนอันเกิดมาเพื่อเป็น  ‘รัก’ นั้น.... ข้าจักเป็นเฉกใด ?

จักยิ้มได้อย่างเปรี่ยมสุข หรือจักเงยหน้ามองดวงตะวันได้อย่างไร้กังวลรึไม่ ?

….. จวบจนข้าได้เห็นและรับรู้ ถึงตนนั้น

‘ผู้เป็นที่รัก... นามภังคียะ ’

บุตรแห่งรักที่บิดายอมแลกมาด้วยชีพของหญิงชาวนาคา..หญิงที่พญายักษ์นาม ‘ฑิฆัมตรัง’  รักที่สุด...

น้องน้อยที่ข้ามิคิดว่าจักได้มี .... น้องน้อยผู้เป็นที่รัก... แห่งบิดา ...

หึ! …เพราะรักมาก... รักจนทำให้บิดายอมแลกทุกสิ่งเพื่อให้ ภังคียะได้คงอยู่ ผิวกายสีนวลที่เย็นเยือก...ความเย็นอันเป็นผลมาจากการต้องดำรงค์ตนในพันธศิลานิล สถานแห่งนาคา... น้องน้อยของข้า มิอาจดำรงค์ยังสถานอื่นเกินข้ามคืน

กรงแห่งรักแปรสภาพดั่งกรงอากาศ กักขังร่างนั้นให้ทุกข์ทรมาน แม้จักมีทั้งเชื้อสายสุรและนาคาอยู่ในตัว หากแต่มิอาจหายใจยังสถานแห่งสุร ได้....

‘จงภูมิใจเถิดพี่ท่าน...พี่ท่านคงอยู่ด้วยตนพี่ท่านเอง หาใช่ต้องพึ่งชีพผู้ใดเฉกข้า..ยามสถิตนอกสถานแแห่งพันธศิลานิล...ข้าเจ้าอยู่ได้ด้วยโลหิตและไสยเวทย์แห่งพระพ่อเจ้า หาใช่หายใจด้วยมโนแห่งตนเอง...ตนข้า...มิกล้า...แม้แต่จักเงยหน้ามองดวงตะวันเสียด้วยซ้ำ..’

..............
.........................

...

มาตอนนี้ข้าจึ่งเข้าใจ ...เพียงข้าเท่านั้นที่สำคัญสำหรับ ภังคียะ ....

สำคัญถึงขนาดยอมแลกชีพตนกับสภาพเฉกซากศพเยี่ยงข้า....มันมิใช่เพียงความลับของสายเลือดสุรบริสุทธิ์.... มันมิใช่มีเพียงแต่เลือดข้าเท่านั้น ที่ยื้อชีพอันเปราะบางได้โดยมิต้องพึ่งพา ไสยเวทย์ อันใด... หากแต่เพราะ ภังคียะ เห็นข้าสำคัญยิ่งกว่าชีวิต ตนเอง....

....นั้นทำให้ข้าได้ตระหนัก....สำหรับภังคียะ ข้า ...คือตนสำคัญ!!!

สำหรับ ภังคียะ ข้าหาได้เป็น ชีพที่ถูกลืมเลือน สายตาข้าเปรี่ยมสุข..ยามทอดมอง รักที่ก่อตัวเป็นรูปร่าง

...รักอันมีนามว่า

'ภังคียะ'

รักของข้า.......... เพียงแต่ผู้เดียว..
.................
....
.
.

ภังคียะ....ใช้ร่างจริงในการติดตามหาข้า.. แม้...เจ้าน้องน้อยรู้ตนว่า..มิอาจหายใจ...ในแดนสุร...ได้เกินข้ามคืน........

.
..


..ครานั้น..


ข้าแทบบ้า.......แม้จักรู้ว่า ....ขุนพลนาม ฑิฆัมตรัง จักมิปล่อยให้ ภังคียะต้องสิ้น ......

..............
........


..
แต่หลังจากนั้นก็..เกือบ สามปี ..

........
กว่าข้าจักได้เห็น..น้องน้อยของข้า.แอบหลบออกมาจาก พันธศิลานิล อีกครั้ง..

ข้ามิกล้าเดา.....ว่า..ก่อนหน้านี้ ภังคียะ มีสภาพเฉกใด...........................
..............
.......

.
.
.

...นับจากครานั้น....ไม่ว่าจะเกิดศึกติดพันยังเขตแดนหนักหนาเพียงใด....

ไม่ว่าข้าจักอยู่ในฐานะรึตำแหน่งใด...สิ่งเดียวที่ทำให้ข้ามิยอมสิ้นชีพ... สิ่งเดียวที่เหนี่ยวข้าไว้จากพญามัจจุราช


..สิ่งนั้นคือ มหาอุปราช นาม ภังคียะ ...เพื่อเจ้า...ข้าจักตกตายมิได้...จักมิมีเหตุการณ์เฉกครานั้นอีก ข้าสาบาน!

..............
............................



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:18:39 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 55 # Lose of  love..กอดสุดท้าย...แห่งแสงวัน[1]



‘ตนเยี่ยงมึง ...เคยรักในผู้ใดด้วยรึ !? ตนมึงเคยมีด้วยรึ ไอ้สิ่งที่เรียกว่า ‘หัวใจ’ !!’
…..
..
ข้ามองไปยังแววตาสีแดงเพลิง..ผู้ถามคำถามคงมิหวังคำตอบใด.นอกจากถ้อยที่ถางถากตนข้า...ท่านต้องการคำตอบไหมเล่า ? ....ท่านลุง....?

“ตอนนี้ข้ามิมีหรอกสิ่งที่เรียกว่า ‘หัวใจ..’ เมื่อหัวใจข้า ให้...แด่ ภังคียะไปแล้ว ...ภังคียะ ที่เกือบสิ้น เพราะลุงเช่นท่าน...พัตตัง....”

ปลายดาบข้าตวัดลงสันคอเจ้าของร่างนั้นอย่างไม่ลังเล โลหิต สีชาดแดงฉานไปทั่วลานหิน...ข้ามองไปยังท้องฟ้า เมื่อคิดไปถึงเจ้าของ ‘หัวใจ’ ข้า…
... ราตรีสีนิล ฉาบไปด้วยแสงนวลแห่งจันทรา ดวงดาวนับพันรายล้อม จันทร์กระจ่าง ถึงแสงนวลจักมิแรงกล้าเทียบแสงแห่งวัน หากแต่แสงนั้นก็สงบเย็น..ละมุนจนเหล่าดารารายล้อม ...ช่าง...ต่างกับดวงตะวัน แสงวันนั้นร้อนแรงเสียจนกลบดาวทั้งมวล ยิ่งใหญ่แต่โดดเดี่ยว... จันทรา มีดารานับพันรายล้อม หากแต่ใช่ดารารึที่จันทรา ต้องการเคียงคู่....อาทิตย์เยี่ยงข้าต่างหาก ที่สมควรเคียง จันทรา ...อาทิตย์เยี่ยงข้าต่างหาก ที่เป็นเจ้าของ จันทรา เพียงผู้เดียว !!!
..............
............................

เกือบสามปีที่ ภังคียะ หายไป....เป็นสามปีที่ข้า เร่งตนให้ได้มาซึ่งอำนาจ ... ไม่ว่าจักต้องทำวิธีใด ... หากจักเคียงจันทร์ ก็ต้องสูงเสมอจันทร์ !!! การกำจัดขวากหนาม...เป็นหนึ่งในวิธีนั้น ... หากสู้ต่อหน้ามิได้ ก็ต้องลับหลัง การลอบสังหารจำเป็นต้องอาศัยพวก ‘เคี่ยม’ ข้าได้ตนของ ‘เหราไฟ’ มาเป็นแขนขาเกือบ 5 ตน ทั้งหมดเพราะการวางหมากของน้องน้อย ...ที่ยอมแลกทุกอย่างเพื่อข้า ข้ามิรู้ว่า ภังคียะ ใช้วิธีใด หากแต่เหมือนหนทางทั้งหมด อุปราชน้อยได้คำนวณ ให้ข้าแล้ว ...ทุกสิ่งล้วนเป็นไปตามการวางหมากนั้น ยกเว้น ค่ำคืนนี้ที่นอกเหนือจากหมากบนกระดาน ...ข้า...และตนของเหราไฟ...ลอบเด็ดหัว พัตตัง ลุงแท้ๆของ ภังคียะ ลุงที่ท้าให้ น้องน้อยข้า เลือกความตาย...ตนมัน..ก็สมควรตายตกตามกัน!!!
..............
................................
.ข้าลากซากไร้หัวนั้น...โยนลงบ่อเหรา..ไอกำมะถัน...ฟุ้งขึ้นสูงแล้วทิ้งตัวลงเพียงเศษเถ้า เปลวลาวาในหุบเหราเผาไหม้ได้ทุกสิ่ง ...จักนับอะไรกับซากร่าง นาคาเยี่ยงนี้..

“เก็บทุกสิ่งให้เรียบร้อย...วันพรุ่ง แจ้งข่าวยังสุรโภคนคร พัตตัง ท่านสิ้นแล้วด้วยกองโจร..ทางเรา..มิอาจพบแม้ศพ... ”
...............
…เพื่อ ภังคียะ ข้าทำได้ทุกสิ่ง .... ข้า ทำทุกอย่างเพียงเคียงข้างน้องน้อย ต่อให้ใครต่อใครประณาม ต่อให้ต้องทรยศตนทั้งแดน ....ข้าก็จักทำ...
...
มาในวันนี้ ....ข้าได้มาซึ่งทุกสิ่ง...ในวันที่มหาบาราย กำลังจะแล้วเสร็จ วันที่ข้า พบว่า ทุกสิ่งเปลี่ยนไป ....
.. ‘พันธศิลานิล’..เหมือนเป็นเพียงคำเล่า..ทวารหิน..ปิดสลักแน่น...อสูรยักษ์สองตนที่คอยต่อล้อต่อเถียงกันยามข้านำ ภังคียะ มาส่ง ณ ปากทวารศิลา กลับกลายเป็นหินแนบติดกับผนังปราสาท....เสมือน พันธศิลานิลนั้น...ไร้ชีวิต... ไม่มีไอเย็นจากสายน้ำด้านใน ไม่มีกลิ่นบัวสีครามที่เคยลอยหยอกสายลม... เกิดสิ่งใดขึ้น!!!
‘พันธศิลานิล ก็เหมือนสถานเฉพาะ...หากไร้ ‘นาย’ มันก็จักปิดตัวเองลง...แต่ข้าเจ้ามิรู้หรอกเจ้าค่ะว่าหาก พันธศิลานิล ปิดลง จักเป็นเฉกใด ตอนนี้ข้าเจ้าเป็นนายแห่งสถานนั้น หากจะเห็น พันธศิลานิล ปิดลงก็คงแปลก..ต้องรอให้ข้าเจ้าสิ้นก่อน..จึงจักได้รู้เจ้าค่ะ...’
เสียงน้องน้อยข้าดังมาในสำนึก...’ต้องรอให้ข้าสิ้นก่อน’ !!!! หัวใจข้ามันนิ่งจนแทบจะหยุดเต้น !!! เกิดสิ่งใดขึ้นกับ ภังคียะ !!

“ ตามหาองค์อุปราช กับอีหญิงกาลี!!! ตามหาสองตนนั้นให้เจอก่อนวันพรุ่ง!!!!”

... มหาบารายกำลังจะแล้วเสร็จ....สถานแห่งมหาเทพที่ข้าสร้างเพื่อเจ้าเท่านั้น...อยู่ยังที่ใด ภังคียะ.. ได้โปรดเถิด..... กลับมา.. กลับมาหาข้า..... ได้ปรดเถิด กลับมา...
...............................................................
.........................
ข้า...เจอนางแล้ว ...หากแต่ไร้วี่แวว ภังคียะ ...เกินข้ามคืนที่ ภังคียะ หายไป...มีเพียงนางที่ทราบความ ....ร่างบางเบื้องหน้าข้า... ซีดเซียวเฉกซากศพ ....แววตานางเหม่อลอย.ไร้ซึ่งชีวิต .....หญิงนางรำที่เคยได้ชื่อว่างาม...จน.. สะกดให้ อุปราชแห่งสุรโภคานคร คงรัก ....เพลานี้ ริมฝีปากสีสดที่เคยเอิบอิ่ม....แห้งผาก ...นางโอบกอดกริชด้ามยาวไว้แน่น ริมฝีปากแห้งพร่ำบ่น ถ้อยคำแผ่วเบา...ซ้ำไปซ้ำมา...ข้าคงสังเวชนาง... หาก...นางมิใช่ผู้ที่แย่ง รัก.....ไปจากข้า ต่อให้นางไร้แขนขา ก็ใช่ว่าข้าจักใยดี !!

“ภังคียะ อยู่ที่ใด?”

เพียงเอ่ยชื่อนั้น..ก็ทำให้นางหันมาหาข้าได้ไม่ยาก ...ดวงตาเหม่อลอยไร้แวว .....ค่อยๆหลับลงเหมือนต้องการสดับชื่อนั้นให้ชัด น้องข้า ‘รัก’ นางมากแค่ไหน.. ใยข้าจักมิรู้ หากแต่นางที่ทรยศ.. จุดจบมันก็ไม่ต่างกัน ...กับตนอื่น. ไม่ว่ามันตนใดก็มิสมควรทำร้ายน้องข้า...

“สิ้นแล้ว ....สลายไปต่อหน้าข้า....สลายหายไปทั้งหมด....เพราะมัน...เพราะมหินทราตนนั้น....”

นางก้มหน้าพร่ำบ่นถ้อยคำที่ข้ามิอาจเข้าใจ...เกิดสิ่งใดขึ้นกับ ภังคียะ ....

“สิ้นไปแล้ว....ด้วยมือข้าเอง....ข้าเจ้า....ฆ่า องค์ภังคียะ ด้วยมือข้าเจ้าเอง....เพียงเพราะหลงเชื่อคำลวงท่าน....”

“เพียงเพราะข้าเชื่อคำท่าน!! เพียงเพราะข้าเชื่อคำท่าน มหินทรา !!!!”

นางกรีดร้องแล้ว ซบหน้าลงกับด้ามกริชที่โอบไว้..... ข้ามิเข้าใจ ความอันใด.....

“เกิดสิ่งใดขึ้นกับ ภังคียะ ??!!!!”

แววตาแดงกล่ำจดจ้องมองข้า...สองมือเล็กแห่งนาง.. ประคอง.. กริช ด้ามยาวมาวางไว้แทบเท้า ข้า...

“กริชเทวา...ท่านเองมิใช่รึ? ที่ให้ข้าเลือก.... ศักดิ์...แห่ง รานีย์สุรโภคานคร...? รึ... นางหญิงแห่ง ภังคียะ ? เพียงแค่... ทำลายเชื้อสายนาคาในองค์ภังคียะ เพียงแค่แทงกริชนี้ลงไป...แล้วใย!!!??? แล้วใยองค์จึงสูญสลาย !!!!แล้วใย?????!!! แล้วใย!!! ข้าเจ้าเลือกแล้ว..ข้าเจ้าเลือกแล้วไง!!! ข้าเจ้าเลือก องค์ ข้าเจ้าเลือกที่จะเป็นนายหญิง แห่ง องค์ภังคียะ !!! แล้วใยองค์ถึงดับสูญไป !!! คืนมา !! เอาคืนมา !! เอาตนรักแห่งข้าคืนมา!!!! เอาคืนมา!!! ”

นางกรีดร้อง...และกล่าวโทษข้า...สองหูข้าตอนนี้มิได้ยินคำสาปแช่งอันใด จากนาง สิ่งที่ข้ารับรู้มีเพียงสิ่งเดียว
‘เพียงแค่... ทำลายเชื้อสายนาคาในองค์ภังคียะ เพียงแค่แทงกริชนี้ลงไป...’

หึ ! ข้าหน่ะรึ..? ข้าหน่ะรึ เป็นผู้กล่าว คำนั้น ? ข้าหน่ะรึ??.... กริชด้ามนี้ข้ามิเคยเห็นด้วยซ้ำ ...และที่ยิ่งกว่านั้น ข้าหน่ะรึ จักคิดให้ผู้ใดทำร้าย ตนที่ข้ารักที่สุด !!!!!
........................................
..................................................................................................
....กาลผันผ่านไปจนข้ามิอาจนับ ....พะเตรียง ...หญิงนางนั้น กักขังตนเองไว้ ใต้ มหาบาราย เพียงเพื่อสวดอ้อนวอนต่อ องค์บรรพตี นางขอให้ได้พบ ภังคียะ อีกครั้ง...
แต่...สำหรับข้า....
....สุดท้าย.....ข้าเองก็มิอาจพบ ภังคียะ กี่ปีกี่ทิวากาล ที่ข้าเฝ้ารอคอย น้องน้อยของข้า... คงเป็นเพราะไร้ร่างที่จะยืนยันว่า ภังคียะ สิ้นแล้ว ข้าจึงได้แต่หลอกตนเอง...ว่า น้องน้อยของข้ายังคงอยู่...แม้.....ข้ามิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น หากแต่เกือบทุกทิวา...ที่ แสงจันทร์ส่อง ข้าก็อดมิได้ที่จะไปสถิตยังหน้าทวารแห่งพันธศิลานิล... ทุกครั้งที่รู้ตน ข้าเพียงหวังว่าวันใดวันหนึ่ง ปากทวารนี้จักเปิดออก....คราก่อนเกือบสามปี.. ที่มันปิดลง...หากแต่ครั้งนี้ไม่ว่า.. แม้จัก..ผ่านไปสิบหรือยี่สิบปี มันก็ยังลงกลอนสลักปิดตายไว้เฉกเดิม......
............กับชีพที่คงนิรันดร์....ข้า...ต้องทรมาน อีกนานแค่ไหนกับการรอคอย...เพียงเจ้าเท่านั้น น้องน้อย ข้าอยากพบเพียงเจ้าเท่านั้น ....หากแต่เจ้าเล่า... อยู่แห่งใด ?
.............
...หากตนข้ายอมทิ้งร่างนี้ ...หากข้ายอมดับชีพ..ยามตกลงสู่ นิรยะแดน อันมืดมิด เจ้าจักรอข้าอยู่ยัง.. อสินขะแดน รึไม่ ? หากเจ้าอยู่ยังแดนนั้น...
.ข้าก็จักติดตามไป...

.รอข้าเถิด ภังคียะ..

.รอข้าเถิด...
.......................
.....................ไม่ว่าเจ้าจักสถิต ณ ที่ใด............ข้าจักติดตามไป....
..............
............................

http://www.youtube.com/watch?v=YK_Zydjt3ro

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2012 20:35:43 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 55 # Lose of  love..กอดสุดท้าย...แห่งแสงวัน[2]


...ผมละสายตาจากตัวหนังสือ...

สมาธิทั้งหมดของผมตอนนี้อยู่ที่ ฝ่ามือเย็น ของเจ้าตัวแสบ ภินทร์ คงหลับลึกไปแล้ว...ผมได้แต่กำกระชับ มือเย็นนั่นไว้ให้แน่นขึ้นอีก มือนี้ผมจะไม่ปล่อยเด็ดขาด ...ผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น ....เรื่องราวที่ผมรับรู้...... ความรู้สึกทั้งหมดของ ไอ้โง่ตัวหนึ่งที่ปล่อยมือของคนที่รักที่สุดไป....

....แล้วยังไง??
………
..
…คิดว่าผมจะทำแบบมันหรือ ?

......ผมไม่สนหรอกว่า ภังคียะที่น่าสงสารนั้นเป็น ไอ้ภินทร์ จริงหรือเปล่า...

ไม่สนด้วยว่า เมื่อก่อน ไอ้มหินบ้าอะไรนั่นจะรัก ภังคียะ แค่ไหน .....

.....ตอนนี้...ที่เป็นอยู่ ...คือผมไม่อยากซ้ำรอยมัน ...

ผมอยากอยู่กับ ภินทร์ ....อยากกอดมัน อยากตื่นขึ้นมาแล้วเจอมัน..ทุกเช้า ..อยากนอนหลับลงพร้อมๆกันทุกคืน...

…..

ถ้าถามความรู้สึก...ผมบอกไม่ได้ว่า ผมรักมันหรือเปล่า ...กับไอ้กระล่อนระดับเทพ...กับไอ้ปลาไหลตัวพ่อ...กับไอ้เพื่อนที่ผมสนิทที่สุด ...คำว่า ‘รัก’ มันจำกัดความว่ายังไง?

………..ผมไม่เคยพูดหรือบอกใครว่าผมรัก ภินทร์ ...
..............
............................

..ผมได้แต่ใช้สายตามอง ตอนมีใครมาวุ่นวายกับมัน ....และลงไม้ลงมือกับตัวผู้ที่เข้ามาหามันในบางครั้ง...ตอนที่มันเผลอ....นี้เรียกว่า รัก งั้นหรือ? ไม่ใช่หรอก..มั้ง...

..แล้วก็กับ อีกาลีนั่นอีกคน..(ขอโทษนะที่หยาบขนาดนี้ ปกติไม่เคยเรียกผู้หญิงคนไหนจิกหัวได้เท่านี้เลย..ผมขอโทษเพศแม่ทุกคน ยกเว้นอีนางนั่น..)..ผู้หญิงที่สวยแต่รูป ...ก็ยอมรับว่าสวย...หึ! สวยแล้วไง ขอให้หน้าตาใช้ได้ มีอกมีเอว เดินเข้าหา ภินทร์ ...มันก็อ้าแขนรับทั้งนั้น ....แต่ที่แค้นที่สุด ก็เพราะแค่เห็นหน้าอีกาลีนี้ ...ผมก็เกลียดอย่างบอกไม่ถูก ...ไม่ใช่เพราะมันเคยทำอะไรไว้ในอดีตหรอก เอาแค่ปัจจุบันที่ผู้หญิงคนนั้นทำกับผม....ผมก็เกลียดนางนั่นจนเกินอธิบายแล้ว!! มันทำอะไรกับผมเหรอ?

ไว้ให้หายแค้นก่อนจะเล่าให้ฟัง...ขืนเล่าตอนนี้จะหาว่าผมเอาอารมณ์มาใส่ร้ายผู้หญิง...

..............
............................

..เจ้าตัวแสบที่นอนนิ่ง..อยู่ๆ ก็พลิกตัวซะงั้น มันเลยเหมือนดึงมือผมไปด้วย เจ้าของมือเย็นที่ผมจับอยู่ งัวเงียลืมตาขึ้นมา แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือผม...จนผมสงสัย เป็นเพราะผมจับมือนี้ไว้อยู่หรือเป็นเพราะเจ้าของมือไม่ยอมปล่อยผมกันแน่

“อะตรอม? …ยังไม่นอนอีกหรอ? ”

เจ้าตัวแสบ ปล่อยมือผมเพื่อขยี้ตาตัวเองซ้ำๆ ก่อนจะพยักหน้าสั่ง....เพราะอยู่ด้วยกันมาได้ระยะหนึ่งหล่ะมั้งผมถึงรู้ว่าอาการแบบนี้เจ้าตัวแสบอยากดื่มน้ำ... ผมลุกไปเปิดตู้เย็นหยิบนมถั่วเหลืองมาให้มันกล่องหนึ่งกับรินน้ำเย็นใส่แก้วให้อีกแก้ว...ไอ้แสบนิ่งไปก่อนจะสับผงก แก้วเกือบตกแตก...!! ผมได้แต่จ้องหน้ามันทำอะไรมันไม่ได้จริงๆ....

“อะตรอม...ขึ้นมานอนด้วยกันดิ....ไม่เป็นไรหรอก เช้าค่อยลงไปนอนเตียงคนเฝ้าก็ได้..”

ไอ้แสบมันอ้อนผมอีกครั้งตอนที่ผมจะปิดไฟ...
....

..ตัวผมเทียบกับเตียงแล้วเรียกว่าเกือบพอดีเป๊ะ ....แต่นี่มันจะให้ลงไปนอนอัดกับมันสองคน....
..
.........

...
เอาอะไรมาคิด???!!!


..............
............................


ผมนอนตะแคงนิ่งโดยไม่กล้าขยับตัว ...
ไอ้แสบภินทร์ ซุกตัวเย็นๆของมัน เข้ากับแผงอกผม ใกล้...จนผมรับรู้...ถึงลมหายใจอุ่นของมัน

ครับ....

ตอนนี้ผมขึ้นมานอนบนเตียงคนไข้กับ ภินทร์ครับ......



...เคยมีสักครั้งไหม ที่มันขออะไรแล้วผมปฎิเสธ.....


“อะตรอม ตัวอย่างอุ่นเลย”

ภินทร์พูดเบาๆแล้วซุกตัว..แถมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแถมยังจับมือผมมากุมไว้แน่น... อยากจะบอกมันนะ ไม่ใช่เพราะผมตัวอุ่นหรอก แต่เป็นเพราะภินทร์ มันตัวเย็นเองต่างหาก.......

....
.............

....คิดมาถึงตรงนี้ ผมก็พอเข้าใจอะไรบางอย่าง

...........
...

..........ภินทร์ เย็นเฉียบไปทั้งตัว....ต่อให้กอดแน่นแค่ไหน มันก็ไม่มีทางอุ่นขึ้นมาได้...

การที่ผมแยก ภินทร์ ออกจาก ตรินทร์ ได้... ร่างกายนี้ก็มีส่วน ตรินทร์ ตัวอุ่นเหมือนคนทั่วไป...แต่ถ้าเป็น ภินทร์ ร่างกายนี้จะเย็นเฉียบเหมือนคนตาย... ครั้งแรกที่ผมรู้สึก คงเป็นตอนที่อยู่ด้วยกันในสนามบาส ...ตอนนั้นผมคิดว่า คงเป็นเพราะเสียเหงื่อมากเกินไป เจ้าตัวแสบมันถึงได้เย็นไปทั้งตัว...

แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว.....ร่างกายนี้เหมือนเป็นคำสาป...ไม่ว่าจะกอดยังไงมันก็ไม่เย็นขึ้น...เหมือนกับว่ามันจะตายได้ทุกเวลา..คำสาบมันคอยย้ำเตือนผม...ถ้าผมปล่อยมัน แค่เพียงชั่วครู่ ...มันอาจเหลือแค่ร่างกายที่เย็นเฉียบนี้ทิ้งไว้..จนผมอดคิดไม่ได้..เหลือไว้แค่ร่างกาย....ก็ยังดีกว่าไม่เหลืออะไรให้รับรู้ไม่ใช่รึ?
..............
............................

…ชั่วเสี้ยวที่ผมหวนคิดไปยัง ไอ้มหินทรานั่น...

การได้เห็นคนที่รักตายต่อหน้า...บางทีมันอาจดีกว่าการรอคอยโดยไร้จุดหมาย...

‘ความหวัง...มันจะทำร้ายทุกผู้ที่มีหวัง’

ภินทร์เคยบอกผมอย่างนั้น....ตอนนี้ผมคิดว่าผมเข้าใจดี...ผมเข้าใจประโยคที่มันบอกได้ดี....

.............
.......

แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะหวัง....

ถ้าภินทร์ต้องตายจากผมไปจริงๆ ผมก็จะเป็นคนสุดท้ายที่ได้กอดมัน....

.....เรื่องราวข้างหน้าจะเป็นยังไง...ผมไม่อยากรับรู้...ผมรู้แค่คืนนี้.... ตอนนี้... วินาทีนี้..

ผมกอดมันอยู่...

แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว....และจะยิ่งพอใจมากกว่านี้..

ถ้า

...ตอนเช้า

ผม..

.ตื่นขึ้นมา พร้อมมัน....

..........
...
.......

แบบนี้เขาเรียกว่า 'รัก' หรือ เปล่า ...ไม่ใช่มั้ง?!


..............
............................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:26:01 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 56 # See ? We can do.นายเห็นจุดอ่อนไหม B1...?



‘เพล้ง!!!’

‘อืมส์....เสียงแก้วที่ไหนหล่น...? ….ช่างมันเถอะ’
...........
...................
....
....................................
“ตรินทร์ !!!”
……
….
. ‘เสียงใครโวยวาย ?..จะตะโกนทำไม?

อื้อออออ......

ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย...ช่างมันเถอะ...

อืมส์ อุ่น ชะมัด .....ขอซุกอีกหน่อยเถอะ...ไม่อยากลืมตาเลยจริงๆ...สบายโฮกๆ...’
..............
............................

“ตรินทร์ !!! ”

ผมยังไม่ทันลืมตาเลย เรียกว่ายังสะลึมสะลือเมาขี้ตาอยู่ก็ว่าได้.... อยู่ๆพอสิ้นเสียงเรียกชื่อ ตรินทร์ ผมก็โดนกระชากตัวปลิว???!!!

หลังจากนั้นก็....

“ว๊ากกก!!!”

ปึ้ก!!!

พลั๊ก!!!

ตุ๊บ!!!
..............
............................

ไอ้เสียงว๊าก เสียงแรก.....ไม่ต้องเดาครับ เสียงผม.... ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น?

..ถามผมหรือครับ?

...ไม่รู้สิ..มันเกิดขึ้นเร็วมาก…ยังกับหนังแอ็คชั่น!! หลังจากได้ยินใครสักคนเรียกชื่อ ตรินทร์ ผมยังไม่ทันลืมตาเต็มที่เลย ..ก็โดนใครก็ไม่รู้กระชากลงมาจากเตียง จากนั้นก็มีหมัดที่สวนมา ไม่ต้องบอก....กะซัดผมแน่นอน แต่อะตรอมดึงผมหลบมาก่อนจะโดนหมัดนั้นแทน แล้วอะตรอมก็สวนกลับไปเต็มแรงเหมือนกัน หลังจากนั้นก็ เสียงใครสักคนล้มลงไป..ผมหลับตาแน่นตั้งแต่เห็นหมัดอะตรอมแล้ว...ไม่อยากรับรู้ทั้งนั่นว่าเกิดอะไรขึ้น... กว่าจะกล้าหรี่ตาลืมขึ้นมาได้ก็... สักพัก..


จากมุมไกล..หน้าห้อง....

คุณพยาบาลสาวสวย.ยืนนิ่ง....ต่ำลงไปที่เท้าคุณเธอ.. แจกันใบใหญ่ตกแตกกระจาย..ส่วนระยะกระชั้นชิดอะตรอมยังเกร็งโอบผมให้มาซุกอยู่กับอกมัน...ถอยร้นออกไปนิดส่วนผู้ชายสุงอายุเจ้าของหมัดนั้น โดนน้องนางฟ้าดึงแขนรั้งเอาไว้ แต่ไอ้ที่คิดไม่ถึง ...คนที่ล้มลงไปกองที่พื้นเป็น...

....ไอ้บัพ...??

ห้องทั้งห้องเงียบกริบ.... เงียบ...จนผมได้ยินเสียงลมหายใจของอะตรอม บรรยากาศมาคุแบบนี้ผมเกลียดชะมัด มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นจะมีใครพูดอะไรกันซักคำ....ได้แต่จ้องตากันอยู่นั้นหล่ะ...ผมเงยหน้ามองอะตรอมแล้วตบเบาๆที่อกมันเหมือนรู้อะตรอมคลายวงแขนปล่อยตัวผมออก...ผมเดินไปส่งมือกะจะฉุดไอ้บัพให้ลุกยืน ...แต่มันยังมองหน้าผมนิ่งอยู่อย่างนั้น..ตอนแรกกะจะส่งยิ้มหวานให้มัน แต่มีอะไรบางอย่างเหมือนสั่งผมว่า ‘ห้ามยิ้ม !’

“ต้องให้กูพูดไหม?”

ปากผมถามมันไปแล้ว…แต่สมองผมยังไม่ประมวลผลอะไรสักอย่าง...ไม่ต้องรอให้ถามซ้ำมันดึงมือผมแล้วดันตัวขึ้น...คือ...เข้าใจไหมว่าปากกับมือมันไปก่อนสติสตังค์...พอมันดึงมือผมเท่านั้น ผมก็ล้มลงตามแรงดึงมันสิครับ...ไม่ได้เน่าขนาดล้มลงจูบปากมันอย่างดูดดื่มหรอก จิ้นกันไปไกล....ผมแค่ล้มลงไปกระแทกแผงอกมัน.....


อ้ากกกกก!! เจ็บโคตร จมูกจะบานดั้งจะหักไหมเนี้ย !!!???

ซวยอะไรอย่างนี้วะ!! เงยหน้ามองมันอีกทีผมก็น้ำตาคลอแล้ว เจ็บโคตรๆ... แต่ที่เจ็บกว่านั้น..ไอ้ข้างๆเนี้ย พระแพง ยืนอยู่ ... ไหนจะหน้าห้องที่มีคุณพยาบาลอีก...

เสียชีพไม่ว่า..เสียฟอร์มต่อหน้าสาว....เจ็บยิ่งกว่า..เกินบรรยาย....

“เจ็บ...”

ผมครางเสียงเบา อยู่ๆไอ้บัพก็ดึงผมไปกอดไว้กับอก...แล้วลูบหัวผม... มันปลอบเหมือนผมเป็นเด็ก..ต่อหน้าสาวนะเฟ้ย!
สาดดดดด!!! ห่วงภาพพจน์กูบ้างเถอะ หมดกัน ทั้ง คุณพยาบาล ทั้ง พระแพง หมดกัน จบกัน สร้างมากับมือ...

“ขอโทษ...”

ผมได้ยินคำนั้นอย่างชัดเจน...

แค่คำๆเดียวของไอ้บัพ มันเหมือนกับ คีย์เวิร์ดเปิดต่อมน้ำตา...น้ำตาผม....มันไหลเอ่อมาอย่างหยุดไม่อยู่....ผมได้แต่สะอื้นซบกับหน้าอกมัน ....ไม่กล้าเงยหน้าเผชิญผู้คน......อายครับ อายโคตรๆ... แต่ถึงอายยังไงผมเองก็รู้สึกสบายนะที่ได้ร้องไห้ออกไป....ยิ่งวันยิ่งไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง...แล้วก็ไอ้บัพอีก...ปกติผมจะเป็นจะตายยังไง มันก็ไม่เคยสนใจผมนี่น่า...?

……………………………………………….
…………………………………………………………………………………………

…………..สำหรับเมื่อวาน ผมยกให้เป็น ‘วันเสียภาพพจน์ แห่งชาติ’ คิดภาพตามนะมันน่าจะเริ่มมาจาก...........


... คุณพยาบาลเวร ที่เข้ามาตกใจทำแจกันแตก กับภาพที่เห็น…หลังจากนั้น ผมน่าจะโดนเม้าส์ทั่วตึกพยาบาล ว่า...

เพราะผู้ป่วยชายนอนกอดกับแฟน(ชาย) บนเตียงคนไข้ หลังจากนั้น ผู้ป่วยก็โดนคุณพ่อ (คุณปาลาดินทร์ พ่อ ของ ตรินทร์ ) กระชากลงจากเตียงผู้ป่วย เพราะทนไม่ได้ที่เห็นลูกชายนอนกอดกับผู้ชาย (ไอ้อะตรอม …เซ็ง..) จนเกิดการทะเลาะวิวาท แล้ว ก็มีมือที่สาม (ไอ้บัพ) มาแย่งซีน....

....จบครับ...


จบ.....



.....โรงพยาบาลนี้ผมจะไม่ไปเหยียบอีก....
............................................................
........................

เรื่องนี้ทำผมอารมณ์เสียเกือบทั้งวัน แต่ก็เป็นวันแรกที่ผมได้เห็นหน้า คุณปาลาดินทร์ หลายครั้งที่ผมมักจะแอบมองหน้าผู้ชายคนนี้บ่อยๆ พวกที่มีพ่อเป็นของตัวเองนี้ดีจังเนอะ ไอ้ความรู้สึกที่มีใครสักคนคอยเป็นห่วงเป็นใยเรา...มันรู้สึกดีมากจริงๆ ....
และคงจะดีกว่านี้ถ้าคุณพ่อปาลาดินทร์ ไม่หวงลูกชายจนเว่อร์!!!!

………..

…อะตรอมโดนไล่กลับหอตั้งแต่จบเหตุการณ์ ‘วันเสียภาพพจน์แห่งชาติ’ ส่วนผมโดนลากกลับบ้านอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเพราะร้องไห้จนหลับซบไอ้บัพมาตลอดทาง .....ครั้งนี้ผมคลาดกับนางฟ้าของผมอีกแล้ว.....ไว้ค่อยหลอกถามป้านิ่มเอาก็ได้เรื่องของพระแพง...ชิวๆ ไอ้เรื่องตีสนิทคนแก่เนี้ย งานถนัด...

..........................
.........................................

ส่วนตอนนี้หรอครับ ?

อยากรู้ไหมครับว่าผมอยู่ไหน??? ….

…คอนโดไอ้เรดครับ....แต่ห้องที่ผมอยู่...มันไม่ใช่ห้องไอ้เรด... ผมเพิ่งหนีคุณปาลาดินทร์ออกมาเมื่อช่วงเช้า....หนีออกมาโดยลากไอ้บัพออกมาด้วย....ตอนนี้ผมเหมือนคุมเกม ผมรู้วิธีสั่งไอ้บัพแล้ว วิธีที่ ตรินทร์ น่าจะทำได้ก่อนผม..

ทริคง่ายๆ....แค่คิดว่าอยากได้อะไร คิดๆๆ แต่ไม่ต้องพูดไม่ต้องแสดงออก แล้วมองหน้ามัน ...แค่นั้นไม่ถึงสามวินาที ไอ้บัพก็จะทำให้ทุกอย่าง....เหมือนมันเป็นปฎิกิริยาอัตโนมัติ ไอ้เรดเคยเล่าให้ผมฟังว่า ไอ้บัพทำทุกอย่างที่ตรินทร์ สั่งได้ ...หึหึหึ.......
..............

'....ได้เวลา.สนุกแล้วหล่ะสิ.....'

..............
.........................



...

“โผล่หัวมาได้สักที นะมึง...คิดถึงกูล่ะสิ”

เสียงเจ้าของห้องทักผมด้วยภาษาดอกไม้ของมัน ผมละสายตาจากโทรทัศน์ ช่องสารคดีสัตว์โลก..ไปหาคุณเจ้าของห้อง...ที่สายตาเริ่มจะขวางๆ เมื่อเห็นแขกไม่รับเชิญที่ผมดึงมาด้วยนั่งหน้าตายอยู่ในห้อง...
ผมบอกแล้ว........

‘ได้เวลาสนุกแล้วล่ะสิ!!’

 

..............
............................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:33:57 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 57 #  Blue.. Saturday. [1]



..เคยไหม? วันที่คุณคิดไม่ถึงกับอะไรหลายๆ อย่าง...

ทั้งๆที่คิดว่า คนอย่างคุณสามารถทำได้ทุกอย่างที่อยากจะทำ

‘ไอ้จอมแผนการณ์’ ‘เจ้าชู้สุโค่ย ’ ’คนอย่างมึงเคยรักใครจริง? ’ ฯลฯ

เขามองว่าผมเป็นคนอย่างนั้น มันก็มีทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง เพราะผมยังมีหัวใจไง...ผมถึงไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100 % ผมไม่เคยคิดเลยนะว่าผมจะมีวันนี้

...วันที่ท้องฟ้า มันสีหม่นๆ..หลายคนเขาเรียกวันแบบนี้ว่า Blue Day แต่ผมขอเรียกมันว่า Blue.. Saturday แล้วกันเพราะ...ผมอยากให้มันเป็นแบบนี้แค่วันนี้วันเดียว....
...
...................

..เรื่องมันเริ่มมาจาก สิ่งแรกของวันนี้ที่ผม...คาดไม่ถึง...

..............
............................

“โผล่หัวมาได้สักที นะมึง...คิดถึงกูล่ะสิ”

เสียงเจ้าของห้องทักผมด้วยภาษาดอกไม้ของมัน ผมละสายตาจากโทรทัศน์ ช่องสารคดีสัตว์โลก..ไปหาคุณเจ้าของห้อง...มองหน้ากวนส้นที่สายตาเริ่มจะขวางๆ เมื่อเห็นแขกไม่รับเชิญที่ผมดึงมาด้วยนั่งหน้าตายอยู่ในห้อง...
ผมบอกแล้ว........

‘ได้เวลาสนุกแล้วล่ะสิ!!’

..............
............................


“ทำไมกู ต้อง ไปด้วย ? ....”

ไอ้เหี้ยมลุกขึ้นยืนแล้ว ส่งสายตากวนส้นมาให้ผม...

อ๋อออ....เหตุผลเหรอ? มันเห็นกันอยู่เต็มตา เต็ม 100 กว่าเกมส์ที่แสดงผลลัพธ์เดียวกัน...

“ก็เพราะคิงส์แพ้ไง ...”

ผมบอกบทสรุปของทุกอย่างแล้วไล่เก็บตัวโดมิโน่ ใส่กล่อง ไอ้เหี้ยมมองกองโดมิโน่บนโต๊ะ สลับกับมองหน้าไอ้บัพ แล้ว...

สะแหยะยิ้มมุมปาก...

“ภินทร์...มึงรวมหัวกับมันโกงกู”

“โกงตรงไหน ?”

“...สักที่!! แม่ง!! พวกมึงเว่อร์ไปล่ะ มึงขาดอะไร ไอ้เชี่ยนี้ก็โยนให้ตลอด ...ไม่เรียกว่าโกงแล้วเรียกว่าอะไร? สัด!!”

ไอ้เหี้ยมหัวเสียที่ เกมส์ปัญญาอ่อนที่มันว่าทำมันแพ้มาแล้วทุกรอบ...ที่เล่นกันนี้ไม่ต่ำกว่า 100 เกมส์ ความจริงผมกะเล่นแค่ 10 เกมส์พอเป็นพิธีอัญเชิญมันมาใช้งานก็พอ...แต่ไอ้พวกแพ้ไม่ได้อย่างมันดันทุรังจะเล่น เพื่อชนะ!! จนรอบที่ร้อยกว่านี่หล่ะมันถึงหยุด…แต่ยังไม่ยอมรับความจริง...หาว่าผมโกง...โกงอะไร...เขาเรียกว่า ...เข้าขาเฟ้ย!

“....”

ขนาด 100 กว่าเกมส์มันยังรั้น ผมเก็บตัวโดมิโน่ทั้งหมดใส่กล่องยัดใส่ใต้โต๊ะ ลุกขึ้นเดินไปดึงแขนไอ้เหี้ยมให้เข้าไปในห้องครัวด้วยกัน ...

“มึงโกงยังไง ภินทร์...?”

ไอ้เหี้ยมมันยังติดใจไม่เลิก ...นี่มึงแพ้ไม่เป็นเลยใช่ไหม?...

“ไม่ได้โกง...จบไหม?”

ท่าจะไม่ยอมจบ มันขยับปากจะเถียงแต่โดนผมใช้ปากตัวเองปิดมันไว้ก่อน ... จากแค่คิดตัดความรำคาญ... ล้ำเส้นมาไกล..มือมันล้วงเข้าไปในเสื้อผมแล้ว สาดดด! ไอ้บัพยังอยู่ข้างนอกนะเฟ้ย!! ปล่อยให้มันรุกจูบอยู่สักพักกว่าจะถอนปากออกมาได้...

“...ไปช่วยขนของหน่อยดิ...”

“อืมส์...ก็แค่นี้...”

หือ!! ไอ้เหี้ยมมันรับคำง่ายๆ แล้วรุกลิ้นเข้ามา เฮ้ย!!! ไหงเป็นงั้น? แล้วที่เล่นเกมส์กันมานี่อุสาจะหว่านล้อมให้มันช่วยขนของแต่ไหงเล่นมากลับสูญเปล่า ....รู้งี้บอกมันตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง..เซ็งฉิบ!!

“....”

“มองหน้ากูมีอะไร ? รึอยากต่อบนเตียง?”

“คิดได้นะคิงส์..ถามหน่อยเถอะ มีบ้างไหมหยุดคิดเรื่องต่ำๆอะ?”

“ต่ำตรงไหน ? กูก็ว่ากูคิดสูงอยู่นะ..แค่สูงกว่าหน้าแข้งมานิดนึง”

‘นั่น..สูงของมึงแล้วหรอ??? เชี่ย…’

..............
........................

....

“ทำไมไม่ให้กูเฝ้ามึงแทน? ต้องให้กูท่อสังขารมาเก็บของที่ห้องมัน แล้วขับรถไปส่งมึงเพื่อให้มันกลับไปเฝ้ามึงที่บ้านเนี้ยนะ... ”

“อืมส์...”

“เฮ้ย!! ใช้สมองคิดบ้างดิวะ!! มึงจะมา ‘อืมส์’ คำเดียวแล้วจบอย่างนี้เหรอ?”

“อืมส์..”

“...”

ไร้คำเจรจา...ไอ้เหี้ยมหันกลับไปขับรถต่อ ผมนั่งคู่กับมันที่เบาะคนขับ ไอ้บัพนั่งเงียบอยู่ข้างหลัง วันนี้ที่ลากไอ้เหี้ยมมาด้วยเพราะจะให้มันเป็นคนขับรถกับช่วยขนของ บัพย้ายออกไปอยู่ข้างนอกได้สักระยะหนึ่งแล้วเห็นป้านิ่มบอกว่า

‘มันย้ายไปอยู่กับแฟน’

ชื่ออะไรนะ อ๋อ… ‘น้องโฟร์ท’ สาวอิตาเลี่ยนทรงสะบึ้มส์ จะว่าไปก็เหมาะสมกันดี..

‘ไม่!!!!’

อะ..อยู่ๆก็ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาซะอย่างนั้น ไอ้คำว่า ‘ไม่’ ที่ผุดขึ้นมาเหมือนมันดังออกมาจากข้างใน... เล่นเอาผมกุมขมับเลยที่เดียว...เสียงของใคร?

“เป็นอะไร ภินทร์? ..ไหวรึเปล่า? ”

ไม่ต้องพูดอะไร ไอ้เหี้ยมก็ชะลอรถจอดเข้าข้างไหล่ทางแล้ว...แหม..ห่วงกูจริงๆ ผมสั้นหน้าปฎิเสธแล้วบอกให้มันขับไปต่อ จุดหมายคือห้องไอ้บัพ เงยหน้ามองกระจกมองหลัง ก็เจอสายตาของมันที่มองมาเหมือนกัน... เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่อก... สงสัยสายคาดมันรัดแน่นเกินไป หายใจไม่ค่อยออก...

แล้วก็มาถึงครับ ห้องบัพเป็นคอนโด เล็กๆ แต่ข้างล่างต้นไม้เต็มไปหมด...มีสระว่ายน้ำเล็กๆด้วยสิ....ผมขึ้นมาถึงห้องได้ก็เปิดตู้เย็นส่งน้ำให้คุณคนขับรถก่อนเลย...

“เอาน้ำไหม? เดี๋ยวค่อยเก็บของ”

ผมหยิบขวดน้ำในตู้เย็นอีกขวดส่งให้บัพ มันส่ายหน้าแล้ว เดินหายไป ผมเลยเปิดน้ำขวดนั้นมาดื่มแทน หันไปหาไอ้เหี้ยมอีกที มันถือวิสาสะเดินร่อนไปทั่วห้องแล้ว ... สำรวจขนาดนี้ไม่ฉี่รดให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ...

..............
............................

..ก็ได้แต่บ่นว่ามันในใจ เอาเข้าจริงผมก็เนียนดูห้องบัพกับคิงส์ซะงั้น ห้องของบัพแบ่งเป็น สามห้องเล็กๆ มีระเบียงเป็นปูนฉลุลายสูงประมาณครึ่งเอวได้...ที่ระเบียงมีต้นชบาสีแดงสด ออกดอกสะพรั้ง ส่วนมุมสุดก็เป็นต้นโมกซ้อนที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆแซมกับกลิ่นมะลิวัลย์ ที่พันเกาะกับต้นโมก...

“ว่า.... ไม่ต้องให้บัพย้ายของแล้วมั้ง เราว่าเราย้ายมาอยู่ที่นี้กับ บัพท่าจะดีกว่า ...”

ปากผมบอกไอ้เหี้ยมที่เดินเข้ามาใกล้ แต่สายตาผมมองหรี่ลงไปที่ สระว่ายน้ำ สาวๆ 2-3 คนนั่งบ้างว่ายน้ำบ้างอยู่ตรงนั้น...ทำเลทอง จริงๆ...

“กูไม่ให้มึงอยู่ที่นี้...”

ไอ้เหี้ยมโอบเอวผมไว้แล้วถือเนียนเข้ามากอด...

“เฮ้ย! เดี๋ยวบัพเห็น...”

“ไม่เห็นหรอกมันเก็บของอยู่...รึกูจะทำให้มันเห็นดี? วิวตรงนี้ก็สวย...แถมมุมยังบังได้อีก เปลี่ยนมาเล่นที่ระเบียบบ้างดีกว่าไหม?”

ไอ้เหี้ยมจ้อเหมือนคุยกับตัวเอง แต่ก็ไม่ปล่อยผมสักที มันมองซ้ายมองขวาแล้ว ล้วงมือเข้าไปใต้ ตุ๊กตาตัวเล็กที่แขวนติดกับผนัง ... เหมือนเล่นกล มีซองหลากสี ติดมือมันออกมาด้วย มันโชว์ผมเหมือนเด็กๆหาของที่ซ่อนไว้เจอ...มันยัดซองหนึ่งในนั้นใส่กระเป๋าผมแล้วเก็บซองทั้งหมดไว้ที่เดิม...

....
.............

...ผมได้แต่สงสัย ..หยิบซองที่คุ้นตานั้นขึ้นมาดูถึงกับ ชะงัก ....

...
.......


.กูว่าแล้วว่ามันคุ้นๆ

“Condom... Chocolate flavor.”

ไอ้เหี้ยมกระซิบข้างหูผม แล้วชี้จุดอีก ห้า-หก จุดที่อยู่ในห้องทำเหมือนมันหาสมบัติเจอ...

“ไอ้ญาติมึงซ่อนของแบบนี้ไว้เต็มห้องเลยว่ะ...แถมนี้อีก..”

คิงส์กระซิบข้างหูผมแล้วดึงยกทรงลายลูกไม้ออกมาจากกระเป๋ากางเกง แถมชี้ไปที่ข้างตะกร้าเสื้อผ้าที่วางทับผ้าลายลูกไม้สีชมพู....ผมหน้าชาแล้วเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้าที่ตั้งอยู่ข้างเครื่องเสียง ชั้นล่างสุดซ่อนยกทรงแบบเดียวกันไว้ ...แต่ต่างขนาด

“ไอ้เบือกนั้นเป็นตุ๊ดหรอวะ??”

ไอ้คิงส์ถามผมพร้อมกลั้นไม่ให้ตัวมันเองหลุดหัวเราะออกมา....

“...ให้มันเป็นตุ๊ดซะยังดีกว่า....นี่ไม่ใช่ของมันหรอก ของผู้หญิงหลายคน แค่รสนิยมเดียวกัน ....ไอ้พวกบ้าลายลูกไม้...”

ผมกัดฟันตอบคิงส์..

แถมยังเกร็งมือกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ....อากาศเหมือนจะไม่พอที่จะหายใจ... รู้สึกโกรธ... โกรธมากจนความคุบตัวเองไม่ได้...แต่พอถามตัวเองก็อธิบายไม่ได้ว่า ผมโกรธอะไร แล้วเรื่องยกทรงที่ซ่อนอยู่ใต้ลิ้นชักตู้เครื่องเสียงนี้อีก ผมรู้ได้ยังไง? แล้วไหงเสือกรู้อีกว่า ยกทรงนี้ของผู้หญิงหลายคน ไม่ใช่ของที่ไอ้บัพเอาไว้ใส่เอง? ถึงมันจะให้ใครใส่หรือใส่เองก็เถอะ

...ผมมีสิทธิ์อะไรไปโกรธมัน....

..............
............................

..ผมไม่รู้ ..

..รู้แต่ผมโกรธ!!!! โกรธมากด้วย!!!!
..............
............................



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:47:46 โดย Zitraphat »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 57 #  Blue.. Saturday. [2]



...กว่าบัพจะเก็บของในห้องนอนเสร็จก็เกือบครึ่งชั่วโมง ผมเดินลงมารอที่รถก่อน ไม่อยากมองหน้ามัน อธิบายความรู้สึกไม่ถูก ... อารมณ์ร้อนที่เหมือนกาต้มน้ำกำลังเดือดปุดๆ ตอนนี้ถ้าใครเข้ามาใกล้ ผมสามารถซัดมันได้เลย...
…รึจะเข้าวัยทองก่อนเกณฑ์ ผมได้แต่ถามตัวเองกับสภาวะอารมณ์แปรปวนของตัวเอง...

“Ciao… Ciao..”

เสียงหวานสำเนียงแปร่งๆ มาพร้อมแรงสะกิดเบาๆที่ต้นแขน อารมณ์อยากซัดใครสักคน หมดไปทันทีที่เห็น..

‘โฟร์ท.....’

ผมขืนยิ้มให้กับสาวสวยเบื้องหน้า โครงหน้าคม แววตาสีมรกต..คู่หมั่น ไอ้บัพ....คิดถึงชื่อนี้ต่อมจี๊ดในสมองก็เหมือนเร่งไฟต้มน้ำขึ้นมาอีกครั้ง

“มาช่วยบัพ... เอ้ย!! โฆ.. เก็บของ โฟร์ท คงไม่ว่าอะไรนะ พอดีผมเกิดป่วยขึ้นมากะทันหัน เลยขอตัวว่าที่เจ้าบ่าวโฟร์ทไปเฝ้าไข้หน่อย...”

รอยยิ้ม..หวานๆ ของสาวสวย หายไปก่อนจะกลับมาใหม่ ...โฟร์ท แหงนหน้าขึ้นมองไปทิศเดียวกับห้องไอ้บัพ แล้วหันกลับมาจ้องหน้าผม แววตาสีสวย มีน้ำตาเอ่อคลอ...

“เมื่อก่อนคงใช่ แต่ตอนนี้ ไม่แล้วค่ะ ...โฆ..ไม่ได้บอกตรินทร์หรือ โฟร์ทถอนหมั่น โฆเมื่อวันก่อน ...หึ..คงจะกล้าบอกสินะ... ”

โฟร์ทเงียบ...แล้วโผมาซบอกผม ..

‘ถอนหมั่นกันแล้ว...’

“โฆ ...มีคนอื่น ผู้หญิงคนอื่น...ห้องนั้น ที่โฆพาใครต่อใครมา...โฟร์ทไม่อยากเป็นอย่างนี้ ..โฟร์ทไม่อยากอยู่กับผู้หญิงพวกนั้น...”

เอาสิครับ... ความแตก...ก็ทีนี้ เห็นเงียบๆอย่างไอ้บัพมันก็ไวไฟใช่เล่น ...ผมได้แต่โอบโฟร์ทมากอดไว้แล้วลูบหลังเบาๆ ถึงจะมองว่าแรงแต่โฟร์ทก็ไม่อยากจะใช้ว่าที่สามีร่วมกับคนอื่น ...

มีหลายเรื่องที่ผมมองพลาดไปจริงๆ ล่ำลาได้สักพัก โฟร์ทก็ขอตัวกลับ ผมอาสาช่วยเธอถือของพร้อมเดินไปส่งเธอที่รถ ถึงได้รู้ว่าเธอก็มีห้องอยู่คอนโดนี้แต่คนละห้องกับบัพ..และตอนนี้เธอได้เวลาย้ายห้องแล้ว...

....ในรถผมเห็นผู้ชายชาวต่างชาติอีกคน หน้าตาใช้ได้ขนาดใส่แว่นดำนะ??...สงสัยจะเป็นอิตาเลี่ยนเหมือนโฟร์ท ผู้ชายคนนั้นนั่งอยู่ที่เบาะหลังทำตัวเหมือนเป็นหมอนให้ผู้ชายอีกคนที่ หลับซบลงไปที่ตัก คนไทย?

“ไม่ลงไปช่วยถือของเลยนะ ...”

โฟร์ท บ่นกับคนเบาะหลัง แต่ก็ยังอมยิ้มเมื่อผมส่งของที่ช่วยถือมาว่างไว้ที่เบาะข้างๆ ให้เธอ ว่าไปโฟร์ทก็น่ารักนะ ...เซ็กซี่อีกต่างหาก...

“ลงไปไม่ได้ ภัทร หลับอยู่...”

สำเนียงแปร่งแต่น้ำเสียงนุ่มดังมาจากเบาะหลัง ...พูดไทยได้?!

“โอ๋กันเข้าไป วันไหน นายโดนพี่เดียร์ทิ้ง ฉันจะหัวเราะให้!!”

“เหมือนที่เธอโดนน่ะเหรอ?”

เสียงขุ่นสวนขึ้นมาทันควัน เป็นผู้ชายที่ปากจัดใช้ได้...

“ของฉัน ฉันถอนหมั่นเอง !!! ไม่ได้โดนทิ้งอย่างที่นายเข้าใจ .....ตรินทร์... โฟร์ท ไปก่อนนะ อยู่นานกว่านี้กลัว จะฆ่า ใครให้ ตรินทร์ เห็น เดี๋ยวจะดูไม่ดีในสายตาตรินทร์ เปล่าๆ .. Ciao Ciao จ๊ะ”

โฟร์ท โน้มคอผมมาจูบก่อนจะปิดประตูรถแล้ว ขับออกไป ....ทิ้งให้ผมงงเล่น ขนาดเสียงดังขนาดนั้น ผู้ชายที่ชื่อเดียร์ ที่นอนอยู่ยังไม่ตื่น แปลกดี...

..............
............................


“ที่ร้านมีเรื่องนิดหน่อย กลับเองได้นะ?”

คิงส์วางสายโทรศัพท์ แล้วเดินตรงออกไปที่รถ ผมก็ยังว่าอยู่ว่าจะต้องมีเรื่องอะไรแน่เพราะมันนานมากกว่า คิงส์จะเดินลงมาจากห้องทั้งๆที่บัพเก็บของเสร็จตั้งนานแล้ว...

“ไม่ต้องไปที่คลับกูนะ คลับใบไม้ก็ไม่ต้องไป !!...”

ไอ้เหี้ยมเปิดกระจกตะโกนบอกผมที่กำลังจะก้าวขึ้นรถบัพ...แล้วมันก็เร่งความเร็ว ขับออกไป..

‘อะไรของมัน...’

..............
............................

…เที่ยวขากลับ บัพ พาขับรถออกมาคนละทางที่คิงส์เคยพามา มันพาผมแวะที่ร้านเล็กๆ ริมทาง เข้าไปก็เจอ ของดีเลย เสียงเพลงที่ดังขึ้นทำเอาผมหันไปหาต้นเสียง ถึงเป็นแค่ร้านเล็กๆ แต่คนที่ร้องเพลงอยู่บนเวทีเสียงเพราะใช้ได้...จะว่าไปร้านอื่นผมไม่ค่อยได้เข้าเพราะมีร้านประจำ ถ้าไม่ใช่ร้านสไตล์ฮิปฮอบฮาเรมแบบร้านคิงส์ ก็คลับใบไม้ของพี่นพ ฟังนักร้องบนเวทีแล้วรู้สึกสมเพชตัวเอง เมื่อก่อนไอ้เรดเคยแหย่ผมเรื่องเสียงร้องที่เหมาะมากกับเสียงดนตรี (ความหมายของมันคงประมาณว่าต้องเอาดนตรีเข้าช่วยนั้นหล่ะถึงจะพอฟังได้ สาดดด! กูเป็นนักร้องนำนะ..) แต่ช่างมันเถอะ ผมพยายามมองหาที่นั่ง โต๊ะหน้าสุดพวกผู้ชาย สี่ห้าคนนั่งจองกันหมดแล้ว ถัดมาก็มีคนนั่ง สายตาผมไล่ไปเรื่อยจนไปสะดุดเข้ากับ เด็กหนุ่มหน้าหวาน...ที่นั่งกับกลุ่ม
เพื่อนๆ ...บัส ...

...ตอนนี้บัสคงไม่เห็นผม เพราะสายตาคุ่นั้นมัวแต่จ้องนักร้องบนเวที ...

ผมเดินไปจูงมือ ไอ้บัพให้มานั่งอยู่อีกมุมที่มีเคาว์เตอร์เหล้า ให้บัพนั่งตรงโซฟายาว ส่วนผมเองก็ขยับ ไปนั่งบนเก้าอี้บาร์ หน้าเคาว์เตอร์ โยนเมนูให้บัพสั่ง บัพมันก็รู้งานไม่ถามอะไรผมอีก อารมณ์ โกรธที่มีมาตั้งแต่อยู่ที่ห้องบัพหายไปแล้ว แต่อารมณ์ หดหู้มันเข้ามาแทน ..ตอนมองหน้าแฟนตัวเอง จ้องคนอื่น ...ผมมองบัพสั่งของแล้ว หันไปมองบัส...บัสดูจะชอบนายนักร้องคนนั้นมากเลยนะ...ไม่ทันที่ผมจะคิดอะไร บัสก็เดินยกแก้วเหล้าเดินไปให้นักร้องนั่นแล้ว...ผมได้แต่จ้องหน้านักร้องบนเวที...ใช่สิผมเป็นนักร้องที่ คลับใบไม้ได้ก็คงเพราะอยู่ในวงเดียวกับพวกไอ้เรด ที่จีบบัสติดก็เพราะความหน้าด้านของผมเองที่จับน้องเขากดตอนเมา ถ้าไอ้คิงส์ไม่ทิ้งบัส น้องเขาจะหันมาหาผมไหม? ไม่มีทาง...นักร้องนั้นกลับลงมาแล้ว ไปเดินไปนั่งกับพวกโต๊ะหน้า บัสยังไม่วางตาจากนักร้องนั่นเลย...
......

......ผมแนบหน้าลงไปกับโต๊ะ...มองไปที่ทางเข้าห้องน้ำ บัสเดินตามนักร้องคนนั้นไปแล้ว...หัวใจมันเหมือนโดนบีบ สมองมันโหวงๆเหมือนไม่ใช่ตัวผมเอง ....

....
...ผม...ไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยสินะ ...

เสียงไม่ดีเท่านักร้องคนนั้น ไม่ได้ขาวโอโม่อย่างนั้นด้วย สิ ...แถมช่วงนี้ผมยังไม่ค่อยมีเวลาให้บัสอีก

..มันก็ไม่ผิดหรอกถ้าบัสจะมีคนอื่น..

"บัพ...กูไม่มีอะไรดีเลยใช่ไหม? ไม่ได้แมนเหมือนตรินทร์ ยังเสือกขโมยร่างตรินทร์ มาอีก.. ไม่หล่อเท่ามึง ไม่ได้เล่นดนตรีเก่งเหมือนพวกไอ้เรด ไม่ได้แข็งแรงเล่นกีฬาเก่งขนาดอะตรอม ..ไม่ได้เลวบ้านรวยอย่างไอ้คิงส์....ถ้าใครสักคนจะทิ้งกูไปหาคนใหม่...เขาก็ไม่ผิดใช่ไหม? เพราะกูมันไม่มีอะไรดีสักอย่างเลยใช่ไหม? มันก็สมควรใช่ไหมที่กูจะไม่มีใคร...”

บัพมองหน้าผมแล้วลุกขึ้นเอามือใหญ่ของมันมาขยี้หัวผมเบาๆ มืออุ่นๆของบัพแตะที่แก้มผมเบาๆ เหมือนตอน B1 มองหน้า B2 ..บัพมันคงรู้หมดแล้วว่าผมรู้สึกยังไง.หึ ...คิดภาพแล้วอยากจะตลกนะแต่ตลกไม่ออก

"ภินทร์ มี ผม...นอกจากตรินทร์แล้ว อีกคนที่ผมห่วง...ก็คือ ภินทร์ ..."

...
..........ผมมองหน้าบัพนิ่ง....เป็นครั้งแรกที่บัพยิ้มให้ผม...มันอบอุ่นมากอย่างบอกไม่ถูก อบอุ่น จนอยากเก็บไว้เอง...

”อยากได้มึงจังเลยว่ะ....."

“....."

บัพเงียบไปหลังจากได้ยินประโยคนั้นของผม... ผมค่อยๆพยุงตัวเองขึ้นมาจากโต๊ะ แล้วเดินเข้าไปกอดมันจนมันทรุดลงไปนั่งที่โซฟา ...
......

“อยากได้มึง.....มาเป็นพ่อกูจัง...”

“ถ้ามีลูกอย่างนายเราคงจะปวดหัวน่าดู”

“งั้นก็เตรียมพาราฯไว้สักสามโหลครึ่ง..แล้วกัน”

“.....”

“บัพ...ถ้านายยอมเป็นพ่อเรา เราขออย่างดิ”

“....?”

“เราอยากได้ ตรินทร์ เป็น แม่...แค่ตรินทร์ เท่านั้น ...”

“....”

“แค่ตรินทร์ ไม่ใช่ผู้หญิงอื่น…”

..............
............................

‘ท้องฟ้า บางครั้งมันก็หม่นๆ มันไม่ได้เป็นสีฟ้าเสมอๆไป....สิ่งที่คิดบางที่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่คิด...เพราะผมยังเป็นมนุษย์ ยังมีหัวใจ มันไม่มีอะไรที่จะสมหวังหรือผิดหวังไปตลอดหรอกน่า...ยอมให้..แค่วันนี้วันเดียวนะ Blue.. Saturday

... แล้ววันพรุ่งนี้ผมก็จะกลับไปเป็นคนเดิมวันนี้ผมอาจอ่อนแอ แต่วันพรุ่งนี้ผมจะไม่มีทางปล่อยคนที่ผมรักไปแน่ บัสเป็นของผม และมันก็จะเป็นอย่างนั้น ตลอดไป....ถึงจะมองคนอื่นแล้วไง ก็ได้แค่มอง คนที่กอดบัสได้ตอนนี้จะมีแค่ผม...'



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:53:45 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 58 # Belove เดท! แรก ..... ...ไอติมกะทิ,น้ำโพลาลิตร,หิ่งห้อย


....หลังจบ Blue Saturday ผ่านมา Monday ชีวิตมันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดนัก

เมื่อวานบัพกลับมานอนที่บ้านแล้ว เราแยกห้องนอนกันเหมือนเดิม แต่ขนาดนั้นคุณปาลาดินทร์ก็ยังอารมณ์เสีย ยิ่งตอนรู้ว่า บัพถอนหมั่นกับ โฟร์ท คุณปาลาดินทร์ ถึงกับลุกออกไปจากห้อง ผมได้แต่มองตามหลังผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘พ่อ’ ตั้งแต่เจอหน้ากัน ผมยังไม่เคยคุยกับ คุณปาลาดินทร์ ซักครั้งบรรยากาศมันอึมครึม ไม่เห็นเหมือนคนเป็นพ่อเป็นลูกกันสักนิด ผมเลยหลบไปอ้อนป้านิ่มที่แปลงดอกไม้ ฟังป้านิ่มเล่าถึงรู้ว่าการหมั่นหมายของครอบครัวนี้ มันโยงไปถึงเรื่องธุรกิจด้วย ผมเลยถึงบ้างอ้อ เลียบๆเคียงๆ ถามเรื่อง พระแพง

ป้านิ่มมองหน้าผมนานก่อนจะบอกว่า เธอเป็นคู่หมั่นผม....

หมั่นกันตั้งแต่เด็ก ..ครอบครัวของพระแพงทำธุรกิจบางอย่างอยู่ที่ ญี่ปุ่น ....บลาๆๆ ผมไม่รับรู้อะไรแล้ว ตั้งแต่ประโยคที่ว่า

‘พระแพงเป็นคู่หมั่น ตรินทร์ ???’

พอรู้เรื่องนี้ผมก็สมองโล่งไปเลย....ก็คุ้นๆอยู่นะว่า ตรินทร์ มีคู่หมั่น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นพระแพง..เหมือนกับเจอของถูกใจแล้วมันติดป้ายว่า มีเจ้าของจองแล้ว..แถมคนที่จอง ยังเป็นคนที่ผมแย่งไม่ได้อีก....พระแพง...เป็นของ ตรินทร์ ... เล่นเอาผมนอนไม่หลับกับประโยคนั้น...พระแพง เป็น ของตรินทร์ ... ก็แค่ผู้หญิงคนเดียว ที่เพิ่งเจอกันไม่นาน แต่ทำไมทำผมนอนไม่หลับทั้งคืน...

มาที่มหาลัยฯ แต่เช้าพร้อมบัพ..

ผมนั่งที่เบาะหลังเพราะเหมือนมันติดอยู่ในใจว่า...เบาะหน้านั่นเป็นของ ตรินทร์.....

อะไรๆก็เป็นของตรินทร์ทั้งนั้น !!! อารมณ์ผมเริ่มไม่เสถียรอีกแล้ว.. ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือต้องเรียนที่คณะบริหารคนเดียว..ผ่านมาครึ่งวันผมยังไม่เห็นอะตรอมเลย ทั้งๆที่นัดกันไว้แล้วว่าวันนี้จะลงซ้อมบาสด้วยกัน โทรไปก็ไม่ติด...แถมยังไม่ติดต่อมาอีกต่างหาก..หวังว่าคงไม่ได้โดนเรียกกลับบ้านใหญ่อีกหรอกนะ ตามที่ไหนก็ตามได้แต่ให้ไปตามที่บ้านใหญ่ของอะตรอม ผมขอบาย...ตอนนี้ยังผวาทุกครั้งที่คิดถึง มานั่งชิวลมอยู่คณะวิศวะ พวกไอ้เรดได้ฤกษ์สอบเก็บคะแนนมหาโหด ผมที่ดันเรียน บริหารเลยต้องมานั่งรอพวกมันจะว่าไปแถวนี้ก็ไม่มีสาวๆให้มองฆ่าเวลามากนัก หนักไปทางออกสาวกับสาวแต่ไม่ค่อยสวย .....ต่อมฮอร์โมนผมท่าจะฝ่อแล้วมั้ง...มองไปทางไหนก็ไม่มีอะไรจรรณโลงใจเลย แล้วเมื่อไหร่พวกไอ้เรดจะลงมาจากตึกว่ะ

“ พี่ชาย!!! ”

เสียงนี้...ประโยคแบบนี้...ผมแทบไม่ต้องเดาเลย.... คนที่ทำผมนอนไม่หลับทั้งคืน...

.... ‘พระแพง’ ...

ผมยาวสีดำสนิทรวบเป็นมวยผม แซมด้วยดอกปีบ สามสี่ดอก...เสื้อสีขาวมุกตัดกับกระโปรงสีเขียวอ่อน ดูสบายตา ทั้งเรียบร้อยทั้งน่ารัก ผมชอบผู้หญิงสไตล์นี้จัง ถึงรู้ว่าไม่สมควรแต่หัวใจกับร่างกายมันไม่ยอมฟังผมซะงั้น...ยิ้มนี้ส่งออกไปรับพระแพงก่อนที่ขาจะก้าวไปหาร่างบางนั้นเสียอีก ...ท่าจะเป็นเอามาก

“มาทำอะไรที่นี่ค่ะ?”

“คิดถึงพี่ชายค่ะ...เลยขอคุณปาลาดินทร์มาหาพี่ชาย...รบกวนรึเปล่าคะ”

รอยยิ้มหวานๆ ที่ส่งมาพร้อมคำตอบเล่นเอาหัวใจผมกระตุก...ทำไมผมไม่เจอเธอก่อนหน้านี้นะ ...

ก่อนหน้าที่เธอจะเป็นของตรินทร์ ก่อนหน้าที่อะไรๆ มันจะมาจบอย่างนี้ ...

“พี่ชายขา....พระแพง อยากทานไอศกรีม...”

เสียงอ้อนๆกับตากลมๆ สะกดผมอย่างจัง รู้สึกตัวอีกทีผมก็เดินจูงมือนิ่มข้ามถนน เรียกแท็กซี่ ซะแล้ว ในแท็กซี่... มือผมก็ยังไม่ยอมปล่อยมือพระแพง เหมือนมันล็อคกันไว้ด้วยแม่กุญแจ...กลิ่นหอมเย็นของดอกปีบ ส่งกลิ่นจางๆ แต่อวนไปทั้งหัวใจ ผมไม่อยากปล่อยมือนี้เลยจริงๆ.... ว่าจะมาร้านไอศกรีมแต่สุดท้ายผมกลับพาเธอไปนั่งเล่นที่ ป้อมท่าพระอาทิตย์...ไอติมกะทิถ้วยใหญ่จากร้านรถเข็นที่แบ่งกันทานหวาน...เย็นไปถึงหัวใจ...ขวดน้ำเปล่าที่เพิ่งซื้อมา แค่อึกเดียวก็สดชื่น ...

แสงแดดไม่ได้แรงจนเกินไป อากาศก็ดีเพราะนอกจากจะใกล้ริมน้ำแล้วยังมีต้นไม้เป็นร่มเงา บันไดปูนขั้นใหญ่ที่เรานั่งเล่นด้วยกันอย่างไม่กลัวเลอะ เสียงหัวเราะใสๆที่ดังขึ้นทุกครั้งจากมุขที่เล่นเองตบเอง แถมบางมุขของเรายังแป็กได้โล่....นั่งไปได้สักพัก สัตว์คุ้มครองตัวเขื่องก็เริ่มจะขึ้นมาทักทาย มันเริ่มจากปีนหินขึ้นมาจากน้ำแล้ว ค่อยๆคลานขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้...พระแพงจับมือผมไว้แน่น...ดวงตากลมๆ ฉายแวววิบวับ มองผมสลับกับมองเจ้าสัตว์เลื้อยคลานนั้นเหมือนทั้งอยากรู้ อยากเห็น แต่ก็ยังกล้าๆกลัวๆ เพราะผมยังยึดมือเธอไว้ไม่ยอมปล่อย

“พระแพง อยากลองลูบหัวมันจัง...พี่ชายมันจะกัดไหมพี่ชาย?”

ผมแทบสำลักน้ำเปล่า ...ผู้หญิงที่ไหนเขาอยากเล่นกับไอ้ตัวนั้นบ้าง?!! แต่ก็ได้แค่คิด...พระแพงทำท่าจะลุกเดินไปหามัน !! เฮ้ย!! ผมดึงมือเล็กนั้นไว้แล้วส่งสายตาดุๆให้เด็กสาวจอมซน ... ความรู้จากรายการสารคดี สัตว์โลกที่เคยดูเห็นทีต้องเอามาใช้ก็คราวนี้ ยังสงสัย ที่ญี่ปุ่น ไม่มี ไอ้ตัวแบบนี้บ้างหรอ?

“ชื่อภาษาไทยเรียก ตัวเงินตัวทอง หรือ ตัวเหี้ย ค่ะ คนไทยจัดว่าเจ้าตัวนี้เป็นตัวซวย เพราะมันกินได้อย่างล้างผลาญมากมายค่ะ อย่างบ่อปลาตากลม ถ้ามีเจ้าตัวนี้ลงไปมันกินปลาหมดทั้งบ่อ ไก่กุ๊กๆมันก็ลากไปทานได้ ส่วนลูกหมาหรือแมวเหมียว ถ้ามันเจอมันก็ลากไปกินได้เหมือนกัน พระแพงเห็นหางมันไหมคะ อันนั้นใช้ฟาดใส่ เหมือนจระเข้ ส่วนปากมันก็มีแต่เชื้อโรค.. ฉะนั้น..ห้ามเล่นกับมันค่ะ...ห้ามลูบหัวด้วยค่ะ ...ไม่ต้องแม้แต่จะคิดเดินไปใกล้ด้วยค่ะ..นั่งนิ่งๆ ..ทำได้ไหมค่ะ?”

เด็กน้อยของผม เม้มปากแน่นแถมทำแก้มป่องได้ น่ารักโฮก เห็นแล้วน่าหยิกชะมัด หมดความสนใจจากสัตว์สงวนตัวเขื่อง เมื่อไอ้ตัวนั้นมันคลานลงน้ำไปแล้ว โผล่ไปเกาะที่ต้นไม้ใหญ่ ผมชี้ให้พระแพงดู ต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ข้างหน้า

“ต้นลำพู ค่ะ เขาว่าต้นนี้เป็นต้นสุดท้ายของบางลำพู ”

“เอาไว้ทำอะไรคะ?”

“เอาไว้ให้หิ่งห้อยเกาะ...มั้ง?”

“หิ่งห้อย?”

“ไอ้ตัวที่ตอนกลางคืน มันบินส่องแสงแวบๆอะค่ะ”

“แล้วคืนนี้จะมีไหมคะ? ถ้าเรานั่งรออยู่อย่างนี้ เราจะเห็นไหมคะ?”

“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน...ไม่เคยนั่งรอจนเห็นหิ่งห้อยสักที”

“พระแพงอยากเห็น”

“ไว้ว่างๆพี่ พาไปดูที่อัมพวา...ที่นั่นมีเยอะ ”

“เขาว่าหิ่งห้อยเป็นวิญญาณคนตาย...แล้วถ้าหิ่งห้อยตาย ...มันจะกลายเป็นดวงดาว”

เสียงใสของพระแพงเริ่มจะเบาลงเมื่อเอ่ยประโยคนั้น..

“พระแพงรู้เรื่อง ‘คู่กรรม’ ไหมคะ? นิยายของไทย นายทหารญี่ปุ่นรักสาวไทย ในตอนที่เขากำลังจะตาย เขาบอกคนรักว่า เขาจะกลายเป็นหิ่งห้อยไปรอเธอที่ทางช้างเผือก เศร้าดีเนอะ ...”

ผมเล่าเรื่องที่พอรู้มาบ้างให้ พระแพงฟัง ริมฝีปากอิ่มสีสดเม้มเข้าหากัน ดวงตากลมโตจดจ้องไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า มือนิ่มบีบมือผมแน่น จนมันเริ่มจะร้อน

“พระแพงมีเรื่องเศร้ากว่านี้อีกค่ะ...ผู้หญิงชาวไทยนั่นยังดีที่รู้ว่าคนรักเธอจะรอเธอบนท้องฟ้า...แต่เรื่องเศร้าของพระแพง...ผู้หญิงในเรื่องนั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่มีคำพูดสุดท้าย ไม่มีสัญญาที่ให้กัน ไม่มีแม้แต่ดวงวิญญาณให้เฝ้ารอ ....ถ้าพระแพงเป็น ผู้หญิงไทยคนนั้น พระแพงคงดีใจที่รู้ว่าเขายังรอ...ขอแค่นั้นก็พอ...แค่เพียงบอกว่าจะรอ...ขอแค่นั้นก็พอ...”

เสียงใสเริ่มจะสั่น หลังจากนั้นก็เป็นผมที่ต้องโอบร่างบางนั้นมาซบไว้กับอก พระแพงได้แต่สะอื้นไห้น้ำตาที่ไหลออกมาเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด...นิยายของญี่ปุ่นมันมีเรื่องเศร้าแบบนี้ด้วยเหรอ ?

..............
.........................

...

ผมนั่งกอดพระแพงไว้ เกือบสองชั่วโมงที่พระแพงร้องไห้ไม่หยุด ดวงตากลมบนหน้าหวานเริ่มจะช้ำแดงเพราะผ่านการร้องไห้แบบมารทอน ผมยื่นขวดน้ำที่ผมเก็บไว้ให้แม่กระต่ายตาแดงก็ยกดื่มแบบไม่เกรงใจประชาชน จนสำลัก ผมได้แต่ลูบแผ่นหลังให้เธอ มองเด็กสาวตรงหน้าแล้วผมอดอมยิ้มไม่ได้ เธอน่ารักได้อย่างไม่ต้องเสริมแต่ง....ต่อมอิจฉา ตรินทร์ของผมเริ่มจะโต
ขึ้นอีกแล้วสิ...

“หิวหรือยังคะ?”

ผมถามพร้อมเกลี่ยนิ้วปาดคราบน้ำตาที่ยังติดวงหน้านวล พระแพงไม่ได้ขาว หมวย แต่สีผิวของเธอออกจะเป็นสีนวลแปลก โดยรวมแล้วมันก็ดูดี สีแบบนี้รึเปล่าที่โบราณเขาว่า สีกลีบบัว?

“พี่ชายมองอะไร คะ? พระแพงหิวแล้ว...”

มัวแต่มองผิวเนียนๆ จนเจ้าของเขาเอ่ยทัก...แต่ผมก็ยังอดสงสัยไม่ได้จนหลุดเอ่ยปากถาม

“พระแพง..ผิวสีแปลกดีนะคะ”

วงแขนเนียนโอบคล้องเข้ากับแขนผม เจ้าของรอยยิ้มหวานกับตากลมสีแดงที่เพิ่งผ่านการร้องไห้ เงยหน้าจ้องผมอย่างไม่วางตา ครั้งแรกนะที่มีผู้หญิงมาจ้องอย่างนี้ ปกติเคยแต่จ้องชาวบ้านเขา

“สีแปลก...แต่พี่ชายก็ชอบนิคะ ...หรือไม่จริง?”

“...”

กับเธอคนนี้บอกได้ตามตรง....ผมแพ้ทางจริงๆ

“พระแพงอยากทาน สปาเก็ตตี้ ”

ผมหันไปตามเสียงอ้อน ...เอ๋? อย่างกับพระแพงรู้เลยว่าผมคิดอะไร ...

“พี่ก็กำลังจะพาไปทาน สปาเก็ตตี้ ค่ะ...แต่เป็นสปาเก็ตตี้ไก่นะ..ที่ข้าวสารมีร้านอร่อยอยู่ร้านนึง แต่ตามธรรมเนียมต้องทาน จานเดียวแต่สองคนนะ...ไหวรึเปล่า”

“ไหวเจ้าค่ะ!!”

พระแพงยิ้มรับแล้วไถหัวทุยๆกับต้นแขนผม ....น่ารักเกินไปแล้ว.....

..............
............................

..ถ้ามีแฟนผมก็อยากมีแฟนแบบนี้นะ มีแล้วสุขใจ เป็นแฟนกันมันก็ต้องอยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ อยู่ด้วยกันแล้วเย็นใจ ....ถ้ามีผู้หญิงสักคนที่ผมจะแต่งงานด้วย ก็พระแพงนี้ล่ะ...

...แต่คงไม่ได้สินะ...

เพราะพระแพงหน่ะ เป็นของ ตรินทร์ผมเคยขอให้บัพเป็นพ่อแล้วให้ ตรินทร์ เป็นแม่ ....ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ มีพ่อที่อบอุ่นได้อย่างบัพ แถมเจ้าชู้เงียบได้อย่างไร้ร่องรอย ถ้าวันนั้นไอ้คิงส์ไม่พาไปเจอหลักฐานผมก็คงคิดว่าบัพซื่อ(บื้อ)อยู่อย่างนั้น...น่าคารวะมาเป็นตัวพ่อจริงๆ แต่ถึงยังงั้นมองตาก็รู้ว่า บัพ ห่วงตรินทร์ รักตรินทร์ ขนาดไหน แล้วถ้าได้แม่อย่างตรินทร์ ครอบครัวผมคงมีความสุข คงเป็นตรินทร์คนเดียวที่คุมบัพอยู่ มือหนักขนาด ให้ตัวพ่อแค่ไหนก็อยู่มือหล่ะน่า.....

....แต่ก็แค่นั้นถึงขอไป...แล้วยังไง...ถึงอยากให้เป็น แต่ผมจะทำอะไรได้

....แค่ชีวิตของตัวเองยังไม่มีกับเขาเลย ...สักวันที่ตรินทร์กลับมา....


แม้แต่มือของพระแพงที่ผมกุมอยู่นี่ ผมก็ต้องคืนให้ตรินทร์ .... พระแพง เป็นของ ตรินทร์ ..

..............
............................

“มีอะไรคะพี่ชาย?”

คิดแล้วผมก็เผลอกระชับมือนิ่มที่กุมไว้ จนพระแพงหันมาถาม รอยยิ้ม กับ คำหวานๆเพราะๆ ของพระแพง ผมขอเก็บไว้ก่อนได้ไหม ...

“เปล่าค่ะ แค่พี่หิวแล้ว เดินอีกนิดนึง ก็ถึงแล้ว สปาเก็ตตี้ไก่...”
..............
............................

.......ไอ้คิงส์บอกห้ามเข้าไปที่คลับมัน คลับใบไม้ ของพี่นพก็ด้วย ....
....
..
.....งั้นแค่แวะหาอะไรทานที่ D-คลับ คงไม่เป็นไรมั้ง ? แล้วทำไมต้องห้ามด้วย....อะไรของมัน ?



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 18:58:28 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 59 # Zap Zeal VS คลับใบไม้



“ภินทร์!!? ”

เสียงทักดังขึ้นตอนผมกำลังสาวเส้นสปาเก็ตตี้เข้าปากตัวเองไปด้วยป้อน พระแพงไปด้วย

เล่นเอาสำลัก คิ้วผมเริ่มชนกันแล้ว ก็เสียงเมื่อกี้มันไม่คุ้นหูเอาซะเลย ผมหรี่ตามองอีกครั้งถึงได้เห็น ผู้ชายสองคนยืนอยู่หน้าร้าน... เพื่อนไอ้คิงส์ ? ไอ้สองคนที่เคยกินเหล้ากับผม มันชื่ออะไรนะ ??

‘โฟน ? กับฟลุ๊ก ?’

สองชื่อนั้นผุดขึ้นมาในหัว ผมมองหน้าพร้อมส่งยิ้มกว้างให้ หนึ่งในนั้นใช้ข้อแขนล็อกคอลากเพื่อนอีกคนให้ตามเข้ามาในร้าน.....

‘ไอ้พวกก้างขวางคอ....’

“ออกจากโรงพยาบาลแล้วไม่เห็นไปที่ Zap Zeal เลยวะ ไอ้นักร้อง...”

ไอ้โฟนมั้งแซวผม ? แต่เสือกทำเสียงเครียด... ขณะที่ไอ้ฟลุ๊กเริ่มขมวดคิ้วจนคิ้วมันจะผูกกันเป็นหูกระต่ายแล้ว

“แฟน..มึงเหรอ?!”

สัดฟลุ๊กมองหน้าผมสลับกับมองหน้าพระแพง ... แววตาของมันตอนนี้ดูแปลกๆ และถ้าผมเดาไม่ผิด ....

‘!!!’

“พระแพง คะ!! นั่งอยู่นี่แป๊บเดี๋ยว พี่จ๋ามีเรื่องคุยกับเพื่อนๆ นิดนึงค่ะ!!”

ผมไม่รอให้พระแพงตอบตกลงหรือตัดสินใจ หมดจากประโยคนั้นผมก็ลุกดึงมือไอ้สองตัวนั่นให้ตามมาข้างนอกร้านแล้ว… เดินออกมาห่างจากร้านพอสมควร ไอ้ฟลุ๊กยังหน้าเครียดอยู่...ส่วนไอ้โฟนก็เริ่มจะหลุดบางประโยคออกมาแล้ว

“เข้าใจเลือกหญิงนะ..นั่นแฟนมึงเหรอ? กูนึกว่ามึงเป็นเด็กไอ้คิงส์ซะอีก..”

นั่นไง...ผมกะแล้วไม่ผิด... ดีที่ลากมันออกมาก่อน ไอ้ฟลุ๊กไอ้โฟนนี้เป็นเพื่อนสนิทไอ้คิงส์สินะ แล้วก็ไอ้เวทย์นั้นอีกคน..มองหน้าไอ้ฟลุ๊กที่จ้องผมเหมือนจับได้ว่าผมมีกิ๊กแล้ว พอเดาได้ลางๆ ..ไอ้เหี้ยมแพ้ไม่เป็นนั่นป่านนี้คงคุยทับเพื่อนไปแล้วว่า

’เป็นอะไรกับผม’

แล้วไอ้ที่มันคุยก็น่าจะเกินความจริงไปเยอะ เพราะมองจากสายตาไอ้โฟนแล้ว มันแทบไม่เชื่อว่าแฟนผมจะเป็น ‘ผู้หญิง’ สัดคิงส์คุยอะไรกับเพื่อนมันบ้างเนี้ย!!??

“มึงนี้โซชิว เหลือเกินนะไอ้นักร้อง....... Zap Zeal กับ ไอ้คลับใบไม้ ไหนจะไอ้คิงส์ กับ ผู้หญิงคนนั้น สรุปมึงจะเลือกอะไรกันแน่?”

..............
............................

‘พระแพง กับ ไอ้คิงส์ นี่พอเข้าใจ แต่ Zap Zeal กับ ไอ้คลับใบไม้ นี้มันเรื่องอะไรกัน?’
……………

…จนท้ายที่สุดไอ้โฟนกับไอ้ฟลุ๊ก ไม่ได้หลุดปากบอกอะไรผม …แต่ผมก็ยังเชื่อลางสังหรณ์ ตัวเองนะ..ว่า ’มันต้องมีเรื่อง’
…แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนั้น……

…เพราะถ้ารู้ ผมคงไม่โซชิว ขนาดนอนใจแวะมาส่ง พระแพง ถึงบ้านขนาดนี้.....


... ครับ..ตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าประตูบ้านหลังใหญ่ แถวๆ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ถ้าเข้ามาแล้วไม่สังเกตให้ดีๆ จากถนนใหญ่แทบจะไม่รู้เลยว่ามีบ้านคนอยู่ อากาศรอบข้างอย่างเย็น คงเพราะใกล้แม่น้ำและมีแต่ต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด รั้วปูนฉาบลายเกล็ดปลา แฝงเข้ากลมกลืนกับต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นสลับกัน ที่นี่เป็นบ้านพระแพง...

“สัญญานะคะว่าจะพาพระแพงไปดูหิ่งห้อยที่ อัมพวา”

เสียงใสๆถามผมในขณะที่เจ้าของเสียงโผล่หน้าออกมาจากบานประตูใหญ่ ที่เป็นรั้วไม้ตีเป็นช่อง ดูแปลกตา

“ไม่สัญญาค่ะ”

เสียงผมตอบออกไปก่อนที่สมองจะคิดเสียอีก...มันคงเป็นความเคยชินไปแล้วกับการตอบคำถามแนวนี้ พอคิดขึ้นมาได้ ผมก็เห็นแววตานั้นเริ่มจ้องผมด้วยความรู้สึกที่ผมบอกไม่ถูก ...

“เข้าบ้านเถอะค่ะ ”

ผมรีบตัวบทสนทนาและบรรยากาศแปลกๆระหว่างเรา

“พระแพง..รัก....นะคะ เดินทางดีๆนะ”

เสียงเบาๆเหมือนพูดลอยๆ ระหว่างที่พระแพงกำลังจะถอยกลับเข้าไป... เหมือนผมจะหูฝาด เพราะที่ได้ยิน พระแพงเรียกผมว่า

‘ภัทร’
..


ยืนรอส่งจนพระแพงเดินลับไกลออกไปที่ทางเดินเข้าบ้าน ...

ผมยังยืนกอดอกตัวเองแน่น กอดวงแขนตัวเองไว้ไม่ให้เผลอเข้าไปรั้งพระแพงมากอด ...ผมแพ้สายตาคู่นั้นจริงๆ อากาศรอบข้างเย็นๆชื้นๆ ผมชอบอากาศแบบนี้จัง มองทะลุไปอีกทางหนึ่ง แสงแดดส่องกระทบกับผิวน้ำเป็นสีทอง ... ระลอกคลื่นที่เห็นจากริมฝั่งเหมือน งูตัวใหญ่กำลังเลื้อยผ่านผืนน้ำ .... สายลมพัดเอื่อยหอบกลิ่นหนึ่งผ่านจมูกผมไป...กลิ่นบางๆ ที่ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองตัวบ้านที่ซ่อนอยู่ในรั้วกำแพงปูนและดงไม้.... กลิ่น...ดอกบัว...


..............
............................

.
.
.


‘รั้งรออะไร? ตนผู้นั้นอยู่เบื้องหน้าแล้ว...มาถึงหน้าเขตแดนเราแล้ว...ข้า...มิอยากรอต่อไปแล้ว...เร่งเข้าเถิด ..นำปราณท่านผู้นั้นมาเถิด......’

เสียงพร่ำเพ้อเบาปานสายลมกระซิบ..

แทรกด้วยเสียงสัตว์ใหญ่เลื้อยผ่านแหวกต้นไม้เล็กที่ขึ้นขนานกับทางเดินยาวสู่ตัวบ้าน เคียงข้างไปกับเด็กสาว...อมยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้น เมื่อเจ้าของบ้านหันหลังกลับไปมองใครคนหนึ่งที่ยังยืนอยู่หน้าประตูบ้าน เธอหันกลับมาแล้วฮัมเพลงอย่างสบายอารมณ์ ..ไม่ได้สนใจว่าเสียงแปลกข้างทางนั้นตามติดตนมา…

“ยังไม่ถึงวันแต่งงาน...จะเร่งไปทำไม?..อยากให้ฉันเริ่มใหม่? หรืออยากให้  ‘ภัทร’ ใช้คำว่า ‘รัก’ กับฉัน...? ”

เด็กสาวหยุดยืนนิ่งแล้วหันไปหาต้นเสียงที่เลื้อยตัดกอหญ้า แสงอาทิตย์ตอนเย็นกระทบแผ่นเกล็ดใหญ่สีฟ้าอมแดง ที่หยุดการเคลื่อนไหว หลังจากได้ยินประโยคนั้น....

‘แม้เจ้าอยากได้ รัก แล้วเยี่ยงไร? ต้องปล่อยให้เพลาผ่านเลย...จนพวก สุร ได้ตนท่านผู้นั้นไปกระนั้นรึ...ครานี้หาใช่การตามเก็บ ‘หัวใจรัก’ เฉกคราก่อน...ครานี้พวกสุรเองก็ต้องการปราณนี้เฉกกัน ซ้ำสุรตนนั้น ยังเป็น ‘มหินทรา’ ...เจ้าคิดรึว่าครานี้เจ้าจักชนะ... พระแพง...?’
 
...รอยยิ้มเย็นปรากฏขึ้นแทนคำตอบ รอยยิ้มที่เด็กสาวยิ้มเยาะออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เมื่อคิดไปถึง เจ้าของร่างยักษ์ ...ที่ตนเคยเจอและปะทะกันทั้งในส่วนหนึ่งของความฝันและเรื่องจริง การเจอหน้าที่จบได้ไม่สวยเท่าไหร่นัก... แต่ตอนนี้มันต่างกัน เธอ..มีสิ่งที่เรียกว่าอำนาจ มากกว่า ‘ผู้เคยทรงอำนาจ...’

“ถึงจะเคยเป็น มหินทรา แล้วใย? บัดนี้มันตนนั้นก็เป็นได้แค่ เชื้อสายปลายแถวของ พวก สุร หาได้ยิ่งใหญ่ และทรงอำนาจเฉกเดิม ...ข้า...มีสิ่งอันใดจักพ่ายแพ้...ข้า..มีสิ่งอันใดที่จักสู้ มหินทราตนนั้นมิได้!!! ...ข้า ..มีสิ่งใด..ที่จะทำให้รอวัน แต่งงานแห่งผืนน้ำมิได้....”

..................ไร้เสียงตอบจากเจ้าของเกล็ดสีวาว เด็กสาวอมยิ้มเดินเข้าบ้านไปอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้สนใจร่างสัตว์ใหญ่ที่เลื้อยตาม ...ชั่วครู่จึงปรากฏร่างบางของหญิงผมยาวในชุดสีครามแดง เดินติดตามเข้าไปในตัวบ้าน ......

..............
............................







...ส่งพระแพง เข้าบ้านเสร็จ ผมก็ยืนหายใจสูดอากาศเย็นๆนั้นจนชุ่มปอดสักพักถึงได้เรียกแท็กซี่กลับ... ขึ้นมาบนรถได้ผมก็นั่งคิดอะไรเงียบๆ คิดไปถึงประโยคที่ตอบพระแพง ‘ไม่สัญญาค่ะ’ ประโยคนั้นจะถูกตอบแบบอัตโนมัติเสมอเวลาใครถาม หรือ เอ่ยอะไรเกี่ยวกับสัญญาระหว่างผม.... สำหรับผม คำสัญญาเหมือนเป็นการสาปแช่ง ...เพราะอะไรหน่ะหรือ ? พวกคุณเคยดูหนังไหม? เวลาตัวละครสัญญาอะไรกับใครสักคน ส่วนมาก... ตัวละครนั้นจะกลายเป็นแค่ ‘ความทรงจำในตอนจบ’ เพราะมันจะตายไง.... นี่เป็นกฎข้อหนึ่ง ใน 10 ของหนังเลยนะ

..เพราะฉะนั้น ผมถึงไม่เคยสัญญาอะไรกับใครก็ตาม...

มันเป็นความเชื่อส่วนตัวของผม... แต่ส่วนหนึ่งเพราะบางทีผมก็ทำไม่ได้ อีกส่วนก็อาจเพราะ ผม...ไม่รู้ว่าจะได้ทำไหม เมื่อต้องอยู่ในร่างตรินทร์ เมื่อต้องแชร์ทุกอย่างกับ ตรินทร์ เวลาของผมมีเท่าไหร่ก็ไม่รู้ ...แล้วผมยังจะไปรักษาสัญญาอะไรกับใครได้ ....

คนเริ่มจะหนาตาบ้างแล้ว ตอนพี่แท็กซี่ เลี้ยวรถเข้ามาในซอย ... ผมยังอยู่ในชุดนิสิต เลยต้องหาตัวช่วยนิดหน่อย เดินเรียบๆเคียงๆข้างทาง ผมก็ได้ เสื้อยืดริมทางมาตัวหนึ่ง แค่นั้นก็คงพอ...จ่ายเงินแล้วผมก็ถอดมันตรงนั้นหล่ะครับ ใส่เลยแล้วกัน ส่วนเสื้อนิสิตก็ม้วนๆถือไว้ก่อน จุดหมายต่อไปก็คลับใบไม้ร้านพี่นพ ...ช่วงนี้น่าจะยังไม่มีคนเท่าไหร่นัก ...จะได้สืบข่าวด้วยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ..เดินยังไม่ทันถึงร้านผมก็เจอ ‘เอก’ เด็กเสิร์ฟที่ร้านเข้าซะก่อนมันแต่งตัวได้ชิวมากเหมือนว่าวันนี้มันหยุดงาน...อย่างนั้นก็หวาน ผมเลยลากมันออกมาเลี้ยงข้าวสักหน่อย...

.....................
..........

“หลังจากวันที่พี่เป็นลม ร้านเรากับพวก Zap Zeal ก็มีเรื่องกันพี่ ...เมื่อก่อนมันก็ไม่เท่าไหร่เพราะร้านมันคนละแนวกัน แต่อยู่ๆวันนั้นเจ้าของร้านมันก็มาหาเรื่องพี่แป้น แถมลากไปที่ร้านมันอีก พอรู้ถึงพี่เรดมันก็เลยเกือบถึงขั้นเลือดตกยางออกกัน พี่นพแกก็พยายามเข้าไปเคลียร์นะพี่แต่พวกมันไม่ยอมปล่อยพี่แป้นออกมา พี่กร้าจะแจ้งความแต่พี่นพขอไว้ก่อนเพราะยังไงก็ร้านในถิ่นเดียวกัน ...อีกวันพวกมันถึงได้ปล่อยพี่แป้นออกมา แล้วบอกว่า ‘เข้าใจผิด’ พี่แป้นแกก็ไม่ได้ว่าอะไรเพราะไม่ได้โดนยำตีนอย่างที่คิดกัน แต่พี่เรดอะดิจะเอาเรื่อง...ความจริงมันก็น่าจะจบแล้ว ขอโทษกันแบบลูกผู้ชายก็จบแล้วนะพี่ ...ถ้า..เด็กที่ร้าน Zealมันไม่บอกว่าพี่อะ....เป็นคนของร้านมัน.... ”

เอกเด็กเสิร์ฟที่หน้าตาขัดกับอายุ เอาช้อนส้อมจิ้มไก่ขึ้นมาชี้หน้าผม แล้วหยุดประโยคไว้แค่นั้น...ก่อนจะซัดผมในประโยคต่อไป

“มันบอกว่าพี่มาร้าน Zeal บ่อย แถมพวกมันยังว่า พี่เป็น ‘เมีย’ เจ้าของร้าน Zeal พูดหมาๆอย่างนั้นใครจะยอมอะ พี่เรดเลยจัดหนัก ตั้งแต่วันนั้น ...ยิ่งเมื่อวานยิ่งหนัก ดีนะที่พี่ไม่เข้ามาที่ร้านเห็นเขาว่าพวกเด็กร้าน Zeal มันก็มาป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้านเรา เพราะอยากรู้ว่าพี่จะเข้าร้านไหน...แหม..พี่เลยดังใหญ่เลย.... ”

‘ดังกับผีมึงอะดิ!’

ผมเขวี้ยงก้อนน้ำแข็งก้อนเล็กในแก้วใส่หัวมันแล้ว อ้าปากพูดโดยไม่ออกเสียง มันหันมามองค้อนนิดหน่อยก่อนจะ จิ้มไก่ชิ้นต่อไปเข้าปากแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม

“กูไม่ใช่ดารา หาเรื่องดันกูให้มันถูกด้านหน่อย ข่าวฉาวๆชอบกันนัก”

ผมอดบ่นไม่ได้ ได้ยินมันเล่าแล้ว เล่นเอาผมถึงกับหมดแรงแนบหน้าฟุบลงไปกับโต๊ะ ร้องเพลงอยู่คลับใบไม้ ให้ไปเป็นคนของ Zap Zeal ยังพอว่า แต่นี่เสือกได้ตำแหน่ง ‘เมียเจ้าของร้าน’ มาซะงั้น ข้อกล่าวหามันร้ายแรงยิ่งนัก ....หมดกันภาพพจน์กู ทีนี้ก็รู้แล้วว่าสายตาที่พวกไอ้ฟลุ๊กไอ้โฟนมันมองผมมันหมายถึงอะไร....

“อ้าว..ถอนหายใจอีกแล้วพี่ ถอนหายใจแบบนี้แสดงว่าพี่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยอะดิ..ผมว่าแล้ว...พวกพี่เรดต้องไม่บอกพี่แน่ แล้วมานั่งฟังผมเผาจ่อขนอย่างนี้..แสดงว่าพี่ก็ยังไม่รู้อีกเรื่องอะดิ ? เมื่อวานพี่เรดซัดเด็กเสิร์ฟ ที่ Zeal เข้าโรง’บาล อะพี่ ทางนั้นก็รุมยำทางเราเหมือนกัน วันนี้ที่คลับเลยปิดร้านวันนึง... พี่เข้าไปดูพวกพี่เรดหน่อยดีกว่าไหมพี่?”

“เข้าไปดูเชี่ยอะไร?! ไม่เห็นมีใครบอกอะไรกูสักเรื่อง!!”

“งั้นก็แสดงว่าพวกพี่เขาปิดข่าวกันหรอพี่? หง่ะ...ผมไม่รู้นิ ถ้ารู้ผมคงไม่เล่าละเอียดขนาดนี้ .....จูนๆๆๆ ......พี่ภินทร์ ...ถือว่าผมไม่เคยเล่าอะไรให้ฟังนะพี่...”

ไอ้เอกมันรีบดื่มน้ำแล้วเรียกเด็กมาเคลียร์บิลกับผม เหมือนรีบตัดจบช่องข่าว....

“สัด!! ไม่ต้องรีบ ไม่ทันแล้วมึง….”


..............
............................

..แล้วงี้จะทำไงดี ชีวิตกูทุกวันนี้เวลาก็ยิ่งน้อยๆอยู่ พวกมึงยังจะมาสาดมาม่าใส่กูอีก สัดเอ้ย!!! จะไม่ให้กูอยู่ดูโลกอย่างสงบสุขกันเลยใช่ไหม?

...

ไม่ไหวแล้ว............

....ขอกลับไป คิดที่บ้านแล้วกัน ไอ้วิธีแก้ปัญหาโลกแตก ...ปกติถนัดแต่สร้างปัญหา...ต้องมาแก้ปัญหาแบบนี้ ฝึกสมองดีจริงๆ....
..............
............................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 19:03:39 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 60 # กลลวง บ่วงสมิง


[เธอเป็นมากกว่ารัก  เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหา และรอคอยเธอมาแสนนาน และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่าง ที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ....]

...เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เพลงรอสายเพลงนี้แทบไม่ต้องคิดเลยกำลังเคลิ้มๆพอดีพอได้ยิน เรียกเข้าเท่านั้นผมก็รนรานตะคุปคว้าโทรศัพท์ ที่อยู่บนหัวนอนแบบอัตโนมัติ...

‘อะตรอม!’

“พี่ภินทร์ ...เข้ามาที่บ้านใหญ่ได้ไหมค่ะ? วันนี้เลยได้ไหม? พี่อะตรอมจะแย่แล้ว...”

เสียงที่กรอกมาตามสายไม่ใช่เสียงอะตรอม แต่เป็นเสียงแพลงตอน ฟังได้แค่นั้นแล้วสายก็ตัดไป... แล้วจะให้ผมทำอย่างไร? สายก็ตัดไปแล้วโทรกลับก็ไม่มีสัญญาณ ...หันไปมองนาฬิกา เกือบจะสองทุ่มแล้ว...เอาไงดีอะ ? ไอ้เรื่องเดินทางตอนนี้ไม่มีปัญหา แต่เรื่องไปบ้านใหญ่นั้นหน่ะสิ...ชักสังหรณ์ใจแปลกๆแล้ว...เกิดเรื่องอะไรกับอะตรอมแล้วตอนนี้มันจะเป็นยังไง?


โอยยยยยยยยยยยยยยยย ...เรื่องปวดหัวเต็มไปหมด ยิ่งคิดมากเวลาก็ยิ่งผ่านไป เลยสองทุ่มรถจะหมดหรือเปล่าอะ ? ไม่ต้องคงต้องคิดแม่งแล้ว ไปเลยแล้วกัน !!!

ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดกางเกงสามส่วน รองเท้าผ้าใบเอาให้สบายที่สุด จากนั้นก็วิ่งร้อยเมตรลงจากห้อง สวนกับป้านิ่มแทบชะงักเมื่อแกเอ่ยปากถามสกัดผมไว้ก่อนจะวิ่งเลยประตูบ้าน บอกแกไปว่าจะไปหาอะตรอมที่ ต่างจังหวัด น่าจะกลับพรุ่งนี้ หรือยังไงผมจะโทรมาบอกอีกที ป้าแกก็ เออ ออ ตามนิสัย ไม่ชังซักมาก....ผมวิ่งออกจากประตูมาไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์.... แต่ไม่มีเวลาจะเดินเข้าไปรับแล้ว ป้านิ่มคงจะจัดการเองมั้ง....




.. 23. 45 น. ดูนาฬิกาแล้ว เกือบจะเที่ยงคืนกว่าที่ผมจะมาถึงที่นี้....ประตูบานเดิม ที่กั้นถนนออกจากบ้านทรงไทยหลังใหญ่ และอีกนัยหนึ่ง มันก็เป็นประตูกั้นระหว่างเขตของพวกยักษ์กับมนุษย์อย่างผม .... ยืนหนาวอยู่หน้าบ้านได้ไม่นาน ประตูบานใหญ่ก็เปิดออก...ไฟรายทางที่เปิดอยู่แล้วมันไม่ทำให้บรรยากาศดีขึ้นเลย ขนาดมาตอนกลางวันยังเล่นผมซะเกือบตาย นี้ผมเข้ามาบ้านใหญ่ตอนกลางคืน...ไม่อยากคิดในแง่ร้าย ...สะบัดหัวไล่ความกลัวออกไปได้ ภาพอะตรอมก็ลอยมาเลย ผมอยากเจอมัน...อยากรู้ว่ามันเป็นอะไรมากไหม? แค่คิดถึงมันขาผมก็พาก้าวเข้าไปในเขตบ้านหลังนั้นแล้ว....


...........ทางเดินที่เป็นเส้นทางกึ่งสวนผลไม้กึ่ง...ถนนดิน..ทำเอาผมเดาไม่ถูกเลยว่าจะต้องเดินไปทางไหน ..ยังดีที่มีทางโล่งๆ ให้เดินตามทาง ..ผมตัดสินใจล้วงหยิบโทรศัพท์มาโทรหาแพลงตอน อีก..เพราะรู้สึกว่าจะเดินเข้ามาไกลแล้ว... แต่ผมยังไม่เห็นตัวบ้านสักที เบอร์เก่าที่เคยให้ผมไว้....ถูกเลือกเป็นเบอร์โทรออกเพราะผมลองโทรเบอร์ของอะตรอมแล้วแต่มันไม่มีสัญญาณ....


....................................................................
...........
............

‘เธอเป็นมากกว่ารัก เพราะเธอนั้นคือครึ่งชีวิต ฉันใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อตามหา และรอคอยเธอมาแสนนาน และสุดท้ายก็เจอว่าเธอคือทุกอย่าง ที่เติมเต็มหัวใจ จากนี้ทุกลมหายใจฉันคือเธอ....’

‘!!!’

เล่นเอาผมตกใจ อยู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซะงั้น เบอร์อะตรอม?

“นายอยู่ไหน ? ”

เสียงอะตรอมเหมือนจะตะคอกผมมาตามสาย ....แต่ได้ยินเสียงมันอย่างนี้ค่อยโล่งใจหน่อย...

“อยู่บ้านใหญ่..ออกมารับหน่อยดิ น่าจะหลงอยู่ในสวนบ้านนายอะ... ”

ผมบอกมันตามความรู้สึก บอกตามตรงมืดอย่างนี้ถึงจะมีไฟรายทาง แต่ให้เดินหาทางออกหรือทางเข้าบ้านใหญ่เอง ร้อยทั้งร้อยถ้าไม่คุ้นทางมีแต่หลงกับหลง และผมก็เป็นหนึ่งในร้อยที่หลงนั้นด้วยอะดิ

“ไป ที่นั่นทำไม?!!”

อยู่ๆอะตรอมก็ ตวาดเสียงลั่นเข้ามาในสาย ...ผมเริ่มนิ่งแล้ว มันชักจะแปลกๆ

“ก็แพลงตอนบอกให้มา ...บอกว่าอะตรอมกำลังแย่...เราเลย...”

เสียงผมเริ่มจะอ่อยๆ เพราะนี้เพิ่งเป็นครั้งแรกที่โดนอะตรอมตะหวาด

“ สัดเอ้ย!!! ภินทร์นายอยู่ตรงไหน!! ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ต้องไปไหน บอกเรามาว่านายเห็นอะไรแถวนั้นบ้าง เอาไอ้ที่เป็นจุดสังเกตุหน่ะ!! ”

“ภินทร์....”

เสียงแว่วเรียกชื่อผมซ้ำๆ...เสียงของแพลงตอน....ดังขึ้นมาแทรก การสนทนา….

“ไม่ต้องแล้ว อะตรอม เราได้ยินเสียง แพลงตอนแล้ว ...เดี๋ยวเดินเข้าไปหาน้องเขาเอง”

ผมบอกอะตรอมเพราะตอนนี้ได้ยินเสียงแพลงตอนเรียกผม และเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้ ค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อย...

“ภินทร์ !!! บอกมาว่าอยู่ที่ไหน มองสิว่ามีอะไรเป็นจุดสังเกตบ้าง ...ฟังผมนะ แพลงตอนไปเข้าค่าย ต่างจังหวัด...ไอ้ที่โทรไปหานายกับไอ้ที่กำลังเดินไปหานาย ไม่มีทางเป็นแพลงตอน....อยู่ตรงนั้นบอกเราว่านายเห็นอะไรบ้าง บอกมา!!!!! ”

ประโยคที่อะตรอมบอกผม ทำเอาผมยืนนิ่ง ...งั้นใคร ???!!

..............ใครกำลังเดินมา.....

..ใครใช้เสียงแพลงตอนโทรหาผม ???

… ใครกำลังเรียกผมอยู่ตอนนี้ ??!! สมองผมอื้อไปหมดแล้ว ได้แต่หันหาจุดสังเกตที่อะตรอมให้หา แล้วสายตาผมก็พบ....

..........................
........
................................................................
..............

..ประตูไม้บานใหญ่ ............

..............
......

...ประตูไม้ที่มีลวดลายแกะสลัก.....

...
.........
...

.เป็นภาพยักษ์ ..

....

.
....
.............


...
สายลมที่พัดออกมาจากประตูไม้บานนั้น ...
.......บอกผมได้ทันทีว่าผมกำลังจะเจออะไร..
..


...

“อะตรอม...เราอยู่หน้าประตูยักษ์....”

รู้สึกว่าเสียงผมเหมือนเสียงคนกำลังจะร้องไห้ ...เมื่อเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น ......
ผมครางเรียกอะตรอมเสียงเบา...

...เสียงสุดท้าย..ในโทรศัพท์ ที่ผมได้ยิน

...อะตรอมสบถดังออกมา..........

..แล้ว..
..


.
.สายมันก็ตัดไป.....


..............
............................
 

..............
............................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-01-2013 19:06:48 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 61 #  ทางหนีไฟ...ความเชื่อใจและสายตา… [1]

   ...เสียงแสบแก้วหูดังขึ้น เมื่อยางล้อรถมอไซน์คันใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าขึ้นกรุงเทพฯ ตีโค้งวกรถกลับมาเข้าเส้นทางเดิมที่เพิ่งผ่านมา...ความเร็วของรถเร่งตามความร้อนใจของผู้ขับ...
.......
...ความแรงที่เหมือนจะบินไปบนถนน!
..............
............................

Part อะตรอม

........ ผม....รู้ดีกว่าใคร…
ว่า ภินทร์ มันกลัวพวกตาแก่นั้นแค่ไหน...
เพราะฉะนั้น...
..............ทุกครั้งที่มีเรื่องเกิดขึ้นที่บ้านใหญ่ผมเลยไม่คิดจะบอก ภินทร์ ไม่ว่าเรื่องมันร้ายแรงแค่ไหน.. มันเลยกลายเป็นทั้งผลดีและผลร้าย ดีตรงที่ ภินทร์ ไม่ต้องคิดถึงตาแก่พวกนั้นอีก …..แต่กลับเป็นผลร้าย........
..ร้ายแรง.....ตรงที่พวกตาแก่นั้นคิดว่าผมกำลังจะแพ้...ต่อ ‘นาง’ และการยึด ภินทร์ ไว้เอง คือทางยุติปัญหา !

เข้าใจคิดกันนะ! แม่งเอ้ย! ถึงเป็นพวกตาแกก็เถอะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับ ภินทร์
....จะราดน้ำมัน..เผาแม่งให้หมด!... ไอ้ประตูบ้าบานนั้น!
..............
............................

“อะตรอม...”

เสียงภินทร์ เหมือนจะร้องไห้ออกมาตอนครางเรียกชื่อผม ...
สัญญาณโทรศัพท์.......
….ตัดไปแล้ว.......

‘พวกตาแก่นั้นกำลังจะทำอะไรอีก !’
..............
............................

Part ภินทร์
......
...เงาของร่างสูงเดินผ่านดงไม้เข้ามาใกล้ผม...อีกด้าน ประตูไม้บานใหญ่นั้น ...พวกยักษ์สลักก็กำลังขยับเขยื้อน ...ส่วนผม....
...............................
...
กำลังจะ
........................
..หัวใจวาย...
...
.
.เป็นครั้งแรกนะผมที่อยากเป็นนางสีดา ...
............
...
.จะได้แทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอดกันไปเลย ....
....
.
.......
‘แพลงตอน !?’
แทบงงเมื่อแสงไฟรายทางส่องให้เห็น ..ร่างสูงของเด็กสาวที่เดินเข้ามาใกล้ผม... สีหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม ทำเอาผมทำอะไรไม่ถูก ...ตอนนี้ถ้าเป็นคุณ ... คุณจะเลือกอะไร ? ระหว่างด้านหลังที่มีภาพสลักยักษ์กำลังจะเริ่มมีชีวิต... กับข้างหน้า คนรู้จักที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ ....
....
..
.
ผมเลือกอะตรอม !

..
ผมไม่เชื่อหรอกว่าไอ้หมายักษ์นั้นมันจะล้อผมเล่นในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ... แต่มันก็เถียงได้ยาก......ว่า ตรงหน้าผมไม่ใช่แพลงตอน ....
รอยยิ้มที่มีของแพลงตอน หายไปเมื่อเธอจ้องมองหน้าผม.... เหมือนมีคำถาม...และเหมือนเธอจะเดินเข้ามาใกล้ ..แต่ชะงักเมื่อสายตาคู่นั้นมองผมแล้วผ่านไปยังประตูไม้เสียก่อน...

“ภินทร์..?!”

น้ำเสียงตระหนกปนแววสงสัยเรียกผม ห้วนๆ พร้อมมือที่เหมือนจะลังเลยื่นออกมาคล้ายจะดึงผมไปไว้ใกล้ตัว...
...
.
แล้วผมจะทำยังไงได้?
....นอกจากยืนนิ่ง เวลานี้ผมไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรทั้งนั้น...นอกจากจะภาวนาให้ อะตรอมมาเร็วๆ ...ทำได้แค่นั้นจริงๆ ไม่รู้หรอกว่าถ้า อะตรอม มาแล้วจะช่วยอะไรผมได้บ้าง....แต่ถ้าได้เห็นหน้ามันก่อนตาย อย่างน้อย....ก็ยังดีกว่าตายคนเดียวโดยไม่มีใคร...อีกครั้ง...
...

...โทรศัทพ์ไร้สัญญาณเครื่องนั้นหลุดมือผม ตกลงพื้น ...ทันทีที่ผมสัมผัสได้ ถึง.....สายลมเย็นที่พัดออกมาจากประตูไม้.. ลมเริ่มโหมแรงขึ้นทุกที ถึงจะรับรู้ได้แต่ผมกลับไม่กล้าที่จะหันไปดู เสียงหายใจหลายเสียงคล้ายเสียงกลองกังวาน....เสียงที่ผมเคยได้ยิน...เหมือนฝังอยู่ในหัว
‘เสียงพวกยักษ์...รูปสลักกลับมามีชีวิต...พวกยักษ์...ตื่นแล้ว !’
……………..
….
………….
ไอร้อนที่ผมเริ่มรู้สึกได้ ... มาพร้อมๆกับ มือใหญ่ที่เริ่มจะค่อยๆโอบตัวผมไว้ ขาผมขยับไม่ได้ ...มันแข็งเกร็งไปหมด สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้มีแค่มองหน้า แพลงตอน...โทรศัพท์ผมกลิ้งไปอยู่แทบเท้าเธอ... ผมไม่หวังแล้ว......ว่า อะตรอม จะมาทันเมื่อพวกมือร้อน จับไหล่ผมบ้างโอบเอวผมบ้าง..มือที่เหลือก็ดึงยึดมือและขาผมไว้ทั้งสองข้าง…. แรงกดของมือ ค่อยๆแน่นขึ้น....ผมเหมือนโดนคีมเหล็กล็อคตัวไว้... น้ำตาผมไหลออกมาตอนไหนไม่รู้...หูมันอื้อไปหมด ไม่ได้ยินอะไรแล้ว.... นอกจากเสียงสะอื้นของตัวเอง..
..............
............................
 ‘ทำได้ดี....หมดหน้าที่มึงแล้ว.....
.
..
.สมิง....’

   เสียงคงอำนาจของผู้ออกมาจากภาพสลัก ส่งไปยังเด็กสาวที่ยังนิ่งเงียบ แววตาสีเงินสะท้อนประกายแปลก เมื่อจดจ้องร่างเด็กหนุ่ม ในวงแขนนับสิบของ ยักษา .... ร่างสูง ก้มลงหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กที่กลิ้งมาใกล้เท้ายัดใส่กระเป๋ากางเกง....การทำลายหลักฐาน...เป็นส่วนหนึ่งของ ‘งาน’

“เด็กคนนั้น...จะเป็นเช่นไร?”

‘สมิงเยี่ยงเจ้า...เป็นห่วง ตนอื่นเป็นด้วยรึ ?...สำหรับตนผู้นี้... ทั้งร่างและปราณจักถูกผนึกฝังไว้...ให้ลึกที่สุดในแดน สุร..’

....แววตาสีเงินส่องประกายชัดเมื่อได้ยินประโยคนั้น ไฟรายทางเริ่มจะหรี่ลง .....เมฆก้อนใหญ่เคลื่อนเข้าบังแสงจันทร์จนเกิดเป็นเงามืดทาบทับร่างเด็กสาว ..ชั่วเสี้ยวที่แสงจันทร์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากเด็กสาวร่างสูง ใบหน้านั้นก็เปลี่ยนเป็นโครงหน้าคมเข้ม ...และร่างกายสูงกำยำ….
.....
..
...ของคุณหมอที่ชื่อ สัตรา...
...

“ปวงท่านต้องทำเฉกนั้นเลยรึ.....การขังปราณ...ร้ายแรงกว่าการ พรากชีวิต...นาคาตนนี้ทำสิ่งใดผิด..?”

‘นาคา.? เจ้าหลงลืมสัญชาติญาณได้ถึงปานนี้เลยรึ... สมิง ? ...ปราณนี้...หาได้คงเชื้อสายนาคา ปราณนี้..เป็นวงศ์แห่งสุร ซ้ำยังเคยเป็น ‘ร่างแฝง’ แห่ง ‘ตะบองพลำ’....เจ้า..’หลงลืม’ปราณนี้จริงๆรึ? ...ลองมองปราณแห่งร่างนี้อีกครั้งไหม? เผื่อเจ้าจักเห็น...ว่าเจ้าเอง ล่อลวงผู้ใดมาให้ปวงข้า..... สมิง...’

เสียงกังวานที่เหมือนเยาะเย้ยอยู่ในที บวกกับความแคลงใจตั้งแต่แรกตอนมองเห็นแววตาคุ้นเคยของเด็กหนุ่มที่จ้องมองตน...คุณหมอก็พอจะเข้าใจทุกอย่าง… และเหมือนจะไม่มีข้อสงสัยอะไรอีก เมื่อประโยคต่อมาของเสียงกังวานนั้นเฉลยทุกสิ่ง...

“ปราณ...ที่มึงคิด ‘ซ่อนปวงข้ากับอีนางกาลี ไว้เยี่ยงไร เล่า’ ...สมิง...”
.............
...
ประโยคนั้นทำคุณหมอเงียบไปนาน...
..............
............................

.....นี่สินะ กุญแจของเรื่องทั้งหมด...คนสำคัญที่ตนคอยแต่เฝ้ารอ....ร่างกายเย็นเฉียบที่ไม่มีทางลืมตาตื่น…..
...นั่นสินะ..
จะตื่นขึ้นมาได้ยังไง... เมื่อ ปราณนั้นโดนกักขังในร่างนี้ ! ทุกสิ่งมันเลวร้ายลงเรื่อยๆ และจะยิ่งเลวร้ายกว่านี้ถ้า ปราณดวงนั้น โดนฝังยังเขตสุร ...

“คืนมา !....เอา ‘ภัทร’ คืนมาให้กู!”

“....อย่ากำแหง....มึง...เหยียบอยู่ยังเขตแดนปวงกู....ไอ้สมิง.....”


ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 61 #  ทางหนีไฟ...ความเชื่อใจและสายตา… [2]
Part ภินทร์? ภัทร ?

“ภัทร...เมื่อไหร่จะกลับมาสักที ? ...เราไม่ไหวแล้วนะกลับมาสักที !”

   น้ำเสียงและประโยคคุ้นหูดังเหมือนอยู่ไม่ไกลนัก...สายฝนที่โหมตกลงมา..ทั้งปลุกผมทั้งกำลังจะฆ่าผม.. น้ำฝนที่ขังรวมกันเป็นแอ่ง ทำให้สำลัก... เมื่อร่างกายที่ไม่สามารถขยับได้นั้นเกือบครึ่งกำลังจะจมน้ำฝนที่เริ่มจะขังตัว ...สิ่งที่สายตาผมเห็นผ่านม่านฝน... เสือตัวใหญ่กำลังหอบหายใจถี่..ขนสีเงินเต็มไปด้วยเลือด...สภาพเหนื่อยอ่อนไม่ต่างกับ ยักษ์สลักร่างใหญ่ที่มีแขนเกือบสิบ... ร่างสลักนั้น... บางส่วนโดนเผาไหม้ด้วยไฟ ทั้งๆ ที่อยู่กลางสายฝน !
..............
............................

“หมอ...เรากลัว..”

….ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงกระซิบ บอกประโยคที่อยู่ในใจกับร่างใหญ่ขนนุ่ม..กลิ่นเลือดที่ติดที่ขนนั้น ทำเอาใจผมสั่น.. น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว...ความมืดที่คลุมไปทั่วบริเวณ บวกเสียงของเม็ดฝน ที่เริ่มซาลง ทำให้ผมพอเดาได้ว่า ‘พวกเรา’ ออกมาจากเขตแดนนั้นแล้ว

“ไม่ต้องห่วง...เดี๋ยวมันก็จบ...”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยกับประโยคที่ เหมือนฟังจนชิน...มาพร้อมสัมผัสเบาที่ค่อยๆลูบหัวปลอบเหมือนทุกที..ผมโอบกอดร่างนุ่มนั้นไว้แน่น....มันกำลังจะจบแล้ว ..อีกไม่นานฉผมก็จะตื่นจากฝันร้าย ... ได้เหมือนทุกครั้ง...
..
.ใช่ไหม? หมอ...
..............
............................
Part หมอสัตรา

   ร่างกายมันทั้งเจ็บทั้งระบม... ผมกลั้นใจลากร่างไร้สตินั้น เข้าพงหญ้าข้างทาง แล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ดึงร่างเย็นที่หายใจแผ่วมากอดไว้กับอก แผลลึกที่เกิดบนร่างกายสร้างรอยร้าวไปถึงกระดูก ถึงแม้บาดแผลนั้นจะเริ่มสมานกัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดูดีนัก

หึ! ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเอง...กล้า... ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ …….แค่คิดว่าต้องเสีย ‘ภัทร’ ไปอีก... เสียไปตลอดกาล....ถ้าปล่อยให้พวกยักษ์ผนึกฝังปราณนี้.. แค่นี้ผมก็กลับร่างเดิมแล้ว...

   เมื่อวานพวกยักษ์ ติดต่อผมผ่านพวก ‘นกรู้’ งานง่ายๆเงินดี...แค่หาทางให้คนๆหนึ่งเข้ามาในเขตแดน ยักษ์... คนๆหนึ่งที่ข้อมูลบอกว่ากลัวบ้านหลังนี้.. แต่กลับก้าวเข้ามาทันทีที่ผมหลอกว่า เพื่อนเขากำลังแย่...ผมไม่คิดว่า คนๆนั้นจะเป็นคนที่ผมเฝ้ารอ

...ครั้งแรกที่เห็น ผมจำเด็กผู้ชายนี้ได้ลางๆว่าผมเองที่เป็นคนช่วยเขาจากฝันร้าย ...ภาพของ ‘ภินทร์’ เด็กหนุ่มเชื้อสายนาคาที่ไอ้เคี้ยมพามากำลังจะตายเพราะเสียเลือด ...ตอนนั้นไอ้เคี้ยมมันบ้าแค่ไหน ผมเข้าใจความรู้สึกมันดี ...

มันเหมือนเป็นเงาสะท้อนภาพผมที่กำลังจะบ้าเพราะ ‘ภัทร’ ผมลบรอยแผลเป็นที่ข้อมือนั้นออกเหมือนกับทุกครั้งที่เคยลบรอยแผลเป็นบนร่าง ‘ภัทร’ ที่เกิดจากการลอกคราบ... ทั้งๆที่อยู่ใกล้ขนาดนั้น แต่ผมกลับไม่เอะใจ...
พวกยักษ์ ‘รู้เรื่องนั้น’ แล้วสินะ ถึงได้ให้ผมเข้ามาทำงานนี้ ...มันเป็นการแก้แค้นที่เจ็บปวด...ถ้าผมต้องเป็นคนส่ง ‘ภัทร’ ให้พวกยักษ์ด้วยตัวผมเอง...
..............
............................

“หรี่แอร์หน่อยไหม ? ภินทร์ มันตัวเย็นไปหมดแล้ว...”

ไอ้เคี้ยมมันเอื้อมมือมาเตะร่างเด็กหนุ่มที่ทิ้งตัวพิงกับ ไหล่ผม ทั้งๆที่มันยังขับรถอยู่.....ความเร็ว..ของรถที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 140 ...

‘อย่าแตะคนของกู’

นั่นเป็นความคิดที่แล่นเข้ามา ...แต่ที่ทำได้....ผมได้แต่เงียบเพราะยังต้องอาศัยไอ้เคี้ยมมันอีก.. ร่างกายผมล้าเกินกว่าจะขยับ ถึงจะออกมาจากเขตแดนได้อย่างหวุดหวิด แต่ผมก็ไม่สามารถพาตัวเองและคนข้างๆกลับเข้ากรุงเทพฯ ได้.. และถ้าทิ้งไว้อย่างนี้ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า เราจะไม่โดนลากเข้าเขตยักษ์อีก.. ระหว่างที่หลบอยู่ โทรศัพท์ที่ผมยึดไว้ก็มีสายเรียกเข้า และมันเป็นสายของไอ้เคี้ยม...ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่บอกว่า

‘ภินทร์ กำลังจะตาย..’

ไม่ถึงชั่วโมง รถมันก็มาจอดริมทางที่พวกผมหลบอยู่แล้ว...…ผมขอให้มันเงียบไม่ต้องถามเรื่องอะไรระหว่างนี้ และบอกมันว่าถ้าพร้อม……
ผมจะเล่าทุกอย่างให้มันฟัง…………
..............
............................

   เกือบสามวันแล้วที่ผมหลบอยู่ที่ชั้นสองของคลับไอ้เคี้ยม... ‘ภัทร’ ก็อยู่ที่นี้..... คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ภัทร ไม่ลืมตาขึ้นมาตลอด สามวัน ผมชินแล้วกับเรื่องแบบนี้... จะมีก็แต่ไอ้เคี้ยมที่กระวนกระวาย มันไม่ได้นอนตลอดสามวันที่ผ่านมา...ผมได้แต่เฝ้ามองมัน... สายตาไม่ยอมใครของพวกแพ้ไม่เป็น ไม่เคยละออกจากร่างใหม่ของภัทรเกิน 5 นาที ....เหมือนผมกำลังมองตัวเองตอนที่ต้องคอยเฝ้า ภัทร หลังอุบัติเหตุนั้นเพิ่งเกิดขึ้น... แม้ผมจะไม่อยากให้มันแตะ ภัทร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้ผมยังไม่ฟื้นตัวเต็มที ...ผมยังดูแล ภัทร ไม่ได้ ....ผมฝืนเกินไปที่สู้กับยักษ์ ในเขตยักษ์…ร่างกายผมเกินขีดจำกัด..
.....................
...........

แต่มันก็คุ้มกับสิ่งที่ได้มา....
....
เข้าบ่ายของวันที่สี่....บาดแผลทั้งหมดเริ่มสมานเข้าด้วยกัน ....เหมือนรู้ว่า... ผมต้องใช้กำลังและร่างกายนี้อีกครั้ง....

   เสียงโวยวายดังขึ้นที่ชั้นล่าง ไม่นานกลุ่มไอ้สี่ตัวนั่นก็เปิดประตูห้องเข้ามา... ไอ้เคี้ยม มันสบถหัวเสียบังร่าง ภัทร ไว้ กลิ่นของยักษ์ที่ผมสัมผัสได้......พาสายตาให้มองไปยังร่างใหญ่ ที่เพิ่งก้าวเข้ามา...
กลิ่นของเด็กหนุ่มคนนั้น...เป็นกลิ่นเดียวกับยักษ์ที่ทำผมและ ภัทร เกือบตาย....

“เคี้ยม...มึงเห็นไอ้ยักษ์นั้นไหม? ไอ้เหี้ยนั้นหล่ะ ที่ทำกูกับคนที่นอนอยู่นั้นเป็นอย่างนี้!”
..............
............................

Part ภินทร์

   ผมเคยเชื่อว่า...ทุกเรื่องมีทางออก ทุกปัญหามีการแก้ไข เชือกที่แก้ปมไม่ได้ยังโดนฟันขาด ไม่งั้นเวลาไฟไหม้จะมีทางหนีไฟไว้ทำไม? ผมเคยคิดอย่างนั้น ...

...แต่ปากที่ปิดเงียบของพวกเพื่อนสนิทที่นอนกลิ้งพร้อมผ้าพันแผลและรอยฟกช้ำอย่างสบายอารมณ์ที่คอนโดไอ้เรด ... ทำผมไม่แน่ใจ ....ในเรื่องผมเคยเชื่อ …

... ก่อนหน้านี้ผมตื่นขึ้นมา ที่คอนโดไอ้เรด ใช่.. ห้องนี้หล่ะ....ดูวันและเวลาแล้วผมหลับไปนานมาก...นานจนพวกมันกลัวว่าผมจะไม่ตื่น ....

เรื่องราวที่ลางๆเลือนๆเหมือนกับความฝันในสมองของผม...ทำเอาผมจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูกนัก ...รู้แต่แค่ว่า ...ตื่นขึ้นมา พวกมันก็ยับเยินกันหมดแล้ว แถมถามอะไรก็ไม่มีใครตอบ.....
อะตรอมก็อยู่ที่นี้ด้วย ริมฝีปากหนามีรอยแตก แต่ก็ยังดูดีกว่าพวกไอ้เรดที่ตอนนี้หน้าเหมือนเพิ่งลุยฟาร์มพิตบูลมาหมาดๆ ... ผมอึดอัดนะที่เวลามองใครแล้วมันหลบสายตาหนี...

ในห้องบรรยากาศ เริ่มจะอึดอัด จนไอ้เรดเลี่ยงเดินออกไปที่ระเบียง ไอ้กร้าใช้หนังสือปิดหน้า แป้นเนียนหลับทั้งๆที่อมลูกอมอยู่ในปาก ...

“ผมไปอาบน้ำนะ...”

   อะตรอมพูดขึ้นทันทีที่ผมมองหน้ามัน... มันหลบตาผมแล้วเดินเลี่ยงเข้าห้องน้ำไป ...แต่ยังไม่ได้ปิดประตูห้อง ....แล้วไง? ผมเดินตามมันเข้าไป ไอ้ลูกหมาคงไม่ทันสังเกตุว่าผมตามเข้ามา มันหันหลังให้ผมและถอดเสื้อแขนยาวตัวใหญ่กับกางเกงขายาว ..ที่ใส่ไว้ออก...
...........
............................

..แผ่นหลังของ อะตรอม ถูกพันไว้ด้วยผ้าก๊อซ ที่ขากับแขนก็ด้วย แต่ถ้าไม่สังเกตุก็คงไม่รู้ อะตรอม เก็บอาการทั้งหมดไว้ .. ผมรู้ว่ามันอึดแค่ไหน ...แต่นี้เกินไปแล้ว….ผมยืนนิ่งกับภาพที่เห็น สภาพมัน แย่กว่า พวกไอ้เรดรวมอีก...

“พวกมึงไปทำเหี้ยอะไรมา?”

ผมถาม อะตรอม เสียงเรียบ....กลัวว่าถ้าเผลอตะโกนออกไปมันจะเป็นการจุดชนวนระเบิดเวลาของผม อะตรอม หันมาตามเสียง หน้ามันซีดลงเมื่อรู้ว่าผมเห็นสิ่งที่มันซ่อนไว้... สายตาผมมองตามไปที่ รอยซึมของเลือดที่ปรากฎขึ้นบนผ้าสีขาว....อารมณ์ผมนิ่งจนผมยังกลัวตัวเอง…

“จะให้กูรู้เอง หรือมึงจะพูดตรงๆ ...อะตรอม...”

คำถามมง่ายๆ... รอแค่คำตอบของมัน .....มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น ..แต่แค่ผมคนเดียวที่ไม่รู้อะไรสักอย่าง เรื่องที่ ร้านไอ้คิงส์ เรื่องที่คลับใบไม้ของพี่นพ เรื่อง อะตรอม เรื่องไอ้แป้น ทุกเรื่อง ผมไม่รู้อะไรสักอย่าง! แผ่นหลังที่มีแต่กลิ่นคาวเลือด รอยแผลลึกบ้างตื้นบ้าง... เลือดนั้นซึมออกมาทุกครั้งที่ผมกวาดสายตามอง.....
.....
...................
..
........ผม...
...
...
เหมือนเป็นไอ้โง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
..
....
.
ทั้งๆที่คิดว่า ตัวเองสำคัญที่สุด สนิทที่สุด!
ความเชื่อใจของกูอยู่ที่มึง....เอาสิ...จะบอกกู หรือจะให้กู..รู้ด้วยตัวเอง.....

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2012 21:56:03 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 62 #  “.....” ละไว้ในฐานที่เข้าใจ



“จะให้กูรู้เอง หรือมึงจะพูดตรงๆ ...อะตรอม...”

   ....ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากไอ้หมายักษ์ข้างหน้า ผมก้มหน้าหลับตาให้ตัวเลขหนึ่งถึงร้อย ค่อยๆผุดขึ้นมาในสมองน้อยๆ

‘กูให้มึงถึงร้อยแปดเลย....กูให้โอกาสมึงแล้ว...'

แต่ก็เหมือนเดิมไม่มีคำอะไรหลุดออกมาจากปากมัน...

“มึงเลือกเอง...กูให้โอกาสมึงแล้วนะอะตรอม....พอแล้ว....กูจะไม่ถามอะไรอีกแล้ว...ใส่เสื้อ...กลับหอ..”

ผมสูดหายใจเฮือกใหญ่แล้วเดินนำมันออกมาจากห้องน้ำ พวกไอ้แป้นที่เคยเนียนหลับกระวีกระวาด รนรานกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม....เหมือนจัดฉาก....
....ตลกแหล่ะพวกมึง.....กูไม่ขำ!

“ตรินทร์จะ ไปไหน ?!”

ไอ้เรดตะโกนถามผม อะตรอมมันใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว และกำลังยัดรองเท้าผ้าใบใส่เท้า...ผมหันไปมองพวกไอ้เรดด้วยหางตา....
...แล้วนิสัยผู้หญิงจ๋าที่ฝังอยู่ในสันดานก็พรั่งพรูออกมากับคำพูด

“ไม่ต้องมาถามว่ากูจะไปไหน...กูงอน...กูไม่บอก...แล้วเรื่องของพวกมึง จะทำเหี้ยอะไรอีกก็ตามใจ แต่อย่าให้ปัญหามาถึงคลับใบไม้ เกรงใจพี่นพเขาด้วย ส่วนกู..กูจะเคลียร์ในส่วนของกู...ส่วนของไอ้คิงส์ กูก็จะเคลียร์ในส่วนของไอ้คิงส์...เหลือแต่พวกมึง....อย่าสร้างปัญหาขึ้นมาอีก...กูรู้....ว่าตัวปัญหาเป็นกู...แต่ไอ้ความหวังดีที่พวกมึงทำให้...ถามกูหน่อยไหม ว่ากูต้องการหรือเปล่า ? กูยังอยากกลับไปร้องเพลงที่คลับใบไม้..กูยังอยากไปนั่งแดกเหล้าฟรีที่ Zap Zeal แล้วกูก็ยังอยากมีเพื่อนแบบพวกมึง... นี่หล่ะที่กูอยากได้..ไม่ทราบว่าพวกมึงๆจะกรุณาทำให้กูได้รึเปล่า ? ”

เหวี้ยงเสร็จ ผมก็ไม่รอคำตอบจากพวกปากหนัก คว้าข้อแขนอะตรอมได้ก็ลากมันออกมาจากห้องแล้ว....
.............ในลิฟต์มีแต่ความเงียบ

“เอามอไซต์มารึเปล่า ?”

เงียบครับ.สัด!..กูถามแค่นี้ยังไม่ตอบ.....ปากแม่งอมเหี้ยอะไรอยู่ ! เกือบจะวีนอีกรอบถ้า...

“ไม่ได้เอามา...”

ถึงจะเสียงอ่อยๆ แต่ก็ยังดีที่มันตอบ...ถ้ามึงไม่ตอบกะอีแค่คำถามอย่างนี้ ....ถึงไม่เคย แต่กูจะฝึกเอาตีนง้างปากมึงให้ได้...
...เมื่อก่อนไม่เคยนะ ไอ้เรื่องพูดคำด่าคำ หรือเริ่มจะคิดใช้แรงแทนสมองอย่างนี้
........................
แต่พออยู่กับไอ้พวกหมาล่าเนื้อพวกนี้แล้ว....
ทำเอาผมรู้....

......ผู้ชาย มันไม่ใช่แค่คำนำหน้าว่า ‘นาย’ ใช่ไหม? ทำไมมันต้องดิบ เถื่อน ไอ้ความถ่อยนี้มันก็ต้องมีด้วยใช่ไหม? ...
..
.ไม่จริง!
‘กูเถียงขาดใจ! กูจะใช้สมองให้พวกมึงดู ’
......
...

กลับมาถึงห้องสีเขียวอ่อน...ค่อยใจเย็นลงหน่อย...อะตรอมถอดเสื้อกับกางเกงพาดไว้บนเตียง หน้าที่ที่เหลือเป็นของผม...

“ดึงผ้าพันแผลได้...แต่อย่าให้มือนายโดนแผลเรานะ ภินทร์ ”

คนเจ็บสั่ง ผมค่อยๆราดน้ำเกลือล้างแผล ลงให้ใกล้ผ้าก๊อซที่สุด...เสียงครางดังขึ้นทุกครั้งที่ค่อยๆดึงผ้าพันแผล แล้วรู้ว่าผ้าบางส่วนติดไปกับแผลนั้นด้วย

 ..แต่....เสียงครางเป็นของผมแทนที่จะเป็นของอะตรอมเจ้าของแผล กว่าจะดึงได้หมด...เล่นเอาผมทั้งลุ้นทั้งเหนื่อย... แต่ไม่มีสักเสียงที่ออกมาจากปาก อะตรอม... ไอ้ลูกหมายักษ์นี่โครตอึดเลยหว่ะ...

“พวกมึงเล่นมีดกันเลยหรอ? ”

ผมมองแผลอะตรอมแล้วถึงกับเครียด รอยถลอก รอยซ้ำ ไม่เท่าไหร แต่. รอยของมีคมที่ฟันลึก.... เล่นแรงกันไปหรือเปล่า ? เบตาดีน 2 ขวดที่เคยเก็บไว้ท่าจะไม่พอ...เหมาลังแล้วเทให้ไอ้หมายักษ์นี่อาบเลยท่าจะดีกว่า ….ก็ทั้งตัวมันมีแต่แผลนี่น่า...

“ ภินทร์ อย่าแตะ! บอกแล้วนะว่าห้ามโดนแผลเรา... ไม่ต้องทายาหรอก...ทิ้งไว้ให้โดนอากาศ..เดี๋ยวก็หาย ...แค่ครั้งนี้มันหนักกว่าจะสมานเอง...เลยหายช้าก็เท่านั้น”

หมายักษ์อ้าปากพูดได้ก็ตอนเห็นผมกำลังจะเอาก้อนสำลี แตะเบตาดีน ...

“ถ้ามันหายได้เอง...แล้วเสือกพันผ้าทำไม?”

“พันเพราะกลัวภินทร์เห็นไง... แต่ก็ดันเห็นไปแล้ว คงไม่ต้องพันอีกแล้ว...”

มันตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติแล้วเอียงคอมองหน้าผม...

“ภินทร์...อาบน้ำให้ทีสิ...”

“หง่ะ...อาบในสภาพนี้อะนะ...ไม่แสบหรืออะตรอม..”

อะตรอมยึดมือผมไว้ แล้วใช้แววตาสีดำสนิทที่ช้ำแดงคู่นั้น มองหน้าผม.... ผมไม่อยากคิดนะว่ามันเพิ่งผ่านการร้องไห้มา แค่คิดว่าหมาถึกอย่างมันร้องไห้ หัวใจผมก็โหวงๆ แล้ว ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันนะ.. แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เวลามองหน้ามันใกล้ๆ หัวใจผมเต้นแรง... และที่รู้สึกได้มากกว่านั้น อยู่ใกล้มันแล้วผมอุ่นใจ..

“ภินทร์.. 'ลืม’....หรือ ภินทร์ 'พยายามจะไม่เข้าใจ’... 'เรา’...ไม่ใช่ ‘มนุษย์’...อะตรอม เป็น’ยักษ์’...ยักษ์แบบเดียวกับพวกตาแก่ที่ทำให้ ภินทร์ เกือบตาย...แผลแค่นี้..อะตรอม ไม่ถึงตาย หนักกว่านี้ก็โดนมาแล้ว..ถึงเวลาที่ ภินทร์ ต้องยอมรับความจริงซะที...ไม่ใช่แค่ อะตรอม...แต่  ภินทร์ เองก็ไม่ใช่ ‘มนุษย์’ ภินทร์... อะตรอม มีชีวิตและร่างกาย.. แต่ ภินทร์...มีแค่ วิญญาณ...ให้อะตรอมเจ็บ...ดีกว่าให้ ภินทร์ หายไป...”

แววตาที่จ้องลึกเข้าไปในตาผม กับมือใหญ่ที่เหมือนตรึงผมไว้ คล้ายจะถ่ายทอดทุกคำให้เข้าสู่สมองผม......ไม่ใช่ผมพยายามลืม...แต่เรื่องบางเรื่องที่มันเข้าใจยาก ...ผมก็ไม่อยากจำ....จะว่าผมไม่มีเซ้นท์เรื่องนี้ก็ได้...
....ใครมันจะไปคิด ว่าบนโลกใบนี้ พวกที่เคยคิดว่ามีแค่ในนิทานกับเรื่องเล่า ดันมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ ..
ถึงผมเองก็จะเป็นหนึ่งในนั้นก็เถอะ...

“ไปอาบน้ำเหอะ..ไป”

ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ออกปากไล่อะตรอมเพราะผมต้องการหนีการรับรู้เรื่องพวกนี้หรือเปล่า ?

“อาบให้ด้วยแล้วกัน...เห็นใจหน่อย อะตรอมเป็นคนเจ็บ..”

อะตรอม มันตอบกลับมาเล่นเอางง อ้อนผม? ไอ้ลูกหมาหมีมันอ้อน? เหรอ ?!
เจ็บ...? บ้านเตี่ยมึงสิ !  เมื่อกี้ไอ้หมาตัวไหนมันบอกกูว่า ‘แผลแค่นี้..ไม่ถึงตาย’ เมื่อกี้ราดด้วยน้ำเกลือมึงยังเฉยๆ เสือกจะมาเจ็บตอนจะอาบน้ำเนี่ยนะ....
..............
............................

   ถึงจะบอกให้ผมอาบน้ำให้แต่ เอาเข้าจริงในห้องน้ำนั้นผมได้แต่นั่งบนเก้าอี้ไม้แล้วใช้สายฝักบัวฉีดแผ่นหลังให้อะตรอม ไอ้ลูกหมายักษ์ไม่ยอมให้ผมถูสบู่ให้เหมือนกับทุกที...ผมได้แต่มองมันอาบน้ำ แปรงฟัน ถูสบู่ สระผม
.....ถ้ามึงทำทุกอย่างเองได้แล้วจะเอากูเข้ามาด้วยทำไม?
…จนมันอาบน้ำเสร็จผมก็ยังไม่รู้ว่ามันเอาผมเข้ามาในห้องน้ำด้วยทำไม...

“อะตรอม แผลที่เป็นรอยยาวนี้ทำไมไม่จางลงเลย ...”

ผมถามอะตรอมแล้วไล้นิ้วไปตามรอยแผลลึกบนหลัง มันเป็นเหมือนรอยมีดที่กรีดลงเนื้อ ต่างกันก็แค่ขอบแผลมีรอยม่วงคล้ำ ส่วนแผลกับรอยอื่นๆ ก็เป็นเหมือนที่ อะตรอมบอก รอยแผล รอยช้ำมันค่อยๆ จางลงไปแล้ว...

“ อย่าแตะ!”

อะตรอม ตะหวาดแล้วหมุนตัวกลับมาดึงมือผมไว้

“เมื่อกี้เอานิ้วไหนแตะ!”

มันถามเสียงเครียด...งงสิครับ...ทั้งงงทั้งตกใจ ช่วงนี้ผมโดนมันตะหวาดบ่อยมาก...ทั้งทีเมื่อก่อนไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้....
 ได้แต่ยกมือข้างที่ลูบแผลมันให้มันดู

“นิ้วไหน!”

“กลางกับชี้!”

สะดุ้งตอบมันไป..แล้วไอ้ลูกหมายักษ์ก็ทำตัวเป็นลูกหมาจริงๆ มันจับมือผมไว้แล้วค่อยๆเลียสองนิ้วนั้น พอผมได้สติจะดึงมือออกมันก็ยึดมือไว้แน่น แล้วอมสองนิ้วนั้นของผมเข้าไปในปาก

...สัมผัสมันชัดเจน เพราะความเย็นของนิ้วผมมันตัดกับความร้อนของริมฝีปาก และลิ้น นิ่มๆร้อนๆ ของ อะตรอม

“แผลจากสมิง มีพิษ ...ต้องฆ่าเชื้อก่อน”

สีหน้ามันจริงจังมากแต่ การกระทำ .... ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเพื่อน...มันก็ค่อนข้างจะติดเรต....
..............
............................

   ตอนแรก...ผมคิดว่า..อะตรอม..เป็นคนช่วยผม จากยักษ์นั้น ..แต่พอได้ยินคำว่า ‘สมิง ?’  คำเรียกนี้เหมือนคำที่คอยกวนใจผม แผลที่อะตรอมโดน มาจาก ‘สมิง’ .....คือ ‘เสือ’ งั้นหรือ? ในเสี้ยวของความทรงจำลางๆ ผมว่าผมจำเสือนั้นได้

....ความอบอุ่นของแผงขนสีขาว ที่เปื้อนเลือด...แล้วก็ที่บ้านใหญ่ของ อะตรอม ผมไปที่บ้านนั้นจริงๆ แต่คนที่ช่วยผมไว้..ใช่ อะตรอม..แน่หรอ? .แต่ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมผมถึงฟื้นขึ้นมาที่ คอนโดฯไอ้เรดได้... ทุกอย่างมันโยงกันจนยุ่งเหยิงไปหมด...

แต่ผมกลับไม่รู้อะไร ความทรงจำที่ผมมีบ้างลืมบ้าง ไม่ช่วยอะไรผมเลย ...พวกไอ้เรดกับ อะตรอม ปิดปากแน่น เหมือนเรื่องนี้เป็นความลับ...ถ้าสืบจากฝั่งนี้ไม่ได้ ก็ต้องถามอีกฝั่ง ....ถาม ไอ้คิงส์!
..............
............................

   … หน้าห้องไม่มีลูกกุญแจล็อคไว้ แต่เคาะห้องก็แล้ว กดกริ่งก็แล้ว ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตตัวไหนมาเปิดประตูให้ จนผมต้องล้วงหาพวงกุญแจฆ่าหมา...(คือลูกกุญแจมันเยอะมากจนสามารถปาหัวหมาแตกได้) จำได้ลางๆว่า คิงส์ เคยให้กุญแจห้องมันไว้ สุ่มไขสักพักก็เปิดประตูห้องมันได้
..............
............................

...เหมือนโดนกับดัก....ไอ้โฟน กอดอกยืนขวางประตูทางเข้าห้องไอ้คิงส์ พร้อมรอยยิ้มกวนส้นที่ส่งมาให้...

“ไง? ไอ้นักร้อง...ไหนเพื่อนมึงบอกว่า มึงไม่ได้เป็น ‘เมีย’ ไอ้คิงส์ แต่มึงเสือกมาหามันถึงห้องเนี้ยนะ ห่วงมันขนาดนี้ ไม่ได้เป็น ‘เมีย’ แล้วเป็นอะไรกับมันว๊ะ”

ผมเข้าใจแล้วว่าปากหมาโดยสันดานเป็นยังไง เป็นอย่างไอ้ตัวที่ขวางผมอยู่นี้หล่ะ...ถึงไม่ใช่ก็คงใกล้เคียง...

“เป็นเพื่อนมันไง ...ถ้ามีแต่เมียมันถึงมาหามันได้ มึงก็เป็นเมียมันเหมือนกันสินะแล้วอย่างมึงน่าจะเป็นเมียหลวง มึงถึงมาหามันก่อนกู....”

“เขินแล้วปากหมานะ ภินทร์ "

อยู่ๆเสียงไอ้ฟลุ๊กก็แทรกขึ้นมา

“เขินเหี้ยอะไร...กูประชด...สัด! มีหัวไว้แค่กั้นหูนะพวกมึง...แล้วสรุปไอ้คิงส์อยู่ไหน?”

“อยู่ในห้องนอนมัน...สภาพดูไม่ค่อยได้ ถ้า ‘ผัว’ มึงหมดหล่อก็โทษพวกเพื่อนกับ ‘ชู้’ มึงแล้วกัน”

“ไม่พูดซักชั่วโมงกูก็ไม่คิดว่ามึงเป็นใบ้หรอกนะ ฟลุ๊ก.. แล้วจะให้บอกอีกกี่ครั้ง ‘กูเป็นเพื่อน’ ไอ้คิงส์เหมือนกับที่มึงกับไอ้โฟนเป็น ”

...หมดอารมณ์จะเถียงกับมัน...ผมโบกมือไล่ให้แมลงวันสองตัวนั้นพ้นทาง แล้วแทรกตัวเข้าห้องไป ...

“พวกกูไปก่อนดีกว่า...ฝากดูไอ้คิงส์ด้วย..มันหลับอยู่ .....แล้วก็อีกอย่าง.. ไอ้นักร้อง...ถ้ามึงเป็นแค่เพื่อนมัน อย่างพวกกู.. มึงไม่มีทางมีกุญแจห้องไอ้คิงส์แน่..."

ไอ้โฟนพูดทิ้งไว้แค่นั้น แล้วปิดประตูตามไอ้ฟลุ๊กออกไป...ทิ้งให้ผมประมวลประโยคนั้น...พอเข้าใจได้แทบจะเขวี้ยงกุญแจห้องไอ้คิงส์ทิ้ง !

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23 ! [1]
เด็กกว่าแล้วไง? VS ขอโทษที พี่ไม่ใช่นางงาม

“ รู้อะไรไหม? พวกพรต และชีไพร เคยให้คำนิยามเกี่ยวกับ ‘สันดาน รัก’ ไว้ว่า ‘พวกยักษ์’ หน่ะ เป็นพวก ‘ลืมไม่ลง’... และยังเป็นพวก ‘ถ้าได้หลง....แล้ว..ไม่ลืม…’ ”

ย้อนกลับไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว.....
...ช่วงที่อะไรๆมันยังอยู่ในแบบที่มันเป็น...ตอนนั้นคนบ้างคนเพิ่งโดนสาวทิ้งในรอบปี เนื่องใน...
‘วันโลกาพินาศ’
ที่เวียนมาอีกครั้ง..... สำหรับคนทั่วไปเขาเรียกมันว่า
‘วันวานเลนไทน์’
แต่สำหรับคนบ้าง มันคือ
‘วันพินาศ!’
จะว่าไป...มันก็ ไม่เชิงโดนทิ้งนักหรอก เรียกว่าโดนเขาจับได้คาหนังคาเขามากกว่า... แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้คนบ้างคนที่ว่าเสียกำลังใจจนต้องหาทางหลบไปเลียแผลใจกันเลยทีเดียว...จะไม่ให้เสียกำลังใจได้ยังไง...เมื่อ...ไอ้ที่โดนจับได้มันโดนซะ สามคนในครั้งเดียว...
..............
............................

“...บอส...งานที่ แหลมฉบัง ‘ภัทร’ ขอนะ เอกสารเตรียมมาแล้ว ขาดแต่สัญญาการส่งของ ให้ขนส่ง ส่งมาพร้อมงานล็อตแรกเลยก็ได้...ภัทรคุมเอง...ค่ะ..ขอแปลนส่งงานด้วย..ค่ะ ได้ค่ะ...”

   หญิงสาวกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์...ซักอึดใจ หลังได้ยินเสียงตอบรับของคนปลายสาย สีหน้าหญิงสาวจึงพอดูดีขึ้นมาบ้าง ก่อนจะปรับสีหน้ากลับไปราบเรียบเช่นเดิม โทรขอไปงั้นหล่ะ...ไม่ให้แล้วจะทำไม เมื่อคนที่ของานตอนนี้ขึ้นมานั่งบนรถบัส 'กรุงเทพ-สัตหีบ' แล้ว...
ดวงตาช้ำแดง ดูจะเข้ากันได้ดีกับหน้าสาวผิวสีที่ไร้เครื่องสำอาง เกือบสองคืนแล้วที่ อดหลับอดนอนมาดื่มย้อมใจ... อกหักหรอ? ไม่หรอก...ก็ไม่เคยใช้คำว่า 'รัก' จะเรียกว่า 'อกหัก' ได้ยังไง ?
มันก็แค่ช่วงตกต่ำของชีวิต แค่นั้น ...ผมยาวเสมอไหล่ถูกรวบแล้วใช้ปิ่นปักไว้หลวมๆ แว่นสายตาถูกขยับปรับให้เข้ากับใบหน้า...ความสนใจทั้งหมดส่งไปยังหนังสือเล่มหนา..
..............
............................

   อยู่ๆเสียงเอะอะก็ดังขึ้นมา กลุ่มเด็ก ม.ต้น สามสี่คนได้มั้งก้าวขึ้นมาบนรถ.... หญิงสาวถอนหายใจกับเสียงที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาลง หนังสือเล่มโปรด ถูกขั้นหน้าไว้ด้วย ดินสอ 2 B.
…ปลายนิ้วที่ทาเล็บสีดำกดยัดหูฟังเข้าหูจนคิดว่ามันแน่นพอกลบเสียงจากเบาะข้างหน้าได้ ก่อนละความสนใจไปยังหน้าจอ MP.3 ในมือ ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเบาะข้างๆมันฮวบลงไป... ถึงจะเป็นเซลล์ฝ่ายขาย แต่บอกตามตรงถ้าไม่เกี่ยวกับงานและเรื่องส่วนตัวปากอิ่มๆนี้ไม่เคยได้เปิดออก หญิงสาวเบนความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวอักษรบนหน้าหนังสือจนรถเคลื่อนตัวไปได้ซักระยะ.....
..............
............................

...ความรู้สึกอึดอัดมันก็เข้ามา...
ตอนแรกว่าจะไม่สนใจ แต่พอนานๆไปความอึดอัดมันก็เปลี่ยนเป็นความขุ่นมัวในอารมณ์...จนต้องหันหน้าไปหาต้นเหตุของความอึดอัด
แล้วสายตาวาวนั้นก็เจอเข้ากับเจ้าของสายตาอีกคู่ที่จ้องมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร... ภัทร จ้องตอบแววตาสีดำสนิทของเด็กหนุ่มข้างๆ...
...คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อย เมื่อคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะจ้องตอบอย่างไม่หลบสายตา...

“พี่...อ่านเพชรพระอุมาด้วยเหรอ ? ”

เด็กหนุ่มร่างใหญ่เอ่ยถามริมฝีปากหนานั้นขยับ...แต่แววตาสีดำกลับไม่ยอมหลบเหมือนว่าถ้าหลบสายตา ตนจะเป็นผู้แพ้ ไร้คำตอบจากหญิงสาวนอกจากแววตาเรียบผ่านแว่นที่จู่ๆก็เปลี่ยนเป็นสุกวาวฉายแววไม่สบอารมณ์

“ผมยืมอ่านบ้างได้ไหม พี่ ? ”

เด็กหนุ่มเอ่ยต่อไปเมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังนิ่งเงียบ แต่ที่ทำให้เด็กหนุ่มยิ่งไม่สบอารมณ์ก็เพราะไอ้แววตานั้นไม่ยอมละออกไปจากสายตาตนซักที...
....เหมือนประกาศสงครามในความเงียบ...
ซ้ำยังดูแปลกกับแววตาสีน้ำตาลเคลือบมรกต...หรือเป็นเพราะแสงสะท้อนของแว่น ?!

“เฮ้ย!.. ขอน้ำในกระเป๋ามึงหน่อยดิ”

เพราะแรงสะกิดจากมือที่ยื่นมาจากเบาะหน้าเด็กหนุ่มหันไปตามเสียงทันทีที่เด็กเบาะหน้าโผล่หน้าออกมาแล้วยื่นมือมาขอกระเป๋าสะพายที่คิดว่าอยู่ที่เบาะหลัง

“กระเป๋าอยู่ที่ไอ้คิด ไม่ใช่กู”

เด็กหนุ่มร่างใหญ่ตอบอย่างเสียอารมณ์... และยิ่งขัดใจมากกว่านี้เมื่อเหลือบมองหญิงสาวข้างๆแล้วปรากฎรอยยิ้มเยาะขึ้นที่สายตาและริมฝีปากอิ่ม เหมือนประกาศชัยชนะ... ของ
‘เกมส์จ้องตา...’
...แล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น....เมื่อหญิงสาวกลับไปพิงกระจกรถอ่านหนังสือตามเดิม...โดยไม่สนใจเด็กหนุ่มเบาะข้างๆ...
....
....ที่กัดฟัน กรอด......

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23 !! [2]

“เกร็ดแก้วครับ!”

   ..เสียงเด็กรถตะโกนบอกจุดหมายปลายทางต่อไปที่จะจอด ภัทร ถอนสายตาออกมาจากตัวหนังสือ คั่นหน้าและเก็บหนังสือเล่มหนาลงกระเป๋าใบใหญ่เพื่อเตรียมตัวจะลุกออกจากที่นั่ง หันไปสะกิด ไอ้เด็กยักษ์เบาะข้างๆให้ขยับหลีก  เพราะมันนั่งบังทางออกซะมิด...แค่การสะกิดมันก็น่าจะรู้แล้วว่า ‘ขอทาง’ แต่ไอ้เด็กร่างยักษ์มันกลับนิ่งไม่เคลื่อนไหวแถมยังปลายหางตามามองแบบ ‘ผู้ชนะ’
...เลยสวนนงนุชมาแล้ว แต่ไอ้เด็กยักษ์มันยังไม่ยอมขยับ แถมยังหันมาจ้องหน้าอย่างไม่คิดหลบ! ก่อนจะหันกลับไปโดยไม่ขยับหลีก...
‘คิดจะปีนเกลียวหรอ?! ช่างแม่ง! ไม่ลุกก็ไม่ต้องลุก.. ’
...หญิงสาวหันกลับไปค้นหนังสือเล่มใหม่ออกมาอ่าน ...

“เกร็ดแก้วครับ!”

เสียงตะโกนบอกดังขึ้นอีกครั้ง รถบัสคันใหญ่ชะลอความเร็ว...เด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหันไปหาหญิงสาว
‘ไหนว่าจะลง?’
สายตาใต้กรอบแว่นยังคงจ้องอยู่ที่หนังสือเล่มโปรด ไม่มีทีท่าว่าจะหาทางลงสักนิด..

“เฮ้ย! ถึงแล้วไม่ใช่หรอว๊ะ!ก็ป้าเขาบอกให้ลงหน้าเกร็ดแก้ว..”

เสียงเด็กเบาะหน้าดังขึ้นมาเหมือนเร่งให้เด็กหนุ่มต้องรีบลุกออกจากที่นั่ง... เหมือนเป็นธาตุอากาศที่หายไป... มันน่าน้อยใจ ...เมื่อหญิงสาวเบาะข้างๆไม่มีทีท่าว่าจะสนใจตนสักนิด....จนลงจากรถแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่นั่งพิงข้างกระจก ...สายตาใต้กรอบแว่นคู่นั้นก็ไม่ได้เหลียวลงมา...

“อะตรอม เป็นอะไรว๊ะ มองอะไรมึง!”

“...”

ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากปากเพื่อนร่างใหญ่ จะมีก็แต่สีหน้าที่ไม่น่าทักทายนักเพราะคิ้วหนาขมวดจนชนกัน ...
..............
............................

‘บางที โชคชะตา มันก็เลือก คน’
..............
............................

   นั่งรถเลยไปถึง ‘ตลาดสัตหีบ’ หญิงสาวมัวแต่เลือกซื้อของสดบ้างของกินบ้างขนมบ้าง เล่นเอาหิ้วจนเมื่อย กว่าจะรู้สึกตัวก็ข้าวของเต็มมือ เมื่อกี้หัวเสียเพราะไอ้เด็กบ้าไปแล้ว กลับเข้าบ้านไปกินของที่ซื้อมาก็น่าจะอารมณ์ดีขึ้น...นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้กลับมา ‘บ้าน’ บ้านที่ไม่ได้กลับมานาน...
   ตั้งแต่ ป๋า กับ มี้ แยกทางกัน เรื่องของพวกผู้ใหญ่และความเหมาะสม... นี่ถ้าไม่ใช่เพราะงานก็คงไม่ได้กลับมา กลิ่นหญ้าอ่อน กลิ่นเกสรดอกไม้ป่าที่ตีกันยุ่ง ทำให้คอเริ่มจะเจ็บขึ้นมาอีกแล้ว โรคภูมิแพ้อากาศดีกำลังจะกำเริบ ...ข้าวของกับขนมที่หอบมาเมื่อยแขนไปหมด...เจอป๋าต้องทำยังไงบ้างนะ...ลืมไปแล้ว...นานแล้วนิที่ไม่ได้มี ‘พ่อ’ เป็นของตัวเอง...
... กินข้าวกับ ป๋า .....มันจะให้ความรู้สึกยังไงนะ?
..............
............................

“.....”

“พวกน้องๆเขาเพิ่งขึ้นมาจากราชบุรี มาขอพักสามสี่วันเอง พ่อจะลงไปจันฯ เย็นนี้เลย...ฝากเด็กๆไว้กับ ภัทรทีแล้วกัน อะตรอม นี่พี่ภัทร มีอะไรก็คอยดูกันด้วย ภัทร พ่อไปก่อนนะ มีอะไรโทรหา... กุญแจมีดอกเดียว ดูน้องด้วยหล่ะ อย่าลืมให้ข้าว อิ๋งๆ นะ ”

   ...แรงสวมกอดจากวงแขนใหญ่ มีให้...เหมือนกระตุ้นสติ...แต่ก็ยังไม่ทันทักท้วงอะไร...รถโตโยต้า อัลติส สีน้ำตาลทอง ก็แล่นออกไปจากบริเวณบ้านแล้ว เหลือเพียงหญิงสาว...
กับ..
....ไอ้เด็กยักษ์โคตร...กวนตีนที่เจอบนรถ พร้อมเพื่อนจอมโวยวายอีก 2 คน....
...และหมาพันธุ์บางแก้วอีก 1 ตัว...
....ของกินที่อุสาซื้อมา... ขนมที่คิดว่าจะทานกับป๋า แค่สองคน... หิ้วมาจนเมื่อยมือ หอบมาจนชักจะปวดแขน ......สุดท้ายเหมือนซื้อมาให้ พวกเด็กนรกนี่ ...
.....ที่สำคัญ ไอ้ที่กำลังเคี้ยว มันเชื่อม ของโปรดของคนซื้อตุ้ยๆนั้น
..............
............................

...เสือกเป็น 'ไอ้เด็กยักษ์ แพ้ไม่เป็น'  นั่นอีก ...
ชีวิตอีก 3-4 วัน ต่อจากนี้ .......
...
.......
นรกชัดๆ

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23 !! [3]
Part อะตรอม

   เข้าวันที่สองที่ได้มาอยู่บ้านนี้.... ผมนอนฟุ๊บหน้าอยู่กับโซฟาตัวใหญ่ ‘เจ้’ ออกไปข้างนอกแต่เช้า... ทิ้งพวกผมไว้กับ 'อิ๋งๆ' หมาขนฟูที่ไอ้คิดพยายามจะหาทางกอดแต่ได้คมเขี้ยวกลับมาแทน อิ๋งๆ มันกลัวผมเลยไปนอนหลังบ้าน ส่วนไอ้เวย์ ยังหลับอยู่ชั้นสอง ….
เสียงฝีเท้าที่วิ่งวนอยู่บนชั้นสอง... พาสายตาผมให้แหงนมอง ข้อเท้าเล็กที่ผูกกระดิ่งสีแดง ... วิ่งวนอยู่หน้าห้องพระ ... เสียงดังที่ปลุกไอ้เวย์ได้เป็นอย่างดี ...มันคงไม่มีมาแค่เสียงเพราะอยู่ๆ ไอ้เวย์ก็ตะโกนลั่น แล้ววิ่งลากผ้าห่มลงมานอนคลุมโปงอยู่ข้างๆผม
....ช่วงช่องว่างของบันไดไม้  เด็กตัวเล็กๆ ชะโหงกมอง ไอ้เวย์ พร้อมหัวเราะคิกคัก แล้วเด็กนั่นก็ผ่านสายตามาทางผม ... จนผมต้องจ้องกลับ...
‘กล้ากับกู?!’
แล้วก็เหมือนทุกครั้ง...เวลาผมจ้องกลับไป พวกแบบนี้ก็จะหายไปเองทุกครั้ง แม่เคยบอกผม พวกผี และ สัมพเวสี ‘กลัวยักษ์’
..............
............................

.... เกือบ บ่ายสองแล้ว พวกผมนอนกลิ้งอยู่หน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ ..ไล่กดทุกช่อง ขนมกับของกินที่อยู่ในตู้เย็นพวกเราก็ถลุงกันจนเกือบเกลื้ยง ในตู้เย็นมีทุกอย่าง ยกเว้น ข้าวกับกับข้าว...
เจ้นั่น กะจะให้พวกผมอดตายกันที่นี่สินะ ...แต่ไม่อยากจะบอกว่า ที่นี้ถิ่นผม เพราะผมไม่ค่อยมีเพื่อนไง... เกือบทุกปิดเทอมผมเลยมาเที่ยวบ้านลุงบ่อยมาก มาทีก็เหมือนทุกครั้ง ลุงแกมักจะออกไปเข้าเวร หรือไม่ก็ไปธุระต่างจังหวัด ทิ้งผมให้เฝ้าบ้านกับเลี้ยงอิ๋งๆ หมาที่ไม่ว่าผมจะเลี้ยงยังไงมันก็ไม่ยอมให้ผมจับ ...พวกเลี้ยงไม่เชื่อง...
   แต่จะว่าไป ทำไมทุกครั้งที่มา ผมถึงไม่เคยเจอเจ้แกเลยนะ?...เห็น ไอ้เวย์ กับ ไอ้คิดนอนกลิ้งๆแล้วสังเวช... กะจะไปเอากุญแจมอไซน์ ขับออกไปหาอะไรให้พวกมันกิน แต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูเสียงมอไซน์รับจ้างก็ดังอยู่หน้าบ้าน ...
...เจ้กลับมาแล้ว พร้อมของเต็มมือ...
จะว่าไปถ้าตัดนิสัยไม่ยอมคนออกไปบ้าง เจ้แกก็ น่าคบนะ...
..............
............................

..น่าคบจนไอ้พวกสัมพเวสี ตามมาเป็นพรวน!
สำหรับเจ้คนนี้ ผมว่าสมควรแล้วที่บ้านใหญ่ตัดออกจากการเป็นเชื้อสาย ...ทั้งๆที่เจ้แกหอบหิ้วพวกอะไรมาด้วย เจ้แกกลับไม่รู้สึกสักนิด...
..............
............................

   มองย้อนดูอีกทีก็คงเพราะเจ้นี่หล่ะถึงทำให้ผม เริ่มที่จะสนใจมอง ‘อะไร’ รอบข้าง...ตั้งแต่บนรถแล้ว ผมว่าคุ้นหน้าเจ้แกอยู่ ทั้งๆที่ปกติจะไม่เคยสนใจอะไร แต่...สำหรับคนที่มี สัมพเวสี เกาะอย่างไม่ยอมปล่อย ดันไม่ทุกข์ไม่ร้อนหรือรู้สึกรู้สาอะไร มันแปลกๆ ผมจ้องพวกเหล่าสัมพเวสีที่เกาะเจ้แกอย่างหวงแหน ...จนเจ้แกมองกลับมาที่ผมอย่างไม่วางตา ‘กล้า!?’ เพิ่งเคยมีใครกล้าจ้องตอบกับผมก็เจ้คนนี้หล่ะ !
..............
............................

จะว่าไป ไอ้นิสัยไม่สนใจใครของผม...มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?... ไม่รู้สิ...คงตั้งแต่เกิดมั้ง? …และมันก็เป็นอย่างนั้นตลอดมา เป็นจนเกือบถึงจุดวิกฤต...ก็ตอน ม.2 นี่หล่ะ ผมโดนทางโรงเรียนเชิญผู้ปกครอง.... เหตุผลเพราะโลกส่วนตัวผมสูงเกินไป
‘พระอาทิตย์’
นั่นคือคำจำกัดความในการอธิบายถึงปัญหาของตัวผม..คงเพราะได้อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นอาจารย์ ภาควิชาวิทยาศาสตร์ด้วยหล่ะมั้ง...แต่นั้นก็ทำให้แม่ผมเข้าใจในปัญหามากขึ้น ทำไมถึงเป็นพระอาทิตย์หน่ะหรอ? คงเพราะมันหมุนรอบตัวเองโดยไม่สนใจใคร...และเผาทุกสิ่งที่เข้าใกล้ได้อย่างไร้ความรู้สึก.. เห็นอาจารย์อธิบายประมาณนั้น..ตอนนั้นผมไม่ค่อยจำอะไรนักหรอก นอกจากประโยคที่ มันจะนำความลำบากมาให้….
‘คงต้องให้น้องอะตรอมมีเพื่อนบ้าง บางทีการเข้าสังคมอาจจะทำน้องเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี’
เพราะประโยคนั้นทำให้ผมต้องหาเพื่อน...
...บอกไปหรือยังผมสอบเข้ามาได้ก็เพราะกีฬา เรื่องกีฬา อย่าถามเลยว่าถนัดอะไร ในเมื่อผมเล่นมันได้ทุกอย่าง และเล่นได้ดีมากเสียด้วยจนแต่ละชมรมพากันแย่งตัว ...แต่ผมเลือกชมรมบาส เพราะข้อตกลงระหว่างผมกับชมรมทั้งจากการขู่บังคับและการหลอกล่อ ในที่สุดผมก็ได้เพื่อนมา 2 คน ไอ้คิด กับไอ้เวย์ เด็กชมรมบาสที่โดนสังเวยให้มาเป็นเพื่อนผม
   แม่เป็นคนซื้อตั๋วรถและจัดเตรียมค่าใช้จ่ายให้ผมสร้างมิตรภาพระหว่างการเดินทาง เพื่อสร้างสังคมของผม....สังคมที่ประกอบไปด้วย คนสามคนด้วยกัน... นี่รวมผมแล้วนะ ได้ไอ้สองคนนี่มาก็ถือว่าบุญแล้ว
เพราะปกติ ผม....ไม่เคยมีหรอกเพื่อนหน่ะ..เพราะถูกยกให้เป็นเชื้อสายตรง ผมถึงได้ถูกเลี้ยงมาแบบลูกคนเดียว ทั้งๆที่ยังมีน้องสาวอีกคน แพลงตรอน อยู่โรงเรียนประจำ ส่วนผม...อยู่แบบไร้สังคม..จะโทษอะไรได้ นอกจากโทษ ‘บ้านใหญ่’ ที่ไม่ว่าใครเมื่อรู้ว่าผมมาจากที่นั่น ...ก็พากันตีตัวออกห่าง ขนาดพ่อกับแม่เอง นานๆถึงได้กลับมาที่บ้านหลังนั้นที บ้านที่ผูกขาดอยู่กับผม บ้านที่คนทั่วไปเรียกว่า ‘บ้านพระพิราพ’ หรือ ‘บ้านยักษ์’ ...
..............
............................

..เพราะเรื่องแค่นั้น ทำให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่ แล้วผมก็เจอเจ้แกอีกครั้งที่บ้าน ‘ลุง’ เพิ่งจะได้รู้ว่า เจ้แกคือ 'ภัทร'  อดีตหลานคนโตของตระกูลที่โดนผมขึ้นตำแหน่งแทน ...
ผมไม่ได้คิดมากนะ ! เพราะอย่างนี้หรือเปล่า ภัทร ถึงได้ เกลียดผม....เพราะอย่างนี้หรือเปล่า ถึงมองผมด้วยสายตาแบบนี้...
   เรื่องที่ ภัทร โดนตัดจากสายวงศ์..มันมาจากเพราะแม่ ภัทร ไม่ได้อยู่ในวงศ์สาย สุร ... ภัทร มีเสี้ยวหนึ่งเป็นยักษ์ แต่ไม่เคยรับรู้ถึงการคงอยู่ของ ‘ยักษ์’ จากหลานคนโตที่จะต้องสืบสายวงศ์ ภัทร ถึงเป็นได้แค่ ‘หลาน’ แต่ไม่ใช่เชื้อสาย...ซ้ำ ภัทร ยังเป็น พวก ‘เนื้อนาบุญ’
..ผมก็เพิ่งเคยเห็นตัวจริงของร่างถวายที่เรียกว่า ‘เนื้อนาบุญ’ แบบที่ยังมีชีวิต ‘ภัทร’ เป็นพวกพิเศษ...หายากที่พวกนี้จะอายุเกิน 15 ปี...
...หายากที่พวกนี้ไม่โดน สัมพเวสี กิน...
......................
.......................................................
.......กับผู้หญิงที่ชื่อ ‘ภัทร’ คนนี้ มันก็ต้องมีอะไร ‘ดี’ บ้างหล่ะน่า เพราะถ้าไม่ดีจริง คงไม่อยู่มาได้ถึงป่านนี้ ...
..............
............................
   ผมมองเจ้แกที่หอบหิ้วพวกเร่ร่อนตามเกาะแขนเกาะขา แล้วหงุดหงิด... นี่เจ้แกไม่เคยรู้เลยหรอไงว่าเอาอะไรติดตัวกลับมาบ้าง! ก็พอรู้อยู่ว่าพวก เนื้อนาบุญ เป็นของชอบของพวกสัมพเวสี แต่ไม่คิดว่าจะชอบกันแบบนี้!
...ข้าวของที่เจ้แกซื้อมาวางแหมะอยู่บนโต๊ะกาแฟ เจ้แกเรียกพวกผมให้แกะข้าวกับขนมที่ซื้อมาทานได้เลย สีหน้าเจ้แกดูเหนื่อยๆ ผมไม่ได้ถามว่าแกไปไหนมา...เดินไปเอาจานกับช้อนมาแจกให้คิดกับเวย์ แล้วผมก็มายืนทานที่ประตูบ้าน ..
ไม่ได้มารับลมหรอก แต่มามองจ้องพวกแขกไม่รับเชิญที่ ยืนอยู่นอกเขตบ้าน ...
...พวกมันไม่กล้าเข้ามา...บางส่วนกลัวผมบางส่วนกลัวไอ้เด็กเปรตที่อยู่ชั้นบน... เจ้แกเดินหลบผมออกไปทางหลังบ้าน พร้อมถือหมูย่างไปด้วย สองไม้... ผมสังหรณ์ใจอะไรบางอย่างแต่ไม่ทัน....

“เข้าบ้านกันดีกว่าเนอะ..”
..............
............................

"!"

...จบน้ำเสียงสุขใจนั้นผมก็แทบคลั่ง...
อิ๋งๆ วิ่งคาบหมูย่างเข้ามาในบ้าน พร้อมด้วยพวกสัมพเวสีที่ กรูกันเข้ามา...เมื่อเจ้าของบ้านอนุญาติ !
….สมควรแล้วที่เจ้แกจะโดนปลดออกจาก สายวงศ์ !
...พวกเร่ร่อนยังคงลอยเวียนแถไปกับไอ้เวย์และไอ้คิด พวกมันเริ่มกระวนกระวาย ครั่นเนื้อครั่นตัวกันแล้ว อิ๋งๆ เองก็หันงับซ้ายงับขวา ตามสัญชาติญาณสัตว์...
จะมีก็แต่ไอ้เจ้ที่นั่งดูการ์ตูนอย่างสบายอารมณ์นี่หล่ะที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร คนธรรมดาเขายังรับรู้ได้... แต่ไอ้สายเลือดยักษ์ ถึงจะมีแค่เสี้ยวก็เถอะ ทำไมไม่คิดจะรู้อะไรบ้างเลย !
...เหมือนจะเกะกะลูกตา ..
ผมเดินเข้าไปนั่งบนโซฟา...แทรกกลางระหว่างสาวสวยผมยาวที่กำลังจะจูบปากเจ้แก ...เพราะผมขัดพาให้สาวสวยหันกลับมาจ้องมองผมด้วยแววตาสีขาวล้วนที่แยกไม่ออกเลยว่าไหนตาขาวตาดำ... โบกมือไล่สักพัก แม่สาวนั่นก็สลายไป ...

“ทำอะไร?”

เจ้แกยังมีหน้าหันมาถามผม ?!

“ปัดแมงวัน..”
..............
............................

......พวกเร่ร่อนท่าจะก้าวก่าย ..ไอ้เด็กเปรตชั้นบนมันถึงได้ อาละวาด วิ่งไปทั่วทั้งชั้นสอง...เวย์กับคิดมองหน้ากันแล้วมองหน้าผม ..มันคงสงสัยว่าเสียงอะไรดังอยู่บนชั้นสอง......พวกมันหน้าเสีย...จนหน้าซีด... เว้นเจ้แกที่ นอนฮัมเพลงฟัง MP.3 ไม่สนใจโลกภายนอก...
..............
.............ไม่ได้รับรู้อะไรกับชาวบ้านเขาเลย จริงๆ...............



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23 ! [ 4]

 “พี่ภัทร น้ำยาล้างจานหล่ะครับ?”

ไอ้คิดกับไอ้เวย์มันตีสนิทกับ เจ้แกได้ดี ดีกว่าผมที่เป็นลูกพี่ลูกน้องเจ้แกเสียอีก ตอนนี้พวกมันประจบเจ้แกด้วยการ ช่วยล้างจาน ผมได้แต่ยืนมอง อยากจะช่วย แต่เจ้แกก็มีคนช่วยแล้ว ...คงไม่ต้องการผมแล้ว...ผม..ไม่ได้งอนหรือน้อยใจอะไรนะ... ก็แค่อยากมีส่วนร่วม แต่ไม่มีหนทาง...
...
ไม่มีใครสนใจ....
.
สักพักไอ้คิดกวักมือเรียกผม กับไอ้เวย์ให้เข้าไปหา มันชี้ที่ท่อระบายน้ำที่มีตระแกรงใหญ่ปิดไว้ หัวสีดำสนิทขนาดข้อแขน ของตัวอะไรบางอย่าง ค่อยๆ เคลื่อนตัวอย่างช้าๆ อยู่ใต้ตระแกรงเหล็ก แต่เป็นเพราะมันโผล่มาแค่ส่วนหัวเท่านั้น พวกผมถึงดูไม่ออกว่ามันเป็นอะไร

“ตัวอะไรอะพี่ภัทร?”

ไอ้คิดถามพร้อมชี้มือไปที่ท่อน้ำ เจ้แกไม่ได้เดินออกมาดูแต่ ตอบออกมาแบบไม่ลังเล

“จงอาง”

เจ้แกตอบอย่างไม่สนใจอะไร สายตานั้นยังไม่ถอนออกจากหน้าจอโทรทัศน์ที่ฉายการ์ตูน

“ล้อเล่นใช่ไหมพี่ภัทร?”

เสียงไอ้คิดดังอ่อยๆ เหมือนไม่เชื่อ แต่สายตาที่ไอ้เวย์มองตัวปริศนาในท่อน้ำนั้นกลับเบิกกว้าง เมื่อ ส่วนที่เคยเห็นว่าเป็นแค่หัวค่อยๆ โผล่ยาวออกมา ขนานไปกับท่อน้ำ!!!

“จงอาง จริงๆ ..ใต้บ้านมันเป็นโพรง ข้างหลังบ้านก็เป็นภูเขา มันคงอยู่ในโพรงใต้บ้านมานานแล้ว ..พ่อพี่เลยเอาตระแกรงมาปิดไว้ กลัวมันกิน อิ๋งๆ ”

เจ้แกหลับหูหลับตาหาวตอบมาโดยไม่ ได้ดูเลยว่าพวกไอ้คิดมัน ‘เห็น’ แล้ว....

“....”

หมดประโยคเจรจาต่อจากนั้น พวกมันทิ้งจานข้าวที่กำลังล้างแล้ววิ่งขึ้น ชั้นบน ...เสียงเงียบไปก่อนจะมีเสียงตะโกนลั่นออกมา ...
...
..ไอ้เด็กเปรตนั่น เสือกปรากฏตัวผิดเวลา....
..............
............................

“กูไม่เอาแล้ว!! กูว่าแล้วมากับมึงต้องเจอเรื่องแปลกๆ กูจะกลับบ้าน!! ”

ไอ้เวย์มันร้องลั่น กอดกระเป๋ามันแน่น ส่วนไอ้คิดก็เหมือนกัน มันตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ผมได้แต่แหงนหน้าขึ้นไปมองชั้นสองอ้เด็กเปรต มันเบ้ปากให้ผมแล้วสลายไป...

“ไอ้เวย์กลับกูก็กลับด้วย!”

“อ้าว! เฮ้ย!! แล้วกูจะบอกแม่กูว่ายังไง? ไหนจะเรื่องชมรมบาสอีก พวกมึงทิ้งกู กูก็จะบอกประธานชมรม..แลกกัน!!”

ผมหัวเสียแล้ว ถ้าพวกมันทิ้งผมไปอย่างนี้ แม่ก็ต้องเอาเรื่องผมแน่ แล้วที่ผมยอมเข้าชมรมบาส ก็เพราะไอ้ประธานชมรมมันรับปากให้ไอ้สองตัวนี่มาเป็นเพื่อนผม ถ้าทุกอย่างมันพัง มันก็ต้อง ยกเลิกสัญญา!!!

“พวกกูไหว้หล่ะ อะตรอม...พวกกูอยู่ที่นี่ไม่ได้ ..ข้างบนมีตัวอะไรไม่รู้ ไหนจะจงอาง ใต้ท่อน้ำนี่อีก ...ขอพวกกูกลับบ้านเถอะ พวกกูไหว้หล่ะ…มึงอย่ามาฆ่าพวกกูแบบนี้เลย ..ปล่อยกูไปเหอะ อะตรอม..”

ผมพูดอะไรไม่ออก มองหน้ามันสองตัวแล้ว อยากกระทืบ !! ผมก็ไม่ได้อยากมีนักหรอก เพื่อนหน่ะ แต่เพราะพวกมันเสนอตัวเข้ามาเอง แล้ว ทำอย่างนี้กับผม !!! เหมือนผมโดนทรยศ !!!

“พี่ภัทร ...ช่วยพูดหน่อยสิ พวกผมอยากกลับบ้าน..”

ไอ้เวย์หันไปหาเจ้แก...ผมทั้งอายทั้งโกรธ ทำไมมันต้องบอกเจ้แกด้วยว๊ะ!! เจ้แกมองผมแล้วหันไปพูดกับไอ้สองตัวนั่น

“อยากกลับก็กลับ ..เก็บของ..เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ท่ารถ..”
..............
............................

.....ทำเอาผมพูดอะไรไม่ถูก เจ้แกนิ่งมาก แต่เจ้แกไม่รู้หรอกว่า ทำผมเสียความรู้สึกแค่ไหน...เหมือนเสียหน้าเหมือนผมไม่มีใครสนใจ ..รู้สึกตัวขาผมมันก็พาวิ่งขึ้นไปที่ชั้นสองแล้ว ไอ้เด็กเปรตนั่นคงตกใจที่อยู่ๆ ผมก็วิ่งขึ้นมา มันกรีดร้องโหยหวนแล้วสลายไป ...เสียงร้องของมัน ผมแน่ใจว่า พวกไอ้เวย์ได้ยิน แต่ไม่แน่ใจ....ว่า เจ้แก ได้ยินหรือเปล่า...จะสนเจ้แกทำไม...ในเมื่อเจ้แกทำให้ผมม

..
.ไม่มีเพื่อน!!!!


“พี่ภัทร.... พวกผมขอโทษ แต่พวกผมพยายามแล้วนะพี่...บ้านพี่กับอะตรอมมันน่ากลัวจริงๆ ”

นั้นเป็นเหตุผลของคำตอบที่ฉันถามตอนพาเด็กสองคนนั่นมานั่งที่ศาลารอรถ...ได้แต่มองเด็กสองคนที่นั่งสั่น...จะว่าไปจะโทษเด็กนี่ก็ไม่ได้ ก็พอรู้มาบ้างหล่ะว่า ‘คนของบ้านใหญ่’ เป็นยังไง บ้านใหญ่ บ้านทรงไทยหลังนั้นไม่ได้กลับไปนานเท่าไหร่แล้วนะ ก็นั่นหล่ะ ตั้งแต่ป๋า แต่งออกมาอยู่กับมี้ ป๋าก็โดนตัดขาดสินะ เคยไปบ้างตอนเด็กๆ แต่ก็ไม่เคยได้ไปอีกเลยตั้งแต่ป๋ากับมี้แยกทางกัน .... ก็ไม่ได้สนใจอะไรอยู่แล้วตอนนี้ก็มาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวอยู่แล้วนิ...ชินกับการไร้ครอบครัวมานานแล้ว ติดอยู่ก็แต่ มี้นั้นหล่ะ ที่มักจะเรียกตัวไปบ้านสวนอยู่บ่อยๆ .... แต่ก็แค่นั้น... อดห่วงไม่ได้...เด็กที่โดนบ้านใหญ่เลี้ยงมา เป็นยังไงบ้างนะ?

“เป็นยังไง..? อะตรอมเพื่อนพวกเธอเป็น คนยังไงบ้าง?”

ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันถามถึงเด็กยักษ์ ตาขวาง ที่วิ่งกระแทกเท้าขึ้นบันไดขั้นสองนั่น มองดูก็รู้เด็กนี่อารมณ์ ร้าย...แถมยังไม่ค่อยมี มนุษย์สัมพันธุ์

“อะตรอมมันน่ากลัว....ถึงที่บ้านมันจะฝากพวกผมไว้ ...แต่...”

“กลัวจนไม่อยากเป็นเพื่อนกันเลยหรอ?”

“มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นพี่ภัทร...อะตรอมมันเล่นกีฬาเก่ง”

“แรงโคตรเยอะ...เล่นบาสงี้สุดยอดเลย..”

“สาวๆหลงมันเต็มเลยนะพี่ภัทร ...ถ้ามันวิ่งในสนามนะ เสียงกรี๊ดกระจาย”
ฯลฯ

“....”

มาตอนนี้ฉันได้แต่นั่งเงียบฟังไอ้เด็กสองคนเผาเพื่อนตัวเองอย่างสนุกสนาน จะว่าไป อะตรอมดูเหมือนเป็นฮีโร่ในสายตาเจ้าพวกนี้เลยนะ ติดอยู่ก็แค่ เรื่องที่มันไม่ค่อยพูดกับชอบทำตาดุ เลยไม่ค่อยมีคนคุยกับมัน ....แค่นั้นจริงๆ (หรออออออออ-คนเขียน )

… ”เอางี้...พี่มีทางออกให้พวกเราสองคนกับอะตรอม...ฟังพี่พูดก่อน แล้วตัดสินใจ ตกลงไหม?”
..............
............................
…หลังจากได้ข้อตกลงกัน บอกทางเจ้าพวกนั้น... รถสองแถวก็มาพอดี ส่งเด็กสองคนนั่นเสร็จ ฉันก็เดินเล่นอยู่สักพักกว่าจะกลับเข้าบ้าน แต่ไอ้ที่ว่าบ้านหลังนี้น่ากลัว น่ากลัวตรงไหน? อากาศก็ดี แถมยังใกล้ชายทะเล เอ...แต่ว่าไป ไอ้เด็กยักษ์ นั้นเคยไปทะเลหรือยังนะ?
..............
............................

.. ฉันเดินปลายเท้าย่องขึ้นมาบนชั้นสอง ห้องไม่ได้ล็อก? ไอ้เด็กยักษ์ หลับอยู่ ? … ทำไมตอนหลับถึงดูดีแบบไม่มีพิษภัยนะ.. สงสัยความเป็น ‘พี่’ มันจะเข้าสิง..ฉัน
...ค่อยๆเดินไปเปิดหน้าต่างบานใหญ่ให้ลมพัดเข้ามา พัดลมตัวเล็กพัดผมมาปรกที่หน้าเจ้าเด็กยักษ์ที่หลับสนิท ...จะว่าไปตอนหลับอะตรอมมันก็ดูน่ารักดี ..จนอดไม่ได้ที่จะไปนั่งมอง ‘น้อง’ ที่หลับสนิทไม่ได้..
....
..........ตื่นแล้ว....แววตาแดงๆที่เหลือบขึ้นมามอง ทำให้รู้เลยว่าเด็กยักษ์นี่ร้องไห้มา แถมยังสะลึมสะลืออีก มือฉันอดไม่ได้ที่จะลูบปัดผมที่ปรกหน้าจนปิดดวงตาสีดำคู่นั้น

“หิวอีกไหม? ออกไปข้างนอกกันดีกว่า ...เพิ่ง 4 โมงครึ่งเอง”

เหมือนคนเพิ่งตื่นจะไม่ได้ฟังอะไร เมื่อเสียงพร่านั่นดังรอดผ่านผ้าห่มมา...

“ภัทร ...จะทิ้งผมไปอีกคนหรือเปล่า?”

ท่าจะยังไม่ตื่นดี อยู่ๆอะตรอมก็อ้อนฉันซะงั้น ...มือใหญ่เกินเด็ก ม.ต้น คว้าโอบเอวฉันไว้แล้วโผเข้ามากอด..

“ถ้าทิ้งไปแล้ว ตื่นมาจะเจอ พี่หรือ? ”

เผลอใช้เสียงโทนเดียวกันกับเวลา ปลอบเด็กสาวๆ ในสังกัดซะงั้น ..
....
...เแต่ก็หล่ะนะ จะผลักออกก็ใช่ที...น่ารักขนาดนี้ ...อ้อนพี่บ่อยๆก็แล้วกัน...



ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23 ! [5]

“ภัทร...มันจะกินได้จริงๆหรอ? ”

ผมนั่งมองเจ้แกที่ นั่งขุดหอยอะไรสักอย่าง อย่างเมามัน ริมหาดน้ำลดลงไปเยอะแล้ว แต่ก็ยังพอมีคลื่นพัดเข้ามาเป็นระยะ จะบอกเจ้แกดีไหมว่าผมไม่ชอบกินหอย...

“เฮ้ย! ทำไมไม่เรียก ‘พี่’ อย่ามาข้ามรุ่นน่าอะตรอม...”

ปากเจ้แกก็บ่นผมแต่ตากับมือยังจ้องยังขุดไม่เลิก.......
.... เมื่อกี้เจ้แกลากผมลงมาจากชั้นสอง...เดินสะลึมสะลือออกมาที่ศาลารอรถสักพัก ผมถึงได้สติ ถามแกว่าจูงผมออกมาทำไม...
‘มารอรถออกไปทะเล’
อ๊ะ!! ที่บ้านก็มีมอไซน์ ทำไมไม่ขับออกมา!!!
‘ขับรถไม่เป็น ปกติเคยเป็นแต่คนนั่ง’
หึ! มันน่าเรียกพี่ไหมหล่ะแบบนี้ !!!
สรุปเจ้แกนั่งแล้วผมเป็นคนขับ รถมันช้าๆ หันไปมองถึงรู้ เจ้แกลากพวกอะไรตามมาเป็นพรวนอีกแล้วก็ไม่รู้
‘ ภัทร...เราไปทะเลกันสองคนใช่ไหม?.’
ผมชักเริ่มเอื่อม...กับสิ่งที่รับรู้
‘ตลก!! ก็ไปกันแค่สองไง’
ขาดคำเจ้แก เสียงหวีดร้องมันก็ดังขึ้นเซ็งแซ่ ผมแน่ใจว่าไม่ใช่เสียง จิ้งหรีดหรือจักจั่น ...หันกลับไปมองอีกที พวกแขกที่ตามมาหายไปหมดแล้ว .... ‘ของดี’ ที่เจ้แกมีของดีนั่นคือ ‘คำพูด’ สินะ...
................
......กระป๋องพลาสติกแบบที่เคยใช้เล่นน้ำ ตอนนี้เต็มไปด้วยหอยที่เจ้แกหามา มันคงไม่เต็มแบบนี้ ถ้าผมไม่บ้าจี้ช่วยเจ้แกขุดด้วย...พลาดซะแล้วผม...
..............
............................

“ภัทร...ไม่เล่นน้ำหรอ?”

ผมถามไปยังเจ้แกที่ ยังพยายามเอาหอยตัวสุดท้ายที่หามาได้วางบนกระป๋องใบเล็ก แต่เพราะมันเต็มจนล้น หอบนั่นถึงได้หล่นทุกรอบ ...เจ้แกหันมามองผมแล้ว ยัดหอยตัวที่หล่นนั้นลงกระเป๋ากางเกงขาสั้น
เฮ้ย!!! เห็นนะ!!!!

“ไม่อยากเปียก”

เจ้แกตอบง่ายๆ ชิวๆแต่สภาพเจ้แกที่ผมเห็นเจ้แกทั้งเปียกทั้งเละตั้งแต่เสียฟอร์มนั่งขุดหอยแล้ว....

“ไม่ทันแล้วมั้งเจ้...ลงเถอะผมอยากเล่นน้ำ”

เหมือนเจ้แกจะลังเล แต่พอมองหน้าผมแกก็เดินลงหาดไป ...ได้เกือบครึ่งขา..เจ้แกก็หันมาทำท่าจะขึ้นจากน้ำ….

“ ปอดหรือเจ้? ว่ายน้ำไม่เป็นใช่เปล่า? ”

ผมยังกดดันเจ้แกไปเรื่อยๆ จนเจ้แกเดินลึกลงไปเกือบครึ่งเอว... ระลอกคลื่นที่พัดเข้ามาเหมือนจะแรงขึ้น แต่เพราะผมสนุกกับน้ำเค็มๆที่ใส่จนมองเห็นเท้าตัวเอง เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร ผมมุดหน้าลงน้ำ แล้วว่ายเข้าไปหาเจ้แก...

“ดูอะไรนี่..อะตรอม”

เจ้แก จับยึดมือผมเอาไว้แล้ว ก้มดำลงไปในน้ำ ..แล้วโผล่ขึ้นมาพร้อมหินเหมาะมือสองก้อน ที่ให้ผมถือไว้ จากนั้นก็ล้วงเอาหอยผู้โชคร้ายตัวนั้นออกมา ให้ผมประครองหินก้อนนึงไว้บนฝ่ามือ แล้วเอาหอยวาง จากนั้นก็ใช้หินอีกก้อนทุบหอย......
..............
............................

จบจากการประหาร ผมก็ได้เหยื่อตัวเขื่อง เจ้แกฉักเนื้อหอยเป็น สองส่วนให้ผมถือไว้ส่วนนึง เจ้แกส่วนนึง วางเศษเนื้อหอยลงมือแล้วส่ายไปส่ายมาสักพัก เจ้แกก็กดไหล่ผมให้ดำลงไปในน้ำ .....
..............
............................

.ฝูงปลาหลากสีที่มาจากไหนไม่รู้มาลุมกันตอด เศษเนื้อหอยในมือเจ้แก ....มันสวยมากๆ ผมมองจนผมหมดแรงกลั้นหายใจ ถึงได้โผล่ขึ้นมาจากน้ำ แล้วครั้งที่สองก็ตามมา คราวนี้เป็นผมที่ถือเศษ หอยไว้ในมือ .... พอหมดจากเนื้อหอย ฝูงปลาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย....
..............
............................

เจ้แกดูมีความสุขมาก จนผมหมั่นไส้ มันเหมือนเป็นเรื่องที่เด็กอย่างผมไม่เคยรู้ ...ไอ้ของแบบนี้ใครๆเขาก็ทำได้ แค่ผมไม่ได้คิดก็แค่นั้น ....นิสัยแพ้ไม่เป็น ทำให้ผม โผตัวลงว่ายน้ำออกห่างไปแล้ว ตะโกนท้าเจ้แก ... ผมหันไปทันเห็นสายตาวาวของเจ้แกที่ สว่างขึ้นชั่วเสี้ยว ไม่มีเสียงอะไร นอกจากความเงียบ .....
...
ผมโผล่ ขึ้นเหนือน้ำมา...เจ้แกก็หายไปแล้ว..
...........
.
“ภัทร!! ”

ผมตะโกนเรียกแต่ไร้เสียงตอบ...
..............
............................

เกือบจะดำลงไปดูถ้า ไม่มีมือเย็นมาดึงผมไว้แล้วทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำแทน ...
..............
............................

“ทำไมไม่ว่ายตามมา...”

เป็นผมเสียเองที่อดดุไม่ได้ ..ใจมันหายจริงๆ ตอนโผล่มาแล้วไม่เห็นเจ้แก

“ถนัดดำน้ำไม่ถนัดว่าย...ดำเร็วกว่าเห็นๆ...แต่เหนื่อยอะ.. ”

เจ้แกหอบแฮกๆ แล้วกระโดดขึ้นหลังผม ข้อแขนสองข้างเหมือนโซ่ล็อกคอผมไว้แน่น ....กินแรงนี่หว่า ....ผม..ลุยน้ำไล่ลึกลงไปจนถึงระดับคางผม แน่หล่ะมาถึงระดับคางผม ความสุงถ้าเทียบกับเจ้แกมันก็ระดับมิดหัว....หึหึหึ!! ผมดำน้ำลงไป เจ้แกที่เกาะอยู่ด้วยเลยต้องดำลงไปตามผม คลื่นลูกใหญ่ที่จู่ๆก็พัดเข้ามาทำให้เจ้แกเผลอปล่อยแขนทั้งสองข้างที่เข้ากับคอผม ...โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็เจอเจ้แกสำลักไอแถมยังว่ายน้ำท่าลูกหมา พยุงตัวอยู่ไกลออกไป คงจะโดนคลื่นใหญ่นั่นซัด เล่นเอาผมหลุดหัวเราะ กำลังจะเดินลุยน้ำเข้าไปใกล้ ....
....
...
.แต่ภาพที่เห็นทำเอาผมหยุดนิ่ง
..............
............................

.ไอน้ำสีเทาที่มาจากไหนไม่รู้ ลอยอยู่เหนือเจ้แก มันค่อยๆ เลื้อยไล่ลงมา เหมือนเป็นซี่กรง ที่จะตะคุบ ขังเจ้แกไว้ ...ผมเล่นสนุกจนลืม...ลืมไปว่า เจ้แกเป็น พวก ‘เนื้อนาบุญ’ ภาพเศษเนื้อหอยที่โดนฝูงปลาตอดทึ้ง ...ผ่านเข้ามาในหัว... คลื่นลูกใหญ่ พัดเข้ามาดึงเจ้แกให้ เสียหลักจมลง พอๆ กับ ซี่กรงสีเทาปิดงับ ทั้งตัว เจ้แกแล้ว ดึงลงน้ำทะเล!!!!

“ภัทร!!!!”


..............

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23!! [6]
.

‘หายไปแล้ว....ไม่ใช่แค่ล้อเล่น ภัทร หายไปแล้ว ......’
ผมนิ่งไปอย่างนั้น จะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้า ‘โดนกิน’ ไปแล้วหรือเปล่า?!! ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง ผม..ไม่มีแรงทำอะไรสักอย่าง... ความรู้สึกแปลกๆ ที่แทรกเข้ามายิ่งทำให้ผมสับสน เสียงลมทะเลที่พัดเข้าหูเหมือนเสียงกระซิบสาปส่ง เสียงหวีดร้องที่ก้องสะท้อนเข้าไปในโสตประสาท

‘“สิ้นแล้ว ....สลายไปต่อหน้าข้า....สลายหายไปทั้งหมด....เพราะมัน...เพราะ...ตนนั้น....”’

‘“..เพียงแค่... ทำลายเชื้อสายนาคาในองค์ ...แล้วใย!!!??? แล้วใยองค์จึงสูญสลาย !!!!แล้วใย?????!!! แล้วใย!!! ......แล้วใยองค์ถึงดับสูญไป !!! คืนมา !! เอาคืนมา !! เอาตนรักแห่งข้าคืนมา!!!! เอาคืนมา!!! ”’

... เรื่องแบบนี้มันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว...และมันก็ซ้ำรอยเดิม!!!! ไม่เอาอีกแล้ว ความเหงา ความ ทรมาน ความเหน็บหนาวที่กรีดลงไปถึงกระดูก ...จะให้ต้องรออีกนานแค่ไหน ไม่เอาแล้ว!!! ไม่เอาแล้ว !!!
....
..............’เอาคืนมา..ไม่ว่าจะหน้าไหน ..จะไม่ยอมให้ใครแย่งไปอีกแล้ว!!!’..........
เสียงก้องที่ดังอยู่ในหัวผม......สะท้อนในหูจนปวดไปหมด....แต่กับสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ คืออะไร ??!! ….เงาดำนั่นมันเกินกว่าความสามารถของผม ..เกินกว่าสิ่งที่เคยได้เจอมา ...น่ากลัวจนก้าวขาไม่ออก น่ากลัวจน...ขยาดกับผืนน้ำทะเลที่รายรอบ ...
‘…จะให้ หายไปอย่างนี้อีกรึ? จะต้องรออีกนานเท่าไหร่ กว่าจักพบเจอ ?... ’
เสียงสะท้อนในหัวผมเหมือนก่อตัวเป็นคำถาม

“ผมกลัว..!!!”
.......
‘..กลัวอะไร?…ตนมึงขลาดกลัว ที่จะไขว่ขว้า...สิ่งสำคัญจากพวก ...ฝูงปลา...งั้นรึ? ลองตรองดู ...ทรมานจากฝูงปลา... มันทรมานเทียบเท่า..ความทรมานกว่าสิ่งที่เคยเจอรึเปล่า? ตรองดู..พรากจากอีกครา???...รึฝูงปลาตัวน้อย..??? มึงกลัว...กลัวอะไรมากกว่ากัน
...มหินทรา!!!’
……………….
………………………………………………………



“อะตรอม !! อะตรอม!! ตื่น!! ฝนตกแล้ว!!”

เสียงปลุกเรียกมาพร้อมกับ หยดน้ำ...หยดเล็กๆ ที่พรมลงมากระทบหน้าผม ท้องฟ้าสีฟ้าอมเทาหม่น ?? เสียงหวีดของสายลมที่พัดมา...หัวที่ปวดจนเหมือนจะรับรู้ได้เลยว่า สมองซีกไหนอยู่ตรงไหน หัวผมเหมือนลูกมะพร้าวใบใหญ่ ที่มีใครเอาค้อนมาทุบ จนน้ำมะพร้าวข้างในสั่นกระเพื่อม ..... สมองผม ...มัน ...ว่างเปล่า....จน... ภาพกรงสีเทาที่ปิดทับร่างหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง

“ภัทร ???!!!”

ชื่อนั้นผุดขึ้นมา..พร้อมๆกับขาที่พาผมวิ่งลงไปในทะเลอีกครั้ง กลัว ...ผมกลัวนะ ..แต่ ความกลัว สิ่งที่เห็น.. เทียบไม่ได้กับความเหงาที่เหมือนจะผุดขึ้นมา ..ในความทรงจำ..มันทรมานมากกว่าความกลัว ...

“อะตรอม!!!”

เสียงใครบางคนตะโกนเรียกชื่อผม.... แต่.. ภัทรยังอยู่ที่นั่น !! ในทะเล นั่น ..!! ข้างล่างในผืนน้ำนั่น ตรงไหนสักที่!!! ผมได้แต่ควานมือหาอย่างกับคนบ้า น้ำตามันปนไปกับน้ำทะเล จนเริ่มรู้สึกว่าแสบตา...ปากผมยังตะโกนเรียกชื่อ ภัทร ไม่หยุด ไม่เอาแล้ว ...ไม่อยากให้มันจบอย่างนี้อีกแล้ว ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว!!..เอาคืนมา...เอาคนของผม คืนมา..!!

“!!!!!”

สติผมกลับมาอีกครั้ง ....พร้อมกับความชาที่หน้าซีกซ้าย... คนตรงหน้าผม สะบัดมือขวา แล้วใช้มือนั้นตบย้ำที่แก้มผมเบาๆ อีกสองสามครั้ง …

“กู-ชื่อ-อะ-ไร ?”

เสียงเบาแต่ย้ำชัดทีละคำ.... ผมค่อยๆ ปาดคราบน้ำทะเลที่รวมกับน้ำตาออก เพื่อจ้องมอง..เจ้าของแรงมือที่ฟาดเข้ากับหน้าผม...

“ภัทร ...???”

พอเห็นคนตรงหน้าชัดๆ เสียงของผม..ไม่ได้ดังไปกว่าเสียงลมเลย...

..............
............................

.”ภัทร พูดไม่เพราะ..”

ไอ้เด็กยักษ์มันละเมอบ่นฉันตอนมันเริ่มรู้สึกตัว...เป็นบ้าอะไร? ฉันก็อยากจะถามมันนะ แต่กลัว มันอาย ...ก็รู้หล่ะว่ามันคงตกใจ ฉันเองก็ตกใจ ที่อยู่ๆ คลื่นมันก็พัดจนจมลงอย่างนั้น ซ้ำพอจะผยุงตัวว่ายขึ้นมามันยังมีอีกลูกที่โถมเข้ามา ขาก็ดันติดกับสาหร่ายที่ขึ้นข้างโขดหินใกล้ๆอีก ...เกือบตายเหมือนกัน...แต่ความรู้สึกที่เหมือนโดนดึงนั่นยังจำได้ สาหร่ายอะไร เหนียวขนาดนั้น ...เพิ่งรู้ว่าทะเลแถวนี้มีสาหร่าย... กว่าจะโผล่ขึ้นมาจากน้ำได้ ก็สำลักแทบแย่ แต่ที่แย่กว่านั้น ไอ้เด็กยักษ์ อวดดี มันนิ่งไปจนหน้าตกใจ คงช็อค อะมั้ง ก็แน่หล่ะ คนจมน้ำต่อหน้า ถึงมันจะโตก็โตแต่ตัวหล่ะน่า ..ดึงมันเข้าฝั่งได้ มันก็ทรุดนิ่งไปกับพื้นทรายแล้ว .... แถมตื่นขึ้นมามันยัง ละเมอจะเดินลงน้ำอีก ...เฮ้อ ..เด็กหนอเด็ก....ถึงโตก็โต แต่ตัวหล่ะน่า ....

”ภัทร พูดไม่เพราะ.. มือหนักด้วย..”

ไอ้เด็กยักษ์ มันยังละเมอประโยคเดิม...ทำไมไม่เรียก ‘พี่’ ฟ่ะ!!แต่ก็ให้อภัยหล่ะน่า ....อย่างน้อยก็ดีที่รู้ได้ว่ามันเริ่มมีสติแล้ว
....สายฝนที่ค่อยๆพรำลงมา ทำเอาลมทะเลเย็นยะเยือก ...ฉันฉุดมือใหญ่ของคนโตแต่ตัว ให้ลุกขึ้นแล้วเดินย้อนกลับไปหยิบกระป๋องใบเล็กที่ใส่หอยที่ขุดมาได้ เงินที่พกมาด้วยยังอยู่ในกระเป๋า กางเกง.. แวะซื้ออะไรที่ตลาดสักหน่อยดีกว่า...

”ภัทร พูดไม่เพราะ.. มือหนักด้วย..”

อะตรอมยังย้ำประโยคนั้นตอนขับรถห่างออกมาจากริมหาด ... ไอ้เด็กนี่ มันย้ำคิดย้ำทำจริงๆ ไอ้นิสัยไม่ยอมหยุดจนกว่าจะได้คำตอบนี่ทำเอาอารมณ์เสียได้เหมือนกัน ...

“ถ้าตอนนั้นพูดเพราะแล้วจะรู้สึกตัวไหม ? ถ้าตอนนั้นไม่ซัดสักฉาด แล้วจะหายบ้าไหม?”

....ไร้เสียงตอบ ก็แค่นั้น กับไอ้เด็กยักษ์นี่ บ้านใหญ่เลี้ยงมายังไง? มันไม่ยอมหยุดถามจนกว่าจะได้คำตอบสินะ....
‘พวกแพ้ไม่เป็น’
..............
............................

“อะตรอม เลี้ยว ขวา เลี้ยวขวา ... ตรงไปทางนั้นหล่ะ ”

กลับมาจากตลาดแล้ว ฉันยังไม่ได้กลับเข้าบ้านทั้งๆที่ข้าวของที่ซื้อมายังเต็มมือแวะ ‘สะพานปลา’ ก่อน ไม่รู้ว่าแถวนี้อะตรอมเคยมาหรือเปล่า ปกติจะให้เข้าแต่พวกมีบัตร เพราะเป็นเขตของ ทหารกับคนใน แต่วันนี้คนน้อยๆ คงไม่เป็นไร ฉันให้อะตรอมเอารถจอดหลบไว้ข้างเรือลำเล็กแขวนของที่ซื้อมาไว้ที่รถ แล้วเดินตัวปลิว ตรงไปที่สะพานปลา สีขาวมอๆของปูน ตัดกับสีส้มแสดของแผ่นน้ำ ตอนดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน สะพานทอดยาวไปสุดสายตา เดินจนมาสุดที่ ปลายสะพาน ...รู้สึกไปเองรึเปล่านะ..ว่าลมทะเลที่พัดเข้ามาเหมือนจะกระชากดึงให้ตกลงไป...

“ภัทร!! อย่าไป!!”

ไอ้เด็กยักษ์มันวิ่งตามมา มือใหญ่นั้น ยึดข้อมือฉันไว้แน่น แววตาสีดำสนิท เริ่มมีนำตาคลออีกแล้ว...

“จะบ้าหรอ?? แค่เดินออกมารับลมเฟ้ย!! ใครจะบ้าโดดลงไป..”

“ไม่ให้ไปแล้ว...ถึงภัทรจะโดดลงไป อะตรอมก็จะโดดตาม...จะไม่กลัวแล้ว ..จะไม่กลัวอีกแล้ว ..จะต้องช่วย ภัทร ให้ได้..จะต้องช่วยให้ ได้ ...”

ไอ้ยักษ์ข้างหน้าเริ่มพล่ามประโยคซ้ำๆออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหนพราก มันเอามือปาดน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด ...ยังช็อคอยู่สินะ.. อดไม่ได้ที่จะดึงตัวมันเข้ามากอด...’หลานคนเดียวของบ้านใหญ่ ‘ lสินะ เจ้าตัวโตนี่มันต้องแบกรับอะไรเอาไว้บ้าง ...

“อะตรอม ...เป็นเด็กก็คิดแบบเด็กๆก็ได้ เรื่องบางเรื่อง มันก็เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่เขา เรื่องบางเรื่องเราทำมันไม่ได้ทั้งหมดหรอก ...อย่าฝืนทำอะไรเกินตัว...พี่ไม่ได้ว่าหรือบ่นเรานะ พี่ชมเราด้วยซ้ำ แต่เรื่องบางเรื่อง...เรื่องที่มันเกินความสามารถของเรา... เราก็ต้องปล่อยมันไป เรื่องที่พี่จมน้ำก็เหมือนกัน ถ้าเราช่วยไม่ได้เราก็ต้องปล่อย ตายคนเดียวดีกว่าตายสองคนน่า...แต่ยังไงพี่ก็ยังไม่ตาย ไม่ต้องคิดมากขนาดนั้นหรอก ..พี่บอกแล้วไง เรื่องบางเรื่อง ...เราทำได้แค่ปล่อยมันไป....”

ฉันเทศน์ซะยาว แต่ก็ไม่รู้ว่า เด็กยักษ์ที่อยู่ในอ้อมกอดมันจะรับรู้ได้แค่ไหน น้ำตาที่ไหลมาจนไหล่ฉันชื้น กับ เสียงฟันที่กัดกระทบกันดังกรอดๆ วงแขนใหญ่ที่โอบรัดตัวฉันแน่น... 70% เดาได้เลยว่า อะตรอมมันเถียงฉันอยู่ในใจ...โดยไม่พูดออกมา
..............
............................

“ภัทร...มันจะกินได้ไหม? ”

ผมเริ่มไม่แน่ใจกับสิ่งที่เห็น ก็จากหอยทะเลหน้าตาเหมือนหอยกระปุก ถึงจะแปลงสภาพกลายเป็นหอยผัดพริกแกงจานหอม แต่ไอ้ชื่อที่คนทำยังไม่รู้นี่ทำเอาผมไม่กล้าลอง จะบอกภัทรดีไหมว่าผมไม่ชอบหอย... ที่สำคัญ หอยที่ภัทรทำ ...


มันกินได้หรือเปล่าก็ไม่รู้?
..............
............................

...กับข้าวมากมายแต่คนกินมีแค่สองคน..


..ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ใจอิ่ม มากกว่ากินคนเดียวนะผมว่า ....


“ไข่เจียวหมูสับหอมใหญ่ หอยอะไรไม่รู้ผัดพริกแกงใส่ใบโหระพา ต้มจืดหมูสับใบผักกาด โครงไก่ผัดน้ำมันหอย... ”

ภัทร ร่ายรายการที่วางอยู่บนโต๊ะให้ผมฟังแล้วส่งจานข้าวกับช้อนให้ อิ๋งๆ เข้ามานั่งใต้โต๊ะ เลยได้ อาหารเม็ดที่เจ้แกซื้อมาเป็นของว่างไปก่อนรอบจริง ผมมองจานแล้วมองเจ้แกที่เริ่มตักต้มจืดก่อน

“อ้าว!! แล้วข้าวอะภัทร?”

“ไม่รู้..พี่หุงข้าวไม่เป็น กินแต่กับไปแล้วกัน ...วัยกำลังโต”

เจ้แกพูดเหมือนเรื่องปกติ....เหอออออออ ...บ้านเจ้แกดิ ...กินกับไม่กินข้าว....ทำกับข้าวได้ตั้งเยอะ แต่ดันหุงข้าวไม่เป็น .....แต่ทำไงได้ ผมได้แต่นิ่ง...สงบปากสงบคำ กับข้าวตรงหน้า อร่อยใช้ได้ แต่... ขัดกับหน้าตาและนิสัยคนทำเป็นอย่างมาก

“พี่คุยกับพวก เวย์กับคิด แล้ว เรื่องเธอ พี่ตกลงไว้ว่า พวกนั้นจะบอกคุณน้ากับครูที่ปรึกษาว่าอยู่กับเธอตลอดสองอาทิตย์ ส่วนเธอก็แค่ บอกทางชมรมบาสว่า มากับพวกนั้นจริง ก็แค่นั้น ส่วนที่เหลือ ต่อจากนี้ พี่จะดูแลเธอเองจนกว่าจะครบกำหนด..”

ภัทรบอกผมถึงสิ่งที่ ตัดสินใจให้ผมเสร็จสรรพ ไม่ได้ถามอะไรผมเลยสักนิด หอยผัดพริกพูนช้อน ถูกตักมาใส่ในจานผม....

ส่วนเจ้แกก็ หันกลับไปลุยกับ ไข่เจียวที่วางอยู่เต็มจาน ...
.......
...
“ทำไมภัทร...ไม่ทานอะ ?”

ผมชี้ไปที่จานหอยผัด

“พี่ ไม่ชอบหอย....ช่วยๆกินหน่อย เสียดายของ”

เสียงเจ้แกตอบกลับมาเรียบๆ แล้วเดินไปหยิบน้ำ ทิ้งผมไว้กับหอยอะไรไม่รู้พูนจาน .....เจ้แกบอกผมเองใช่ไหม? ว่าเรื่องบางเรื่อง ผมก็ไม่ควรฝืน ...

“อร่อยไหมอะตรอม?”

เจ้แก ถามพร้อมกับยื่นแก้วน้ำเย็นเจี๊ยบให้

“ก็ใช้ได้ ภัทร”

ผมได้แต่ตอบพร้อมเขี่ยหอย(อะไรไม่รู้)เข้าปาก หอยปกติที่รู้ชื่อมัน ผมยังไม่กิน แต่นี่หอยอะไรก็ไม่รู้ กินไปจะตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมยังฝืนกินหมดจาน รสชาติก็ถือว่าใช้ได้ ....แต่ถ้าคืนนี้ผม นอนชักน้ำลายฟูมปาก ...ก็ไม่ต้องหาตัวฆาตรกรนะ ของมันเห็นๆ อยู่

“อร่อยไหม อะ? เผ็ดไปหรือ?”

เจ้แกยังถามผมซ้ำเมื่อเห็นว่าผมตักหอยตัวสุดท้ายเข้าปาก แล้วน้ำตาคลอ....

“พี่บอกแล้ว ไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืน....”

เหรออออออออออออออ ..แล้วเจ้มาบอกอะไรตอนนี้ครับเจ้.....มาบอกตอนผมกินหมดแล้วอะนะ!!! ไอ้ที่ผมน้ำตาไหล ไม่ใช่เพราะมันเผ็ด ....
..............
............................

แต่เป็นเพราะผมไม่รู้ว่าไอ้หอยที่ผมฝืนกินเข้าไปนี่ ชาวบ้านปกติ เขากินกันหรือเปล่า ต่างหาก โห่...หอยอะไร แม่ง ทรายเต็มปาก!!!!


ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23! [7]


ปีนเกลียว [V] ; contradict
Syn. ขัดแย้ง
หมายถึง ไม่ลงรอยกัน ก้าวก่ายออกนอกทาง แก่งแย่งกัน

- ที่มาจาก สำนวนงานช่าง ซึ่งมีการทำโลหะหรือไม้ ๒ ชิ้นเป็นคู่กันให้เป็นเกลียวเพื่อประกอบเข้าด้วยกันโดยการหมุนให้เข้าร่องเกลียว อันหนึ่งจะเรียกว่าเกลียวตัวผู้ อันหนึ่งจะเรียกว่าเกลียวตัวเมีย ถ้าหมุนเกลียวประกอบเข้ากันสนิทดีจะเรียกว่า ‘กินเกลียว’ แต่ถ้าประกอบเข้ากันไม่สนิทหรือหมุนไม่เข้าเกลียวกันจะเรียกว่า‘ปีนเกลียว’และถ้าขืนฝืนปีนเกลียวต่อไป ทั้งเกลียวตัวผู้ และเกลียวตัวเมีย ก็จะมีอาการ ‘เกลียวหวาน’ ต่อจากนั้นไม่ว่าจะยังไง เกลียวทั้งสองตัว ....มันก็จะไม่มีทางเข้ากันได้อีก......

เอกสารวัสดุขนส่งถูกขีดไล่ทีละรายการ ปลายเล็บสีดำจรดไล่ตามรายงานเอกสารนับจำนวนไม้ขนาดต่างๆ รวมไปถึงส่วนประกอบเล็กๆน้อยๆจำพวก เกือกม้า และ น็อตต่างขนาด รวมไปถึงสีโป๊ะ จนครบทั้งห้อง แววตาสีน้ำตาลเคลือบมรกต ถูกปิดทับไว้ด้วยคอนแทคแลนส์ สีดำสนิท.... สีหน้ากวนประสาทที่เคยใช้กับเด็กอะตรอมก็ด้วย สีหน้านั้นถูกปิดทับด้วยหน้าที่การงาน ของ’ผู้ใหญ่’ ภัทรเหลือไว้แค่รอยยิ้มการตลาดบางที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเซลล์ฝ่ายขาย…

“เชอร์รี่ ,กราไฟต์ เซตโต๊ะประชุม วงรี 18 ที่นั่ง เก้าอี้ใช้ขาตัวแอล (L) เบาะหนังดำทั้งหมด ยกเว้น ประธาน ขอ พนักสูงระดับศีรษะมีท้าวแขน ...ส่วนห้องแคนทีน ขอโต๊ะเอนกประสงค์ หน้าโฟเมก้า เก้าอี้ ขอกลม ยกเซต ขาเหล็กนะ ห้องรับรองกับเคาว์เตอร์ อะไรที่เป็นไม้ เน้นสีบีช/ดำ เป็นผ้าลงสีฟ้าน้ำทะเลทั้งหมด ...แล้ว... ตู้เอกสาร หลักๆเน้น เชอร์รี่/กราไฟต์ แต่หน้าบานขอกระจกทั้งหมด ...หลังจากห้องประชุมกับแคนทีน เรียบร้อย เราจะดูโซนทำงานกันอีกที...มีเพิ่มเติมอะไรอีกไหมคะ คุณหลิน ... ”

ภัทร หันไปหา ชายหนุ่มร่างบาง รอยยิ้มหวาน ของชายหนุ่มมีให้ทันทีที่เซลล์ฝ่ายขายไล่รายการ การจัดวางเฟอร์นิเจอร์ที่เซตไว้คราวๆ ออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ ภัทร ลดแปลนในมือลงแล้วไล่สายตาไปตาม ของล็อตแรกที่ส่งมา ก่อนจะพยักหน้าและส่งเอกสารงานล็อตต่อไปให้ฝ่ายขนส่ง งานไม้ปิดผิวเมลามีน ทั้งเซตเป็นเชอร์รี่ ,กราไฟต์ คงต้อง จัดห้องประชุมทั้งหมดก่อน แล้วตามเก็บงานกับความเรียบร้อยทีละห้อง การได้หลานเจ้าของงานมาคุมงานเองถึงจะอึดอัดไปบ้างแต่ก็ นับได้ว่างานเดินหน้าไปได้ดี หลายวันมานี้งานเริ่มจะลงตัวเพราะ ปัญหาเรื่องการขนส่งถูกตัดไปบ้างแล้ว ตัดสินใจไม่ผิดที่เอาของมาลงไว้ก่อน การเซตสถานที่ ตอนนี้เลยเหลือแค่ประกอบติดตั้งตัวเฟอร์นิเจอร์ กับเก็บงานที่เสียหาย จากปัญหาการขนส่ง นอกจากนี้ก็รอลุ้นงานเซตต่อไป ถ้าขนส่งไม่ผิดพลาดงานนี้ก็น่าจะปิดได้ก่อนกำหนด 2-3 วัน...

“ตอนนี้แปลนคราวๆคือ จัดห้องประชุมทั้งหมด ถ้ายังไงคงต้องรบกวนคุณหลิน ติดต่อทางตึกขอพื้นที่เก็บวัสดุเพิ่มเพราะ ถ้าเป็นเฟอร์นิเจอร์พวกโต๊ะ ตู้ ทางเราลดพื้นที่ได้จากการติดประกอบหน้างาน แต่ถ้าเซตเก้าอี้คงต้องใช้พื้นที่จัดเก็บ ”

“ผมขอเปิดห้องเก็บของ ถัดจากลานจอดรถไว้ คุณภัทร จะไปดูกับผมไหมหล่ะครับ ?”

อดยิ้มให้ไม่ได้ เมื่อคุณหลิน ฝ่ายงานบุคคลที่ควบตำแหน่งหลานเจ้าของโครงการ ดูกระตือรือร้นกับเรื่องการให้ความช่วยเหลือ ทำงานมาด้วยกันเกือบอาทิตย์ถึงแม้ไม่บอกแต่ก็พอมองออกได้ว่าอะไรเป็นอะไร คนตรงหน้าน่ารักเกินกว่าจะเป็นผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แสดงออกเกินงามว่า ‘อยากเป็นผู้หญิง’ ภัทร ยิ้มตอบแล้วคว้าเอกสารชุดใหม่เดินตาม... ร่างบางเดินนำลงบันไดหนีไฟแล้วเลี้ยว ไปยังลานจอดรถ แสงดูจะสลัวเมื่อขาดไฟจากผนังตึกที่อยู่ไกลออกไป ภัทร ได้แต่ไล่สายตามองแผ่นหลังเล็ก เอวร่างที่เดินนำหน้านั้นเหมือนจะอ่อนอ้อนชวนให้สัมผัส ไหนจะก้นงอนๆนั้นอีก ....คิดแล้วได้แต่ถอนหายใจได้แต่ท่องไว้....
‘งานคืองาน แถมยังไงเก้งก็ไม่สน ชะนี ลำพังถ้าชะนีด้วยกันเอง เอาปืนสอยมาก็ได้ไม่เกินความสามารถ แต่ ถ้าเป็นเก้งกวาง กลัวมันจะยิงไม่ลง…ก็ตาคู่สวยนั้นมันคมจนบาดในคนยิง…’

“คุณภัทร พักที่ไหนหรือครับ หรือว่าขับรถไปกลับ กรุงเทพ-แหลมฉบัง?”

เสียงหวานเกินผู้ชายเอ่ยทักมาเล่นเอาสติเกือบกระจายก็เซลล์ฝ่ายขายของเราเองคิดไปไหนต่อไหนแล้ว...แต่ขึ้นชื่อว่าเรื่องงาน ภัทร ก็ยังพอมีสติกลับมาบ้างยังไงงานก็ต้องเป็นงาน กฎเหล็ก ของการทำงาน ไม่ว่ายังไง ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาก้าวกาย เพราะถ้ามันจบไม่สวย นั่นหมายถึงพินาศ!!

“เปล่าค่ะคุณหลิน...ภัทร ขับรถไม่เป็น ตอนนี้พักที่ สัตหีบ บ้านญาติหน่ะค่ะ ”

“หรอครับ? ไกลไปรึเปล่า ถ้าไม่รังเกียจมาพักแถวพัทยาไหมครับ ผมมีคอนโดที่เช่าทิ้งไว้อยู่...ถ้าคุณภัทร สนใจผมให้อยู่ฟรีเลย...”

แรงใช่เล่น กับหนุ่มหน้าหวานตรงหน้าแต่ก็แค่นั้น ภัทร ได้แต่ยิ้มให้ แล้ว เดินหลบเข้าไป ตรวจสภาพห้อง เก็บของที่ขอเปิดใหม่ ไม่ใช่ไม่อยากลอง แต่งาน มันก็ต้องอยู่ส่วนงาน ..............
............................

“ภัทร .... กลิ่นอะไร ติดมา?”

กลับมาถึงบ้าน ไอ้เด็กยักษ์มันทักฉันยังไม่ทันจบก็ จับหน้าผากฉันแล้วโน้มให้เข้ามาผิงกับอกมันแล้ว จมูกโด่งนั้นเหมือนจะฝังติดเข้ากับช่วงไหล่

“เหม็น!!”

อะตรอมมันผลักตัวฉันออกแล้ว เอานิ้วดีดหน้าผาก เฮ้ย!! ฉันเป็นพี่แกนะไอ้เด็กเปรต ! !! อยากจะซัดมันกลับเหมือนกันแต่เทียบจากขนาดตัวดูแล้ว กลัวมันสวนกลับ

“จะหอมได้ไง ไปทำงานนะเฟ้ย ! ไม่ได้ไปอาบน้ำแร่แช่บ่อกุหลาบ”

ก่อนไปอาบน้ำขอเถียงมันสักนิดก็ยังดี ไม่งั้นคงอาบน้ำไม่สุขใจ อะตรอมมันเงียบไป ก่อนจะเดินเข้ามาขวาง


“พรุ่งนี้ผมไปที่ทำงานด้วย ...”

เฮ้ย! จะไปทำไม คนเขาจะไปทำงาน ไม่ได้ไปเล่นเกมส์นะเฟ้ย!! คราวนี้อยากจะเถียงมันใจจะขาด แต่ ไอ้ เด็กยักษ์มันกลับดันตัวฉันเข้าห้องน้ำ แล้ว ปิดประตูให้

“อาบนานๆขัดเยอะๆ เหม็นกลิ่นสาบ....”

น้ำเสียงประชดประชันแบบได้ใจ ดังรอดเข้ามาในห้องน้ำ ....ไอ้เด็กเวร!!! ยังไงกูก็เป็นผู้หญิงนะสาดดด!!! ?ทำร้ายจิตใจกูเกินไปหล่ะ....
.....ฉันได้แต่เปิดฝักบัวรดหัวดับอารมณ์ร้อนของตัวเอง ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งโดนว่าเหม็นสาบก็คราวนี้ !!!
..............
............................

อารมณ์ยังไม่เสถียรเท่าไหร่ แต่ก็ต้องแอบตื่นมาทำงาน ส่วนไอ้เด็กยักษ์ ตอนนี้ทิ้งให้มันนอนอืดอยู่บ้านนั้นหล่ะ !!! .... กับอีแค่ คำพูดเด็กเวรตัวเดียว ทำเอาช่วงท่อนแขนเป็นรอยแดง ก็เมื่อเช้าตอนอาบน้ำขัดจนหนังจะหลุดติดมือ ...คิดแล้ว.... แค้น

“คุณภัทร...เป็นอะไรไปครับ?”

“คุณหลิน!?”

เพราะไม่อยากเสียภาพพจน์กับพวกช่างและเจ้าของงาน เลยเดินหลบมาสงบสติอารมณ์ที่สตูห้องพักรับรองแขกหรอกนะ เลยอดสงสัยไม่ได้ ที่เห็น คุณหลินที่นี่...

“แขนโดนอะไรมาครับ คุณภัทร ผมเห็นลูบแขนอยู่ เป็นรอยแดงเลยนะครับ ”

เหมือนถือวิสาสะ หนุ่มหน้าสวยนั้นวางมือ แตะบนรอยแดงเบาๆ ผิวสีน้ำผึ้ง ดูจะตัดกันกับผิวสีนวล จน ภัทร อดคิดไปเองไม่ได้เหมือนคุณหลินจะยิ่ง ดูดี เวลาที่อยู่ในที่อับแสง ... ดวงตาสีน้ำตาลคม ที่สบมา เหมือนจะกลบคำว่างานเสียสนิท ....

“คุณหลินลงมาทำอะไรที่นี้อะค่ะ?”

..ยังไงก็ต้องหาทางออกจากสถานการณ์ นี้ให้ได้ก่อน ยอมรับเลยว่า ยิ่งอยู่ด้วยกันสองต่อสอง คนข้างหน้าเหมือนมีมนต์ให้ ทิ้งคำว่า ‘งาน’ จนอยากจะทำ ‘การบ้าน’ แทน

“ผมสูบบุหรี่หน่ะครับ...ภัทร อยากลองรสบุหรี่หน่อยไหม? ”

“อยากชิมเจ้าของบุหรี่มากกว่าค่ะ”

สุดท้ายพอโดนเจ้าของแววตาคู่นั้นจ้องสะกด ปากที่ไปพร้อมความคิดก็เผลอหยุด ประโยคกึ่งเย้ากึ่งหยอก ไม่ได้...

“ถ้าผมให้ชิม...ภัทร... จะชิมไหมครับ?”

ถ้าไม่ได้เป็นเรื่องงานก็แทบไม่ต้องคิดรอยยิ้มหวานกับน้ำเสียง ยั่วขนาดนั้น แต่เพราะมันพ่วงกับเรื่องงานตอนนี้สมองเลยกำลังประมวลผลความเสียหาย คุณหลิน เป็น หลานเจ้าของโครงการ ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา...มันจะมีปัญหากับบริษัทหรือเปล่ายังไม่ทันได้ คำตอบริมฝีปากนิ่มก็แนบลงมาพร้อมๆกับลิ้นที่สอดรุก... เรื่องคิดก็มีคิดอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าคุณหลิน จะเป็นคนรุกเสียเอง เอกสารที่ถือมา ตอนนี้มีประโยชน์บ้างก็ตอน ภัทรใช้บังริมฝีปากที่ แนบสนิทของตัวเองกับคุณหลิน
ริมฝีปากที่แนบเข้ามา..จนได้กลิ่นบุหรี่ ....นั่นยังไม่ถึงใจเท่ากับลิ้นที่รุกไล้เกี่ยวกับลิ้นตน จนได้รสชาติของบุหรี่ที่อีกฝ่ายเพิ่งสูบถึงดูแปลกๆในความรู้สึก แต่ก็แค่นั้น...สำหรับ ภัทร ถ้าอยากได้ มันก็ต้องได้ ... หนุ่มร่างบางถูกโน้มพลิกให้นอนทอดยาวไปบนโซฟา... โดยที่ลิ้นร้อนยังไม่ถูกปล่อยออกจากริมฝีปาก.... ภัทร ถอน ริมฝีปากตนออกมา แล้ว ยืดตัว ล้วงเอามือถือเครื่องเล็กออกมาจากกระเป๋ากระโปรง...มือนิ่มลูบหน้าหวานของชายหนุ่มเบาๆ ราวหลงใหล ...

“พี่ชิต ...ภัทร นะ ตอนนี้ออกมาธุระกับ คุณหลิน พี่ ...ยังไงฝากงานด้วยนะคะ ...เกือบลืมพี่ชิต ภัทร ล็อคห้อง สตูฯ ไว้ ยังไงเดี๋ยวกลับไปแล้วจะเปิดให้ ... ไม่มีใครใช้ห้องใช่ไหมพี่...ค่ะ รบกวนด้วยค่ะ.. ”

..ภัทร ปิดล็อคประตูห้องสตูฯ แล้วดึงเจ้าของโครงหน้าหวานให้เข้ามาใกล้…

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2012 23:15:26 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23! [8]

..
................
. เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว แต่ เจ้ภัทร ของน้องอะตรอมยังหลงอยู่กับร่างบางตรงหน้า ริมฝีปากนิ่มสีชมพู ถึงจะเป็น ‘ผู้ชาย’ แต่หน้านั่นก็หวานกว่าสาวๆที่เคยได้ เสียอีก ... เป็นฝ่ายบุคคลที่ น่ากินจนอดใจไม่ได้...จีบเล่นๆ แต่ถ้าได้กินจริงอย่างนี้ มันก็น่าลอง .... กินคนตรงหน้า แทนข้าวได้เลย....
..............
............................

เอวบางนั้นพอโอบจริงแล้วมันให้อารมณ์กว่าคิดเองเยอะ ทุกครั้งที่ลูบแผ่นอกนิ่มมือ เลยไปถึงเม็ดตุ่มไตที่แข็งชันสู้มือของคุณหลิน ..เสียงคราง ยั่วได้อย่างไม่ต้องปิดบัง งานที่ตะคุบมาคราวนี้ สงสัยจะได้ทั้งงานทั้งหลานเจ้าของงาน...

…………ปลายลิ้นเย็นไล้เลียรอบรอยแดง ที่ท่อนแขน คุณหลินดู เหมือนสัตว์น้อยตัวเล็กๆที่ แสนน่ากอด แววตากลมที่จ้องมองนั้นก็ด้วย ทำไมยิ่งมองถึงยิ่งน่ารักขนาดนี้...

“ทำไมถึงชอบเลียหล่ะคะ คุณหลิน ?”

“ก็ ภัทร หอมนิครับ..”

คำตอบมีพร้อมดวงตากลมที่เงยหน้าขึ้นมามอง……แผ่นหลังสีนวลเหมือนอาบเปลียวเทียน พาให้ความรู้สึกยิ่งละมุน …..เหมือนจะดึงให้หลงจนถอนตัวไม่ขึ้น...

“ฮะ! หอมหรือคะ? เมื่อวาน ภัทร เพิ่งโดนว่ามาว่า ‘ตัวเหม็น’ ”

แทนคำตอบ วงหน้าหวาน ไล้เลียลิ้นซ้ำๆที่ ท่อนแขน ภัทร ไล่เรื่อยมาจนอมปลายนิ้วเรียวนั้นเข้าไปในปาก ภัทร กดปลายนิ้วตนที่ถูกอมไว้ลงบนลิ้นร้อน แล้วประกบแนบริมฝีปากอีกครั้ง ลิ้นร้อนของชายหนุ่ม ดูดสลับระหว่างปลายนิ้วเรียวและลิ้นเย็น.... จนหญิงสาวถอนริมฝีปากตนออกมาเป็นฝ่ายคุมเกมส์เสียเอง คุณหลินถูกกดให้ทอดตัวลงบนโซฟาอีกครั้ง เซ็กส์ที่ไร้รูปแบบ คำว่าชายหญิงเหมือนถูกแทนสลับข้าง เมื่อเซลล์ฝ่ายขายอย่าง ภัทร ถนัดบท ‘ผู้ชาย’ มากกว่า ... และชายหนุ่มที่อยู่ใต้วงแขน ก็ไม่ขัดอะไรถ้าจะรับบท ‘ผู้หญิง’
..............
............................

…ปิดท้ายด้วยจูบ รสหวาน…ที่หน้าลิฟต์ ...น่ารักสุดๆ จนอยากจะกลับไปต่ออีกรอบ ถ้าไม่มีวงแขนใหญ่มาโอบรอบคอแล้วกระชากดึงให้ เดินตามลงบันได!!!

“เฮ้ย!!.....”
.......................
...


*ปีนเกลียว*


นอกจากนี้มันยังเป็นสับแสลงในอีกความหมายหนึ่ง...ของคำว่า ‘ข้ามรุ่น’ และนอกจากนี้มันยังเป็นคำนาม [N.]ที่ถ้าคุณอยากเห็นภาพ ฉันจะอธิบายให้เป็นรูปร่างเลย ไอ้คำว่า ‘ปีนเกลียว’ ...เอาให้ เห็น ภาพเลยนะ ไอ้ตัวที่เรียกว่า ปีนเกลียว มันตัวโตๆ ใส่เสื้อลายการ์ตูนสีส้มสด ย้ำว่า ส้มสด !!! ใส่กางเกงบอล สีแดงสกรีนเบอร์ 12 คีบรองเท้าแตะ... และมันยังมายืนเก็กอยู่หน้าตึก ... และถ้าฟังจากที่พี่ชิตพูด มันมายืนอยู่ตั้งแต่ 5 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็นกว่าๆ ที่มันหมดความอดทนแล้วขึ้นตึกไปลากฉันลงมา!!

“อะตรอม!!ปล่อย!! ฉันเป็นพี่แกนะ!! ทำอะไรก็ดูสถานทีบ้างดิ...นี่ที่ทำงานพี่นะ!! เธอจะมา ทำตัวปีนเกลียวอย่างนี้ไม่ได้นะ!! ”

ฉันหมดความอดทน แล้วสะบัดแขนใหญ่ที่ล็อคคอออก ...แทบตายเหมือนจะขาดอากาศหายใจให้ได้ แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ไอ้ดีกรีความโกรธที่มันพุ่งปรี๊ดนี่อะสิ !!

“ก็ไม่ได้อยาก ปีนเกลียว นักหรอก แต่ ไอ้คนที่โตกว่ามันทำตัวไม่น่า เรียก ‘พี่’ ถ้าต้องให้มาตามลากกลับบ้านอย่างนี้ตลอด ...จะเกลียวจะน็อต ผมก็ไม่สน!!! ”
..............
............................
....ฉันอยากจะกระทืบเด็ก !!! ถ้าไม่ติดว่ามันตัวใหญ่กว่าแล้วฉันก็ยังใส่กระโปรงอยู่ ..
ได้แต่ปล่อยให้ไอ้เด็กยักษ์ จับฉันขึ้นรถปรับอากาศ มุ่งกลับบ้าน

“เหม็น...”

ไอ้เด็กควายนั่นมันยังบ่น!!! เอ่อ!! กูเหม็นแล้วมานั่งใกล้หาส้นอะไร ?! ยังไม่ทันสวน มือร้อนๆของมันก็จับคว้าท่อนแขนฉันมาเลียซ้ำตรงรอยแดงที่เดียวกันกับที่ หลิน เคยเลีย แต่ความรู้สึกมันต่างกัน แววตาสีดำสนิทที่จ้องมา เหมือนคาดโทษ ดูต่างกันสุดขั่วกับแววตาสีน้ำตาลหวาน ของหลินตอนอ้อนขอจูบ ....

“ทำไมชอบ พวกของเหม็นๆ นัก? ”

เสียงอะตรอมดูเบาลง แต่ปลายลิ้นร้อนทีเลียย้ำยังคงคาไว้อย่างนั้น จนริมฝีปากหนา อ้างับกัดลงท่อนแขนฉันเบาๆ

“เหม็นแล้วจะกัดทำไม?”

ฉันอดถามไม่ได้ ..เมื่อเริ่มรู้สึกว่า ฟันคมนั้นเน้นกดลงผิวเนื้อ จนเริ่มจะเจ็บขึ้นมากลายๆ ริมฝีปากหนาถอนขึ้นมาจากท่อนแขนจนเห็นเป็นรอยฟัน เกือบครบทุกซี่ เว้นส่วนที่เป็นเขี้ยว นั่นที่กดชัดเป็นรอยลึกครบทั้งสี่รอย ลิ้นร้อนไล่เลียน้ำลายที่เปียกแขนฉันจนแห้ง...

“เหม็น กลิ่นที่ติดมา ...ไม่ได้เหม็นเนื้อ ภัทร ...ถ้า พวกเนื้อนาบุญอย่าง ภัทร เนื้อเหม็น ได้ก็ดี จะได้ไม่ต้องมีอะไรตามมากวนใจ... ”

บ่นพรึมพรำอะไรไม่เข้าใจ ? อะตรอมมันละสายตาไปทีกระจกรถแล้ว เอนตัวพิงเบาะ ซบลงมาที่ไหล่ฉัน ตาดุคู่นั้นปิดลง ทิ้งไว้แค่เสียงหายใจสม่ำเสมอ ....ยักษ์ จำศีลไปแล้ว...
...........
............................
แต่......

....มันยังไม่จบแค่นั้น

นับจากวันนั้น...เป็นต้นมา จนถึงวันนี้ นับได้ 4 วันแล้ว ที่ ‘ไอ้ตัวปีนเกลียว’ มันมายืนกดดันเวลาฉันทำงาน ขนาดแอบหนีมันมาแต่เช้ามืดตอนมันหลับ มันยังดั้นด้นมาได้ ยิ่งตอนคุณหลินเดินมาใกล้ไอ้เด็กเวรนั้นยิ่งกร่างใหญ่ ...จะหาจังหวะ หลบไปกับคุณหลิน ไอ้มารนี่ก็ขวางได้ขวางดี ... สภาพฉันตอนนี้เลยเหมือน หมาเห็นปลากระป๋อง มองได้แต่ทำอะไรไม่ได้ ..

“คุณภัทร ครับ ...วันนี้จบโปรเจคแล้ว เย็นนี้ผมขอถือโอกาสเลี้ยงแล้วกันนะครับ ”

เสียงหวานของปลากระป๋อง ฉุดฉันไว้ก่อนทีจะ กลืนน้ำตาลงลิฟต์ เพื่อเคลียร์งานเซตสุดท้าย เฮ้ย!! ลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย ....วันนี้จบงาน คืนนี้ก็ต้องมีต่อยาวอะดิ ...แถม ถ้าต่อ..ก็ต้องเป็นผับหรือเทค...ตัวมาร หมดทางเข้าแน่ๆ .....
แต่เพื่อเป็นการตัดปัญหา เสียแต่ต้น....สมองฉันก็คิดได้โดยทันที...วีธีทีที่จะสะกัดมาร...

“แถวนี้ถิ่นคุณหลิน คุณหลินเลือกร้านดีกว่าค่ะ ...ส่วนเรื่องเลี้ยง ภัทร จัดการเอง ได้ คุณหลินมาช่วยอย่างนี้ ในส่วนการซัพพอร์ต ของทางบริษัท ภัทร มีให้อยู่แล้ว จะได้ ถือโอกาสพา พวกช่างกับคนงานมาเลี้ยงแก้เหนื่อยกันด้วย...ส่วนอะตรอม กลับบ้านก่อนแล้วกัน ...พี่กลัวอะตรอมเข้าร้านไม่ได้ ...”

น้ำเสียงฉันหวานแบบสุดๆ แต่รอยยิ้มที่หันไปหาอะตรอม เหมือนจะเย็นได้ใจจนฉันรู้สึกได้ ความสุขที่มารโดนกำจัดมันเป็น อย่างนี้เองสินะ....

“ไม่ต้องเป็นห่วง ภัทร ....วันนี้วันธรรมดา แถมยังอยู่ในเขตพัทยา ผับไหนผมก็เข้าได้.. ”

...น้ำเสียงเรียบผ่านหูฉันไป พร้อมๆกับ วงแขนใหญ่เกินอายุที่โอบรอบเอวแล้วดึงฉันให้ห่างจาก คุณหลิน ....
........
...
'เฮ้ย!!! เป็นเด็กเป็นเล็ก....อยู่บ้านดิไอ้สาดดดดดดดดด!!!'

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2012 23:15:54 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 63 # เด็กกว่าแล้วไง? 14 VS 23! [9]
Part อะตรอม

เสียงไฟหลากสีที่ส่องกระทบกันไปมา ไม่ได้ช่วยให้สถานทีมันสว่างขึ้นมาได้เลย เสียงเพลงที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะโดนเสียงทุ้มของเบสกลบไว้ ยิ่งพาให้อารมณ์เสีย ถึงผมจะนั่งขวางภัทรให้ห่างจากตัวประหลาดนั้นแต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ภัทร ยังคงคุยไปหัวเราะไป แถมยังส่งเหล้าให้ ไอ้คนข้างๆ ผมหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีผมอยู่ ถึงจะมืดแต่ผมก็เห็นนะว่า ตอนส่งเหล้า ใครกับใครมันแอบจับมือกัน....ไม่รู้ว่าทำไม ภัทร ถึงได้ชอบของ ‘สกปรก!!’ นัก ผมอดไม่ได้ที่จะปลายหางตาไปมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความรังเกียจ สายตาคนทั่วไปจะยังไงผมไม่รู้แต่ที่ผมเห็น ไอ้ก้างนี้ ‘เลี้ยงของ’ แถมน่าจะเลี้ยงจากฝั่งสายตระกูลเสียด้วย ไอ้ตัวเล็กๆทีนั่งอยู่บนไหล่มัน แลบลิ้นยาวออกมาเลียหน้ามันตลอดเวลา มันเป็น พวกที่ต่างจากสัมพเวสี แต่ก็น่ารังเกียจไม่ต่างกัน...น่าจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะถ้ามันเป็นแค่ สัมพเวสี ภัทรคงไม่หลงมันขนาดนี้ แล้วอีกอย่างที่ผมแน่ใจ ‘กลิ่น’ ที่ภัทร ติดมา ติดมาจากมัน!!

“ภัทร ชิมนี่หน่อยไหม? ”

เหมือนแกล้ง ไอ้หลินอะไรนั่นโน้มตัวตักเนื้อปลาให้ ภัทร โดยผ่านหน้าผมไป...ส่วนไอ้ตัวเชี่ยอะไรบนไหล่มันก็แลบลิ้นเฉียดปลายจมูกผม ....’กล้านะมึง...มึงคิดว่ากูไม่เห็นมึงใช่ไหม?’

“ภัทร ผมอยากไปห้องน้ำ”

รู้ว่าเสียมารยาทแต่ผมก็หมดหนทางแล้วเหมือนกันที่จะดึง สายตาภัทรให้ออกมาจากหน้าไอ้ผู้ชายคนนี้ เหมือนกับว่า ยิ่งมืด ภัทรยิ่งหลงมัน..

“คุณ ไปเป็นเพื่อนผมทีสิ ผมไม่รู้ทาง”

ใครจะว่ายังไงก็ไม่รู้ แต่ผมก็ดึงไอ้หน้าหวานนี่ออกมาจากโต๊ะแล้ว หันหลังกลับไปมอง ภัทรยังคงโปรยสายตาหวานเยิ้มส่งมา...ไม่ได้ให้ผมหรอก ให้ไอ้สัดที่มากับผมต่างหาก!! เกินความอดทน..พอเดินห่างออกมามุมมืดที่หลังร้าน ผมถือโอกาสโอบกอดคอ แล้วกระซิบใกล้ๆ หู ของคนที่ทำให้ ภัทร ยิ้มหวาน..

”อย่ามายุ่งกับ ภัทร…จะผู้ชาย หรือกระเทย ถ้ามายุ่งกับของๆกู กูก็ต่อยได้ทั้งนั้น!!!”

มือผมที่พาดวางไปบนไหล่นั่น คว้าจับ ตัวประหลาดที่คอยเลียหน้าไอ้หน้าหวานคนนั้น มันคงเพิ่งรู้ว่าผมเห็น และจับ ของๆ มันได้ แต่มันก็รู้ตัวสายไป...อุ้งมือผมกดบีบรอบคอ สัตว์ตัวเล็กแล้ว ขยี้จนได้ยินเสียงกระดูกแตกคามือ..แล้วมันก็สลายไป...ผมไม่รู้หรอกว่าไอ้ตัวนั้นมันเรียกว่าอะไร...เพราะตอนนี้ผมรู้แค่ว่า ....ภัทร ..จะไม่มีทางหลงมันอีกแล้ว
..............
............................
เสียงกรี๊ดร้องดังขึ้นแทรก เสียงเบสของดนตรี ผมคลายวงแขนตัวเองออกแล้วทิ้งร่างบางของผู้ชายที่มาด้วยกันไว้กับพื้น ……
…อดไม่ได้ที่จะเตะซ้ำเข้าที่ หน้ามัน อีกครั้ง… ‘อยากกิน ภัทร กินตีนกูก่อนก็แล้วกัน’…

ผมเดินกลับมาที่โต๊ะไหว้ลาพวกพี่ๆทีมช่าง แล้วดึงภัทรให้ลุกตาม...รอยยิ้มหวานบนหน้า ภัทร หายไปแล้ว เหลือแต่ แววตาปรือที่พร้อมหลับได้ทุกเมื่อ...
..............
............................
มอไซน์คันเก่า วิ่งลัดเลาะไปบนริมสันบ่อน้ำ ไฟแสงรายทางหายไปหมด แล้ว เหลือแต่เพียงความเงียบ กับเสียงจิ้งหรีด …
สายลมหนาวที่พัดมาบางๆ ทำให้คนซ้อนต้องกระชับแขนให้ตัวเองรัดแน่นเข้ากับ แผ่นหลังเบื้องหน้า ภัทร ยังไม่ตื่นเต็มที ขนาดว่าลงจากรถปรับอากาศ แล้ว พาเดินมาขึ้นเบาะมอไซน์ เจ้แกยังไม่ลืมตา คนขับได้แต่ยิ้มอย่างพอใจ มือข้างหนึ่งผ่อนคันเร่งเบาๆ แต่มืออีกข้างยังจับกุมอยู่ที่มือคนซ้อน ...
..............
............................

"เฮ้ย! ไม่ตลกนะ พามาทีนี้ทำไม? ถ้าโดนงูกัดตาย หรือจงอางกวดจะขับหนียังไง!!! "

ภัทรเริ่มจะโวยวายกับคนขับ.. เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมามองไปทางไหนมันก็มืดไปหมด แสงไฟลางๆที่ส่องมาจากถนนใหญ่ ส่องมาได้แค่เงาสลัวๆ แถมกอหญ้ายังสูงเกือบข้อเข่า เด็กหนุ่ม ดับเครื่องรถมอไซต์ แล้วหันกลับมา หาหญิงสาว

"ไม่ยอมให้คนซ้อนเป็นอะไรหรอกน่า บอกแล้วไงว่านี่ถิ่น ผม... นี้ก็ของผม... "

มือใหญ่กางออก และชูสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ที่มีดวงดาวมากมาย .... เหมือนไฟหลากสีที่แข่งกันส่องประกาย ..... ตัดกับความมืดมิดของท้องฟ้า

"ถ้าที่ สะพานปลา เป็นของ ภัทร ที่นี่ก็เป็นของผม... ผมให้ภัทร...ความลับของเรานะ..."

.......................
..............
...........เหมือนจะหลับฝัน กับเรื่องราวแปลกๆ ...คงเป็นเพราะยังไม่ตื่นเต็มที เรื่องราวคืนนั้นฉันเลยคิดเอาเองว่า มันจริงบ้างฝันบ้าง ...แต่เรื่องนึงที่อดคิดไม่ได้ ไอ้เด็กยักษ์ นั่น ทำไมดูเป็น ‘ผู้ใหญ่’ขนาดนั้น .....ความลับ มันยังคงเป็นความลับ ....ทีที่มีดวงดาวเต็มท้องฟ้า .....ที่นั้นมันถูกฝังอยู่ในส่วนที่ลึกทีสุดของความทรงจำ..........อะตรอม ต้องกลับบ้านใหญ่ ..และฉันยังต้องกลับไปทำงานที่ กรุงเทพฯ ต่อ.....
..............
............................
.........ป๋า กลับมาในวันที่ฉัน ต้องไปส่งอะตรอม ....แม่ใหญ่มาด้วย แน่นอน ฉันในฐานะที่เป็นได้แค่อดีตหลาน ถูกกันออกมาจากสาระบบ ......ฉันเลือกทีจะกลับคนเดียว ดีกว่านั่งเป็นอากาศในรถ ....ฉันเกลียดละครดราม่า เข้าไส้ และไม่คิดว่าจะทนได้หากมันเกิดขึ้นกับตัวเอง..................แล้วก็เหมือนที่คิด ...เรื่องของฉันคงหายไปจากความทรงจำของ ไอ้เด็กยักษ์ นั่น ....มันก็แค่นั้น .........ทุกอย่างมันจะกลับเป็นเหมือนเดิม ........ฉัน...จะเป็นได้แค่ ...คนที่ ’เคยรู้จัก ’.
..............
............................
“โกรธ ย่า รึอะตรอม?”

หญิงชรารูปร่างสูงใหญ่อย่างคนโบราณ เอื้อมปลายนิ้วไปลูบแผ่นหลังกว้าง ของ หลานชาย แววตาสีดำดุ ไม่ได้หันกลับมามอง... ผู้เป็นย่า หากแววตานั้นเหม่อมองไกลออกไป ....

.."ภัทร ไม่ใช่คนที่ หลาน ควรจะรัก ....อย่าเอาชีวิตมาฝากไว้กับสายลม อะตรอม.... 'ลม' มันได้แค่รู้สึก รู้ว่ามีตัวตน แต่หลานจะทนได้รึ ถ้าวันหนึ่ง ลมมันหายไป ... คนที่เกิดมาเป็น เนื้อนาบุญ หมดบุญเขาก็ไป .... เขาเกิดมาเพื่อที่จะเป็นที่รัก เกิดมาให้รัก ที่หลานทำได้ ก็แค่รัก ....เรียกร้องอะไรไม่ได้ อย่าให้ รัก ตายไปกับเขาเลย อะตรอม..เรารู้สึกว่ามีลม แต่ลม ...ไม่รู้สึกว่ามีเราหรอก อะตรอมเอ้ย.... "
..............
............................
.’ภัทร เป็นของๆผม...สักวัน ของๆผมก็ต้องกลับมาเป็นของผม... ’
เสียงในความคิดนั้นไม่ได้ดังออกมาจากสมอง หากแต่มันดังอยู่ในทุกส่วนของความรู้สึก


..............
............................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2012 23:16:18 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 64 # แด่เธอ…...ที่รัก
Part ‘B2’

“เจ้าสาวของผม …..>>>>>> ตรินทร์”

   กระดาษแผ่นนั้นถูกพับซ้อนหลายทบจนเป็นรูปหัวใจ แล้ว...ยัดใส่ด้านหลังนาฬิกาปลุกเรือนใหญ่....
...จำไม่ได้แล้วว่าใครนะที่บอกเรื่องของเวทย์มนต์นี้ ....เสียง...เข็มนาฬิกาคือเวทย์มนต์ของการยื้อเวลา...ทุกครั้งที่หลับตาและตื่นขึ้น ‘เจ้าของชื่อนั้น’ จะอยู่เคียงข้าง...

ตรินทร์ อยู่ตรงนั้น... กี่ครั้งแล้วที่ข้อมือนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ... ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง...มันก็เหมือนเดิม กลิ่นเลือดที่ฟุ้งขึ้นจมูก มันไม่ทำให้ ตรินทร์ รู้สึกอะไรได้มากกว่า ‘ความสมเพช’ ที่มีให้ตัวเอง ...ฝันร้ายที่ ตรินทร์ ไม่เคยเล่า ..ฝันร้ายที่ตามติดมาในโลกของความเป็นจริง...
ผมก็เป็นอีกคนที่คอยแต่เฝ้าดู......ผมทำได้แค่นั้น...น้ำตามันไหลมาจากไหน กันนะ ...ทั้งๆที่คนเจ็บคือ ตรินทร์ แต่กลับเป็นผมที่ร้องไห้ ... ไม่อยากให้ ตรินทร์ เจ็บอย่างนี้ ไม่อยากให้ทุกอย่างมันจบอย่างนี้ ....ผมอยากเข้มแข็งกว่านี้ อยากกล้าให้มากกว่านี้ ...ผมอยากทุกอย่าง ...เพื่อ ตรินทร์ ....
..............
............................

‘นายคิดเหมือนที่ฉันคิดไหม B1?’
ผมจ้องเขม็งไปที่ TV. กล้วยหอมสองตัวนั้น อย่างเท่ห์ ...ทำยังไง? ถึงรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร? เพราะเป็นฝาแฝดหรือ? ไม่หรอก...เพราะ ‘รักกันมาก’...มากกว่า… ในตอนนั้นผมจำได้ว่า ...ผมหันไปมองหน้าตรินทร์ ....สิ่งที่ได้กลับมาคือความเงียบ ….
....และรอยยิ้ม....
...เกมส์ ‘กล้วยหอม’ เริ่มตั้งแต่วันนั้น ...
..............
............................

   ...แสบตาไปหมด...หัวมันปวดตื้อ สมองมันไม่สั่งการณ์อะไรแล้ว ที่ผมทำได้คือร้องไห้ ....ร้องจนแสบตา... ตะโกนเรียกจนสุดเสียง... แต่มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา...ไม่ว่าจะเรียกดังแค่ไหน ตรินทร์...ก็ ไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเหมือนทุกครั้ง ...กลิ่นของเลือดไม่ได้ หายไป...กลิ่นน้ำมันและควันไฟ ยังเหมือนฟุ้งอยู่ในอากาศ
เสียงหัวเราะเยาะของใครบางคนดังแว่วมาในความรู้สึก พระแพง ยืนอยู่ตรงนั้น ..แต่เธอไม่ได้ เดินเข้ามาหา ตรินทร์ ....เพียงเท่านี้ผมก็รู้ดี... ร่างกายที่เย็นเฉียบในอ้อมกอดผม เป็นเหมือนตุ๊กตาที่ เธอทิ้งแล้ว ....ทิ้ง..ทั้งชีวิตและลมหายใจ …จะต้องให้กอดอีกนานแค่ไหน ....จะให้ผมทำยังไง ? จะต้องทำยังไง ตรินทร์ ถึงจะตื่นขึ้นมา .... ไม่เอาอีกแล้ว ....ผมไม่อยากอยู่คนเดียว.. ไม่อยากอยู่โดยไม่มี ตรินทร์ ....กี่คืนมาแล้วที่ผมเฝ้ากุมมือที่เย็นเฉียบนี้ เพื่อเฝ้าภาวนาให้มันอุ่นขึ้นมาอีกครั้ง...
..............
............................

แล้ว ........ภินทร์ ก็ คือคนที่ตื่นขึ้นมาแทน...ผมสมควรจะเกลียด ภินทร์ ใช่ไหม?       ในตอนแรกที่รับรู้...ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมเกลียด ..เกลียดจนแทบจะมองหน้า ภินทร์ ไม่ได้...แต่จะให้ผมทำยังไง เมื่อทุกอย่างที่ ภินทร์ เป็น...ทุกอย่างนั้นเป็นของ ตรินทร์ ผมพยายามลืม ตรินทร์ แต่ทำไม่ได้ ...
ผมไม่อยากให้ ตรินทร์ ทรมาน การยื้อตรินทร์ไว้....มันอาจไม่ใช่ทางออก ...มันเลยไม่แปลกที่ผมจะให้ โฟร์ เข้ามาในชีวิต...ผมเป็น ‘ผู้ชาย’ ...เป็นผู้ชายที่รัก ตรินทร์ แค่    ตรินทร์  เท่านั้น...มันไม่ได้หมายความว่าผมจะรู้สึกอะไรกับผู้ชายคนอื่น ผมยังชอบผู้หญิง ชอบเรือนร่างและส่วนเว้าส่วนโค้ง ของผู้หญิง ผมยังมีอารมณ์และความรู้สึกของผู้ชาย... แต่กับ ตรินทร์ ทุกอย่างที่ผมทำ...มันเกินกว่าคำว่าชอบ...
   เพราะรัก กับตรินทร์ ผมถึงยอมได้ทุกอย่าง ระหว่างเรา ไม่เคยเกินเลยเหมือนที่คนอื่นคิด ... นั่นเพราะ ‘รัก’ ผมรัก ตรินทร์ มากเกินกว่าจะทำลาย ตรินทร์ ได้....
   และสำหรับ ภินทร์ มันกำลังซ้ำรอย ตรินทร์ ...อีกครั้งที่ เธอคนนั้น เข้ามา ตอนนี้ผมเหมือนมองเงาที่สะท้อนในน้ำ ไอ้ยักษ์ที่ชื่อ อะตรอม นั้น เป็นเงาสะท้อนของผม ...และ ภินทร์ คือเงาสะท้อนของ ตรินทร์ เงาที่กำลังทำตามสิ่งที่เคยเกิด....
...มีบางอย่างที่ผมไม่กล้าบอกสองคนนั่น ....ความจริงที่ว่า ต่อให้ อะตรอม มันรัก ภินทร์ แค่ไหน...
.......
……………….
…… แต่.....สุดท้ายคนที่ ภินทร์ เลือกก็จะเป็น พระแพง ....
ถ้าตอนนี้ถามผมว่า ผมเกลียด ภินทร์ ไหม ..
...ไม่ .


..ผมไม่เกลียด....
สำหรับภินทร์.....
...ตอนนี้ที่ผมมีให้ คือ ความสงสาร ....
.....สงสารสองคนนั้น
สงสารที่อะตรอม มันรัก ภินทร์ เหมือนที่ผม รัก ตรินทร์ ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-05-2012 23:16:39 โดย Zitraphat »

ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 65 # การกลับมาของเจ้าของเสือ...

   เตียงนอนใหญ่ว่างเปล่า ....ผ้านวมผืนเดิมที่เคยใช้ถูกตลบม้วนไว้ปลายเตียง แค่นั้นก็พอทำให้รู้ได้ว่า เจ้าของห้องไม่ได้อยู่ในห้องเหมือนอย่างที่คิด...กลิ่นหอมจางๆ โชยออกมาจากห้องน้ำ เสียงหยดน้ำที่กระทบลงพื้นเป็นจังหวะเหมือนเสียงนาฬิกา....
ความร้อนของไอแดดไล่ลามจากขอบหน้าต่างที่เปิดจนสุดบานไปถึงแผ่นหลังกว้างบาดแผลและรอยฟกช้ำบนแผ่นหลังค่อยๆสมานจางลง  เมื่อความร้อนนั้นแผดเผาจนเกิดละอองไอ  มือใหญ่ควานตะปบไปยังขอบพื้นอ่างน้ำที่ว่างข้างตัว แล้วดันตัวเองให้จมลงในอ่างน้ำสีม่วง....
...พอดีกับที ใครอีกคนก้าวเท้าเข้ามา...
ภินทร์มองหา ’เจ้าของห้อง ’ แต่สิ่งที่เจอกลับเป็นความว่างเปล่าและความร้อนของไอแดดที่ส่องกระทบผิวน้ำในอ่างน้ำ...สีม่วง? สีสันที่สะดุดตากระตุ้นต่อมอยากรู้ได้ดี แต่นั้นไม่เท่ากับแสงแดดที่กระทบมาเข้าตา...
...เคยบอกรึยัง ว่า ‘เกลียดแสงแดด’ ... ยิ่งตอนมันแยงตาด้วยแล้ว... โคตรเกลียด ! มันขวางหูขวางตาไปหมด!...
สำหรับคนอื่นมันก็อาจแค่แสงแดด...แต่สำหรับผม...มันน่าหงุดหงิดเกินกว่าที่จะอธิบาย...ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่สามารถเงยหน้ามองดวงตะวันได้ และนั่นก็ยิ่งพาลให้ผมเกลียดแสงตะวันไปด้วย… เหมือนเป็นสันดาน รู้ตัวอีกที มือผมก็เอื้อมจับ ชายผ้าม่านเพื่อที่จะกระชากมันให้ปิดบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาแล้ว...
มองรอดผ่านเนื้อผ้าผืนบาง เมฆฝนเตรียมตั้งเค้า...เพราะอย่างนี้สินะ ไอแดดมันถึงได้ร้อนผิดปกติ...ถ้าฝนมันจะตกก็ต้องปิดหน้าต่างรึเปล่า ? ตอนนี้ผมกำลังช่างใจระหว่างก้าวขาลงอ่างน้ำ สีม่วง หรือไม่ต้องสนใจห้องน้ำแล้วทิ้งมันไว้อย่างนี้... มันห้องน้ำนี่น่าถ้าจะโดนน้ำฝนสาดมันก็คงไม่เป็นอะไรมาก แต่ถ้าผมก้าวขาลงไปในอ่างเพื่อที่จะข้ามไปปิดหน้าต่าง...ผมก็เปียกอะดิ...
...........
............................

จบข่าว....

..... รู้ใช่ไหมว่าผมตัดสินใจยังไง..........ก็อย่างนิสัยที่เป็นอยู่ ....
ผมปล่อยอะไรไปไม่ได้จริงๆ
..............
............................

   ...เหนือผิวน้ำ  แสงสว่างสีขาวที่เกิดจากแสงแดดมันหายไป ทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมามองผ่านผิวน้ำด้านบน  เพื่อพบว่าตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมอยู่ต้องอยู่ในสภาพนี้ ยืนบังแสงแดดที่ส่องเข้ามาแถมมันยังหันหน้าหันหลัง เหมือนลังเลอะไรสักอย่าง ก่อนจะโน้มตัวเอื้อมมือมาจับขอบประตูหน้าต่าง...อ่านะ...ไอ้คุณภินทร์ มันคิดจะปิดหน้าต่างโดยไม่ก้าวเข้ามาในอ่างอาบน้ำที่ผม แช่อยู่ ...
...
’กูเชื่อมึงเลย ภินทร์ !’
ผมมองจ้องมันที่เริ่มจะชะโงกเอนเกือบทั้งตัวเพื่อเอื้อมมือไปจับขอบหน้าต่าง
‘กูช่วยให้มันง่ายขึ้นไหม?’
..............
............................

   ...มือใหญ่โผล่พ้นผืนน้ำคว้าโอบช่วงเอวของคนข้างบนแล้วดึงให้ลงมาในอ่างอาบน้ำด้วยกัน! อย่างไม่ทันระวังหรือตั้งตัว อารามตกใจ ภินทร์ จับคว้ายึดผ้าม่านผืนบางไว้ก่อนที่ตัวเองจะแตะผิวน้ำ

“สัด!”

อดสบถออกมาไม่ได้ เมื่อก้มลงมาเห็นเจ้าของมือที่โผล่ขึ้นจากอ่างน้ำ  ภินทร์ ยังขืนตัวไว้เหมือนเล่นกายกรรม...เมื่อเจ้าของมือใหญ่ไม่มีท่าทีว่าจะยอมปล่อยตนหรือลดแรงดึงลงแม้แต่น้อย

“ทำเหี้ยอะไร ? สัด! ปล่อยกูนะเหี้ย !”

“มึงระบุสายพันธุ์ผิดหว่ะ ภินทร์ หล่อๆเข้มๆ อย่างกูนะเป็นเหี้ย....แหม...ลดเกรดกูซะหมดสภาพเลย”

ยังต่อล้อต่อเถียง...ร่างใหญ่ที่เคยนอนนิ่งใต้น้ำเกร็งวงแขนกระตุกดึงร่างของอีกคนให้ลงมาในอ่างด้วยกัน และนั่นยิ่งเป็นเหมือนการกวนอารมณ์ที่ขุ่นอยู่แล้ว ให้ยิ่งข้นคลักเมื่อ ภินทร์ ขืนตัวไว้ไม่ยอมปล่อยมือจากผ้าม่าน
...จนเจ้าของห้องต้องจิ๊ปากเสียอารมณ์ พร้อมกับคลายวงแขนตนออก ปล่อยคนข้างบนให้เป็นอิสระ ก่อนผ้าม่านจะขาดลงมาทั้งผืน..

“ยอมๆกูบ้างไม่ได้หรอ? นี่ขนาดกูเจ็บขนาดนี้นะ ไม่คิดจะเห็นใจกูเลยไง ? ”

“เสียใจด้วย คิงส์ ไอ้การให้เห็นใจมึง กับให้มึงจับกูกด... มันคนละประเด็นกันหว่ะ”

เสียงจิ๊จ๊ะ ดังมาจากปากอีกครั้ง คิงส์ ปล่อยวงแขนที่โอบรอบเอวนั้นไว้แล้วทิ้งตัวให้จมลงใต้น้ำ… ปล่อยให้อีกคนมีเวลาตั้งหลัก โน้มดึงผ้าม่านให้ตัวกลับมานั่งใกล้อ่างน้ำได้ตามเดิม...

“งอนหรอ ?”

ภินทร์ ถามพร้อมไล้ปลายนิ้วลงบนใบหน้าคมที่ปิดตานอนนิ่งใต้ผิวน้ำ อดอมยิ้มกับอาการแปลกๆของไอ้เหี้ยมนั้นไม่ได้..
..ไอ้เหี้ยมมันงอน!?
...จะง้อสักหน่อยไหม?

“คิงส์..จูบไหม?”

...ไม่ต้องให้ถามซ้ำ ร่างใหญ่นั้นทะลึ่งตัวขึ้นจากน้ำแล้ว โอบโน้มดึงคนถามให้ลงมาในอ่างน้ำสีครามด้วยกัน...ชั่วเสี้ยวที่ ภินทร์ รู้สึกได้ ความเย็นของน้ำในอ่าง ...มันแปลกๆ
กลิ่นของน้ำนี่ก็ด้วย มันเหมือน..ยา...ใช่..มันเหมือนเป็นยามากกว่าเป็น แค่น้ำ ...ยารสหวานเย็นที่เหมือนเคย ลองรสชาติ...เคยอาบแช่...
ความรู้สึกผะอืดผะอม รสหวานเลี่ยนของเมือกลื่น...ของเหลวรสหวานแปลกที่เอ่อล้นอยู่ที่ลำคอ กลิ่นหอมเอียน ...ของอะไรบางอย่าง...ความกลัวที่เหมือนจะคืบคลานอยู่ใต้ผิวหนัง... เสียงหัวใจที่เต้นซ้อนกันจนรู้สึกได้ ... แสงสว่างสีเงิน ที่วาวในความมืด...เสียงคำราม.อันผ่วเบา ....เสียงที่มัน...ยังสะท้อนอยู่ในหู ...
...ห้องกว้าง..ประตูเหล็ก...!   เสียงคำรามในลำคอ...เสียงที่ เรียกชื่อ..ชื่อหนึ่ง....
....‘ภัทร’....
..............
............................

“คิงส์ ...ปล่อย..!”

...ดวงตาแดงคลอไปด้วยน้ำตา ...ภาพอะไรหลายอย่างที่สับสน เหมือนจะประดังเข้ามา มันหลั่งไหลมาพร้อมกับผิวกายที่เปียกน้ำ... ความกลัวมันมากเกินกว่าความอยากรู้ ภินทร์ สะบัดแขนให้พ้นจากอ้อมกอดนั้น แล้วรีบก้าวออกมาจากอ่างน้ำ

“พอแล้ว คิงส์ เช็ดตัวเถอะ...”

“เป็นอะไร? ”

“เปล่า...แค่รู้สึกไม่ดีกับน้ำนั่น...เหนียวตัวแปลกๆ น้ำอะไร ? ”

“น้ำยารักษาแผลหน่ะ เพื่อนให้มา นายไม่ชอบงั้นหรอ? ”

ภินทร์สั่นหัวแทนคำตอบ ...ความรู้สึกแปลกที่แทรกเข้ามา...ไม่มีตรงไหนเลยที่ชอบ ....เสียงคำราม เบา ยังเหมือนได้ยินอยู่ในสมอง...
..............
............................

ไอ้คุณเหี้ยมมันนอนนิ่ง...ดูลั้นลากับหนังที่เพิ่งโหลดมา ผิดกับ อีกคนที่นอนใกล้ แม้เนื้อตัวจะแห้งจากคราบน้ำสีครามแล้วก็ตาม...แต่ความรู้สึกกระวนกระวายปนผะอืดผะอมนั้นยังไม่หายไปไหน...
ทนจนหมดความอดทน ภินทร์ ตัดสินใจเดินไปล้วงคอให้อ๊วกในห้องน้ำ...เพื่ออะไรมันจะดีขึ้น...
.....................เกือบสิบนาทีที่ได้แต่โก่งคอ อ๊วก...จนแทบจะหมดแรง
ความรู้สึกของเมือกลื่นมาพร้อมกลิ่นและความรู้สึกแปลกๆ...กลิ่นของเลือดรสหวาน... รสชาติขมฝาดของน้ำสีแปลก ... เสียงครางแผ่วเบาที่ กำลังร้องเรียก ชื่อของใครบางคน ‘ชื่อ’
ที่เหมือนจะขาดหายไปจากความทรงจำ ...
..............
............................

   ท่ามกลางความเงียบ...เสียงน้ำหยด เป็นจังหวะเหมือนเสียงเข็มนาฬิกา...ภินทร์ หันมองหาต้นเสียง แต่เหมือนไม่มีต้นตอของที่มา จนสายตาไปสะดุดกับวงน้ำที่กระเพื่อมบนผิวน้ำในอ่างสีคราม.. ไม่ได้รู้สึกไปเอง น้ำในอ่างสีครามเหมือนมีชีวิต... ไม่ต้องรอให้ความสงสัยมันเกิด ภินทร์ กลั้นหายใจหันหลังกลับ ไปคว้าลูกบิดประตู...เพื่อออกจากสถานการณ์ คลุมเครือ
.....แต่ไม่ทันกับสายน้ำสีครามที่ฉุดกระชาก ร่างตนให้จมลงในอ่าง….พร้อมๆกับแรงกดยึดบนไหล่ทั้งสองข้าง.เพื่อ..ให้ร่างนั้นไม่มีทางขืนตัวโผล่ขึ้นมา....
…..แล้วทุกอย่างก็นิ่งสนิท ...
..............
............................

“ภินทร์...”

เสียงเรียกนั้นดังขึ้นจากหน้าประตู เมื่อ คิงส์ เริ่มรู้สึกว่า ภินทร์ หายไปนานเกินไปกว่าที่ควรจะเป็น และเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากเจ้าของชื่อที่เรียกเจ้าของห้อง จึงถือวิสาสะเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาเอง.....

เพื่อที่จะพบว่า เจ้าตัวแสบเจ้าของชื่อนั้นจมนิ่งอยู่ใต้ผิวน้ำ...เหมือนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเห็นร่างใต้ผิวน้ำไร้การตอบสนอง ...คิงส์ ทำได้แค่เดินเข้ามาทรุดลงนั่งอยู่ข้างอ่าง...แทบจะหมดแรงกับสิ่งที่เห็น ....
...เมื่อผิวน้ำเรียบไม่มีแม้แต่วงกระเพื่อมของพรายอากาศมือใหญ่ที่พยายามจะเอื้อมสัมผัสร่างใต้ผิวน้ำ.....สั่นเทาจนไม่อาจควบคุมได้ .... เกือบจะกระชากคว้าร่าง ภินทร์ขึ้นมา ถ้า ...

..ร่างที่เคยจมนิ่งนั้นไม่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมาเสียก่อน !
...แววตาวาว สีน้ำตาลเจือมรกต ปรากฏขึ้นทันทีที่ คนจมน้ำลืมตา ..ไม่มีอาการสำลักไอ...หรือคำต่อว่า.... หยดน้ำสีครามค่อยๆไหลลู่ลงต่ำ..ไปกับเส้นผมและใบหน้า...คิงส์ ได้แต่มองตาม...
ใบหน้านั่นเป็น ภินทร์ ...แต่ เหมือนไม่ใช่ ภินทร์ ... ไอ้แสบไม่เคยนิ่งขนาดนี้....

“..ที่ไหน?...อยู่ไหน ? ”

นั่นเป็นประโยคแรกที่ คิงส์ ได้ยิน
.....ก่อนที่ปลายนิ้วเรียวจะเอื้อมขึ้นมารวบลำคอใหญ่ แล้วกดเล็บจิกลงบนผิวเนื้อ แววตาที่จ้องมองมา เหมือนงูตอนจ้องเหยื่อ...

“..คิงส์ ?! ...ฉัน..อยากเจอ...หมอ...ช่วยทีสิ... ”

แววตาสีแปลกจดจ้องอยู่อย่างนั้น มือข้างหนึ่งลูบเบาๆที่ใบหน้าคม ส่วนอีกข้างยังคงกดค้างไว้ที่ลำคอ ผู้ถูกถาม ... แววตาสีน้ำตาลเคลือบมรกต..ไม่ได้คาดคั้น หรือส่อแววคุกคาม แต่กลับทำให้เจ้าของห้องร่างใหญ่ที่นั้งชิดริมอ่างอาบน้ำนิ่งสนิทเหมือนโดนสะกด ..ขัดขืนอะไรไม่ได้กับเจ้าของคำพูด...

“คิงส์... ฉัน...อยาก.. เจอ.. หมอ... ”

...ประโยคนั้นถูกเน้นทีละคำ ไม่มีรอยยิ้ม หรือแววตาแสนกระล่อนเอาแต่ใจ... เหมือนทุกที...ที่ ภินทร์เคยทำ ตอนนี้มีเพียงน้ำเสียงหวานแปลกและแรงกดของ เล็บที่จิกลงลำคอ...ความคมของเล็บที่กรีดลงผิวเนื้อลากยาวมาจนสุดที่แผงอก....ลิ้นร้อนไล่เลียตามรอยเลือดที่ซึมออกมาจากรอยแผลที่ลำคอของ ...แล้วความรู้สึกแสบก็เปลี่ยนเป็นความชา .....
..............
............................

   หน้าบ้านไม้สีฟ้า...อากาศชื้นเย็นที่โอบล้อมตัวบ้านบางส่วนมาจากต้นไม้เขียวครึ้ม แต่บางส่วน ...ไม่สิ เกินกว่าครึ่งก็ได้มั้ง..ที่เกิดมาจากเงาดำ ที่ครอบคลุมไปเกินครึ่งบ้าน ...บ้านของพวกสาง ...และวิญญาณเร่ร่อน... ซ้ำยังมีกลิ่นหวานแปลกที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ..
....เจ้าของแววตาสีแปลก ผ่อนลมหายใจออก แล้วเริ่มสูดหายใจเข้าไปใหม่อย่างเต็มปอด ...บ้านที่ไม่ได้กลับมานาน...หอม...กลิ่นสาบที่คุ้นเคย...ปลายนิ้วเรียวจิกปลายเล็บเด็ดดอกรางจืดดอกใหญ่  สามสีดอกที่เลื้อยขึ้นพันหน้าประตูบ้านใส่กระเป๋าแล้วเดิน ฮัมเพลงเข้าไปในเขตบ้าน โดยไม่สนใจอดีตสารถีที่ยืนนิ่ง.....
จะไม่ให้นิ่งได้อย่างไร เมื่อสายตาของสารถีนั้นรับรู้และเห็น...ภาพเงาดำที่เคยครอบ คลุมตัวบ้านนั้นเคลื่อนมาปิดบังทางเข้าของตัวบ้าน ...จนเหมือนเป็นกำแพงหนา...

“ภินทร์ บ้านนี้เข้าไม่ได้ !”

คิงส์ แทบจะตะโกนเรียกเมื่อ ภินทร์ นั้นกำลังจะเดินลับหายเข้าไปในตัวบ้าน ผู้ถูกเรียกนั้นหยุดชะงักแล้ว หันมาพร้อมรอยยิ้มเย็นเจ้าของรอยยิ้มหันหลังเดินวกกลับมาดึงมือ แขก ให้เดินไปด้วยกัน...ความเย็นของมือที่ คิงส์ สัมผัสได้...
...ความเย็นที่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของอากาศรอบบ้าน....
ถึงจะไม่เคยกลัวไอ้อะไรพวกนี้ แต่..ถ้าพวกเงานี้มากถึงขนาดก่อตัวเป็นกำแพงบ้านได้ มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าจะเสี่ยง...
...เหมือนไม่สนใจ เจ้าของมือเย็นรั้งแรงข้อมือดึงให้ คิงส์ เดินตาม

“ทำไมจะเข้าไม่ได้ ...นี่บ้าน....ฉัน...”

   สิ้นเสียงหวานแปลก เงาดำที่ก่อตัวเป็นกำแพงหนาก็สลายไป.....กับสายลม.....คิงส์ ได้แต่มองตามแผ่นหลังเจ้าของมือเย็น ... ความรู้สึกและสันชาติญาณมันบอกว่านี่เป็น ภินทร์ แต่....ไม่ใช่ทั้งหมด ของ ภินทร์ .......


ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 66# ไพ่ใบสุดท้าย การตัดสินใจ...เดิมพัน

‘รักแท้ไม่ได้มีแค่ครั้งเดียว……
ตนหนึ่งตะเกียกตะกายไขว่คว้า หากรักนั้นหลุดพ้นปลายมือ...
ตนหนึ่งปล่อยทิ้งรัก เพียงคิดว่ามันจะกลับคืนด้วยตนเอง...
ตนหนึ่งละทิ้งทุกสิ่ง เพียงสิ้นศรัทธา...
หากมิเคยคิด รักนั้นเฉกเวรัมภา มันจะกลับมาด้วยตนเอง
มิใช่ด้วยการล่อลวงหรือกฎเกณฑ์
รักนั้นมิสนใจคำร้องขอ คำวอน หรือคำสั่ง มันไปด้วยใจของมัน มันลืมทุกสิ่งที่อยากลืม’
..............
............................

Part หมอ   

   ร่างกายมันล้าไปหมด ผมน่าจะฝืนเกินไปที่จะต้องสู้กับยักษ์ อีกครั้ง... ทั้งๆที่อยากโอบกอดคนๆนั้นเอาไว้แต่สิ่งที่ทำได้ คือการยอม...ตอนที่ ไอ้ยักษ์นั่นอุ้ม ภัทร ไว้ ภัทร ยังไม่ตื่น... หรือถ้าตื่นขึ้นมา ผมก็อาจเป็นแค่ 'คนแปลกหน้า' ผมไม่รู้ว่า 'นาง' ทำอะไรกับ ภัทร บ้าง... ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับ ภัทร บ้าง... ที่ผมรู้มีเพียงเรื่องเดียว
'ผมต้องได้ ภัทร คืนมา..ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม...และ...ไม่ว่าจะเป็น ภัทร คนไหน ก็ตาม... '

" เหี้ยเฮ้ย!"

ไอ้เหี้ยมมันสบถหัวเสียพร้อมถุยลิ่มเลือดที่ค้างอยู่ในกระพุ้งแก้มลงพื้น ห้องชั้นสองเละจนไม่เหลือสภาพ หลังจากการตะลุมบอนกันด้วยตีนและหมัดล้วนๆ 
...สองต่อสี่ ไม่ต้องเดาผล... ผมเสีย ภัทร ให้ ไอ้ยักษ์นั่นไปอีกครั้ง...
ผมนั่งนิ่ง สมองมันมีแต่ความคิดวนเวียนไปมา ทำไมไอ้ยักษ์มันรู้ว่า ภัทร อยู่ที่นี้ ทำไมมันมีกลิ่นเดียวกับยักษ์ที่บานประตูนั้น ...
และทำไม ...มันถึงได้ กอด ภัทร อย่างนั้น ....

"เฮ้ย! จะไปไหนไอ้หมอ?"

ไอ้เหี้ยมมันทักทันทีที่เห็นผมพยุงตัวลุกขึ้นและเดินกะเผลกตัวจะออกจากห้อง  ไอ้นี่ก็อีกตัว... มันจับมือ ภัทร ไว้ตลอดตอนที่ ภัทร หลับ .... มีอีกหลายเรื่องที่ผมยังไม่รู้ ถึงจะพอเดาอะไรได้บ้างแต่มันก็ไม่ทั้งหมด ...ไอ้พวกนี้เป็นห่วง 'ภัทร' ...นั่นแสดงว่า 'ภัทร' อีกคนยังหลับอยู่สินะ
...เสียงหัวใจที่ผมได้ยินในร่างใหม่ของ ภัทร  มีแค่เสียงเดียว...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ....ภัทร อีกคนอยู่ไหน ? ผมเดินลงมาจากชั้นสองโดยไม่มีคำตอบอะไรที่ให้เจ้าของห้อง
 บางเรื่องที่ผมไม่รู้ อาจจะมีอีกคนที่รู้ 'นักทำนาย'  ที่ กล้าหลอกให้ผมเอา ภัทร ไปให้ พวกยักษ์ นาคาที่แปรพรรค...ไปอยู่ใต้คำสั่ง สุระ 
'จริ้งจง นกรู้ที่ชื่อจรินทร์ '   
..............
............................

"จรินทร์ ..อยากได้ พี่ตรินทร์ ที่อยู่ในตัว ภัทร ของ หมอ คืน... เหมือนที่หมอ อยากได้  ภัทร ที่อยู่ในร่างพี่ตรินทร์ ... ตอนนี้ 'นาง' กำลังย่ามใจในชัยชนะจนได้แต่เฝ้ารอวัน 'แต่งงาน' ถ้าหมอจะทำอะไรก็ทำ...ทำก่อนที่ 'นาง' จะรู้ตัว... 'ภัทร' คนนี้ไม่เหมือน ภัทร ที่นางเคยเจอ ...บางที 'ภัทร' ของหมอ อาจไม่ใช่ ภัทร ของ นางก็เป็นได้ ... ถ้าหมออยากได้ ภัทร คืน หมอก็ลองปลุก ภัทร คนนั้นขึ้นมาสิ ... มันอยู่ที่หมอ ...ว่าหมอกล้ารึเปล่า? "

คำท้าทาย จาก นกรู้ ยิ่งยั่วอารมณ์....ไม่รู้ว่าผมคิดผิดหรือคิดถูกที่เลือกที่จะมาถาม 'จริ้งจง' แม้คำตอบที่ได้ จะไขข้อข้องใจ แต่ก็มีบางอย่างที่ขัดอารมณ์
...จริ้งจง อย่าง จรินทร์ แปรพรรคเป็น คนของ สุระ เพียงเพราะต้องการ ตรินทร์ เจ้าของ ร่างที่ ภัทร ใช้อยู่ ...เด็กหนุ่มที่เคยนอนนิ่งอยู่ข้างผม เป็น ภัทร ผมไม่ได้โกหกตัวเอง... หากแต่ไม่อยากรับรู้ เรื่องที่เคยคิด... 'นาง'  กำลังจะแย่ง ภัทร ไปจากผม... อีกครั้ง... 
   หัวใจมันเต้นแรง...ปลายนิ้วมันเย็นไปหมดเมื่อคิดถึง ภัทร อีกคนที่ผมรู้จัก แววตาวาวสีแปลก กับคำพูดที่เหมือนเป็นคำสั่ง ภัทร อีกคนที่ ทำให้ ภัทร ของ ผม ต้องใช้ยากดประสาทเพื่อ ขังเธอไว้ ... ภัทร อีกคนที่เป็นเหมือน กองไฟ ...
...การที่ ภัทร เข้ามาอยู่ในร่าง ตรินทร์ ได้ ทุกอย่างมันเห็นได้ชัดอยู่แล้ว นาง กำลังจะ รับชัย... ชัยชนะ ที่เดิมพัน ด้วยชีวิต คนที่ผมรักที่สุด  ... สำหรับผม มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว คำตอบที่ผมได้มาจาก จรินทร์  ทำเอาผมแทบหมดแรง...ตอนนี้  ภัทร กำลังแทนที่ใครบางคน ... ส่วน ภัทร 'อีกคน' กำลังโดนขังอยู่ที่ไหน สักแห่ง... 'มลทินอันเจ้าเล่ห์'  ของปราณนั้น โดนขังอยู่ที่ไหนสักแห่ง ....
...มิน่าหล่ะ เจ้าพวกนั้นถึงได้เป็นห่วง ภัทร เป็นเพราะยังไม่เคย จอ ภัทร อีกคนสินะ....
..............
............................

   ผมยกโทรศัพท์ที่ไม่เคยได้ติดต่ออะไรนอกจากเรื่องงาน และเรื่อง ภัทร  ขึ้นมากดหาเบอร์ๆ หนึ่ง ...นอนนิ่งอยู่นาน เพื่อทำใจ เรื่อง ภัทร ผมไม่รู้ว่าผม รัก ภัทร คนไหน แต่อย่างเดียวที่ผมรู้ ...ผม.....รู้ตัวดีว่าผมกำลังจะทำอะไร...

"กูกลับมาบ้านแล้ว ..มีธุระต้องทำ...เคี้ยม...มึงยังอยู่ที่คอนโดฯเดิมใช่ไหม?...เอ่อ...เดี๋ยวกูส่ง  'ยา' ไปให้ ..."

ไม่ผิดใช่ไหม ...ถ้าผมจะยอมจุดกองไฟขึ้นเอง จุดโดยใช้ชีวิตหนึ่งชีวิต เพื่อแลกกับความทรงจำทั้งหมดของ ภัทร  ...
.....ผม...กำลังจะปลุก..
...ภัทร อีกคนขึ้นมา .. 
..ภัทร ที่มีวิญญาณของ ตะบองพลำ.....
..............
............................




ออฟไลน์ Zitraphat

  • ความแน่นอนตั้งอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1447
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1025/-43
    • https://www.facebook.com/zitraphat.chonlavade
บทที่ 67 # Don't run away from me...ชั่วนิรันดร์ จนชาชิน

   ความรู้สึกเสียววาบ มันเข้ามาพร้อมแสงสว่างสีขาวโพลน ....ชาจนเหมือนไร้ความรู้สึก.. ช่วงเอวที่เหมือนถูกตรึงไว้กับ แท่งเหล็กสีเงินที่ฝังลึกลงผิวเนื้อ... ความชื้นปนลื่นของของเหลวสีแดงที่ไหลทะลักออกมาจากร่าง...เจ็บจนแทบจะแหลกสลาย ...เหน็บหนาวจนความเยือกเย็นนั้นมันแทรกเข้าไปถึงกระดูก...ความทรมานไม่ได้เกิดมาจากร่างกาย แต่มันเกิดมาจากก้นบึ้งของหัวใจ... ในตอนนั้น น้ำตามันไหลออกมาอีกแล้ว .....
........................
........

.........ความทรมานมันตามมาหลอกหลอนแม้แต่ในความฝัน...
...สิ้นจากเสียงสายฟ้าที่ฟาดลงมา เสียงกรีดร้องของเด็กสาวก็ดังขึ้นแข่งกับเสียงลมพายุฤดูร้อนที่โหมพัด

“ย่า !ย่า ! ช่วยภัทรด้วย! ย่าจ๋าช่วยด้วย !”

...หญิงชราร่างใหญ่ ได้แต่โอบกอดร่างอันสั่นเทาของเด็กสาวไว้ มือใหญ่ถูกจับให้กุมช่วงเอว ที่เย็นเฉียบ

“ตรงนี้ ! ย่าจ๋า ! เขาแทงภัทร ตรงนี้ ! ตรงนี้ ! เขาไม่รัก ภัทร! แล้ว เขาทิ้งภัทร แล้ว ...เหมือนกับที่ป๋ากับมี้ทิ้ง ภัทร ....ไม่เหลือใครอีกแล้ว ...ภัทรเจ็บ ...ย่าจ๋า...ภัทรเจ็บ...เจ็บ ...ตรงนี้ ...”

เสียงกรีดร้องสลับกับเสียงพร่ำเพ้อ เด็กสาวทิ้งตัวโน้มเข้าหาอ้อมแขนใหญ่ของผู้เป็นย่า...ที่พึ่งเดียวที่เหลืออยู่ ... ที่ซ่อนเดียวที่กำลังจะหายไป...ในวันรุ่งขึ้น...
..............
............................

“ปล่อย ภัทร ...ไป....เด็กคนนี้ไม่ใช่คนของเรา ..... ปล่อย ภัทรให้พวกนาคาไป....ทายาทของตระกูลเกิดขึ้นมาแล้ว...สุรไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เชื้อสาย นาคา ....”

ประโยคนั้นชัดเจนในความรู้สึกของเด็กแปดขวบ แม้จะไม่เข้าใจในความหมาย แต่ย่าใหญ่ที่เคยเป็นเหมือนที่พึ่ง กำลังตัดสายใยทุกอย่างลง....ประตูบ้านใหญ่ถูกปิดลงตรงหน้าเด็กสาว.... เอกสารการส่งตัวเข้าโรงเรียนประจำ ถูกขยำจนยับคามือ ไม่มีอีกแล้วบ้านที่ให้ซ่อน...เมื่อย่าใหญ่เจ้าของอ้อมกอดอันอบอุ่น เป็นคนเอ่ยปากผลักไสหลานสาวตัวน้อย.....
..............
............................

‘ป๋ากับมี้ รักกันมาตั้งแต่ เด็ก...ไม่เคยทะเลาะกันเลย.... ’

แล้วไง? สุดท้ายมันก็ลงเอยด้วยการหย่าร้าง และ การไม่พูดจา บ้านสองบ้านไม่เคยเข้าหน้ากันติดนับจากการแยกทาง ของ ป๋ากับมี้ ...
‘เพราะเป็นหลานผู้หญิงคนเดียวของบ้าน และเป็นหลานคนโต ถึงได้เป็นหลานที่ย่าใหญ่รักที่สุด’
แล้วไง? สุดท้ายพอหลานชายอีกคนเกิด...ฉันก็โดน ย่าใหญ่ส่งเข้าโรงเรียนประจำ หลังจากนั้น....ประตูบ้านใหญ่ก็ไม่เคยเปิดรับฉันอีก.....
..............
............................

...ทุกอย่างมันเหมือน เครื่องย้ำเตือนคำว่า ชั่วนิรันดร์ มันไม่มี ไอ้ความรู้สึกที่เรียกรักว่าผูกพันธุ์ก็ด้วย เวลามันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาหรอก เมื่อสุดท้าย ...ก็ต้องอยู่คนเดียว ....
..............
............................

อย่าได้หวัง เมื่อความหวังมันทำร้ายทุกผู้ที่มีหวัง....
.........................
..............

....ความรู้สึกเสียววาบ มันเข้ามาพร้อมแสงสว่างสีขาวโพลน ....ชาจนเหมือนไร้ความรู้สึก ช่วงเอวที่เหมือนถูกตรึงไว้กับแท่งเหล็กสีเงินที่ฝังลึกลงผิวเนื้อ... ความชื้นปนลื่นของของเหลวสีแดงที่ไหลทะลักออกมาจากร่าง...
ฉันไม่ได้กรีดร้องหรือ สั่นกลัว .....น้ำตามันไม่เคยไหล ออกมานับจากวันนั้น...         กลิ่นหวานเอียนของคาวเลือดที่ขึ้นจมูก ความเจ็บที่เริ่มไล่มาจากช่วงเอว ความชื้นที่ค้นเหนียวที่เริ่มไหลลามออกมาจากแผลนั้น .....ถึงจะรู้ว่ามันเป็นเพียงความฝัน
..............
............................

..แต่...ฉันก็ทิ้งทุกอย่าง เพื่อ...
........ค่อยๆ ซึมซับมันช้าๆ ......ให้มันเจ็บ..
...
.
..จนชาชิน......

“ภัทร ....เจ็บไหม?”

เสียงทุ้มของคนข้างๆ ดังปลุกมาพร้อมอ้อมกอดอุ่น ..... ดวงตาสีเงินวาวในความมืดส่องสว่างจนเหมือนเป็นแสงสว่างสุดท้าย.... ที่เหลืออยู่บนโลก ....แสงสว่างของไฟฟ้า ถูกดับลงด้วยพายุฤดูร้อนที่แวะเวียนมาอีกครั้ง ... มือใหญ่ของ..เพื่อนสนิท..ที่กลายมาเป็นคู่นอนชั่วข้ามคืน... ลูบเบาๆที่ช่วงเอว...ผ่านเนื้อผ้าเนียน ....ภัทร กดมือใหญ่นั้นให้แน่นเข้ากับตัว มือที่เหมือนเป็นผ้าปิดแผลที่มองไม่เห็น....

“ไม่เป็นอะไรหรอก ...แค่ฝันร้าย...เราละเมอหรือ ? อายหมอหว่ะ...”

ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของแววตาสีเงิน...นอกจากอ้อมกอดอุ่นที่กระชับแน่นเสียงหายใจเบากว่าเสียงเต้นของหัวใจ ...
….แต่มีอีกเสียงที่ ภัทร ไม่อาจได้ยิน ....
..........
เสียง....
คำขอโทษ ของคุณหมอ...เอ่ยซ้ำๆในทุกอณูของความรู้สึกแต่ไม่เคยได้เอ่ยออกมาจากปาก....
........................
..............
‘จะต้องซ่อนให้พ้น.... หากต้องให้ตนผู้นี้เสียใจอีกครั้ง....สู้ทำให้หายไปมิดีกว่ารึ... ’
…………..
..
ไม่เลย...
...การที่องค์หายไป.....มันแสนทรมาน...................
...........การรอคอยที่ไร้จุดหมาย....
...
ขอโทษ...ข้าขอโทษ.....ข้าเจ้าขอโทษ....
...............
....ขอโทษที่ทำองค์เจ็บ ขอโทษที่ทำองค์ท่านทรมาน....
...................จะไม่เกิด...เรื่องอย่างนี้อีกแล้ว ....ข้าเจ้าจะ ....อยู่เคียงองค์ .......จักมิทิ้งองค์ไว้ลำพังอีกแล้ว ...
......
............จักมิให้มันผู้ใดทำร้ายองค์ได้อีกแล้ว.......
จักต้องซ่อนให้ลึกที่สุด ...ซ่อนไว้ ให้ลึกเท่าลึก ....ซ่อนปราณนี้ไว้ ...ปิดบังด้วย ปราณแห่ง มลทิน ... อำพันเม็ดนั้น คือ ...คำตอบ...

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด