สวัสดีครับ โผล่มาอีกแล้วแบบชนิดไม่ต้องรอกันนานให้ค้างคา ช่วงนี้พอมีเวลาว่าง
ขอเร่งอัพให้ถึงตามเป้าเสียหน่อย แต่งได้แต่งแหลก แถมอัพแหลกแบบไม่มีกั๊ก
ใครที่ตามอ่านเรื่องสั้นอยู่ ขออัพช้าหน่อยนะครับ ขอปั่นเรื่องนี้ให้ได้ตามเป้าก่อน
ตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะเดากันไปว่าเป็นยังไงกันบ้าง ยังไงลองติดตามอ่านดูแล้วกันนะครับ
+ 1 ให้กับกำลังใจจากเพื่อนๆ ทุกคนนะครับ ขอบคุณมากมาย อ่านตอนที่ 24 เลย
ป.ล. อ่านคอมเมนต์คุณ bobby_bear แล้วแทบตกเก้าอี้ อย่าดักคอกันสิครับ 555555
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 24“ต..ตุล ...ตุลใช่ไหม” คะน้าเอ่ยถามด้วยเสียงที่สั่นไหว
ทำไม.. ทำไมตุลถึงรับโทรศัพท์ของทิม? หมายความว่าธุระสำคัญที่ทำบอกว่าต้องไปให้ได้คือการมาพบกับตุลอย่างนั้นหรือ? ...ทำอะไรกันอยู่ แล้วมีธุระอะไรกันถึงบอกเขาไม่ได้ เสียงถอนหายใจเบาๆ ของตุลดังขึ้นที่ปลายสายพร้อมกับความเงียบเนิ่นนาน
“สบายดีนะอ้วน เอ้อ... คะน้า”
“ตุลสบายดีนะ” คะน้าตอบกลับอย่างเก้ๆ กังๆ ลึกๆ รู้ดีว่าในใจบัดนี้ ระหว่างเขากับตุล มีกำแพงบางๆ ที่กั้นทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ช่องว่างที่ดูเหมือนแค่เพียงผนังไม่กี่เมตรกั้น แต่กลับดูเหมือนจะไม่มีทางไปถึงกันได้อย่างที่ผ่านๆ มา “...นึกว่าตุลออกเดินทางไปแล้ว”
“ยังหรอกครับ” ตุลเงียบไปพักใหญ่ๆ ในใจของคะน้าว้าวุ่น นอกเหนือจากการที่เป็นตุลรับสายอย่างไม่คาดฝันแล้ว
...ทิมอยู่ไหน?
“คือเรื่องเมื่อวันก่อนที่มาหาตุล ...หมายถึงมาหาผมที่โรงพยาบาลน่ะ ขอโทษนะที่ไม่ได้เจอ ผมยุ่งมากแล้วก็ไม่ได้ติดต่อกลับไปเลย”
“เอ้อ ไม่เป็นไร เรื่องนั้น” ในใจของคะน้านึกอยากจะตำหนิหมอก้อยอยู่เหมือนกันที่เล่าให้ตุลฟังว่าเขาไปหา แต่พอนึกย้อนกลับมาคิดดูแล้วถ้าเป็นตัวเขาเองก็คงอยากจะเล่าให้ตุลฟังเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นเพียงแค่โทรศัพท์แต่ก็ยังดีกว่าจะไม่ได้ระบายความรู้สึกของตัวเองที่มีอยู่ออกไปเลย
“ผมเองก็มีเรื่องที่จะขอโทษตุลอยู่เหมือนกัน”
“ขอโทษ? ...ขอโทษอะไรครับ?” ปลายสายตอบกลับด้วยความสงสัย
“ทุกๆ เรื่องที่ผ่านมา ตอนนี้ ผมเข้าใจแล้วว่าตุลหมายถึงอะไร เหตุผลในวันนั้นที่... ที่เรา... เอ่อ... คือมันให้ความรู้สึกที่แย่มากๆ ผมขอโทษจริงๆ”
“ช่างมันเถอะ ผมเข้าใจ”
“ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมต้องขอโทษตุล และก็ไม่รู้จะชดเชยความผิดเหล่านั้นได้ยังไง”
“ไม่เป็นไรหรอก อืม... ผมเข้าใจคะน้าดี” ตุลตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแบบทุกครั้ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นใบหน้ากันและถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาแบบนี้ แต่คะน้าเชื่อว่ารอยยิ้มน้อยๆ ที่เขาชอบมองคงแย้มพรายอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่มแน่ๆ
“ขอโทษนะ”
“ขอโทษด้วยเช่นกันครับ”
น้ำหนักในใจของคะน้าค่อยๆ เบาลงเหมือนถูกยกออก แต่ความว้าวุ่นใจในอีกเรื่องที่คาค้างอยู่ในใจมาเนิ่นนาน รวมถึงเรื่องราวบางอย่างระหว่างตุลกับทิมที่เหมือนกับถูกปิดบังเอาไว้นั้น เป็นเหมือนกับเข็มหมุดเล็กๆ ที่คอยสะกิดในใจทุกครั้งที่หวนคิดถึง จริงอยู่ที่ว่าพื้นฐานของทุกความสัมพันธ์ไม่ว่าจะรูปแบบไหน ...เพื่อน หรือแม้แต่คนรักนั้น ล้วนเริ่มต้นด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกันทั้งสิ้น
หากแต่ความโง่เขลานั้นอีกเรื่อง ความโง่...ไม่ใช่สัมพันธภาพ แต่เป็นเรื่องของไม่ทันคน และความอ้อนด้อยในปัญญาที่จะแยกแยะว่าใครเป็นคนที่เราพอจะเชื่อได้หรือไม่ได้ และเรื่องไหนที่ควรจะไว้เนื้อเชื่อใจกัน
...ความรู้สึกที่ได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนโง่ที่ถูกหลอกมันสาหัส หากแม้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการไว้เนื้อเชื่อใจนั้น คือการได้ขึ้นเชื่อว่าเป็นคนเขลาปัญญาที่สุด และต้องเจ็บปวดที่สุดกับเกมของคนสองคนที่เขาเป็นได้แค่ตัวหมากที่จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
...ถ้าเป็นเช่นนั้น คะน้าก็ไม่รู้จะทนอย่างไรไหว
รู้ดีว่าเสี่ยงกับการเดินหน้าของหัวใจอย่างไม่เกรงกลัว รู้ตัวตลอดเวลาว่าอาจถูกหลอก หรืออาจถูกตีค่าแค่เบี้ยมันแสนง่ายดาย หากแต่คนที่ไม่เคยได้รู้จักกับความรักนั้นมันหนักหนา คะน้าไม่ใช่คนที่หื่นกระหายจนกระโจนไปข้างหน้าอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ แต่ไม่ว่าจะเป็นตุลหรือทิม มันก็ยากที่จะหยุดตัวเองไว้ เมื่อทุกอย่างช่างเหมือนกับความฝันที่ไม่มีวันจะเป็นจริงไปได้เลย
...เจ็บก็ยอม ...งมงายก็ช่าง ถ้าครั้งหนึ่งความฝันจะเป็นจริง
น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างหาสาเหตุไม่ได้ แม้จะบอกตัวเองว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง บางทีนี่อาจจะเป็นสุดท้ายปลายทางของช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา คิดแล้วก็น่าใจหาย แต่คะน้าก็มีช่วงเวลาที่มีความสุขที่ล้ำค้าแล้ว ถ้าความไว้ใจที่ผ่านมานั้นมีค่าแค่ความสนุกของคนสองคนจริง ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย คะน้าไม่เคยรู้สึกเสียดาย อย่างน้อยทั้งสองคนก็เป็นคนที่เขายอมรับกับตัวเองว่าเป็นคนที่ตัวเองรู้สึกดีด้วยกว่าใครๆ
แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ...ก็อย่าเจ็บไปมากกว่านี้เลย
“คะน้าครับ เป็นอะไรหรือเปล่า เงียบๆ ไป” เสียงของตุลดังขึ้นที่ปลายสาย ...ซึ่งเป็นโทรศัพท์ของทิม คะน้าถอนหายใจเบาๆ คำถามที่ตั้งใจจะพูดคุยกับทิมก่อนโทรหากลืนหายไปหมด ในตอนนี้มีแต่เรื่องที่เกินจะคาดคิดเกิดขึ้น มีแต่ความสงสัยกับเรื่องราวต่างๆ ที่ดูจะไม่เฉลยสักที แม้จะรู้แค่ไหน แต่ลึกๆ ก็ยังกลัวกับคำตอบที่ตัวเองจะได้ยิน
“คิดอะไรนิดหน่อยน่ะครับ” เสียงของเขาแผ่วเบากว่าที่ตัวเองจะคาดคิด ...ใจหายอย่างบอกไม่ถูก
“เสียงดูไม่ดีเลย”
หากแม้คะน้าโชคร้ายกับการเลือกเดินบนเส้นด้ายบางๆ นี้...ระหว่างตุลกับทิม เขาจะเลือกถามหรือฟังคำพูดของใครมากกว่ากัน ความรู้สึกในใจกำลังชั่งวัด ...ใครที่จะพูดความจริงกับเขา และใครที่จะมีน้ำใจเวทนาคนโง่และพร้อมจะหยุดเกมสนุกบ้าๆ นี้เสีย
ตุลที่พูดจาน่าฟังถนอมน้ำใจ ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา กลับสั่นคลอนความเชื่อมั่นของคะน้าด้วยสถานการณ์และร่องรอยต่างๆ ที่พาลให้ไม่อาจหยุดความคิด ...หรือทิมที่ดูร้ายกาจ และมักทำอะไรด้วยเล่ห์ มีเงื่อนงำ ทิมดูเป็นคนที่คิดอะไรลึกซึ้งตลอดเวลา แต่บางครั้ง คำพูดกลับตรงเป็นขวานผ่าซาก
...ทิมอาจจะดีกว่า
แม้เป็นช่วงเวลาไม่นานที่คะน้าได้ใกล้ชิดกับทิม หากแต่การดูแลเอาใจใส่ของชายหนุ่มนั้นดูจริงใจจนรู้สึกได้ ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปในทางที่เลวร้าย คำตอบที่ได้รับ แม้อาจจะเจ็บปวดกว่าที่เอ่ยถามตุลก็ตาม ...เขาในตอนนี้ มันปักใจ เชื่อใจ และยอมกับทิมไปเสียหมดแล้ว แม้ว่าสุดท้ายคะน้าอาจจะเป็นได้แค่ที่ระบายความต้องการทางเพศที่อาจผ่านมาแล้วผ่านไป ...แต่ทิมน่าจะใจดีกับคะน้ากว่า ...ทิมไม่น่าจะยื้อให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้
“ตุล... ขอสายทิมได้ไหม” คะน้าเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แข็งแรงขึ้น ปลายเสียงดูชะงักงันไป ก่อนที่ชายหนุ่มจะหัวเราะขึ้นมา ...จู่ๆ ใจคะน้าก็เหมือนหล่นร่วงลงที่พื้น
“หึ... ผมไม่ได้อยู่กับเขา” ...ลำพังแค่เสียงหัวเราะเยาะ ความรู้สึกของคะน้าก็เหมือนจะทนไม่ไหว
“ถ้าอย่างนั้น ให้ทิมโทรกลับได้ไหมครับ”
“ตลกดีนะ ทำไมไม่ไปบอกกันเองละ”
“ไม่อยากเชื่อเลย ว่าพวกคุณจะทำแบบนี้ สนุกมากไหม” คะน้าระเบิดความรู้สึกตอบด้วยเสียงที่สั่นไหว หัวใจเบาหวิวเหมือนจะถูกฉีกขาดได้อย่างง่ายดาย “และถ้าตุลลืมไป นี่คือมือถือของทิม ...ผมก็พยายามแล้ว”
“นี่จะทำอะไรกันแน่คะน้า” เสียงของตุลดังกร้าวกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยินมา
“นี่เป็นมือถือของผม! เบอร์ของผม!”“ไม่ตลกเลยนะ ถ้าอยากจะโทรหาไอ้หมอนั่น ทำไมไม่โทรไปหาเอง อย่าดึงผมเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยได้ไหม” เสียงของตุลเหมือนจะตะคอกกลับมาด้วยความฉุนเฉียว
“เบอร์ของตุล? หมายความว่ายังไง ตุลใช้อีกเบอร์นี่” คะน้ารู้สึกอื้ออึงในหูอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกสับสนมึนงงจนเรียบเรียงความคิดของตัวเองไม่ได้ ...หมายความว่าอะไรกัน มือถือของตุล? ...แล้วทิมล่ะ?
เสียงของตุลหัวเราะขื่น “ผมมีโทรศัพท์สองเครื่อง เครื่องหนึ่งเป็นเบอร์ของโรงพยาบาล และอีกเครื่องเป็นเบอร์ส่วนตัว ผมพอเข้าใจแล้ว ที่ผ่านมาคุณไม่เคยมองเห็นผมเลย ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณจริงๆ”
“หมายถึงอะไร ผมไม่เข้าใจ ผมเคยคุยโทรศัพท์กับตุล แล้วเป็นเบอร์นี้ที่โทรแทรกมา ไม่ตลกนะตุล มันเป็นไปได้ยังไง” คะน้าแย้งกลับ เขายังสับสนกับเรื่องที่เพิ่งรับรู้จากปากตุล ไม่ใช่ว่าเชื่อ แต่จะว่าไม่เชื่อก็ไม่เชิง เสียงของตุลเงียบหายไปสักพักก่อนน้ำเสียงหงุดหงิดนั้นจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“โอเค... ผมโทรซ้อนเข้าไปเอง ไม่รู้สิ คิดแล้วมันน่าอายชะมัด ตั้งแต่ที่พบ ...แค่วันสองวันด้วยซ้ำ ผมก็บ้ามีใจให้กับคุณแล้ว อยากจีบ อยากเป็นแฟน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณจะรู้สึกกับผมยังไง ผมไม่อยากให้คุณเกลียดผม หรือรังเกียจที่ผมคิดไม่ซื่อแบบนี้ ถ้ามันไม่เวิร์กล่ะ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ ...อย่างน้อย ก็อยากเห็นแก่ตัวเป็นเพื่อนต่อไป”
ตุลผ่อนลมหายใจแล้วพูดอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างออกมา คะน้ารู้สึกอึ้งกับคำพูดที่เพิ่งได้ยิน มันหมายความว่าอะไร ที่ผ่านมาเขาเข้าใจผิดมาตลอดอย่างนั้นหรือ ...แม้แต่ข้อความที่ส่งมาหาทุกคืนในเวลาเดียวกัน ก็ไม่ใช่ทิมแต่เป็นตุลหรืออย่างไร?
“งี่เง่าเนอะ ผมส่งข้อความไปหาทุกคืน เวลาเดิมทุกๆ วัน...” ตุลหยุดเสียงไปชั่วครู่แล้วผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า “ช่วงเวลานี้มีความหมายกับผม เราพบกันบ่อยๆ ใช้เวลาด้วยกันบ่อยๆ”
“ถ้าคุณพอจะจำได้ เวลานั่นคือครั้งแรกที่เรารู้ว่าห้องเราอยู่ข้างๆ กันมาโดยตลอด มันอาจจะไม่สำคัญอะไรมากมาย แต่เวลานี้ คือครั้งแรกที่ผมไม่ต้องทานข้าวคนเดียวอีกต่อไป และเป็นครั้งแรกที่มีคนบอกกับผมว่าเขาจะอยู่ใกล้ๆ กับผมตรงนี้เสมอ ...ผมจะมีเขาเสมอ” คะน้าชะงักงันไป เขาจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ จำภาพทุกภาพ ถ้อยคำทุกคำที่เขาเคยพูดเอาไว้
“แต่ตุลบอกว่าไม่ได้เป็นคนที่ส่งข้อความมาหาผม” คะน้าแย้งด้วยเหตุผล จริงอยู่ที่แม้จะจดจำเวลาไม่ได้ หากแต่สมองยังจำถ้อยคำต่างๆ ที่ตุลบอกกับเขาได้ดี
“ผมบอกว่าทำไมถึงคิดว่าเป็นผม อาจจะไม่ใช่ผมก็ได้ ผมพูดแบบนั้นจริงๆ ...ช่างเถอะ ความจริงก็คือผมเป็นคนขี้ขลาด ผมไม่กล้าที่จะยอมรับ ผมไม่ได้เป็นคนที่กล้าหาญเหมือนกับคุณ คุณพูดหรือแสดงออกความรู้สึกดีๆ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ คุณเป็นคนน่ารักมาก ...มากจนผมเรียกคุณว่า...”
“...ไอ้น่ารัก”คะน้าเอ่ยขึ้นเบาๆ ด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่เคยคิด ไม่เคยเอะใจกับข้อความที่ได้รับเลยแม้แต่น้อย เสียงของตุลขาดห้วงไป ความรู้สึกของคะน้าเองก็คงแทบไม่ต่างกัน มันจุกแน่นในอกจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาได้ ...เขาไม่เคยรู้เลย ...ไม่เคยรู้ว่าตุลจะรู้สึกดีๆ กับเขาได้มากถึงเพียงนี้
“คุณคงไม่เคยเปิดอ่านข้อความของผมที่ส่งไป ที่ผมบอกว่ามันคือผมเอง”
“ขอโทษครับ”
“ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก มันผิดตั้งแต่ต้นเองที่ผมที่มันขี้ขลาด ผมเองที่กล้าหาญไม่พอ ผมก็ควรจะยอมรับกับสิ่งที่ผมทำลงไป ไม่แปลกเลยที่คุณจะคิดว่าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ผม”
“ขอโทษครับ ผมไม่ได้เปิดอ่านเลย เพราะนึกว่าเป็น... คือผมคิดว่าเป็นคนอื่นมาตลอด” คะน้าพยายามที่จะไม่เอ่ยชื่อถึงทิม และขอโทษด้วยความรู้สึกผิดจากใจจริง
“คิดว่าเป็นไอ้หมอนั่นสินะ”
“...ครับ”
“ก็เลยไม่คิดจะเปิดอ่านอย่างนั้นหรือ”
“ครับ ...ผมคิดว่ามันไม่ดี และไม่ควรทำผิดกับตุลแบบนั้น ผมไม่ได้เปิดอ่านเลย ไม่เคยเลยนับตั้งแต่เรา... ผมขอโทษจริงๆ” กลับกลายเป็นคะน้าที่รู้สึกผิดกับความจริงที่เพิ่งได้ยินมาจนไม่รู้จะพูดอะไร ถ้อยคำมากมายในใจถูกกดทับด้วยความรู้สึกแย่ๆ ที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่คาดฝัน จนไม่อาจสรรหาคำพูดใดๆ ออกมาได้ในเวลาเหล่านี้
“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น ขอบคุณมากครับ” ต่างฝ่ายต่างเงียบอึ้งไปเนิ่นนาน กระทั่งคะน้าได้ยินเสียงทุ้มๆ อีกครั้งที่ปลายสาย
“ผมอยู่ที่สนามบิน กำลังจะเดินทางคืนนี้ แต่คงอีกประมาณเกือบชั่วโมงถึงจะขึ้นเครื่อง”
“...อ้วนพอจะมาหาตุลได้ไหมครับ”ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ คะน้าคว้ากุญแจรถแล้วรีบดิ่งไปที่สนามบินอย่างเร็วที่สุด ไอ้แก่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าตามสังขารของมันที่พอจะเอื้อ ระยะทางแม้จะไม่ได้ไกลมากแต่ก็ไม่ได้ใกล้จนมีเวลาเหลือเฟือ คะน้ามองเวลาที่กำลังขยับคืบคลานเข้ามาด้วยความร้อนใจ การจราจรดูเหมือนเป็นใจไม่ติดขัดจนทำให้ถึงสนามบินในเวลาที่ไม่นานนัก หากแต่ที่จอดรถในเวลานี้กลับยากแสนเข็ญที่จะหาเจอ สุดท้ายคะน้าก็ยอมจอดรถขวางเอาไว้และทำใจว่าขากลับมาที่รถอีกครั้งคงจะเจอแม็กซ์สีเหลืองเป็นอ็อฟชั่นเสริม ชายหนุ่มลากสังขารที่ยังไม่เต็มร้อยไปพร้อมกับชุดนอนย้วยๆ และรองเท้าแตะที่ดูไม่น่ามองเท่าไหร่ ...ไม่มีเวลามากพอที่จะจัดแจงอะไรได้ดีไปกว่านี้จริงๆ
ดูเหมือนจะเลยเวลาที่ตุลจะต้องขึ้นเครื่องไปสิบนาทีแล้ว ...รีบร้อนจนลืมหยิบโทรศัพท์มา คะน้าพยายามวิ่งหาตามส่วนเช็คอินที่หมอหนุ่มได้บอกเอาไว้ แต่แล้วก็พบแต่ความว่างเปล่า ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า มองดูทุกอย่างรอบๆ ตัวอย่างหัวเสีย อยากให้อะไรๆ มันดีกว่านี้ อย่างน้อยก็ในเวลาที่จะต้องห่างกันเนิ่นนานกว่าจะได้พบกันอีก ...ถ้าเขาโชคดีพอ
แต่ถ้าโชคร้าย ...ถ้าโชคร้ายถ้าตุลตัดสินใจทำงานที่นั่น และจะไม่กลับมาอีกแล้ว
...ถ้าจะไม่ได้พบกันอีกแล้ว
(มีต่อด้านล่างอีกนะครับ)