kagehana : เรื่องดำเนินมาถึงตอนจบแล้ว ขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้มาตลอดนะคะ
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ
-48-
“ผมไปนะครับ...พ่อ” ชยางกูรเอ่ยเบาๆในขณะที่ค่อยๆกราบไปบนตักพลภัทร
แม้ว่าจะขัดเขิน....แต่ก็อยากลองทำดูบ้าง เพื่อชดเชยกับสิ่งที่เคยกล่าวร้ายบิดาตัวเองไว้
การกระทำดังกล่าวแทบทำให้พลภัทรน้ำตาไหลออกมา มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบศีรษะของชยางกูรเบาๆ
“เดินทางดีๆ นะลูก” เขาเอ่ยอวยพรเสียงเครือ
“พ่อดูแลตัวเองด้วยนะ”
ชยางกูรพูดสั้นๆแล้วสวมกอดพลภัทรไว้ อ้อมกอดที่เคยใฝ่ฝันหา....แม้จะไม่สนิทใจนักแต่สุดท้ายมังคงจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปในไม่ช้า
หลังจากร่ำลากันเสร็จ ชยางกูรก็พาตัวเองพร้อมสัมภาระที่มีไม่มากเดินออกมารอรถแท็กซี่ตามประสาคนง่ายๆที่ไม่อยากให้คนขับรถต้องไปส่ง รถฟอร์จูนเนอร์สีดำมันปลาบเลี้ยวเข้ามาจอดเทียบข้างทาง พร้อมกับเจ้าของที่เป็นชายร่างสูง ผมหยักศกปล่อยยาวนิดๆมีสีเทาแซม เขาถอดแว่นกันแดดออกพร้อมกับมองมาด้วยสายตาที่ยากจะตีความ
“เธอ....เดฟใช่มั้ย”
“ครับ....ไม่ทราบว่ามาหาใครหรือเปล่าครับ แล้วทำไมถึงรู้จักผม”
ชายวัยกลางคนยิ้มจางๆ เป็นรอยยิ้มที่เศร้าและสุขในเวลาเดียวกันจนไม่อาจจะแบ่งแยกได้ว่าสิ่งไหนมีมากกว่า
“ฉันมาหาพล...เป็น....เพื่อนเก่า” เพื่อนเก่า....ที่พลภัทรเลิกคบและไม่อยากจะเห็นหน้า และหากเขาไม่ได้ข่าวว่าเพ็ญแขหย่ากับพลภัทร ก็คงจะไม่กล้ามายืนอยู่ตรงนี้....ที่บ้านของคนที่เขาเคยทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ
“โตขึ้นเยอะเลยนะ...”
“คุณพ่ออยู่ในบ้านครับ แต่ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ ยังไงเชิญเลยนะครับ ผมขอตัวไปสนามบินก่อน...คงไม่ได้พาเข้าไป”
“ไม่เป็นไร” บ้านที่เคยเข้านอกออกในจนทะลุปรุโปร่งดูไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เพียงแต่...ความรู้สึกครั้งสุดท้ายที่มาบ้านนี้เป็นความรู้สึกหนักอึ้งที่เกาะกินหัวใจให้รู้สึกผิดมากว่ายี่สิบปี เขาไม่สามารถมีใครได้...หลังจากที่ทำลายเพื่อนรักในคืนวันนั้น
“ผมขอตัวก่อนครับ แท็กซี่มาแล้ว...” ชยางกูรเดินไปหาแท็กซี่ที่เรียกมารับ แต่ก่อนที่จะขึ้นรถ ชายหนุ่มหันกลับมามองคนที่ยืนส่งเขาอีกครั้ง
“คุณชื่ออะไรนะครับ....”
“ภีม....ฉันชื่อภีม.....”
///////////////////////////////////////////////
อิสราที่นั่งดูทีวีอยู่หันไปหาทนายตัวโตที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมอาหารเย็นในครัวเมื่อได้ยินเสียงออด พอเห็นแบบนั้น เจ้าของบ้านจึงเป็นฝ่ายลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตูบ้านของตัวเอง
“อ้าวเดฟ กลับมาแล้วเหรอ”
“ครับ เหนื่อยชะมัด แถมพลาดอีก....แต่ก็ยังดีว่าได้เคลียร์เรื่องอื่น”
“เอสเอาน้ำให้เดฟหน่อยสิ ผมซื้อน้ำแอปเปิ้ลไว้ในตู้เย็นน่ะ ขอโทษที....ขอจัดการกับเจ้าไก่อบนี่ก่อน” คนที่อยู่ในครัวพูดเสียงดังจากข้างใน
“เข้ามาก่อนมา วันนี้โคลตันทำไก่อบกับสลัด มาก็ดีเลย จะได้ช่วยพี่กิน” อิสราหัวเราะเบาๆขณะเดินนำอีกฝ่ายเข้ามาที่โต๊ะทานข้าว
“น้ำแอปเปิลนะ หรือเบียร์”
“น้ำดีกว่าครับ เบียร์เดี๋ยวค่อยฉลองกันวันหลัง....รอเจอปันก่อน” ชยางกูรวางสัมภาระลงแล้วทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้ ซี่งด้านหน้ามีสลัดชามโตวางอยู่
“สงสัยต้องติดต่อไปที่มหาลัย ผมไม่รู้ว่าจะเอาไงดี...สไกป์ไปก็ไม่ตอบ สงสัยยังงอนไม่เลิก”
“อ่าว...ยังติดต่อปันไม่ได้เหรอ” เป็นคนในครัวที่ถาม “ก็เอส......” เพราะสายตาวาวๆของอิสรา ทำให้ทนายความหนุ่มใหญ่ซึ่งกำลังจะเปิดปากเรื่องการมาของปัณวิทย์ กลายสภาพเป็นแมวเหมียวนุ่มนิ่ม หันไปจัดแต่งผักลวกในจานไก่
“พี่เอสทำไมเหรอ....”
พอเห็นสายตาซื่อๆที่มองมา อิสราจึงยอมเปิดปากเล่าเหตุการณ์สั้นๆในวันนั้นให้กับชยางกูรฟัง
“ก็แค่นั้นแหละ ไม่มีอะไรมากหรอก”
“ทำไมพี่ไม่บอกผม” คนที่ตั้งท่าจะนั่งพักกินอาหารเย็นให้หายเหนื่อยลุกโพล่งขึ้นทันทีที่ฟังจบ “แล้วปันบอกเปล่าว่าตอนนี้ไปอยู่ที่หอหรือยังไง ทำไมพี่ไม่รั้งไว้ล่ะ”
อิสราส่งสายตาคาดโทษไปให้โคลตัน ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามเหล่านั้น
“ตอนแรกพี่ก็ตกใจ เด็กนั่นเห็นหน้าพี่ก็เดินไปเลย พี่เลยไม่ได้รั้งไว้”
“กะจะแกล้งผมอ่ะดิ” ชยางกูรทำหน้าบึ้งใส่เหมือนเด็กถูกขัดใจ “กินกันไปสองคนเหอะ ผมฝากของไว้ก่อน เดี๋ยวมาเอา”
พูดจบ ร่างสูงก็เดินลุกออกไปโดยไม่สนใจจานไก่อบที่ถูกหั่นมาวางตรงหน้าเลย มือหนาที่ยื่นจานวางหดกลับแล้วเอาไปวางหน้าอิสราแทน
“ตอนแรกผมว่าเขาดูเป็นผู้ใหญ่ดี แต่ผมรู้แล้วว่าอันที่จริง....คุณกับเดฟน่ะเด็กพอกันเลย”
ชายหนุ่มร่างบางที่ถูกวิจารณ์ค้อนให้หนึ่งทีก่อนจะหยิบส้อมกับมีดขึ้นตัดไก่อบทานโดยไม่รอ “พูดอะไรไม่รู้เรื่อง”
“ใครที่เอาแต่ปิดปากเงียบ...ไม่บอกเรื่องปัน นี่ถ้าผมไม่พูด มีหวังป่านนี้ยังคงนั่งกินไก่อบไม่รู้เรื่องอยู่ล่ะมั้ง” เจ้าของอาหารมื้อเย็นเลื่อนจานของตัวเองเข้าไปใกล้อิสราแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกดึงมาจนเบียดกัน
“นั่งเบียดผมทำไมครับ” อิสราทำเป็นมองข้ามคำวิจารณ์เหล่านั้น แล้วเปลี่ยนประเด็นไปอีกเรื่องหนึ่งแทน
“ขาดความอบอุ่น....”
“ฮีตเตอร์ก็มี เปิดให้เอามั้ยครับ” เขาถอนหายใจออกมาเมื่อเจอคำตอบตามสไตล์เจ้าตัว
“ขอแค่อุณหภูมิคนก็พอ” ชายหนุ่มยกไวน์แดงในแก้วขึ้นจิบแล้วส่งให้อิสรา “ชักอยากจะมอมเหล้าคุณแล้วแพคใส่ลังกลับบ้านขึ้นมาจริงๆแล้วสิ.....เอส....ไปอยู่ด้วยกันมั้ย”
“แล้วบ้านหลังนี้ของผมล่ะ... คุณ...” อิสราถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “ผม... ยังไม่พร้อม... ครับโคลตัน”
“ปันมาอยู่ที่นี่สี่ปีถึงจะจบ คุณก็ให้เดฟอยู่สิ” หนุ่มใหญ่คลึงแก้วไวน์ในมือไปมาเหมือนกำลังจะตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่
“บอกตามตรง ผมกลัวว่าคุณจะกลับไปชอบเดฟอีก เพราะงั้น...มาอยู่กับผม คุณจะได้ไม่มีเวลาว่างพอจะอ่อนไหวไง”
โคลตันพูดทุกคำด้วยความจริงจัง....เพราะรู้ดีว่าอิสราเป็นคนอ่อนไหวง่าย หายจะผูกพัน...เขาก็อยากจะผูกติดให้มีแต่ตัวเองในหัวอีกฝ่าย เขาไม่อยากหึงชยางกูร แม้รู้ว่าฝ่ายนั้นคงไม่กลับมาหาอิสราแล้วก็ตาม
...แต่กันไว้ดีกว่าแก้ไม่ใช่หรือไง....
“ผม... ไม่กลับไปหรอก...” อิสราก้มหน้าลง “ผม... แค่ยังไม่รู้โคลตัน... ผม...”
“เปิดใจให้ผมเข้าไปได้มั้ย...มิสเตอร์อิสรา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างหู
“ผมรักคุณ.....”
“... คุณ... ขี้โกง” อิสราเอ่ยเสียงเบา อีกฝ่ายรู้ดีว่าเขาแพ้อะไรแบบนี้ถึงได้เอ่ยคำบอกรักออกมา
“ผม... ยังไม่รู้... ว่าผมรู้สึกยังไง”
“ลองเรียนรู้จากผมสิ....แล้วจะรู้ว่าไม่ต่างกันเลย”
“....... ผม....” ชายหนุ่มมองหน้าของคนที่มองเขาอยู่ “...... จะลอง”
โคลตันปิดริมฝีปากที่สั่นไหวด้วยริมฝีปากของตัวเอง มือที่ประคองแผ่นหลังโอบร่างบางเข้ามากอดเอาไว้ จุมพิตรสไวน์หวานหอมเจือขมติดปลายลิ้น....ซาบซ่านไปถึงหัวใจ
“ผม... ไม่ใช่คน... หนักแน่นพอ... เข้าใจใช่มั้ย...”
“ผมไม่กลัวหรอก...ผมจะทำให้คุณไม่มีเวลาจะหวั่นไหวเลย..คอยดูเถอะ”
“ครับ... ผมจะคอยดูแน่ๆ... เพราะไม่อย่างนั้น ผมคงไม่อยู่กับคุณ” เขาส่งรอยยิ้มจางๆให้ก่อนจะเอนศีรษะพิงกับไหล่กว้าง
...จะลองเดิมพันดู...
...อาจจะดีกว่าที่คิดไว้...
//////////////////////////////////////////////
หลังจากได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอแล้ว ปัณวิทย์ก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องที่หอพักนักศึกษาไม่ได้ออกไปไหน เขาถือว่าตัวเองเก่งมากที่ไม่โวยวายอาละวาดลงกับข้าวของ
“ไอ้ฝรั่งบ้า... รอตลอดไปเหี้ยห่าไรงี่เง่าชัดๆ”
เขามาถึงที่สหรัฐอเมริกาก่อนที่จะเปิดเทอมประมาณหนึ่งเดือน หลังจากซื้อข้าวของที่จำเป็นเสร็จเรียบร้อย ปัณวิทย์ก็ตั้งใจจะไปหาอดีตคนรักโดยหวังว่าจะแกล้งให้ตกใจเล่น แต่กลับต้องเจอกับผู้ชายที่เรียกว่าแฟนเก่าของชยางกูรที่มารยาทไม่ดีคนนั้น แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าต้องพูดอะไรด้วยซ้ำ
...ทุกอย่างมันฟ้องชัดแล้ว
ก่อนที่จะได้เปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เสียงท้องร้องประท้วงที่ดังขึ้นมาทำให้เด็กหนุ่มเปลี่ยนแผน
“หาไรใส่ท้องก่อนก็ได้วะ”
ปัณวิทย์คว้ากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายหลัง เดินออกจากห้อง ลงลิฟท์มาด้วยใบหน้าที่ไม่รับแขกเช่นเคย
คนที่มาเฝ้ารอที่ล็อบบี้ปิดหนังสือลงแล้วถอนใจเฮือก พิชญ์ยอมบอกเขาแค่หอพักที่คนรักของเขามาอยู่...แต่ไม่ยอมให้ทั้งเบอร์ห้องหรือเบอร์ส่วนตัวด้วยซ้ำ
จะมีก็แต่ต้องมานั่งเฝ้า รอจนเด็กดื้อออกไปข้างนอกถึงจะได้เจอ เขามานั่งรอกว่าสี่ชั่วโมงแล้ว ให้ตายเหอะ เจ้าเด็กหน้าบูดนั่นไม่คิดจะกินข้าวหรือออกจากห้องบ้างเลยหรือไงนะ
เด็กหนุ่มแวะทักทายเจ้าหน้าที่ดูแลหอพักก่อนจะหยิบเอาหนังสือพิมพ์แจกฟรีตรงเคาน์เตอร์
ชยางกูรแทบไม่อยากเชื่อสายตาเมื่อเห็นร่างของคนรักยืนอยู่ไม่ไกล ไม่ทันที่ในหัวจะได้คิด สองขาก็พอเข้าก้าวไปหารวมถึงสองแขนก็กอดรัดปัณวิทย์เอาไว้แล้ว
“ปัน.....ลงมาแล้วเหรอ”
ด้วยความตกใจ ปัณวิทย์ผลักอีกฝ่ายออกแทบจะทันทีโดยไม่พูดอะไรแล้วรีบวิ่งออกไปทางประตูด้านข้าง
...มาได้ยังไงวะไอ้ฝรั่งบ้า!!
“ปัน...รอพี่ก่อน” ชยางกูรวิ่งตามไปรั้งเอาไว้แล้วดึงเข้าสู่อ้อมกอด “ทำไมมาไม่บอกสักคำ”
“มาทำไม ปล่อย ปล่อย” เพราะว่ายังไม่เปิดเทอม ด้านนอกจึงไม่มีผู้คนพลุกพล่านมากนักทำให้ปัณวิทย์สามารถสะบัดอีกฝ่ายออกได้เต็มที่
“ปล่อยสิวะ!!”
“ไม่ปล่อย พากลับบ้านเลย” ชยางกูรกอดแล้วหิ้วคนตัวเล็กกว่าจะพาไปที่รถที่จอดไม่ไกล
“กลับอะไร ไม่กลับ! บอกว่าไม่ไปไงวะไอ้ฝรั่ง! ปล่อย!!!!” คราวนี้ทั้งขาทั้งแขนออกแรงต่อต้านคนที่ยกเขาลอยจากพื้นเต็มที่
“ใจเย็น...โกรธเรื่องอะไร อุตส่าห์มาหาพี่ถึงนี่แล้วยังจะโกรธอีกเหรอ” ชยางกูรอยากจะจับทุ่มลงกับพื้นถนน ถ้าไม่ติดว่าเขารักคนๆนี้
...เด็กบ้าอะไรวะ ดื้อของโคตรดื้อเลย
“เจอแล้วก็ปล่อยดิวะ จะมาแก้ตัวทำไม ไอ้พี่เอสอะไรนั่นบอกว่าปันมาใช่มั้ย” ดวงตาดื้อรั้นไม่ดูอ่อนลงแม้แต่น้อย
“ไม่ปล่อย คุยกันดีๆสิ พี่อุตส่าห์กลับไทยไปหา ปันต่างหากล่ะที่มานี่ไม่บอกสักคำ”
“ทำไมต้องบอก ไม่ได้เป็นอะไรกัน!” ถ้าแยกเขี้ยวแล้วกัดได้จริงๆปัณวิทย์คงทำโดยไม่ลังเล
“เป็นแฟน!!” พูดจบชยางกูรก็ยืนยันด้วยจูบดุดันอวดสายตาคนที่อยู่ในละแวกนั้น พร้อมกับกอดรัดเอาไว้..บังคับให้ปัณวิทย์ยอมผ่อนตามจุมพิตเร่าร้อน
หากไม่ได้ถูกกอดเอาไว้ปัณวิทย์คงได้ต่อยไปแล้ว ที่ตั้งใจสอบทุนมาหาเพราะคิดถึง แต่ก็ยังนึกน้อยใจตลอดเวลาว่าอีกฝ่ายทิ้งเขาไป
“แฟนเหี้ยอะไร... ทิ้งกัน หา” ท้ายประโยคนั้น เสียงของเด็กหนุ่มสั่นเครือก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมา
“ขอโทษ...ขอโทษจริงๆ” ชยางกูรก้มลงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าขาวๆที่ยังฉายแววดื้อรั้นก่อนจะจุมพิตลงที่หน้าผากเบาๆ
“ไม่ได้ทิ้ง...ก็เกือบจะกลับไปหา แต่โกรธพ่อ โกรธปันที่ไม่เลือกพี่.....พี่มันงี่เง่าเอง”
“ก็พ่อปัน! บอกให้รอก็ไม่รอ แล้วจะมาทำไม อึก...” เขายกแขนปัดมือของชยางกูรออก
“ก็ปันมาทำไมล่ะ พี่กลับไทยไปหาปันเพราะเหตุผลเดียวกันน่ะแหละ พอกลับไปก็ไม่เจอ พอมาดักรอเจอปันก็ด่า” ชยางกูรลากปัณวิทย์ออกมาที่รถแล้วเปิดประตูดันร่างเล็กให้เข้าไป
“เข้าไปเลย เดี๋ยวหนีอีก”
“ทำไมจะด่าไม่ได้ มานี่ก็มาอยู่กับแฟนเก่า ใช้พวกไอ้เตี้ยส่งข่าว ทำอะไรไม่คิดถึงความรู้สึกปันมั่งเลย” คนโดนผลักขึ้นรถยังคงหันมาโวยใส่ต่อ
“พี่มีเหตุผลที่ต้องอยู่กับพี่เอส แต่สาบานได้ว่าไม่มีอะไรกัน...พี่รักปันคนเดียว ได้ยินมั้ย” ชยางกูรดึงคนรักเข้ามากอดไว้อีกครั้งแล้วซบใบหน้าลงบนกลุ่มผมสีเข้ม
“ไอ้พี่บ้า เดี๋ยวมีไรก็ทิ้งปันอีก รักอะไร” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่ปัณวิทย์ก็ไม่ได้ดันหรือว่าผลักอีกฝ่ายออก
“ไม่ทิ้ง ไม่มีอีกแล้ว รอปันเรียนจบแล้วกลับไปอยู่กับพ่อด้วยกันนะ”
“พูดอะไรไร้สาระ พ่อจะให้อยู่ด้วยกันได้ไง” ดวงตาที่ยังชุ่มน้ำตาจ้องมองอย่างเอาเรื่อง
“เคลียร์กันแล้ว พี่กลับไปหาปันที่ไทยมา...พอไม่เจอก็เลยได้คุยกับพ่อ อาจจะไม่ใช่ทันที แต่พ่อคงรับเราได้....” ชยางกูรไม่รู้จะบรรยายอย่างไรกับความรู้สึกในตอนนั้น เขาทำเพียงแต่กอดปัณวิทย์แน่นขึ้น
“...ไอ้พี่เดฟบ้า” พูดจบปัณวิทย์ก็ต่อยอีกฝ่ายไม่เต็มแรงนัก แต่เอาเพียงให้หายคืนกับความรู้สึกที่เขามีตลอดเวลาที่อีกฝ่ายทิ้งไป
“ขอโทษที่ทิ้งกัน แต่อยู่ที่นี่....ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงปันเลยนะ”
“ทิ้งให้เหงาเหี้ยๆอยู่คนเดียว ทิ้งอีกทีจะฆ่าให้ตายเลย” หมัดจากเด็กหนุ่มถูกปล่อยใส่อีกครั้งคล้ายกับยืนยันคำพูด
“อยู่ที่นี่ก็เหงาเหี้ยๆเหมือนกัน ออนสไกป์ก็ไม่มีคนทัก แกล้งออนทั้งวันทั้งคืน คนใจดำก็ไม่ยอมพิมพ์มา ไลน์ด้วย....แถมมานี่ก็ไม่บอก ให้คนเขาเหงาอยู่ได้ตั้งนาน”
“อย่ามาโยนเหมือนปันผิดสิวะ ทักทำไม ทักให้เซ็งว่าทิ้งไปเหรอ” ปัณวิทย์ทำหน้าเบ้ใส่ก่อนจะถอยตัวออกมาแล้วกอดอกไว้
“นี่ถ้าไม่ได้ซายน์กับอัสซี่ช่วย คงไม่ได้เห็นหน้าปันเลยมั้ง” ชยางกูรไม่ได้ตามไปกอด แต่กลับทิ้งศีรษะลงบนตักของเด็กหนุ่มแล้วจูบเบาๆที่ผิวอ่อนๆตรงหน้าท้อง
ปัณวิทย์ใช้ปลายนิ้วดีดลงบนศีรษะของร่างสูง “อย่ามาลามกไม่เข้าเรื่อง ลุกเลยครับ”
“ใครลามก...เป็นเด็กเป็นเล็กคิดอะไรน่ะ” นอกจากจะไม่ลุก ชายหนุ่มยังฟัดใบหน้าลงกับผิวเนื้ออย่างหมั่นเขี้ยว
ปัณวิทย์เกลียดตัวเองในตอนนี้เป็นที่สุด!
“พอแล้วเว้ย ลุก! พี่เดฟ” ไม่พูดเปล่า จากที่ดีดศีรษะไปกลายเป็นใช้ทั้งสองมือดันใบหน้าของชยางกูรออกจนเกือบจะชนกับคอนโซลฝั่งข้างคนขับ
“ยกโทษให้ยัง” อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายเผลอดึงตัวมากอดไว้แล้วกดจูบเบาๆที่สองข้างแก้ม “........หรือว่ายังหึงพี่เอส”
“ไม่ได้หึง” เด็กหนุ่มรู้ดีว่ากำลังโกหกอยู่ครึ่งหนึ่ง เพราะอย่างน้อยถ้าหึงล้วนๆ คงได้เปิดปากเถียงกับแฟนเก่าที่ว่านั่นไปแล้ว
“โกหก...มองตาก็รู้” ชยางกูรพูดยิ้มๆแล้วเสริมต่อด้วยอ้อมกอดที่แนบแน่นขึ้น “พี่รักแล้วรักเลย...ไม่ต้องหึงครับ อีกอย่าง พี่มาอาศัยพี่เอสเฉยๆ...แถมตอนนี้มีแฟนใหม่เป็นทนายรวยโคตรไปแล้ว จนๆอย่างพี่ต้องอยู่กับนักเรียนนี่แหละถึงจะเหมาะ”
“ใครให้อยู่ จนๆปันไม่เอา ปันอยู่หอ เข้าใจปะ” เด็กหนุ่มทำทีเหมือนกำลังถือไพ่เหนือกว่าทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าให้จนยังไง เขาก็รักอีกฝ่ายโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
“ว้า ปล่อยให้พี่อยู่บ้านกับพี่เอสสองคนจะดีเหรอ เดี๋ยวเด็กแถวนี้หึงนอนร้องไห้ทำไง”
“ไม่มี หึงนอนร้องไห้อะไร ไม่มีหรอก มั่ว”
“งั้นพี่คงนอนร้องไห้...เพราะคิดถึงปัน” ชายหนุ่มผมทองซุกหน้าลงกับไหล่ของคนในอ้อมกอด “คิดถึงปันนะ..คิดถึงมาก....”
“รู้แล้ว...พูดอะไรบ่อยๆ พอแล้ว” ปากพูดออกมาห้วนๆ แต่ปัณวิทย์ก็ยกมือขึ้นโอบกอดร่างสูงเอาไว้
“หายโกรธนะ” คนเป็นพี่กอดไว้เบาๆแล้วจูบหน้าผากชื้นเหงื่อด้วยความรัก “ปันอยู่ไทยคิดถึงพี่บ้างมั้ย”
“ไม่ตอบ มีไรปะ” เขาไม่ได้ผลักออกแต่ยอมโอนอ่อนให้ชยางกูรได้แตะริมฝีปากตามใจ
“คิดถึงหรือเปล่า” น้ำเสียงทุ้มต่ำถามอย่างย่ามใจ ลองว่าปัณวิทย์อ่อนลงแล้ว เด็กหนุ่มก็ราวกับคนละคนกับเด็กดื้อเมื่อกี้นี้
“........ พูดไม่รู้เรื่องนะ บอกว่าไม่ตอบไง”
“เดี๋ยวถามซายน์กับอัสซี่ก็ได้....ถ้าไม่ตอบ พี่จะถามว่าปันร้องไห้หรือเปล่าตอนอยู่ไทย อย่างอัสซี่คงเล่าหมดทุกอย่างละมั้ง”
“ไม่ได้ร้อง โตแล้วไม่ใช่เด็กๆ ไม่คิดถึงจนร้องไห้หรอกไอ้พี่บ้า”
“ไม่ร้อง...แต่คิดถึงใช่มั้ย” ‘ไอ้พี่บ้า’ กระซิบเบาๆข้างหูก่อนจะขโมยหอมตบท้าย
“เออ คิดถึง ไม่พูดแล้ว” จากที่ไม่ดันอีกฝ่ายออกไปไหน คราวนี้มือยืดมาผลักหน้าของชยางกูรออกทันที
ชยางกูรก้มหน้าหลบแล้วเอนตัวทับ....รัดรั้งร่างบางเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหนได้ นัยน์ตาสีฟ้าพราวระยับด้วยคำพูดนับแสนนับล้านที่อยากจะบอกไป แต่คำพูดเดียวที่ตรงใจที่สุด....กระซิบแผ่วเบาให้เพียงคนเดียวได้ฟัง
“พี่รักปันนะ”
“...รู้...แล้ว” กระต่ายป่าแสนดื้อรั้นซุกเข้าหา ยอมอ่อนให้ในที่สุด
“กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ”
“...จ่ายค่าหอไปแล้ว... เทอมนี้ต้องอยู่หอ...” น้ำเสียงที่คอยแต่ฟังดูกระด้างกลายเป็นเสียงบ่นอุบอิบที่ฟังยังไงก็เหมือนเด็กงอแง
“ยกเลิกไม่ได้เหรอ ไปอยู่บ้านพี่เอสกัน...ปันอยู่ห้องพี่ไง พี่แชร์กันอยู่กับพี่เอสน่ะ” คำพูกวกวนที่ทั้งหาประโยชน์เข้าตัวเองและแก้ตัวไปในตัวออกมาจากริมฝีปากที่คลอเคลียอยู่อย่างรื่นไหล เจ้าตัวที่คิดคำพูดมาก่อนหน้านี้แถมกำไรด้วยการจูบหนักๆอีกสองครั้งบนแก้มสีนวล
“ไม่เอา ไม่อยู่ร่วมบ้านด้วยหรอก ยกเลิกไม่ได้ จ่ายเงินไปหมดแล้ว เทอมเดียว...” ท้ายประโยคปัณวิทย์กลับมาทำเสียงแข็งใส่อีกครั้ง
“งั้นก็ปล่อยไว้งั้น ไม่ต้องอยู่ ไม่ต้องยกเลิก แล้วไปอยู่กับพี่นะ” กระต่ายในอ้อมกอดที่ทำขนพองขู่...ด้วยเหตุผลอะไรเขาก็รู้ดี
“พี่เอสเป็นคนดีนะปัน ปันอาจจะยังไม่ชิน....แต่รู้จักกันดีๆ ปันอาจจะชอบก็ได้”
“ไม่เอา! เทอมนึง เป็นบทลงโทษที่ทิ้งปัน” เด็กหนุ่มยื่นคำขาด
“งั้นพี่จะมาเฝ้าทุกวัน เลิกเรียนมารับ วันหยุดพาไปนอนบ้าน ไปนั่งเฝ้าที่มหาลัย....ดีมั้ย”
“นี่ เวอร์แล้วครับ วันหยุดอยู่ด้วยกัน วันธรรมดากินข้าวด้วยกันบ้างก็โอเค แต่ปันต้องมีชีวิตมหาวิทยาลัยของปัน เข้าใจมั้ย” เขามองอีกฝ่ายตาขวางเมื่อฟังจบประโยค
“ให้เวลาหนึ่งเทอม...เทอมหน้าต้องมาอยู่ด้วยกันนะ” คนเป็นพี่เอ่ยอ้อน “เรื่องพี่เอส...ปันอย่าคิดมากนะ ไว้จะพาไปกินข้าวด้วย พี่เอสตลกจะตาย”
“ไม่ได้คิดมาก แต่ปันไม่ชอบหน้า”
“เด็กเอ๊ย” ชยางกูรแกล้งบ่นเบาๆแล้วจับมือคนรักเอาไว้
“จำไว้นะ ไม่ว่ายังไง....คนที่พี่รักก็มีปันคนเดียว พี่จะไม่ปล่อยมือนี้ไปชั่วชีวิต”
“ปล่อยไปแล้วรอบนึง ไม่ต้องมาทำพูดเท่” ปัณวิทย์ชักมือคืนพลางเบ้ปากใส่
“ถ้าไม่เชื่อ...ก็ลองพิสูจน์ดู...ไปชั่วชีวิตแล้วกัน”
บาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือน...บาดแผลที่ปิดซ่อนยาวนาน
แม้จะไม่จางหาย...แต่ความเจ็บปวดก็ลบเลือนได้ด้วยการเวลา และความรักที่คอยอยู่เคียงข้าง
...ตลอดไป...
....The End....
///พื้นที่โฆษณา///ID คนขาย : TBL-984-766
เนื่องจากหมีกับดอกไม้เป็นพวกโรคจิต ชอบสะสมหนังสือเป็นเล่ม เลยจะรวมเล่มเรื่องตราบาปไร้รอยเลือนขึ้นมาค่ะ
ในเล่มนี้มีอะไรบ้าง??
เล่มนี้จะมี
ตอนพิเศษที่เขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดสามตอน สามคู่คือ
พี่เดฟ-น้องปัน เรื่องราวตอนได้พบกันครั้งแรก สมันปันยังเป็นปันปันตัวอ้วนกลม
ซายน์-อัฐ "ครั้งแรก" ของอัฐ กับอาการงอนของซายน์
ภีม-พลภัทร จากเพื่อนรักกลายเป็นความเกลียดชัง ภีมเลยกลับมาเพื่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้
หนังสือทั้งหมดจะรวมเป็นเซตสองเล่ม ขนาดเอห้า มีปกสวยงาม มีเนื้อเรื่องทุกตอนและเรื่องสั้นสามเรื่อง(หรืออาจจะงอกออกมาอีก)
ทั้งหมดทั้งมวล ราคาเซตละ 500 บาท (ไม่รวมค่าจัดส่งค่ะ)
ระยะเวลาในการสั่งจองคือประมาณเดือนกว่าๆ และปิดรับจองวันที่ 30 เมษายน 2556
ถ้าคนอ่านท่านใดสนใจ..สามารถส่งแบบฟอร์มการสั่งจองหนังสือมาทาง kagehana.h.p แอด จีเมล ดอท คอม รบกวนตั้งหัวข้ออีเมลว่า
“สั่งจองหนังสือ” ด้วยนะคะ
ในอีเมล ให้เขียนแบบฟอร์มตามแบบข้างล่างมาค่ะ (รายละเอียดทุกอย่างจะถูกเก็บเป็นความลับค่ะ)
ชื่อจริงและนามสกุลจริง :
ชื่อเล่น :
ยูสเซอร์เนมเล้าเป็ด/เด็กดี :
เบอร์โทร :
ที่อยู่ :
สั่งจองเป็นจำนวน : _________ ชุด
E-mail :
ทางเราจะอัพเดทความเคลื่อนไหวเรื่อยๆทั้งในเล้า/เด็กดี และเพจ
http://www.facebook.com/ficfactory ค่ะ
ส่วนอีกเรื่อง ขออนุญาตลงโปรโมทเรื่องใหม่ค่ะ อิอิ
♥ รักกุบกิบ ♥เรื่องราวของหนุ่มมหาลัยสุดเกรียนกับรุ่นพี่นักเรียนแลกเปลี่ยนสุดเอ๋อ พร้อมด้วยพลพรรครักเพื่อน(?)อีกมากมาย
จิ้มไปอ่านได้เลยค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37037.0ขอบคุณทุกความกรุณาของคนอ่านทุกคนที่มีให้เสมอมานะคะ จบเรื่องนี้ อย่าลืมแวะเวียนไปเยี่ยมเรื่องใหม่กันนะคะ หมีกับดอกไม้จะรอนะ
รักคนอ่าน
kagehana