ตอนที่ 15ปชาเลิกงานก็กลับห้องเพราะไม่รู้ว่าจะไปไหน มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นในช่วงหลายเดือนมานี้ จนหมดอารมณ์ที่จะไปไหนไกล นอกจากบ้าน กับที่ทำงาน ก็คือแวะซื้อของใช้ส่วนตัวเท่านั้น แต่ตอนที่เดินออกมาจากลิฟต์ เลี้ยวขวามาทางห้องพักของตัวเอง ห้องพักที่ปิดเงียบมาหลายวัน กลับมีเสียงพูดคุยกันดังลอดออกมาให้ได้ยิน
บรรยายความรู้สึกตอนนี้ได้ว่า ทั้งโกรธและกลัว แต่ต้องรีบเข้าห้องมากดโทรศัพท์หาศรัย
“กูได้ยินเสียงจากห้องพี่แหม่ม” แต่เสียงก้องจากปลายสายทำให้ปชาสงสัย “มึงอยู่ไหนน่ะ”
“อยู่หน้าโรงหนังกับน้อง”
“งั้น...ไม่เป็นไรมั้ง เขากลับมาแล้วกันทั้งคู่ กูก็แค่จับตาไม่ให้หนี” ปชาแง้มประตูออกไปมอง “ได้ยินเสียงนะ แต่ไม่ได้ทะเลาะกัน เพราะไม่ใช่เสียงด่า แต่ก็ถือว่าดังเกินระดับคนที่กำลังคุยกัน กูควรไปแนบหูฟังเขาคุยกันมั้ย”
“มึงดูหนังมากไปหรือเปล่าปชา เอางี้ถ้ามึงเครียดมาก เดี๋ยวกูโทรหาตุ้ม เมื่อเช้ามันมาอยู่ที่ห้องเป็นเพื่อนทอ ตอนนี้กลับไปหรือยังไม่รู้”
“เออ กูเครียด อยากพังประตูห้องมันบอกว่าเอาเงินกูคืนมา ด่ามันสักชุดที่หลอกกู แต่กูก็กลัวมันจะจับกูโยนลงคอนโดฯ ไปอีกคน”
ศรัยหันไปมองหนุ่มตัวเล็กที่กำลังทำตาโต มองพี่คุยโทรศัพท์ “งั้นระหว่างนี้มึงด่าตัวเองไปพลางๆ ก่อน”
“พี่ปชาเป็นอะไรฮะ” วาดถามขณะที่มองศรัยกดโทรศัพท์หาตุ้ม
“มันแค้นใกล้บ้าน่ะ” ศรัยโอบไหล่วาดเข้ามาหา ขณะที่คุยโทรศัพท์กับตุ้ม “มึงกลับหรือยัง ไปหาปชาที่ห้องหน่อย พอดีห้องนั้นกลับมาห้องทั้งคู่ ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่ไม่ให้ปชามันทำเสียเรื่องเท่านั้น”
พอศรัยวางสายวาดก็เลยบอก “เรากลับก็ได้นะฮะ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก ไอ้หมูมันออกจากห้องขังกลับมา แสดงว่าหลักฐานไม่พอ แต่ตอนนี้มันคุยกันเสียงดัง อาจเริ่มมีบางอย่างที่ขัดใจกัน”
วาดกัดริมฝีปาก “แล้วจะมีใครตายอีกมั้ยฮะ”
“ไม่แน่” ศรัยตอบตามตรง “พี่มีนน่ะรู้ว่าเด็กในท้องของพี่แหม่มไม่ใช่ลูกของเขามาตั้งหลายเดือน กว่าที่จะมาถึงจุดที่ 2 คนนั้นวางแผนฆ่าพี่มีน ที่อยากรู้ก็คือ ทำไมต้องฆ่า ต้องหาหลักฐานจับ 2 คนนั่นเข้าคุก ส่วนความเกี่ยวข้องกับปชาก็คือ 2 คนนั้นต้องการเงิน มีปชาอยู่ก็แปลว่ายังมีเงิน”
ตุ้มใส่ไก่ที่อัดแน่นไปด้วยเครื่องเทศและเกาลัดเต็มท้องลงในหม้อนึ่งแล้วตั้งเวลา มีเขียนกับทอรุ้งยืนมอง
“แค่นี้หรือคะ”
“แค่นี้แหละคุณน้อง ทีนี้เราก็ไปทำยำทะเลได้ในระหว่างรอ”
แต่ยังไม่ทันได้ลงมือทำยำทะเล ศรัยก็โทรศัพท์เข้ามา
“เออ เดี๋ยวกูไปดู” ตุ้มวางสายแล้วหันมาบอกเขียนกับทอ “เดี๋ยวผมมานะ ไปดูพี่ปชาหน่อย”
“มีอะไรหรือคะ”
ตุ้มตวัดตามองเขียนแว่บเดียวแล้วบอกกับทอ “ก็จะไปดูไงคะ ว่ามีอะไรหรือเปล่า ไม่มีก็กลับมากินข้าวกัน น้องทอดูของบนเตาให้พี่ก่อนนะคะ”
แต่เมื่อตุ้มเดินออกมาจากห้อง เขียนก็เดินตามมาด้วย
“ตามมาทำไม ไปอยู่กับน้องสิ”
เขียนทำยักไหล่ เดินตามมาห่างๆ ตอนที่เดินมาถึงหน้าห้องของพี่แหม่มได้ยินเสียงพูดคุยที่ดังกว่าปกติจริงๆ ตุ้มทำท่าจะแนบหูฟัง แต่เขียนรีบดึงข้อศอกให้เดินต่อไปที่ห้องปชา
“อ้าว อยู่ห้องนี้จริงด้วย” ปชาทัก แต่แทนที่จะเรียกให้ทั้ง 2 คนเข้าไปในห้องกลับทำปากยื่นไปที่ห้องเยื้องกัน “แจ้งตำรวจเลยมั้ย”
“ข้อหาอะไร คุยกันเสียงดังเกินไปหรือไง” ตุ้มบอก แต่ระดับของเสียงไม่ได้ดังมากนัก
ประตูห้องตรงข้ามกับปชาเปิดออก
กานต์หนุ่มออฟฟิศที่ทุกคนพูดกันว่าเขาทำงานหนัก และเที่ยวจัด จนแทบไม่ค่อยมีใครได้พบหน้า กำลังหยุดยืนนิ่ง ดวงตาสีเข้มจ้องมองตุ้มเหมือนคาดไม่ถึง
“ตุ้มใช่มั้ย”
แทนที่ตุ้มจะมองคนทัก แต่กลับมองเขียนทันที ส่วนคนที่ทักทายก็ยังคงพูดต่อไป “ไม่เจอกันนาน”
“ฮื่อ” ตุ้มตอบด้วยเสียงที่อยู่ในลำคอ หายใจเข้าลึกๆ หันไปหาปชา “ไงก็ใจเย็น ปล่อยให้มันตีกันเอง”
ปชามองตุ้ม แล้วหันไปมองหนุ่มออฟฟิศห้องตรงข้าม พอจะเดาได้เองแบบเลือนราง “อือ ไม่ต้องห่วง ตอนนี้กูเย็นแล้ว รับรองว่าไม่ก่อเรื่อง จะอยู่อย่างสงบเสงี่ยม”
ตุ้มหัวเราะไม่มีเสียง หันไปคว้าข้อมือของเขียนดึงกลับมาที่ห้องอีกด้าน แต่ปชายังพูดตามมาให้ได้ยิน “มึงเองก็เย็นไว้”
ปชาหันมามองหนุ่มห้องตรงข้าม ที่แต่งกายเป๊ะตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า “ไงคุณเพื่อนบ้าน จะไปเที่ยวใช่มั้ย”
กานต์ก้าวเข้ามาหาปชา “นั่นแฟนตุ้มหรือ”
“มั้ง ดูท่าทางมันน่าจะเป็นอย่างนั้น”
หนุ่มห้องตรงข้ามมีท่าทีจริงจัง “ฝากบอกเขาว่าเรื่องของผมกับตุ้มมันไม่มีอะไร ไม่ได้เจอกันนานเป็นสิบปีแล้วด้วย”
หนุ่มห้องตรงข้ามเดินผ่านไป ขณะที่ปชาปิดประตูห้องของตัวเองแล้วเดินมาเปิดโทรทัศน์
“ห้องตรงข้ามกูกับห้องใหญ่อีกฝั่ง ห้องไหนจะมีคนตายก่อนกันวะเนี่ย”
ที่จริงแล้วต้องบอกว่า เขียนดูเฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไรด้วยซ้ำ เข้าห้องมาก็เดินมาดูทอรุ้งที่กำลังทำยำ แล้วเดินไปเปิดเบียร์กระป๋อง กลับมานั่งดื่มเบียร์แกล้มถั่วนึ่ง เบียร์หมดก็กินข้าวพร้อมกับทอและตุ้ม มีหันไปมองนาฬิกาเป็นระยะ จนกระทั่งน้องชายคนเล็กโทรกลับมาว่าออกมาจากโรงหนังแล้ว จะแวะกินข้าวก่อนกลับห้องพัก
“ดีมาก” เขียนพูดนิ่งๆ แล้วเดินไปรดน้ำต้นไม้ที่ระเบียง
คนที่มีอาการไม่สู้ดีนักกลับเป็นตุ้ม ที่เดินตามมาด้วย
“คุณ”
“ว่าไง”
“ฟังหน่อยนะ”
“ก็ฟังอยู่”
ตุ้มหันไปมองทอรุ้งในห้อง แล้วก้าวเข้าไปยืนข้างๆ เขียน ทำให้ทอรุ้งรู้ตัวเดินเลี่ยงเข้าไปในห้องนอนตัวเอง
“ตอนมัธยม ผม...ไม่ได้เป็นแบบนี้หรอกนะ ผมซ่า บ้า ปากร้าย ก็....แรดมากน่ะแหละ”
คนตัวโตหัวเราะหึหึ ปล่อยให้ตุ้มเล่าต่อ
“มีรุ่นพี่หล่อมาก ผมก็กรี๊ดกร๊าด เครซี่เขามาก หาโอกาสใกล้ชิดเขา แต่พอได้นอนด้วยกันผมกลับเลิกสนใจเขา”
“หือ เลิกเลยหรือ”
“อือ แปลกใช่มั้ยผมก็ยังสงสัยตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าผมเป็นบ้าอะไร ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมเว่อร์มาก ไม่อายใครเลยนะ เวลาที่ตามเขาน่ะ แต่พอคืนนั้นผ่านไป เช้าขึ้นมาผมยืนมองกระจก ถามตัวเอง นี่คือสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ น่ะหรือ ไปโรงเรียนเพื่อนคนนั้นถาม คนนี้ล้อเลียน ก็กลับคิดว่า เออแล้วไง ทำเหมือนกับว่าตัวเองเริ่ดมาก แต่พอเขามาคุยก็กลับเฉยๆ เขาเองก็สงสัยว่าทำไม ก็คุยกัน แล้วมันก็จบ”
เขียนขมวดคิ้วคิดตาม “เหมือนว่าไม่ได้คบกันเลยนะ”
“ไม่หรอก ผม...เป็นตุ๊ดแรงน่ะ ที่คนพูดกันไปมันเรื่องไม่จริงทั้งนั้น เพราะผมไม่เคยไปกับใครอีก แต่ทำเป็นไม่แคร์ว่าใครจะพูดยังไง ทำตัวแรง พูดแรง”
เขียนหันไปมองทางทิศที่ตั้งของห้องกานต์ แต่ตุ้มรีบบอก “ผมไม่คิดว่าเขาปล่อยข่าวแบบนั้นหรอกนะ เพราะว่ามันเสียหายด้วยกันทั้งคู่ แต่คุณจะเอาอะไรกับเด็กมัธยม คิดแค่ตัวกูกับวันนี้ แล้วพอเวลาผ่านไป เรียนจบจะทำงานมันก็คิดได้เองว่า ถ้ายังเป็นอย่างนี้จะมีงานทำมั้ย”
“แล้วไม่ได้คบใครเลยหรือ”
ตุ้มส่ายหน้า “ไม่กล้าหรอก ชอบใครก็ลั๊นลาไปเรื่อย ผมไม่ได้ตายด้านนะ เพียงแต่รู้สึกว่าเราเป็นอิสระเกินกว่าที่จะคบใคร”
ดวงตาสีเข้มหลังแว่นตาหนาหันมามอง “นั่นรวมถึงผมด้วยหรือเปล่า”
ตุ้มหันไปมองแสงไฟจากที่อาคารร้านค้าห่างไกลออกไป “เราคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว”
เขียนพยักหน้า “คุณบอกว่าผมเป็นคนพูดจาเข้าใจยากต้องแปลตลอด ไม่อยากคบกับผม แต่ผมว่าวันนี้คนที่พูดแล้วต้องแปลคือคุณ ไม่ใช่ผม”
“ยังไง” ตุ้มหันมาถาม
“เพราะผมรู้สึกเหมือนคุณกำลังบอกรักผม แต่ก็บอกเลิกผมด้วยในเวลาเดียวกัน ผมควรทำยังไง”
ตุ้มยิ้มอ่อน เอนตัวลงพิงไหล่กว้าง “ไม่ต้องทำอะไรเลย” แต่เพราะอีกคนยังนิ่งเงียบทำให้ตุ้มทำตาออดอ้อน “ตอนนี้คุณหล่อกว่าเขาตั้งเยอะ”
เขียนหัวเราะเหมือนพ่นลมออกจมูก ขณะที่ส่ายหน้า
...บอกรักพร้อมกับบอกเลิก คิดแล้วเชียวว่าอยู่ใกล้คนนี้แล้วต้องมีอาการไปไม่เป็นทุกที...
เกือบสองทุ่ม ตุ้มเดินมาเคาะประตูห้องทอรุ้งบอกว่าจะกลับแล้ว
“ไม่ค้างหรือ” คนที่ถามคือคนตัวโตสวมแว่นที่นั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์อยู่ที่โต๊ะกินข้าว
ตุ้มส่ายหน้า “ไม่อะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ผมก็ต้องเก็บผ้าซัก ทำความสะอาดห้องเหมือนกันนะ”
คนตัวโตพับหนังสือพิมพ์ “งั้นผมไปส่ง คุณไม่ได้ขับรถมาใช่มั้ย”
“เปล่า คอนโดฯ นี้ต้องเสียค่าที่จอดรถ ไม้งั้นก็ต้องจอดริมถนน ผมเก็บรถไว้หอพักของผมดีกว่า”
เขียนหันไปหาทอ ให้โทรถามวาดว่ากินข้าวเสร็จหรือยัง เพราะพี่จะไปส่งตุ้ม
“ไม่เป็นไร ผมกลับเองได้”
ความเงียบเข้าปกคลุมตุ้มกับเขียนอีกครั้ง จนกระทั่งเขียนจอดรถที่หน้าแมนชั่น ถึงได้ถาม
"คุณอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ"
"ใช่"
"งั้น...."
ตุ้มรีบหันมาชี้ "หยุดนะ อย่าพูดต่อ"
เขียนหัวเราะหึหึเหมือนกำลังประชด "นี่ผมโดนฟันแล้วทิ้งจริงๆ หรือวะเนี่ย"
ตุ้มฟาดที่ต้นแขนใหญ่ "บ้า พูดน่าเกลียด"
"ก็จริงนี่ ทั้งผม ทั้งคนแรกของคุณไม่ได้ต่างกันเลย"
"ต่างกันสิ" ตุ้มเถียงแล้วหันไปมองหอพักอีกครั้ง "อย่าคิดเยอะ อย่าเติมเรื่องเอง เก็บสมองไว้เครียดกับงาน กับน้องๆ ของคุณดีกว่า"
"ผมไม่ได้เครียด" เขียนจับข้อมือตุ้มไว้ "ผมจำได้ว่าเราตกลงอะไรกันไว้ แต่ผมก็อยากให้คุณจำไว้ว่า คุณมีผมอยู่อีกคน"
ตุ้มยิ้มกว้าง แล้วเปิดประตูก้าวลงไปจากรถ
แต่ที่ห้องคอนโดฯ กรีน ของ 3 พี่น้องตอนนี้ วาดกำลังทำตาโต ฟังทอรุ้งเล่าเรื่องอย่างออกรส ท่าทางตั้งใจมาก จนศรัยต้องหลุดขำ
"ขำตรงไหนน่ะ" วาดหันมาถาม
"ขำวาดน่ะแหละ เรื่องของเขียนกับตุ้มเราก็เห็นว่ามันมีความคืบหน้ามาเรื่อยๆ แต่วาดกลับทำเหมือนไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน"
"เรื่องพี่ห้องฝั่งโน้นไงที่ไม่เคยรู้ เซอร์ไพรซ์สุด" ทอช่วยน้องชายคนเล็ก "ตอนหนูแอบฟังพี่เขาคุยกัน หนูยังร้องโว้ยเฮ้ย อะไรกัน หรือพี่รู้คะ"
"ไม่รู้หรอก แต่มันก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย แต่ละคนอยู่มาจนขนาดนี้ ตุ้มเองมันก็มนุษยสัมพันธ์ดี มันก็ต้องมีคนที่เคยแอบชอบ คนที่เคยคบกันเป็นเรื่องปกติ แต่ตุ้มมันไม่ได้มีอะไรกับเขาแล้วไม่ใช่หรือ"
"รู้ได้ไงว่าไม่มีอะไร" ทอรุ้งถาม
"ตุ้มเดินกลับมากับใคร มันไปทำเป็นปรับความเข้าใจกับทางโน้นหรือเปล่า ก็เปล่า มันกลับเดินมาที่ห้องนี้ แล้วก็คุยกับเขียน"
2 พี่น้องหันมามองหน้ากันแล้วเปลี่ยนเป้าหมายมาถามศรัย "งั้นแสดงว่าพี่ชายของเรามีภาษีดีกว่าใช่มั้ยคะ"
ศรัยพยักหน้า "ก็ใช่น่ะสิ ถึงตุ้มมันจะชอบพูดว่ามันเหมาะที่จะอยู่เป็นโสด แต่เท่าที่เห็นมา มันก็มีแต่พี่ชายเรา 2 คนน่ะแหละ ที่มันเดี๋ยวงอนเดี๋ยวง้อ สงสัยอะไรกัน"
"ผมไม่อยากเห็นพี่เขียนผิดหวังอีก" วาดพูดตรงๆ ทำให้ศรัยนึกถึงเรื่องที่วาดเคยบอกว่า ทั้งเขียนทั้งศรัยเวลาอกหักแล้วอาการสาหัส
ศรัยยกมือจะหยิกแก้ม แต่พอเห็นสายตาของทอรุ้งที่มองมา ก็ต้องเปลี่ยนทิศทางมากอดอก "เรื่องนั้นเขียนคิดเองได้หรอกน่า ว่าแต่เรา 2 คนเถอะ"
"เรา 2 คนอะไร หนูต้องกลับเข้าไปเก็บตัวอยู่ในห้องอีกหรือเปล่า" ทอรุ้งถามดัก
ศรัยลุกขึ้นยืนเปลี่ยนเรื่องทันทีเหมือนกัน "ไม่ต้องหรอก พี่ไปดูไอ้ปชาก่อน สัก 3 ทุ่มจะแวะมาดูอีกที"
พอศรัยออกไปจากห้อง วาดก็หันมาถามพี่สาว "ผมทำให้พี่ลำบากใจหรือเปล่าฮะ"
"ไม่นี่ ดูเป็นครอบครัวดีออก"
แต่วาดยังเป็นกังวล "จริงนะ ถ้าพี่เขียนมีพี่ตุ้ม แล้วผมไปเที่ยวกับพี่ศรัยแบบนี้ พี่ไม่เหงาแน่นะ"
"โอ๊ย....จะเอาเวลาตอนไหนมาเหงา" ทอรุ้งทำเสียงเว่อร์ "ลุ้นพี่เขียนให้ไปรอด กับลุ้นแกให้พูดอะไรก็ได้ออกมาสักคำ ฉันจะเหงาตอนไหน"
วาดทำหน้ายุ่ง "ก็จริงนะ พี่ทอ ผมไม่อยากให้พี่เขียนอกหักอีก แต่พี่ตุ้มก็ดู..."
ทอรุ้งพยักหน้าเห็นด้วยกับน้องชาย แล้วหันไปเปิดคอมพิวเตอร์ "ไม่รู้นะ ในมุมของฉัน ถึงเขาจะทะเลาะกันบ้าง นั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ บ้างแต่มันก็ดีกว่าให้พี่เขียนติดอยู่กับผู้หญิงแย่ๆ อย่างแม่วาวานั่น"
"แต่ผมว่าพี่เขียนตัดใจได้แล้วนะ"
"ตัดใจได้ แต่ถ้าต้องเจอกันบ่อยๆ มันน่ารำคาญ"
"รู้ได้ไงว่าเขาเจอกันบ่อยๆ น่ะ"
"ก็เขาแต่งงานไปกับคนในบริษัทเดียวกันแบบนั้น พี่เขียนจะหลบไปทางไหน นอกจากลาออก"
แต่วาดไม่เห็นด้วย "ทำไมต้องหนีขนาดนั้น ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่"
"ก็เออ คิดแบบแกไง แต่สำหรับฉันน่ะ ยายวาวานั่น น่ารำคาญจะตาย"
"โธ่เอ้ย...พูดมาตั้งนาน ตัวเองไม่ใช่พี่เขียนสักหน่อย เขาคงมีเหตุผลของเขาแหละ ที่ไม่ย้ายงานน่ะ หรือไม่ เขาคงไม่ได้เจอกันบ่อยอย่างที่เราคิดก็ได้" วาดพูดแล้วเปิดประตูเข้าห้อง แต่ทอรุ้งรีบหันมาเรียกไว้
"เดี๋ยวนะ เรากำลังหลงประเด็นหรือเปล่า"
"ยังไง"
"เรากำลังพูดถึงความรักครั้งใหม่ของพี่เขียนใช่มั้ย แล้วเราเอาอดีตมาพูดถึงทำไม"
วาดอาบน้ำเปลี่ยนเป็นเสื้อยืดตัวหลวมโคร่งกับกางเกงนอน เดินออกมาดูพี่สาวเห็นยังคุยแชทอยู่ แต่พี่ชายยังไม่กลับมา ก็เลยคว้าหนังสือการ์ตูนมานอนอ่าน สักพักทอรุ้งก็ลุกเข้าห้องไปอาบน้ำ ตามมาด้วยเขียนที่เข้าห้องมาได้ก็ตรงดิ่งไปห้องนอน วาดก็เลยปิดโทรทัศน์ จะเข้านอนบ้าง แต่กลับมีเสียงเคาะประตูห้อง
"ฮะ" วาดเปิดประตูห้องแล้วบอกทันที "พี่เขียนกลับมาแล้ว ผมกำลังจะเข้านอนแล้วฮะ"
"ดีแล้ว ตกลงพรุ่งนี้จะไปกินข้าวบ้านพี่หรือเปล่า"
วาดส่ายหน้า "ผมยังไม่พร้อม"
"ไม่เป็นไร คืนนี้พี่จะกลับบ้าน พรุ่งนี้พี่ไม่มาเจอกันเช้าวันจันทร์เลยนะ"
"ฮะ"
"แล้วจะโทรหานะ"
"ฮะ" วาดจะปิดประตูห้องแต่ศรัยกลับยังคงยืนนิ่ง "มีอะไรหรือเปล่าฮะ"
ศรัยยกยิ้มมุมปาก ดึงข้อมือผอมเข้าไปในห้องนอนเล็ก ปิดประตูแล้วผลักให้ร่างผอมบางลงนอน ริมฝีปากสวยตามประกบจูบดูดริมฝีปากแรงจนอีกฝ่ายส่งเสียงท้วงถึงได้ยอมปล่อย
"จูบไงเนี่ย เจ็บอะ" คนบ่นปากแดงจัด ก้มหน้างุด ส่วน 2 มือก็ดันไหล่กว้างไว้ จนศรัยต้องดึงออกไปกดรวบไว้
วาดรู้สึกเหมือนหัวใจกระตุกแรง กะพริบตามองใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาหาแล้วกดจูบ ดูดไล้ริมฝีปาก ค่อยละเลียดลิ้นผ่านแนวฟันสวยบดเบียดลิ้นเข้าหา
วาดหลับตา กลั้นหายใจ แทบไม่กล้าขยับตัว
มือใหญ่แตะที่เอวบาง แทรกมือใหญ่เข้าใต้เสื้อนอน
วาดลืมตาโพลงแล้วหลับตาแน่น พยายามโก่งตัวหนีมือใหญ่ที่เลื่อนมาสัมผัสราวนม แล้วแตะที่ยอดอก
ร่างกายผอมบางเริ่มสั่นไหว ศรัยเลื่อนจูบที่พวงแก้มระเรื่อยขบที่ใบหู แต่อาการสั่นกลับยิ่งรุนแรงขึ้น
รับรู้ถึงหยาดน้ำตารสปร่า
“วาด วาดครับ”
ศรัยพลิกตัวม้วนกอดวาดไว้แน่น “วาด อย่าร้อง อย่าร้อง พี่ไม่ทำแล้ว ขอโทษๆ”
แต่วาดกลับยิ่งสั่นแรงกว่าเดิม น้ำตาหลากท่วม เพียงแต่ไม่มีเสียงสะอื้น
“วาด วาด อย่าร้องไห้ พี่ขอโทษ”
ประตูห้องนอนเปิดออก เขียนกับทอรุ้งก้าวเข้ามาในห้อง “วาดเป็นอะไร ทำไมตัวสั่นอย่างนั้น”
เขียนก้าวเข้ามาจะดึงน้องชายออก แต่วาดกลับดึงเสื้อศรัยไว้แน่น
“วาด แกเป็นอะไร”
วาดได้แต่ส่ายหน้าขดตัวอยู่ในอ้อมแขนของศรัย
ทอรุ้งเช็ดน้ำตาของตัวเอง แล้วลูบผมน้องชาย “ไปหาหมอมั้ย”
“ไม่ ผม ไม่ เป็น ไร”
“ไม่เป็นไรก็อย่ากลัว”
“ไม่ กลัว”
“งั้นก็ปล่อยมือจากเสื้อพี่ศรัย ให้พี่เขากลับบ้าน”
ทอรุ้งหันมาบอกศรัย “หนูจะออกมาปิดไฟ เลยจะมาเคาะถามวาดว่าจะนอนหรือยัง ได้ยินเสียงพี่เรียกวาด เหมือนตกใจ หนูไม่รู้ทำไง ก็เลยไปตามพี่เขียน”
ศรัยพยักหน้าเข้าใจ
วาดคลายมือออกจากเสื้อพี่ รู้สึกเหมือนมือเป็นตะคริว ศรัยบีบนวดให้เบาๆ “คนเก่งไม่เคยกลัวอะไรใช่มั้ย”
“ใช่” วาดรับคำทันที จนแม้แต่ทอรุ้งยังต้องหันไปสบตากับเขียน
พี่ชายคนโตก็เลยออกคำสั่ง “เมื่อแกไม่เป็นไร งั้นก็นอนซะ ให้ทออยู่เป็นเพื่อน เพราะฉันต้องคุยกับศรัย”
“พี่อย่าชกพี่ศรัยนะฮะ ผม...ไม่ดีเอง...”
“ไม่ใช่หรอกน่า” ศรัยก้มลงจูบหน้าผากสวย ไม่ได้สนใจอีก 2 คนที่อยู่ในห้อง
“พี่ไม่ชกพี่ศรัยของแกหรอก แต่มีเรื่องต้องคุยกัน” เขียนเดินนำไปที่ประตูห้อง
ส่วนศรัยหันมาบอกวาด “วันจันทร์พี่มานะครับ”
เมื่อออกมายืนอยู่กลางห้องโถง เขียนหันมาบอกกับศรัยตรงๆ
“อย่าโทษตัวเอง เราทุกคนทำให้เขาเป็นแบบนั้น เพราะผมไม่เคยให้เขาตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง เพราะผมไม่เคยสมหวังในรัก ไม่เคยเป็นตัวอย่างที่ดีว่าเวลาที่มีรักแล้วมีความสุขเป็นอย่างไร เขาชอบคุณ”
“แต่ก็กลัวผิดหวัง เขาเองก็กลัวว่าจะทำให้ผมผิดหวัง กลัวความรัก”
“ให้เวลาเขาหน่อยนะ อย่าเพิ่งปล่อยมือจากน้องของผม ถ้าเมื่อไหร่ที่ไม่รักเขาแล้วก็.....”
“ไม่มีวัน คุณไม่รู้หรอกว่า ผมมองเขาพร้อมไปกับการด่าตัวเองว่า ผมไม่ควรมองเขา ผมรู้ว่าผมเริ่มต้นกับเขาได้ไม่ดีนัก แต่เขาคือคนที่ผมมองหามาตลอด ผมจะปล่อยมือจากน้องคุณได้ยังไง” ศรัยยิ้มมุมปาก “มีแต่จะยิ่งฉวยโอกาสกอดไว้แน่นๆ ไม่ให้ไปไหนสิไม่ว่า”
==========จบตอนที่ 15=======แหะๆ คนสายวันนี้คึือผม ไม่ใช่ป๋า
แก้คำผิดหมดหรือเปล่าไม่รู้ ถ้ายังมีหลุดไปโปรดบอก
ป๋าไม่อยู่ มีภารกิจเร่งด่วน เหน็บผมใส่เอวมาโรงเรียนแล้วก็กระโดดขึ้นฟ้า
เฮียเขียน-เพืิ่อนตุ้มไม่มาม่า แต่เพื่อนตุ้มมันซ่ืาต่างหาก
พบกันวันสีม่วงเหมือนรอยที่แขนป๋า 5555
อ่านท้ายเรื่องไม่เข้าใจ อย่าสงสัย เพราะผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผมจะเขียนเหมือนโน้ตของป๋าแบบนี้ไปทำไม
แต่ถ้าคุณอ่านแล้วเข้าใจ แสดงว่า ต่อไปคุณจะอ่านลายแทงของป๋าผมรู้เรื่อง
ทีครับ