ตอนพิเศษ
Reversal of Chapter 22 : Voice of Tim
การลงเสาเข็มเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะมันหมายถึงการวางรากฐานของงานโครงสร้างทั้งหมดไม่ให้เกิดปัญหาบานปลายที่อาจจะตามมา จะโครงการเล็กๆ หรือโครงการใหญ่แบบหลายร้อยล้าน หรืออาจะแตะไปถึงพันล้าน สิ่งสำคัญก็คือพื้นฐานของโครงสร้างที่ต้องมั่นคง
...แต่อยู่ๆ ผมก็นึกอยากจะทิ้งงานที่มีความสำคัญมากขนาดนี้เอาเสียดื้อๆ
อยากจะปล่อยให้พี่เจคอยคุม ไม่ก็ทำอะไรลวกๆ ให้มันเสร็จแบบขอไปที ‘เวลา’ อาจเป็นจุดอ่อนของผมที่แก้ไม่หายสักครั้ง ตอนที่นึกอยากจะทำอะไร ใจมันก็รู้สึกว่าจะต้องทำเดี๋ยวนั้นตอนนั้น ...ทำไงได้ สมาธิผมมันลอยไปใต้ต้นไม้นั่นไปหมดแล้ว แม้จะคอยห้ามตัวเอง แต่ผมก็มักจะเผลอมองไปยังคนที่นั่งทำหน้าเหรอหราแล้วคอยส่งยิ้มให้คนงานที่เดินผ่านไปผ่านมาแทนที่จะมองแปลนในมือผู้ช่วย
...บ้าเอ้ย! แล้วนั่น จะไปยิ้มให้พวกคนงานทำไมวะ จะยิ้มให้คนทุกคนให้ได้เลยใช่ไหม แม่งเอ้ย! พูดไปก็ไม่เคยจะฟัง รู้จักพวกคนงานน้อยไปสิ ไม่ได้ดูเลยว่าพวกนั้นมันคิดไปถึงไหนๆ ตาถึงเยิ้มขนาดนั้น ให้ตายเถอะ! ถึงได้ไม่อยากจะให้มาที่นี่ไง!
“พี่ทิมคะ” เสียงของแนนในเวลานี้ไม่ต่างอะไรกับสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น แต่แรงสะกิดที่ข้อศอกทำให้ทิมหงุดหงิด ชายหนุ่มจึงหันกลับมาฟังอย่างให้มันจบๆ ไป
“พี่ทิมจะดูแปลนนี่อีกไหมคะ ไม่อย่างนั้นแนนจะได้เอาไปเก็บก่อน ต้องหวังพึ่งอีกนานนี่นะ” ...เสียงหัวเราะเบาๆ นี่ก็เหมือนกัน น่ารำคาญ
“ไม่แล้วล่ะครับ”
“งั้นแนนเอาไปเก็บก่อนนะคะ”
“เข้าไปในออฟฟิศใช่ไหม พี่ฝากเอาน้ำเย็นๆ มาให้เพื่อนพี่หน่อยสิ” หญิงสาวชะงักกึกแล้วหันมาทำหน้าสงสัย ทิมชักสีหน้าแล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“แนนขอพูดอะไรได้ไหมคะ ปกติแนนไม่เห็นพี่ทิมจะสนใจใคร ขนาดวันก่อน คุณวิสุทธิ์ ผู้รับเหมารายใหญ่มา พี่ทิมไม่เห็นจะต้อนรับอะไรให้มากความเลย ...พี่ทิมดูแปลกๆ นะคะ” ทิมหันไปมองคนงานที่ทำงานอยู่ ไม่อยากจะสนใจกับข้อทักท้วงของผู้ช่วยสาว แนนยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้ามาหา หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใย “ดูพี่ทิมไม่มีสมาธิทำงานเลย หรือพี่มีไม่สบายใจอะไรหรือเปล่าคะ ยังไงแนนก็เป็นผู้ช่วย ถ้าอะไรที่พอช่วยได้แนนก็ยินดีนะคะ”
“ได้สิ พี่ขอน้ำเย็นๆ ให้เพื่อนหน่อย ...พอช่วยพี่ได้ไหมครับ” แนนมีสีหน้าสลดลงไป หญิงสาวรับคำแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในส่วนออฟฟิศ
จริงตามที่แนนพูดนั่นแหละ จะเอาอะไรกับไซด์งานก่อสร้างที่อะไรๆ มันไม่เสร็จดี น้ำเย็นๆ สักขวดที่ดูเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับออฟฟิศปกติ มันเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเอาเรื่องสำหรับที่นี่ ที่อะไรๆ ก็ไม่พร้อมสักอย่าง เขาถึงไม่เคยดูแลเหล่าผู้รับเหมาไม่ว่าจะรายใหญ่แค่ไหน รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนทำงานสายนี้ต่างก็เข้าใจกันอยู่แล้ว
“ห่วงเหรอ?” เสียงทุ้มของพี่เจดังขึ้นแล้วตามมาด้วยลมหายใจที่ผ่อนออกเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม ทิมไม่ได้โต้ตอบอะไร เขาเพียงแต่มองไปที่ใต้ร่มไม้นั้น เจ้าตัวปัญหายังคงส่งยิ้มทักทาย ยกมือไหว้สวัสดีใครต่อใครไปทั่วทั้งๆ ที่ไม่รู้จักมักจี่อะไรด้วยซ้ำ
“เฮ้ย! ไม่ต้องถึงขนาดไปเฝ้ามั๊ง” คำทักท้วงของพี่ที่เคารพทำให้ทิมต้องชะงักเท้าตัวเองไว้แบบนั้น “เชื่อพี่เถอะ ลองได้เห็นหน้าเอ็งตอนนี้ได้วิ่งป่าราบกันหมดล่ะ” ทิมถอนหายใจหนัก ไม่สนุกด้วยกับคำเปรียบเปรยเกินจริง อีกครั้งที่แรงตบบนบ่าเบาๆ เป็นจังหวะของรุ่นพี่ดูจะตักเตือนว่าไม่ให้เขาคิดมากเกินไปกว่าเหตุ
ครู่หนึ่ง แนนเดินออกมาจากส่วนของออฟฟิศพร้อมกับน้ำเย็นขวดหนึ่งในมือ ต้องขอบคุณพี่เจที่กำชับให้เธอไปนั่งคุยเป็นเพื่อนกับคนที่นั่งเขี่ยดินถอนหญ้าเล่น เหตุผลหลักก็เพื่อจะให้กระต่ายตัวน้อยปลอดภัยขึ้นอีกนิดในฝูงหมาป่าที่กำลังหิวโซ คะน้าไม่เหมือนแนน หญิงสาวแม้ว่าจะมีรูปร่างเล็กและหน้าตาสะสวยจนใครๆ ก็ต้องเหลียวเมื่อเธอเดินผ่าน แต่แนนเว้นระยะห่างจากเหล่าช่าง และเป็นระยะที่ห่างมาก ทั้งยังวางตัวไม่ให้สนิทสนมกับลูกจ้างรายวันที่เอาเข้าจริงก็ไม่รู้จักว่าเป็นใครมาจากไหนสักเท่าไหร่
...แล้วดูเจ้ากระต่ายของเขาสิถึงจะเป็นผู้ชายก็เถอะ แต่ลักษณะภายนอกของคะน้า บอกตามตรงว่าดูจะดึงดูดไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้หญิงสวยๆ แบบแนนเลย ถึงไม้จะตัวค่อนข้างสูงแบบผู้ชายทั่วไป แต่ใบหน้าที่ให้ความรู้สึกที่เรียกว่า ‘น่ารัก’ มากกว่าหล่อแบบคำชมเพศชายทั่วไป ทั้งรอยยิ้มและท่าทีที่ติดจะออดอ้อนนิดๆ นี่สิปัญหา
ก็เรียกว่าหมดห่วงไปอีกนิด ให้พอที่จะทำงานตรงหน้าต่อได้อย่างโล่งใจไปอีกหน่อย ทิมเร่งทำงานจนเหล่าช่างตามไม่ทัน บ่อยครั้งที่พี่เจต้องตามมากำชับและเก็บรายละเอียดให้กับการจ่ายงานของวิศวกรรุ่นน้องกระทั่งงานราบรื่นไม่มีปัญหา ไม่นานนักทิมก็พอจะปลีกตัวได้ ชายหนุ่มรีบพุ่งทยานไปใต้เงาไม้ทันที ทิ้งให้เพื่อนร่วมงานที่เป็นรุ่นพี่เท้าเอวมองแบบหน่ายๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามมาให้ทันกัน
“พี่เจ นี่คะน้า นี่พี่เจ” ทิมหันลวกๆ ไปหาพี่เจแล้วหันไปส่งตาดุให้กับคนที่นั่งอยู่แบบคาดโทษ
“สวัสดีครับ” สาเหตุของความวุ่นวายใจรีบลุกขึ้นยืนแบบไม่รู้สึกรู้สาแล้วทักทายพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่แทบจะฉีกไปถึงรูหู ...นี่จะยิ้มแบบนี้ให้คนทั้งโลกเลยใช่ไหม? บ้าชะมัด! ไอ้พี่เจก็เหมือนกัน ยิ้มแป้นเลยนะมึง
“อ้ออออ... คนนี้” เจลากเสียงยาวหวานหูแต่ไม่ทันสุดเสียง ทิมก็เอาศอกกระทุ้งแล้วเขม่นสายตาใส่ ชายหนุ่มจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆ แล้วทักทายตอบ “สวัสดีครับ”
“พี่เจคะ พี่ทิม มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” แนนเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย ทิมชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิด โชคดีที่ได้พี่เจคอยรองรับความสงสัยของเธอด้วยคำพูดหวานหูชวนฟัง ...น่าเบื่อจริง
“มีอะไร” ทิมเอ่ยถามคะน้าเสียงแข็งแต่เจ้าตัวกลับเขม่นสายตาใส่แล้วทำปากมุบมิบ ...ทีกับคนอื่นล่ะยิ้มแป้น มันน่าไหมล่ะ?!?
“ก็... ไม่มีอะไร” ...เออ สะบัดสะบิ้งใหญ่เข้าไป คิดหรือไงว่าคนอย่างเขาจะสนใจ
ทิมถอนหายใจพรืดใหญ่ แต่เมื่อพิศมอง ภาพของคนตรงหน้ากลับเรียกรอยยิ้มของทิมขึ้นมาได้อย่างประหลาด ทั้งๆ ที่อายุเท่ากับพี่เจ แต่กระต่ายน้อยกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวไหม ว่าชอบทำงอนแบบเด็กๆ แต่พอจะเอาเรื่องเอาราวจริงๆ กลับขวัญดีหนีดีฝ่อ แล้วเป็นฝ่ายทำสายตาออดอ้อนใส่ทุกทีไป ...ครั้งนี้ก็เหมือนกัน แววตาแบบนั้น ริมฝีปากที่บิดไปมาจนแดงเรื่อ ...มันน่าไหมล่ะ!!!
นึกย้อนไปถึงอุบายของตัวเองเมื่อวันก่อนแล้วก็พอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ คะน้าไม่ใช่คนที่คาดเดาอะไรได้ยาก ตรงไปตรงมาในความรู้สึกเสมอ เจ้าตัวไม่แม้แต่จะคิดปิดบังด้วยซ้ำ ...หรือว่านั่นคือปิดบังแล้ว? อะไรก็ช่าง เอาเถอะ เขาไม่ได้โกหกอะไรเสียหน่อย แค่บิดเบือนความเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถือว่าผิดกติกาไม่ใช่หรือ? ที่สำคัญ เขาก็ขออนุญาตพี่ผักกาดแล้วด้วยซ้ำ
โชคดีที่การไปทำกับข้าวที่บ้านของต่ายทุกวันทำให้ทิมค่อยๆ สนิทกับผักกาดขึ้นมาทีละน้อย เขาชอบผักกาด ถูกใจในอัธยาศัย ชอบความเฉียบคมในความคิด และที่สำคัญคือความที่ใจนักเลงผิดกับผู้หญิงทั่วไป เรียกว่าถูกคอจนถึงขั้นขอเฟซบุค ขอไลน์ แล้วแชทกันบ่อยๆ เลยทีเดียวล่ะ แต่อะไรๆ มันคงจะดีกว่านี้ล่ะนะ ถ้าไม่มีมารผจญแบบไอ้หมอขี้เต๊ะนั่น
“จะกลับบ้านเหรอ รออีกหน่อยได้ไหม” คะน้านิ่งเงียบ
อืม... ไม่มีคำปฏิเสธให้ถือว่าเข้าใจตรงกันใช่ไหม
...เห็นไหมว่าเขาไม่เคยมัดมือชกใคร ถามก่อนทุกครั้งว่าแล้วทิมก็พลิกตัวหันหลังกลับแล้วยิ้มกว้างขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว วิศวกรหนุ่มเดินดุ่มๆ เข้าบริเวณส่วนงานช่างต่อทันที รีบจัดแจงอะไรทุกอย่างมันเสร็จไวๆ โชคดีที่ดูเหมือนงานผสมจะไม่มีปัญหา ทุกอย่างน่าจะราบรื่นและเสร็จไวกว่าที่คาดคิดเอาไว้ ถ้าเหลือแค่งานเทที่หัวหน้าช่างน่าจะดูแลได้ ทิมยิ้มอย่างโล่งใจแล้วหันหลังเดินกลับไปใต้เงาไม้ที่ดูเหมือนบทสนทนาจะออกรสชาติ
...ไม่อยู่แป๊บเดียว มีความสุขอะไรนักหนาวะ?ชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้จนไม่ค่อยจะสนใจฟังอะไรในบทสนทนาแบบที่ควรเป็น สายตาคมกริบจับจ้องไปที่คนที่เหลือบซ้ายแลขวาแล้วส่งยิ้มน่ารักแบบที่ตัวเองถนัดถนี่ ดวงตาเต็มไปด้วยการตื่นตัวรับรู้และสนใจผู้คนรอบข้างและเรื่องราวต่างๆ ตลอดเวลา
...ประเด็นคือทำไมเขาไม่อยู่ในดวงตาที่วับวาวคู่นั้นเหมือนใครๆ?เสียงหัวเราะของหญิงสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มกังวานใส แนนยื่นมือมาเกาะแขนเขาแล้วเขย่าเบาๆ แบบเด็กๆ ที่ร้องขอขนมหวานจากผู้ใหญ่ ทิมยิ้มเล็กน้อยให้กับหญิงสาวตามมารยาท
“พี่ทิมดูพี่เจสิคะ แซวแนนอยู่ได้” แนนประจบออดอ้อน อาจจะเป็นเรื่องเดียวมั๊ง ที่เขามองว่าเธอก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักน่าทนุถนอมดี ดูบอบบาง มาจากครอบครัวที่ดี ถูกอบรมมาดี ไม่ค่อยทันกับคำแซวของพวกวิศวกรหรือช่างที่ติดจะดิบห่าม เห็นแล้วให้ความรู้สึกอยากปกป้องดูแลเลยล่ะ
หากแต่ในเวลานี้ ทิมไม่ได้สนใจฟังในถ้อยคำอย่างที่ควรจะเป็นสักเท่าไหร่ ในสายตา... อันที่จริงควรเรียกว่าในทุกประสาทสัมผัสที่ตัวเขามีต่างจดจ้องอยู่ที่คะน้าเพียงคนเดียว กระทั่งเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาแล้วทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับเรื่องที่ได้ฟังใส่ทิมพร้อมใบหน้าที่ระเรื่อแดง ...เอาแล้วไง ช..ชิบหายละ
...น่ารักว่ะ!!!แต่เดี๋ยวก่อน มันเรื่องอะไรหว่า?!?! และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ทิมเริ่มหันกลับมาสนใจว่าหญิงสาวตัวน้อยข้างๆ ตัวว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“บางทีก็อยากมีคนที่เรากลับบ้านด้วยกัน คนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไปเดินเล่นไหนๆ หรือไปนั่งเล่นกันที่บ้าน ...บ้านแนนหรือบ้านแฟนก็ได้น่ะค่ะ เป็นคนที่เข้ากับที่บ้านเราได้ แนนถือเรื่องแบบนี้นะคะ อืม... แล้วก็อาจจะทำอาหารทานกันเอง แนนนั่งทานกันบนพื้นก็ได้ ทานจานเดียวกันก็ได้ ง่ายๆ น่ะค่ะ แนนไม่ชอบอาหารตามร้านน่ะค่ะ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ คงให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยนะคะ”
ไม่บ่อยที่คำพูดของแนนจะจุดรอยยิ้มให้กับทิมขึ้นมา เข้าใจแล้วว่าทำไมกระต่ายตัวน้อยของเขาถึงทำหน้าทำตาแบบนั้น นึกแล้วก็อยากได้ยินนะ ว่าคะน้าคิดยังไงกับเรื่องพวกนี้
...ความลับที่มีเพียงแต่เขาและต่ายเท่านั้นที่รับรู้ทิมยกมือขึ้นมาลูบคางตัวเองที่มีไรสากช้าๆ จะเรียกว่ารู้สึกจักจี้นิดๆ กับคำพูดพวกนั้นก็คงไม่ปฏิเสธ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไป เพียงแค่ย้อนกลับไปคิด เขายังอดนึกแปลกใจทุกครั้งไม่ได้ว่าทำลงไปได้ยังไง ไม่รู้ว่าหน้าตัวเองตอนนี้มีสารรูปแบบไหน ที่รู้ๆ ก็คือไม่อยากให้คะน้าเห็น แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันมีมากกว่า เปรียบเป็นมวยก็คงต้องแลกกันคนละหมัด ทำยังไงได้ แต่มันอดไม่ได้จริงๆ คะน้าจะว่ายังไงนะ ...กับความลับของเรา
คนที่อยู่ในความคิดค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองทิม ดวงตาสุกใสดูหลุกหลิกบนใบหน้าระเรื่อแดงจนเปล่งปลั่ง มือไม้ที่ดูเหมือนจะวางไม่ถูกที่ถูกทางกับความเคอะเขินแบบนั้น
...เฮ้ออออ หลายครั้งแล้วที่เขาต้องถอนหายใจแบบนี้...นี่เขาหลงเสน่ห์ผู้ชายจริงๆ ใช่ไหมเนี่ย หลงแบบถอนตัวไม่ขึ้น หลงแบบคนที่งมงายจนเก็บไปเพ้อได้เป็นวันๆ มันแปลกไหมนะ? รู้ทั้งรู้ว่าเป็นผู้ชายเหมือนกัน แล้วก็พอจะรู้ว่าลึกๆ แล้วคะน้าก็คงพึงใจในตัวเขาอยู่ไม่น้อย ...ไม่รู้สิ ไม่อยากให้ใครเห็น ไม่ชอบให้ใครๆ ได้รู้ว่ากระต่ายน้อยของเขาน่ารักขนาดไหน ยิ่งในเวลานี้ ...รอยยิ้มแบบนั้น ดวงตาคู่นั้น แม้แต่เสียงเจื้อยแจ้วเรื่องไร้สาระตลอดทั้งวัน ...ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่าง ...ทั้งหมด
...อยากให้เป็นของเขาเพียงคนเดียว“กลับกันไหม”
ถึงแม้ว่าพี่เจจะมีแฟนแล้วก็เถอะ และถึงแม้ว่าแนนก็ไม่น่าจะสนใจคนแบบคะน้าก็ตาม แต่กันไว้ก็ดีกว่าแก้ไม่ใช่หรือ ...ของแบบนี้ จ้องมากๆ มันสึกมันหรอได้นะ ...อืม คงเป็นแบบนั้นแหละ ก็เขาคิดแบบนั้นจริงๆ นี่
...หวงเหรอ? เปล่าซะหน่อยคะน้าลุกขึ้นแผล็วแล้วเอ่ยคำลาซะมากมาย ...ก็ไม่รู้ว่าจะลาอะไรนักหนาเพิ่งเคยเจอกันวันแรกแท้ๆ
“แต่งานยังไม่เสร็จเลยนะคะ ทำไมพี่ทิมต้องไป... เอ่อ... ส่งพี่เค้าด้วย คือแนนเป็นห่วงน่ะค่ะ เกิดโปรเจ็กต์มีปัญหาอะไรขึ้นมา มันจะแย่เอานะคะ” แนนรีบเดินตามมารั้งไว้ พี่เจก็เดินยิ้มมาสมทบ
“ห่วงเจ้าทิมล่ะสิเรา เสร็จแล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ก็จะกลับเหมือนกัน” พี่เจเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา ทิมผ่อนหายใจ ล้ากับความเอาใจใส่ของผู้ช่วย เขาไม่ชอบใจนักกับความจุ้นจ้านแต่ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะความหวังดี ชายหนุ่มจึงขอบคุณในน้ำใจของแนน แล้วเดินลิ่วจนตัวปลิวนำหน้าคะน้าไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ทันที
ตั้งแต่ขึ้นมาบนรถกระต่ายของเขาก็เอาแต่นั่งเงียบแล้วจ้องมองออกไปนอกหน้าต่าง บางทีก็หายใจฟึดฟัดราวกับไม่ชอบใจอะไรบางอย่าง แต่บางทีก็แอบเหลือบมองที่เขาเป็นระยะแล้วทำอ้ำๆ อึ้งๆ จนเขารอเงี่ยหูฟังจนเหนื่อย แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่คนนั่งข้างๆ มอบให้ก็คือความเงียบ ...เข้าใจไหมว่ามันหงุดหงิด!
“อะไร” ลงท้ายก็เป็นเขาอีกแล้วที่ต้องเอ่ยปากถามความ
“ไปพูดอะไรให้เจฟัง” หันมาแล้วทำหน้ามุ่ย คิดว่าน่ารัก?
...เออ ก็น่ารักจริงๆ
เฮ้ออออ... ไม่ไหวแฮะ ท่าทางจะเป็นเอามาก“พูดอะไร” ทิมหันหน้ากลับไปมองท้องถนนที่คราคร่ำไปด้วยรถยนต์แล้วทำเสียงเข้ม แต่ตัวปัญหายังยื่นหน้าตามมาหลอกหลอน
“ก็ไปเล่าอะไรให้เขาฟังบ้างล่ะ ถึงได้พูดอะไรแปลกๆ ทำท่าอะไรแปลกๆ”
“สนใจนักนะ แคร์มากหรือไง ไหน? มันคุยกันถูกคอเลยใช่ไหม หมดจากไอ้แว่นก็เอาอีกล่ะสิ ชอบนักล่ะ หัวเราะคิกคัก คุยกับคนนั้นคนนี้” ไม่อยากจะยอมรับกับความรู้สึกของตัวเองว่าไม่พอใจ ...มากด้วย มันน่าโมโหแค่ไหน เพราะดูเหมือนคะน้าจะแคร์ความรู้สึกของคนที่เพิ่งเคยพบเคยคุยกันแค่เพียงไม่กี่นาที มากกว่าเขาที่นั่งเป็นไอ้งั่งอยู่ตรงนี้อย่างนั้นเหรอ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาทำหน้าคว่ำแล้วบ่นงึมงำเหมือนจะพูดกับตัวเอง
“บ้าอะไรเนี่ย” ...เออ ก็กูบ้าจริงๆ บ้าเพราะใครล่ะ สนุกนักล่ะ ปั่นหัวคนอื่นเนี่ย
“อย่าคิดว่าไม่เห็น”
“ไม่ต้องมาทำโวยกลบเกลื่อน ไม่อย่างนั้นเจจะรู้จักได้ยังไง ไปพูดอะไรไว้บ้าง อย่าบอกนะว่าเรื่องบ้าๆ ที่ทำเอาไว้” นั่นไง เห็นไหม คนบ้าก็ทำแต่เรื่องบ้าๆ ไอ้ทิมเอ้ยยย... อยู่ดีก็ไม่ว่าดี เอาตัวไปเสนอให้เขาด่าเล่น
“นั่งเงียบๆ ไปเลย”
“ก็เงียบตั้งแต่แรกแล้วเปล่า ไม่ได้พูดอะไรสักคำ” ถ้อยคำเหมือนจะเถียง แต่เจ้าตัวกลับพูดเสียงอ่อนเหมือนจะตัดพ้อแล้วนั่งคอตก
ทิมชะงักงัน ดูเหมือนว่ากระต่ายน้อยของเขาจะผวากับความดิบห่ามซึ่งเป็นนิสัยที่แก้ไม่หาย แต่สาบานเถอะ เขาไม่ใช่คนคิดมากอะไรด้วยซ้ำ แต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยแคร์อะไรใครมากมาย ผู้หญิงกี่คนที่เวียนวนเข้ามาในชีวิต สวยระดับนางแบบ เป็นลูกคุณหนู โปรไฟล์ดีแค่ไหน เขาไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้ ชีวิตที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้เลือกแบบทิม ต่อให้เป็นเดือนหรือดาวบนฟ้า ถ้าเขาต้องการก็จะสอยลงมาให้จงได้
...แม่งเอ้ย! ทำไมกูถึงรักมึงได้มากขนาดนี้วะ เชรี่ยยยย!ทิมค่อยๆ เบือนสายตาไปมองคนที่นั่งข้างๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเขาด้วยท่าทีที่แปลกไปกว่าทุกครั้ง ทั้งๆ ที่อายุมากกว่า แต่คะน้ากลับมีดวงตาที่ซื่อตรงแบบเด็กชายตัวน้อยๆ ที่อ่อนเดียงสา ความสงสัยในแววตาทำให้ใจของทิมสั่นอย่างประหลาด และแปลกที่เขาเองกลับรู้สึกประหม่าในท่าทางที่ดูไม่ประสาแบบนั้นในทุกครั้งที่ได้เห็น
คะน้าโน้มตัวมาข้างหน้าแล้วมองด้วยแววตาที่เขาเองก็อธิบายไม่ถูก แย่ไปกว่านั้นที่เสื้อยืดเก่าๆ ซึ่งเจ้าตัวใส่ไปขายของที่ตลาดบ่อยๆ จนคอย้วยกว้าง บัดนี้ มันผิดที่ผิดเวลาเอามากๆ ความโน้มเอียงของน้ำหนักเผยให้เห็นผิวกายที่มันปกปิดไว้ วูบหนึ่งที่ทิมกดสายตามองไปในเสื้อ ความคิดแปลกๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวสมอง
ถ้าได้กอด ได้สัมผัสมากกว่านี้ ...พี่จะว่ายังไงนะครับบ้าเอ้ย! ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่! ทิมสะบัดหน้าไหวๆ แล้วผ่อนลมหายใจหนัก เขารีบหันกลับไปมองท้องถนนเบื้องหน้า รถราที่มีมากมายไม่ขยับเขยื้อนจนคล้ายที่จอดรถขนาดใหญ่ ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกดสวิตซ์แอร์แล้วปรับลดอุณหภูมิให้ต่ำลงอีก สายลมเย็นฉ่ำพัดใส่ใบหน้าจนเย็นฉ่ำ หากแต่มันคงไม่อาจพัดความสงสัยที่มีให้หลุดไปจากสมอง ไม่วายที่ชายหนุ่มจะเหลือบมองไปที่คะน้าอีกครั้ง คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังนั่งอยู่ท่าเดิม ใบหน้าระเรื่อแดงด้วยสีฝาดเลือด คะน้าสบสายตาของทิมกลับด้วยแววตาที่ทอดมองมาด้วยความระริกไหว
...อย..อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้น ทิมขบเม้มริมฝีปากตัวเองแน่นจนเจ็บ
หยุด ...หยุดเลย ...หยุดเดี๋ยวนี้!
ไม่อย่างนั้น...
ถ้าไม่อย่างนั้น ผมคงคิดว่า...
...พี่รักผมนะทิมหันหน้ากลับไปมองที่การจราจรตรงหน้า เป็นครั้งแรกที่เขาภาวนาให้ช่วงเวลาที่ทำให้ใจของเขาเต้นคึกโครมนี้จบลงไวๆ บ้าชะมัด อยู่ๆ ก็คิดเลยเถิดไปไกลถึงเรื่องพรรณ์นั้น อยากรู้ว่าผิวที่เรียบเนียนแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนั่นจะให้ความรู้สึกแบบไหน แล้วสีหน้าแบบที่เขารักนั้นจะทำให้เขารักได้มากขึ้นอีกได้ไหมในเวลาแบบนั้น ทิมส่ายหัวหนักๆ อีกครั้ง พยายามอย่างหนักที่จะสลัดความคิดแย่ๆ นี้ออกไป แต่อีกฝ่ายดูจะไม่หยุดที่จะกระตุ้นความคิดให้กระเจิดกระเจิง คะน้าค่อยๆ เอียงใบหน้าตัวเองลงต่ำแล้วช้อนสายตาขึ้นมองมาที่เขา ...บ้า! บ้าไปแล้ว!!!
“อะไร” ทิมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทีที่กระฟัดกระเฟียด ริมฝีปากเม้มแน่นจนตึง ตัวปัญหานั่งมองแบบสั่นๆ เหมือนกล้าๆ กลัวๆ
“ข..ขอ” ...ขออะไรวะ! มาขออะไรตอนนี้!!
“อะไร!” ทิมถามเสียงเข้ม แต่ในใจกลับรู้สึกร้อนวาบไม่หาย
จู่ๆ คะน้าก็ดันตัวเองขึ้นแล้วปลดเข็มขัดนิรภัยตึงรั้ง กว่าจะรู้ตัวอีกที แก้มของทิมก็สัมผัสกับความนุ่มหยุ่น เพียงครู่เดียว เป็นเวลาสั้นๆ ของการสัมผัสแล้วผละจาก ...ไวเกินกว่าจะไหวตัวทัน หากแต่ลมหายใจอุ่นๆ ที่ลามไล้อยู่ทั่วกระพุ้งแก้มด้านซ้ายยังคลอเคลียอยู่อย่างนั้น ไรผมนิ่มๆ นั้นแตะบนผิวหน้าเขาเบาๆ ใบหน้าของคะน้าไม่ได้ผละออกไปไหน ปลายจมูกยังอยู่ใกล้จนเกือบจะแนบชิด
...เหมือนกับคนที่หมดแรง หัวใจของทิมเต้นแผ่วเบาจนเหมือนสภาวะไร้น้ำหนัก มันเบาหวิว ...หวินจนเหมือนกับตัวเองค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ หากแต่ความเป็นจริงตามกายภาพ ร่างสูงกลับทิ้งน้ำหนักทั้งหมดของตัวเองลงบนเบาะหนังสีอ่อน แล้วปล่อยตัวเองให้เลื่อนไหลราวกับเป็นของเหลวที่เคลื่อนตัวตามแรงโน้มถ่วงโลก เป็นเรื่องน่าตลกที่ชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำกลับมาสิ้นสภาพด้วยสัมผัสที่นุ่มนวลราวกับขนนกแบบนี้
ริมฝีปากของคะน้าลากผ่านผิวแก้มเบาๆ แล้วงับบดที่ใบหูที่แดงระเรื่อ ทิมเกร็งลำคอด้วยความรู้สึกสะท้านไปทั่วทั้งร่าง ความอ่อนนุ่มนั้นขบแล้วบดตัวเบาๆ กระทั่งชายหนุ่มเผลอตัวกระชากเท้าแล้วเหยียบเบรคในจังหวะที่รถเคลื่อนช้าๆ จนคะน้าหรือแม้แต่ตัวเขาเองก็เสียการทรงตัว
“ข..ขอโทษ ...ขอโทษ ม..มะ” ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนยังไม่อาจประมวลผล หากแต่ผิวกายยังจดจำความนุ่มนวลนั้นได้ เป็นเครื่องหมายยืนยันว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ...มันเป็นเรื่องจริง
“ม..มะ คือ... ตกใจ ม..ไม่เป็นไรใช่ไหม” ให้ตายสิ! นี่เขาพูดอะไรไป น่าอายชะมัด!
ทิมจับมือคะน้าแน่น รู้สึกได้แรงสั่นไหวของข้อมือตัวเองอย่างประหลาด นี่เขากำลังประหม่าให้กับคนที่เป็นผู้ชายเหมือนกันนั่นเหรอ คนที่นั่งหลังพวงมาลัยหันมามองหน้าคะน้าที่นั่งก้มหน้านิ่งด้วยความสงบ มีเพียงหัวไหล่ที่สั่นไหวน้อยๆ พอให้รู้ว่ายังเคลื่อนไหว ทิมออกน้ำหนักที่ฝ่ามือของตัวเองบนพวงมาลัยบีบแน่นจนขึ้นเกร็ง
คำถามคือหากคะน้ามีใจให้กับเขา แล้วทำไมเขาต้องฝืนใจตัวเองเอาไว้ด้วย?ทันใดนั้น ร่างสูงก็หันไปฉวยคว้าคนที่นั่งก้มหน้าเข้ามากอดจนแน่น เสี้ยววินาทีเดียวกัน ริมฝีปากของเขาก็บดตัวไปบนปากของคะน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก หากแต่สัมผัสที่ตอบกลับนั้นต่างไปจากทุกที ...หลังจากสัมผัสระลอกแรก รอยยิ้มน้อยๆ จุดขึ้นที่มุมปากของทิม ก่อนจะบดตัวซ้ำไปมาอย่างโหยหา
คนมักพูดว่าเวลาแห่งความสุขมักสั้น เห็นท่าจะจริง ...ครู่เดียว เสียงของแตรรถอย่างบ้าคลั่งด้านหลังก็ดึงร่างของทึมให้กลับมามองที่เบื้องหน้า รถมากมายที่ติดอยู่เริ่มขยับตัวเคลื่อนไปข้างหน้าช้าๆ ชายหนุ่มทุบฝ่ามือลงบนพวงมาลัยรถอย่างขัดใจพร้อมกับลมหายใจที่หอบแรง แต่เมื่อนึกถึงช่วงวินาทีที่เพิ่งผ่านพ้นมา ชายหนุ่มก็หันไปสบตากับคะน้าแล้วยิ้มให้ ...ในหัวใจของทิมนั้นกำลังลิงโลดจนอยากกู่ร้อง
ทุกอย่างนิ่งเงียบจนกระทั่งรถหักเลี้ยวเข้าสู่คอนโดแล้วจอดสนิทในลานจอดรถ คะน้ารีบพาตัวเองออกจากรถของทิม แต่เขาจะไม่ยอมถูกปั่นหัวอีกต่อไปแล้ว กระต่ายน้อยตัวนี้จะต้องเป็นของเขา วงแขนทั้งสองข้างของทิมวาดขึ้นรั้งแน่นเหมือนไม่ให้ไปไหน ปลายจมูกกดลงบนลำคอของคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วจูบพรมด้วยความแผ่วเบา
“ไปที่ห้องนะครับ”ทิมกระซิบเบาๆ ข้างใบหูแล้วคลอเคลียริมฝีปากตัวเองไปมาอย่างอ้อยอิ่ง คะน้ายืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่รู้ว่าสัมผัสที่แนบแน่นนั้นจะเพียงพอที่จะเหนี่ยวรั้งช่วงเวลาแห่งความสุขกลับคืนมาสู่เขาได้ไหม ไม่รู้ว่ามันถึงเวลาที่เหมาะสมหรือยังที่เขาจะร้องขอโอกาสได้ทำในสิ่งที่รอคอยมานานแสนนาน
“ได้โปรด ผม...”ทิมโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกระซิบแผ่วเบาข้างใบหู ในวงแขนที่กอดกระชับ ฝ่ามือกว้างลูบไล้ไปทั่งร่างกายของคะน้าอย่างทะนุถนอม ชายหนุ่มเคลื่อนใบหน้าให้เข้าใกล้กว่าเดิม ก่อนที่ริมฝีปากที่แดงจัดจากการกัดเม้มจะเอื้อนเอ่นถ้อยคำสั้นๆ ที่หยุดโลกได้ทั้งใบ
“...ผมรักพี่นะครับ”(มีต่อด้านล่างครับ)