มาแล้วครับ ขอบคุณมากนะครับสำหรับทุกคอมเมนต์เลย
ไม่รู้จะขอบคุณยังไงดี +1 ให้หมดใจเลยนะ ฮิ้วววว...
ตอนต่อไปเลยแล้วกันครับ มาถึงตอนที่ 27 แล้ว ไปไวเหมือนกันแฮะ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 27แสงแห่งวันชุบชีวิตในตลาดสดแห่งนี้ให้กลับมาสดใสอีกครั้ง ผู้คนเริ่มทยอยมาจับจ่ายใช้สอยข้าวของอาหารสดต่างๆ ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบจนตลาดดูคึกคัก ที่แผงของคะน้าก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าไข่ไก่สดๆ จากฟาร์มที่ได้มาใหม่จะค่อนข้างคุณภาพดี ไอศกรีมไข่แข็งที่คะน้าประยุกต์ขายจึงได้รับผลตอบรับดีจนหมดไวกว่าทุกวัน มะพร้าวอ่อนที่แผงก็เลยพลอยขายดีไปด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการตลาดได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการใส่ใจในคุณภาพของข้าวของในตลาดมากขึ้น เจ๊เป็ดที่เริ่มหันมาขายผักปลอดสารพิษก็ดูจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพ่อค้าแม่ขายอื่นๆ หันมาปรับปรุงคุณภาพสินค้าของตนยิ่งกว่าเดิม เรียกว่าสู้กับห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ได้อย่างไม่อาย หลายๆ อย่างเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น (ไม่นับผมทรงใหม่ของสายใจที่เจ้าตัวโฆษณาว่าสวยใสไม่แพ้ตั๊กแตน ชลลดา แต่ทุกคนกลับลงความเห็นว่าออกแนวซีเนียร์แบบตั๊ก มยุรามากกว่า)
“ถ้าทุกวันมันคึกคักแบบนี้ก็ดีนะจ๊ะเจ้เป็ด จะหมดแผงแล้วเนี่ย” คะน้าที่มาช่วยเจ๊เป็ดขายผักที่แผงข้างๆ หันไปคุยกับเจ้าของแผง
“วันเงินเดือนออกก็แบบนี้ล่ะ แต่ถ้ามันได้แบบนี้ทุกวัน แม่จะถอยทองสักสลึงเลยคอยดู” หญิงสาววัยแตะห้าสิบยิ้มอย่างมีความสุขจนคะน้าเพลินจนยิ้มตามไปด้วย “ขอบใจเอ็งที่มาช่วยนะคะน้า เอ็งนี่มันทั้งมีน้ำใจ ทั้งขยันขันแข็งเหมือนพ่อเอ็งไม่มีผิด”
“จริงเหรอจ๊ะเจ๊”
“ข้าไม่ได้แก่จนจำอะไรไม่ได้หรอกนะ เอ็งสองคนน่ะ โตขึ้นมาแล้วนิสัยเหมือนพ่อเอ็งไม่มีผิด แต่เอ็งกับผักกาดมันได้ตาใสๆ กับยิ้มหวานๆ แบบแม่ของเอ็ง เผลอไปแผล็บเดียว ดูสิ ไอ้เด็กที่วิ่งซนไปทั้งตลาด โตเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีไปซะแล้ว”
“เพราะได้เจ๊ช่วยป้อนข้าวฉันหรอกจ๊ะ ไม่งั้นก็ไม่โตหรอก” ชายหนุ่มยิ้มแป้นให้กับหญิงสาวที่เค้าคุ้นตามาตั้งแต่เด็กๆ
“เอ็งนี่มันปากหวานนะ” เจ๊เป็ดหัวเราะด้วยความชอบใจระคนไปกับความเอ็นดู “เอ๊า เอาไปแบ่งกันกิน ผักปลอดสารพิษ กินแล้วแข็งแรง”
“โห เจ๊เป็ดเก็บไว้ขายเถอะจ๊ะ” คะน้าส่ายหน้าไหวๆ ด้วยความรู้สึกเกรงใจ
“เอ็งเอาไปกิน อย่าขัดใจคนแก่สิวะ”
“งั้นฉันซื้อเจ๊นะ” เกรงใจกับของซื้อของขาย
“ข้าโกรธจริงๆ นะ ดูถูกน้ำใจกัน” เจ๊เป็ดส่งเสียงฉุน “น้ำใจคนมันตีค่าด้วยเงินไม่ได้ ข้าเองก็เป็นหนี้บุญคุณพ่อกับแม่เอ็งที่ช่วยเหลือจนตีค่าเป็นเงินทองไม่ไหว และพ่อแม่เอ็งก็ไม่เคยคิดจะรับไว้อีกต่างหาก แค่น้ำใจแค่นี้ เอ็งรับไปนะ ให้คนแก่อย่างข้าได้ชื่นใจ”
“งั้นเจ๊เป็ดแบ่งไข่ไก่ฉันไปนะ วันนี้ฟองโต สดๆ เลย”
คะน้ารีบคว้าไข่ไก่จากแผงตัวเองใส่ถุงแล้วส่งให้ ไม่เพียงแต่ผักสดๆ ที่คะน้าได้รับจากเจ๊เป็ดเท่านั้น น้ำใจของคนในตลาดแห่งนี้เผื่อแผ่ถึงกันและกันราวกับคนในครอบครัวใหญ่ๆ ที่รักใคร่กันมานาน คะน้าได้รับหมูสับเกือบกิโลจากเฮียตี๋ ปลาทูนึ่งตัวโตๆ จากบังอร แม้แต่แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากรายจากเจ๊เมาท์ที่ขายแกงถุง ไข่ไก่และมะพร้าวน้ำหอมจำนวนไม่น้อยแลกเปลี่ยนอัธยาศัยให้กันและกัน เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทุกๆ วันจนคะน้ารู้สึกผูกพันกับทุกๆ คนเหมือนเพื่อนฝูง เหมือนคนในครอบครัว
“ขอโทษนะคะ พี่คะน้ายุ่งอยู่หรือเปล่าคะ” เสียงเรียกใสๆ จากด้านหลังทำให้พ่อค้าหนุ่มหันกลับไปมอง เมื่อเจอต้นเสียงก็ชะงักไปจนปั้นหน้าไม่ถูก ถึงอย่างนั้นคะน้าก็ยิ้มให้ด้วยไมตรี
“สวัสดีครับน้องแนน วันนี้มาเดินเล่นที่ตลาดเหรอครับ” ใบหน้าของหญิงสาวดูมีเลือดฝาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เธอยิ้มให้กับคะน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก
“พี่คะน้าขายอะไรบ้างคะ แนนอยากอุดหนุนจังเลย” ร่างบางกวาดสายตามองไปรอบๆ แผงด้วยความตื่นตาตื่นใจ หากแต่เสียงของผู้หญิงอีกคนที่คิดว่าสวยไม่ด้อยไปกว่าใครนั้น ตอบคำถามแทนคะน้าเสร็จสรรพ
“โหมะแล้!” จันทูเดินอาดๆ มาหาคะน้าแล้วควงแขน “วานี้ขาโหมะแล้ ม่ามีขา จาซื้ออาราเก๊าะมาวาหลางงง...”
ดูเหมือนว่าแนนจะผงะจนไปต่อไม่ถูกเมื่อเจอจันทูเข้าไป จนคะน้าต้องส่งเสียงดุผู้ช่วยชาวพม่า แต่เจ้าตัวดูจะไม่สะทกสะท้านอะไร ซ้ำยังส่งสายตาเขม่นไปที่หญิงสาวอีกคนอย่างกับจะให้เป็นผุยผงในพริบตา
“แนนมารบกวนพี่คะน้าหรือเปล่าคะ”
“โร๊ะกัว! โคนเค้าจาขายขอ ทำมาค้าขา” เป็นจันทูอีกครั้งที่ตอบแทนคนที่ถูกถาม
“เออ ไม่หรอกครับ น้องแนนมีอะไรหรือเปล่าครับ” หลังจากปรามจันทูแล้ว คะน้าก็หันไปตอบหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าแผงด้วยอาการหวาดๆ ดูเหมือนแนนจะรู้สึกเกรงใจและทำตัวไม่ถูก หญิงสาวจึงเอ่ยขอร้องบางอย่างกับคะน้า
“คือแนนขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมคะ เอ่อ... หมายถึงส่วนตัวน่ะค่ะ” คะน้าพยักหน้ารับ พอเข้าใจว่าแนนต้องการพูดเรื่องอะไร และก็คงไม่เหมาะที่จะยืนอยู่ตรงนี้ เขาไม่อยากหนีปัญหา อะไรที่พอปรับความเข้าใจกันได้ คะน้าก็ไม่ลังเลที่จะทำ
“คนนั้นน่ากลัวจังเลยนะคะ เค้าเป็นใครเหรอ” แนนเอ่ยขึ้นอีกครั้งหลังจากที่คะน้าปลีกตัวออกมาเดินด้วย
“อ้อ จันทูน่ะ เป็นผู้ช่วย เค้าก็เป็นคนดีนะ ไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก” เขาตอบตามความเป็นจริง ภายนอกจันทูอาจจะดูเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาไม่ได้ถูกกับประชานิยมทั่วไป แต่เนื้อแท้แล้ว คะน้ารู้ดีว่าผู้ช่วยพม่าคนนี้ของเขาเป็นคนรักดี เอาการเอางาน และไว้ใจได้
“แนนไม่ค่อยมีโอกาสมาเดินตลาดสดเลยค่ะ รู้สึกตื่นตาจัง พี่คะน้าพาแนนเดินหน่อยได้ไหมคะ” ดูเหมือนว่าแนนจะไม่ได้สนใจฟังคำตอบอะไรกับคำถามที่ตนตั้งขึ้นมาเท่าไหร่ หญิงสาวเดินมองไปรอบๆ ตัวราวกับเดินในสถานที่แปลกใหม่ ไม่คุ้นเคย
คะน้าพาแนนเดินไปเรื่อยๆ ตามทางเดิน เขาเองก็ไม่รู้จะพาเดินไปไหน การเดินในตลาดดูจะเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะกับที่คุยเท่าไหร่ แต่คะน้ายังจำเหตุการณ์ครั้งก่อนไม่หาย ถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากอยู่ในที่ที่มีคนเยอะๆ แบบนี้
“เอ่อ... เรื่องเมื่อวันนั้น แนนขอโทษนะคะ แนนไม่น่าดื่มเลย เวลาแนนเมา แนนไม่รู้สึกตัวเลย แนนทำอะไรแย่ๆ ไปหรือเปล่าคะ จำไม่ได้จริงๆ” จู่ๆ หญิงสาวก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สลด คะน้าหันไปมองหน้าของแนน แววตาคู่นั้นดูหมองเศร้าจริงๆ หม่นจนเขาก็ไม่รู้จะตำหนิอะไรเธอ ลำพังแค่นี้ คะน้าก็รู้สึกว่าแนนเองก็คงรู้สึกไม่ดีกับการกระทำของตัวเองไปแล้ว
“ถ้าแนนทำอะไรที่พี่คะน้าไม่ชอบลงไป แนนขอโทษพี่ด้วยนะคะ พี่คะน้าไม่โกรธอะไรแนนใช่ไหมคะ”
ไม่มีใครบนโลกนี้สมบูรณ์แบบ และไม่เคยทำเรื่องผิดพลาด คะน้ารับรู้ในความจริงข้อนี้ดี แม้ว่าถ้อยคำหรือการกระทำในคืนนั้นจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาร้สึกไม่ดีเป็นอย่างมากก็ตาม หากแต่เมื่ออีกฝ่ายสำนึกในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจากใจจริง ตัวเขาเองจึงยินดีให้อภัย
“เอ่อ... ครับ ไม่เป็นไรครับ”
“พี่คะน้าใจดีจังเลยค่ะ” แนนมีสีหน้าที่สดชื่นขึ้น แต่ก็เพียงครู่เดียว ดวงตาที่เคยสุกใสราวกับตาของกวางตัวน้อยๆ ก็หมองลงอีกครั้ง “เอ่อ... จะเป็นอะไรไหมคะ ถ้าแนนจะขอรบกวนพี่อีกอย่าง” คะน้าหันมามองใบหน้าของหญิงสาวด้วยความสงสัย
“พี่อย่าบอกเรื่องที่แนนเมา หรือแม้แต่ที่แนนทำอะไรไปวันนั้นกับพี่ทิมได้ไหมคะ แนนจำไม่ได้ว่ามีแนนทำอะไรลงไปบ้าง แต่แนนเดาว่ามันก็คงไม่ดีเท่าไหร่” ร่างเล็กมีสีหน้าลำบากใจ ดวงตาคู่นั้นเริ่มรื้นไปด้วยน้ำตา
“พี่คะน้าคะ ถึงแม้ว่าแนนจะรู้ว่าแนนไม่สมควรมาขออะไรพี่แบบนี้ แต่พี่คะน้าก็รู้ใช่ไหมคะ ว่าถ้าพี่ทิมรู้เรื่อง แนนจะเป็นยังไง แนน... แนนกลัวค่ะ” ไหล่ที่ไหวเบาๆ ทำเอาเขาทำอะไรไม่ถูก คะน้าพยายามควานหาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงตัวเองส่งให้ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าลืมไว้ที่แผงผักตอนที่ไปช่วยเจ๊เป็ดขายของ ลงท้ายชายหนุ่มได้แต่ยืนเก้ๆ กังๆ เพราะไม่รู้จะปลอบประโลมหญิงสาวอย่างไร
“อ่อ... ครับ คือพี่ก็เข้าใจครับ พี่สัญญาว่าจะไม่พูดอะไร น้องแนนวางใจนะ” เธอปาดน้ำตาที่ซึมออกมาจนปริ่มนั้นออกพร้อมใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม เห็นแบบนั้น คะน้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้น
“ขอบคุณพี่คะน้ามากนะคะ พี่ใจดีกับแนนมากเลย แนนไม่รบกวนเวลาพี่คะน้าดีกว่าค่ะ แล้ววันหลังแนนจะแวะมาอุดหนุนให้ได้เลยค่ะ แนนสัญญา”
“อ้อ... ครับๆ ขอบคุณมากครับ”
ว่าแล้วร่างเล็กๆ ของหญิงสาวก็กลืนหายไปกับผู้คน คะน้าไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปนั้นถือว่าเป็นเรื่องโง่งี่เง่าหรือเปล่ากับการยอมอะไรใครง่ายๆ หรือแม้แต่ยกโทษอะไรง่ายๆ ด้วยคำพูดเพราะๆ ไม่กี่คำ การผูกใจเจ็บ คิดร้ายนั้นไม่ยากเลย แต่ใจของตัวเราเองคงร้อนเหมือนไฟไม่มีที่สิ้นสุด และคะน้าไม่อยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้น ไม่อยากให้ร้อนรนกับความโกรธแค้นไม่จบไม่สิ้น มันผ่านไปแล้ว เขาเองก็ไม่ได้ถึงกับเสียหายอะไร ยกโทษให้ได้ คะน้าก็ยินดี ...อย่างน้อยก็ให้มันจบๆ กันไป
เย็นวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ทิมได้มาบ้านของเขาอีกหลัง ชายหนุ่มขันอาสาที่จะเป็นธุระช่วยย้ายข้าวของของคะน้าไปที่คอนโด ความที่มีสมบัติไม่ได้มากมายอะไรแบบใครเขา การขนย้ายของจึงดูเป็นเรื่องที่ไม่สาหัสเกินไปสำหรับชายหนุ่มสองคนจนไม่ต้องพึ่งพาบริษัทช่วยขนย้าย
อารามที่ไม่ได้อยู่อาศัยมาสักพักและความคร้านจะทำความสะอาด บ้านที่ดูอบอุ่นจึงมีสภาพไม่ต่างกับโกดังเก็บของเก่าๆ ฝุ่นผงดูจะเป็นปัญหาที่เอาเรื่องกับการขนย้าย เชิ้ตสีขาวถูกกำจัดออกไปจากร่างกายของทิม และไม่นานเสื้อยืดของคะน้าก็เช่นกันเมื่อคราบสีดำๆ ทิ้งตัวเป็นปื้นขนาดใหญ่พาดกลางตัว
อีกปัญหาที่ดูไม่น่าจะเป็นเรื่องแต่กลับเอาเรื่องยิ่งกว่าฝุ่นที่เขรอะไปทั่วบ้านเป็นไหนๆ ก็คือร่างสูงที่ขนย้ายข้าวของอยู่ระยะประชิดในพื้นที่กะทัดรัดของห้องรับแขกนี้ บ่อยครั้งที่คะน้าเผลอมองทิมที่ส่วนบนของร่างกายขยับตัวไปมาอย่างอิสระ ...ยอมรับทั้งๆ ที่กระดากปาก น่ามองจนไม่อยากละสายตา
“เป็นอะไร ดูเหม่อๆ”
“เปล่านี่” ตอบไปแบบแกนๆ แล้วเฉไฉลงนั่งพักให้หายเหนื่อย ทิมเดินตามมานั่งใกล้ๆ คะน้ายอมรับว่าเสมองไปอีกทางเพื่อจงใจเลี่ยงภาพที่เห็นในระยะประชิด
“เหนื่อย?”
ทิมยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วเอียงมอง ดวงตาคู่นั้นตั้งคำถามด้วยความสงสัย คะน้าเบนสายตาเลี่ยงไปด้านข้างทันที
“พักหน่อยน่ะ”
อันที่จริงเขาไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไรมากมาย ออกจะสบายด้วยซ้ำ เมื่อกล่องที่ใส่ของมีน้ำหนักมากๆ ทิมจะเป็นคนแย่งที่จะขนไปเรียงไว้หน้าบ้านเสียหมด ส่วนเขาเองได้แต่ขนข้าวของทั่วไปที่มีน้ำหนักเบา ทิมถูฝ่ามือกว้างของตัวเองกับขากางเกงไปมาหลายครั้งแล้วยกขึ้นมา ค่อยๆ ปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ทั่วใบหน้าของคะน้าออก แม้จะสะดุ้งกับสัมผัสที่เอาใจใส่เกินกว่าจะคาดคิด แต่คะน้าก็นั่งนิ่งๆ ให้ทิมเช็ดออกแต่โดยดี ...แล้วต่างฝ่ายก็ได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
ในวินาทีที่เชื่องช้าและยาวนาน ใจของคะน้าวิ่งวนอยู่กับความคิดแปลกๆ จนสลัดไม่หลุด ณ ห้วงเวลานั้น คะน้าตอบไม่ได้ว่าความกระสับกระส่ายแปลกๆ นี้คือการเล่นกลสารพัดสารพันของจิตใจตัวเอง หรือแท้จริงนั้นคือการเพรียกหาความปรารถนาอันคุ้นเคยจากสัมผัสคนที่นั่งอยู่ข้างๆ สายลมกรีดกรายผ่านความเงียบเข้ามากระทบผิวที่ร้อนผ่าวไปด้วยการใช้กำลัง หยดน้ำเล็กๆ ยังคงซึมผ่านแผ่นอกออกมาเพื่อระบายความร้อนของร่างกาย เส้นสายของมันทิ้งตัวลงช้าๆ ไปทั่วแผ่นหลังจนสะท้อนแสงวาว ร่างของคะน้าหอบ ไม่รู้ว่าเหนื่อย หรือเพราะหัวใจที่เต้นจนร่างกายมันไหวตาม หัวไหล่คนนั่งข้างเบียดบดเข้ามาใกล้ ในใจของคะน้าเต้นระรัวราวกับต้องมนตร์
...แล้วทิมก็จูบลงบนริมฝีปาก
คลอเคลีย รุกเร้า ท่วมท้น ...แต่นั่นดูจะไม่เพียงพอ คะน้าค่อยๆ ขยับตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีก ใบหน้าถูกตระกองขึ้นด้วยฝ่ามือของคนที่อยู่ตรงหน้า สัมผัสที่ยั่วเย้าดึงดูดเขาจนคล้ายกับแมลงที่โผบินเข้าสู่เพลิงที่โชนแสง หยุดหายใจ และตอบรับสัมผัสนั้นราวกับโบยบินอยู่บนก้อนเมฆ เพียงไม่นานความหอมหวานนั้นก็ผละจาก ไม่มีท่าทีจนคะน้าปรับความรู้สึกไม่ทัน ทิมหายใจฟืดฟาด ร่างกายแดงก่ำและสะเทือนไหวราวกับสูบฉีดไปด้วยอะดรีนาลีน
“ใส่เสื้อได้ไหม”
“หืม?”
“ผมจะไม่ไหวเอาว่ะพี่”
ทิมบริภาษด้วยความรู้สึกต่างๆ คละเคล้ากันไป คำพูดตรงไปตรงมาและแววตาที่จ้องมองด้วยความไหวสะท้านนั้น แม้เพียงชั่วขณะ ก็เนิ่นนานพอจะทำให้หัวใจของคะน้ากระตุกเต้นรัวเหมือนถูกฉีดปั๊มด้วยเครื่องอัดอากาศขนาดใหญ่ ทิมคว้าเสื้อตัวเองขึ้นมาคลุมหัวคะน้า ออกคำสั่งกำชับ
“นั่งเฉยๆ เดี๋ยวทำเอง”
แล้วคะน้าก็ได้แต่ดูร่างสูงตรงหน้าขนของไปมาราวกับเครื่องจักรที่ไม่รู้ความเหน็ดเหนื่อย พอจะเอี้ยวตัวไปคว้าฉวยอะไรขึ้นมายก สายตาเขม่นคู่นั้นก็ตรึงฝ่ามือทั้งสองข้างและปลายขาให้คงที่ เรื่องง่ายๆ กลายเป็นเรื่องยาก แต่ดูเจ้าตัวที่ออกแรงจนหอบแฮ่กจะสบายใจกว่าที่ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ทิมทิ้งตัวลงข้างๆ คะน้าบนโซฟาหวายสีอ่อนนั่น สะท้านโยนไปทั้งตัว คะน้ามองด้วยความรู้สึกอาทรและอิ่มเอิบไปทั้งใจ ค่อยๆ ขยับตัวเข้าใกล้ นิ้วมือเกลี่ยปาดผมที่ลงมาปรกหน้าผากของทิมออก
“หิวไหม”
“มาก” ทิมตอบทันควันโดยไม่ต้องใช้ความคิดให้มากความ
“จะกินอะไรล่ะ”
คนถูกถามไม่ได้ตอบอะไร มีเพียงสายตาคู่นั้นที่จ้องมองอย่างไม่วางตา ...มองอยู่อย่างนั้น จนอีกฝ่ายต้องงุดหน้าลง ทิมสอดมือเข้าไปในเชิ้ตที่ไม่ได้ติดกระดุมบนร่างกายของคะน้าแล้วสวมกอด
...โซฟาหวายที่คะน้าเคยเอนตัวได้สบายดูจะแคบลงถนัดตา
(ต่อด้านล่างอีกครึ่งครับ)