สวัสดีครับ ก่อนอื่นต้องขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้นะครับ
อ่านคอมเมนต์ทีไรรู้สึกชื่นใจจริงๆ ผม +1 ให้กับทุกคอมเมนต์แทนคำขอบคุณนะครับ
สำหรับตอนต่อไปที่จะลงนี้ ถือว่าเป็นตอนที่แต่งยากที่สุดเท่าที่เคยแต่งมา
อืม... บอกไม่ถูกเหมือนกัน ลองอ่านดูแล้วกันนะครับ แล้วยังไงก็เสนอแนะกันด้วยนะ
สปอยล์ล่วงหน้านิดนึง ว่าทำใจให้ร่มๆ ก่อนอ่านนะครับ สวดมนต์ไหว้พระด้วยยิ่งดี
ไม่รู้ว่าจะโดนด่าหรือเปล่าแฮะ ตอนอ่านเช็คตัวสะกดก็อึ้งๆ เหมือนกัน
ยังไงก็อยากให้อ่านนะครับ ไม่สิๆ เอาใหม่ๆ
ต้องอ่าน นะครับ!!!
อ่านช้าๆ ค่อยๆ อ่านแล้วจะรู้สึกอยากลุกขึ้นมาถีบหน้าคนแต่งแน่นอนครับ 5555
คนแต่งน้อมรับคำด่ามากมายที่จะกระหน่ำมาหลังอ่านจบตอนแล้วครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 22
ใต้ร่มไม้ที่เพิ่งลงในเขตก่อสร้างเมื่อหลายเดือนก่อนระบัดใบแผ่ทั่วกิ่งก้านจนดูร่มรื่นขึ้นมาก กว่าครึ่งชั่วโมงที่คะน้านั่งจ่อมอยู่บนพื้นดินด้วยความรู้สึกหงุดหงิดอย่างถึงขีดสุด ต้นเหตุมาจากชายหนุ่มสูงโปร่งในหมวกสีเหลืองที่ยืนสั่งงานกับทีมช่างอยู่บริเวณเครื่องตอกเสาเข็ม ทิมกำลังทำงาน และอันที่จริงเขาก็ควรจะต้องทำงานเช่นกัน แล้วโผล่มาที่นี่ทำไมน่ะหรือ? คำตอบก็คือเพราะยอดชายนายคะน้าผู้นี้ โดนไอ้เท่ห์ที่ยืนเก็กสั่งงานนั่นทั้งมัดมือชก ทั้งตุ๋นจนเปื่อยกว่าหมูตุ๋นในก๋วยเตี๋ยวเจ๊พรที่ขายอยู่ท้ายตลาดเสียอีก แต่ขอบอกเอาไว้เลย ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้เว้ย! งานนี้มันเลยต้องมีเคลียร์กับเคลียร์ให้หายข้องใจ!
ทิมยืนตรวจงานของช่างต่างๆ อย่างคล่องแคล่ว ใกล้ๆ ตัวมีหญิงสาวที่มีดวงตากลมโตแบบตุ๊กตาช่วยกางกระดาษแปลนม้วนโต ในมือมีสมุดเล่มเล็กที่จดอะไรยุกยิกเป็นครั้งคราว คะน้าจำแนนได้จากครั้งตอนที่เจอที่ร้านอาหารคราวก่อน ดูเหมือนว่าเธอน่าจะเป็นผู้ช่วยของทิมที่คอยจดบันทึกช่วยจำต่างๆ แต่ดูจากท่าทีของหญิงสาวแล้ว บางทีแนนอาจจะสนิทสนมกว่าแค่ฐานะผู้ช่วยก็เป็นไปได้ ห่างไปอีกไม่ไกลนัก เป็นผู้หญิงใส่แว่นที่คะน้าก็เดาไม่ถูกว่าทำงานในหน้าที่อะไร บางที อาจจะเป็นผู้ช่วยของผู้ชายร่างสูงโปร่งอีกคนที่ยืนคุยกับทิมอยู่ในตอนนี้
ลึกๆ แล้วก็รู้สึกเกรงใจทิมที่จู่ๆ ก็โผล่มาโวยวายกับเรื่องไร้สาระ แต่ไม่ทำแบบนี้มันก็ติดค้างในใจอย่างบอกไม่ถูก ก็ใครจะไปรู้ว่าจะยุ่งล่ะ! วันก่อนยังเห็นโผล่ไปนวยนาดที่ตลาดขนาดนั้น
“พี่คะ” เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้คะน้าสะดุ้งตัวหันไปมอง เป็นแนนที่เดินมานั่งใกล้ๆ แล้วยื่นน้ำเย็นๆ ให้กับคะน้า “พี่ทิมกำลังยุ่งๆ อยู่ พี่รอแป๊บนึงนะคะ”
“อ่า... ครับ ขอบคุณครับ” คะน้าเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำเปล่าแช่เย็นจากมือเธอพร้อมขอบคุณ
“ที่ร้านอาหาร... ใช่พี่ใช่ไหมคะ แนนคุ้นๆ” คะน้าพยักหน้ารับ อยู่ๆ ก็รู้สึกเขินขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ “สนิทกับพี่ทิมหรือคะ เห็นพี่ทิมเคยบอกว่าพี่... เป็นคนขายไอติมที่ตลาด”
ปลายเสียงของแนนฟังดูแปลกๆ หากแต่ความสดใสในดวงตาและรอยยิ้มน่ารักนั่นทำให้คะน้านึกตำหนิตัวเองว่าคิดมากไป คงไม่มีอะไรที่ทำให้แนนต้องนึกไม่พอใจอะไรเขาแบบนั้น บางทีอาจเป็นเพราะจังหวะการพูดที่เว้นช่วงเหมือนเน้นคำเหล่านั้นมากกว่าที่ทำให้ดูแปลกแปร่ง กระทั่งทิมเดินมาสมทบพร้อมกับผู้ชายร่างสูงอีกคน
“พี่เจ นี่คะน้า นี่พี่เจ”
“สวัสดีครับ” คะน้ารีบลุกขึ้นยืนแล้วทักทาย หากแต่เห็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่มของคนที่ตนเองไม่คุ้นตาก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลอย่างบอกไม่ถูก
“อ้ออออ... คนนี้” พี่เจลากเสียงยาวก่อนที่ทิมจะเอาศอกกระทุ้งแล้วเขม่นสายตาใส่ ชายหนุ่มอีกคนจึงหันมายิ้มร่าเริงให้กับคะน้า แล้วทักทายตอบ “สวัสดีครับ”
...ไม่บอกก็รู้ว่าแม้จะไม่เคยเห็นหน้าตากันมาก่อน แต่ชายหนุ่มอีกคนรู้จักเขาเป็นอย่างดีแน่นอน
“พี่เจคะ พี่ทิม มีอะไรกันหรือเปล่าคะ” แต่เป็นแนนที่เก็บความสงสัยจากท่าทางยุกยิกของสองหนุ่มไม่ไหว ทิมกลับมายืนนิ่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินคำถาม หากแต่ชายหนุ่มอีกคนกลับหันมาหัวเราะให้หญิงสาวอย่างขี้เล่น
“คิดมากไปน่ะเรา” แนนทำหน้าไม่ค่อยเชื่อนัก แต่ทิมไม่สนใจ วิศวกรหนุ่มหันกลับมาถามคะน้าที่ยืนเก้ออยู่
“มีอะไร” คะน้าอ้าปากจะตอบแต่พอเห็นสายตาของแนนกับพี่เจที่มองอยู่ก็ชะงัก ...จะบอกว่ามาคิดบัญชีเรื่องเมื่อวันก่อนต่อหน้าคนอื่นมันก็ใช่ที่เปล่าวะ? ฝากไว้ก่อนเถอะทิม!
“ก็... ไม่มีอะไร” แนนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในขณะที่พี่เจทำหน้างงๆ สักพักหัวเราะร่วนขึ้น คะน้าไม่ได้แปลกใจกับท่าทีของแนนเท่าไหร่ แต่กับชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคน อะไรบางอย่างบอกถึงลับลมคมใน
“จะกลับบ้านเหรอ รออีกหน่อยได้ไหม” ดูเหมือนว่าทิมจะตีความหมายไปอีกอย่าง อันที่จริงก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคะน้าอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มจึงหันมายิ้มเออออห่อหมกไปเสียให้จบเรื่อง
...เออ ช่วยพาออกไปจากตรงนี้ทีเหอะ!
ทิมยิ้มน้อยๆ อืม... คิดว่าตาของตัวเองไม่ฝาดไปหรอกนะ ทิมยิ้มให้กับเขาจริงๆ ก่อนที่จะหันหน้าแล้วรีบรุดกลับไปที่บริเวณก่อสร้างอีกครั้ง ทิ้งให้คะน้าอยู่กับแนนและพี่เจด้วยความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ลับหลังทิม แนนก็ยิงคำถามด้วยความสงสัยจนคะน้าไม่รู้จะตอบยังไง
“ทำไมต้องกลับบ้านพร้อมกันด้วยคะ ทำไมพี่ทิมต้องขับรถให้พี่ด้วย หรือมีธุระอะไรกันต่อคะ”
“แนน... พี่กวนให้ไปเอาน้ำเย็นๆ ให้พี่ขวดสิ” พี่เจพูดแทรกขึ้นมาเหมือนจงใจ หญิงสาวหน้ามุ่ยแต่ก็หันกลับไปยิ้มหวานให้พี่เจแล้วพยักหน้า ไม่วายจะทิ้งทวนด้วยการส่งสายตาตั้งคำถามให้คะน้าก่อนจะเดินจากไป
“นั่งไหม” ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนั่งใต้ร่มไม้ คะน้าที่ไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้ก็เลยรีบนั่งลงตามผู้เชื้อเชิญ นึกอยากจะขอบคุณสักล้านครั้งที่ช่วยทำลายบรรยากาศที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ให้กับคะน้า
“ขอบคุณพี่เจมากนะครับ” รู้ดีว่าชายหนุ่มแปลกหน้าช่วยเหลือเอาไว้
“ฮ่าๆ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเรียกพี่หรอก เราอายุเท่ากัน ...แค่เจ้าทิมมันเรียกไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง” ...อ้าว!!!! ทำไมเป็นอย่างนั้น! “จะว่าไปนายนี่... อืม... เป็นเหมือนอย่างที่เจ้าทิมมันพูดเลยนะ” พี่เจพูดพร้อมหัวเราะขำ ...เป็นเหมือนอย่างที่ทิมพูด?!? พูดว่าอะไร?!?
“เอ่อ... ทิมพูดถึงผมว่าอะไรหรือครับ?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก วางใจได้”
ไม่รู้ว่าคะน้าจะคิดไปเองหรือเปล่าเพราะดูเหมือนกับว่าพี่เจ ซึ่งอันที่จริงต้องเรียกว่าเจพูดแบบนั้น มันดูกำกวมในความหมายอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนเจจะรู้เรื่องราวของคะน้าอยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็เรื่องอายุนั่นล่ะ ไหนจะท่าทีที่ดูคุ้นเคยเป็นกันเองมากกว่าคนที่เคยพบครั้งแรกแบบนี้อีก ยิ่งคิดยิ่งน่าสงสัยจนคะน้านึกอยากจะเอ่ยถาม จังหวะนั้นเองที่แนนเดินกลับมาพร้อมกับทิม คะน้าจึงเก็บความสงสัยไว้ในใจต่อไป แนนยื่นน้ำเย็นให้กับเจ
“หัวเราะอะไรกันคะ นินทาแนนหรือเปล่านะ” หญิงสาวหน้ามุ่ยแล้วหันไปกระเซ้าเจ
“กำลังนินทาอยู่พอดีว่าเมื่อไหร่สาวน่ารักๆ ยิ้มหวานๆ แบบน้องแนนของพี่จะมีแฟนกับเค้าเสียที หรือว่าเดี๋ยวนี้หนุ่มๆ มันไม่ได้เรื่องจนผู้หญิงต้องลุกขึ้นมาจีบผู้ชายแทนนะ” เจหันไปหยอกเย้าตอบ
“พี่เจพูดอะไรคะเนี่ย น่าเกลียดจัง” แนนเง้างอดพร้อมกับเหลือบไปมองหน้าทิมเหมือนจะจงใจให้รู้ แต่ชายหนุ่มกลับมองไปทางทีมช่างที่กำลังทำงานอยู่ หญิงสาวจึงหันกลับมาสบตาคะน้าแล้วยิ้มให้แทน
“แนนเป็นผู้หญิงนะคะ จะให้ลุกขึ้นมาตามตื้อตามตอแย มาหาคนที่ชอบถึงที่อะไรแบบนั้น คนเขาจะได้มองไม่ดีเอา”
ลึกๆ แล้วคะน้ารู้สึกอึดอัดกับคำพูด หรือแม้แต่กับรอยยิ้มหวานๆ ของแนนอย่างบอกไม่ถูก จะเรียกว่าจงใจพูดกระทบตัวเขา แนนก็ไม่น่าจะรู้เรื่องอะไรพวกนี้ไม่ใช่หรือ หรือเพราะว่าบางที เขาอาจจะร้อนตัวกับคำพูดที่มันดูละม้ายกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่แบบนั้น ...ใครจะคิดอะไรก็ช่าง กูไม่ได้มาสวีทเฟ้ย กูมาคิดบัญชีกับไอ้ขี้เก็กนี่ต่างหาก!
“สวยๆ น่ารักๆ แบบเรา แถมครอบครัวก็ดี เราน่ะ มีแต่คนแย่งกันจีบล่ะไม่ว่า” เจหยอกล้อกับแนน หญิงสาวหัวเราะแล้วหันไปเกาะแขนทิมที่ยืนอยู่เคียงกัน ทิมจึงหันหน้ากลับมาฟังบทสนทนาอีกครั้ง “พี่ทิมดูพี่เจสิคะ แซวแนนอยู่ได้”
“แนนอยากให้เป็นคนที่แนนรักน่ะค่ะ ไม่ใช่แค่ใครก็ไม่รู้ที่มาจีบเล่นๆ แนนอยากมีคนที่เราเรียกว่าแฟนได้อย่างเต็มปากมากกว่าควงเรื่อยเปื่อยแบบนั้น จะเรียกว่าหัวโบราณก็ได้ แต่บอกตามตรงว่าแนนไม่ชอบค่ะ” หญิงสาวถอนหายใจแล้วหันไปมองที่ทิม หากแต่ทิมยังคงนิ่งเฉยแบบทุกที แนนจึงหันไปยิ้มให้กับเจแบบเก้อๆ แทน
“บางทีก็อยากมีคนที่เรากลับบ้านด้วยกัน คนที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไปเดินเล่นไหนๆ หรือไปนั่งเล่นกันที่บ้าน ...บ้านแนนหรือบ้านแฟนก็ได้น่ะค่ะ เป็นคนที่เข้ากับที่บ้านเราได้ แนนถือเรื่องแบบนี้นะคะ อืม... แล้วก็อาจจะทำอาหารทานกันเอง แนนนั่งทานกันบนพื้นก็ได้ ทานจานเดียวกันก็ได้ ง่ายๆ น่ะค่ะ แนนไม่ชอบอาหารตามร้านน่ะค่ะ ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ คงให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยนะคะ”
แนนยิ้มให้กับความคิดฝันของตัวเอง ผิดกับคะน้าที่นั่งนิ่งแข็งเป็นตอไม้ เมื่อแต่ละอย่างที่แนนพูดออกมา มันช่างเหมือนกับ...
“ก็ใช่ แต่สมัยนี้จะมีใครไปทำแบบนั้นล่ะ ใช้เวลาด้วยกันเหรอ ไปนั่งเล่นที่บ้านเนี่ยนะ ยิ่งทำอาหารกินเองนี่ยิ่งยากไปใหญ่เลย สมัยนี้ใครจะไปมีโมเมนต์แบบนี้ จริงไหมทิม ว่าไหมคะน้า” เจหันไปพยักหน้าให้ทิมแล้วหันกลับมามองหน้าคะน้าที่กำลังนั่งอึ้งๆ คะน้านั่งตัวแข็งทื่อ เผลอกลืนน้ำลายตัวเองโดยไม่รู้ตัวด้วยความที่พูดไม่ออก
...ไม่มีใครทำ ...ไม่มีใครมีช่วงเวลาแบบนี้เหรอ?
โดยอัตโนมัติ คะน้าค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนอยู่เหมือนร้อนตัว เป็นแบบทุกครั้ง ทิมไม่ได้พูดอะไร ผิดเพียงแค่ว่าในครั้งนี้ ดวงตาสีดำขลับของชายหนุ่มไม่ได้มองไปเบื้องหน้าเช่นทุกที หากแต่กลับทอดมองลงมาที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูน่ามองนั่น
...เพียงแค่นี้ ก็รู้สึกร้อนวูบที่หน้าอย่างบอกไม่ถูก“เฮ่ย!” แรงสะกิดเบาๆ ของเจทำให้คะน้าสะดุ้งตัว “เป็นอะไร อยู่ๆ ก็ทำหน้าเหรอหรา”
“เอ่อ... ป..เปล่า ไม่มีอะไรนะ” คะน้ารีบปฏิเสธ เจหลิ่วตาแบบไม่ค่อยจะเชื่อนัก แต่ชายหนุ่มก็ดูจะไม่ได้สนใจจริงจังอะไรกับท่าทางประหลาดของคะน้ามากมายไปกว่าหันไปแซวแนนว่าเพ้อฝันแบบเด็กๆ ผิดกับอีกคนที่ยิ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดี
“กลับกันไหม”
ทิมที่ยืนอยู่หยิบกุญแจรถขึ้นมาแกว่งเล่น คะน้าจึงลุกขึ้นแล้วขอตัวกลับ โดยมีแนนที่มองทิมด้วยสายตาตัดพ้อ หญิงสาวบ่นอุบว่าทิมน่าจะอยู่ต่อให้ครบเวลางาน ส่วนเจก็เอ่ยลาแบบทั่วไป ก่อนจะลุกขึ้นแล้วพูดกับคะน้าเบาๆ ให้พอได้ยินแค่สองคนแล้วเดินจากไป คำๆ นั้นยังก้องอยู่ในหูของคะน้าจนถึงตอนนี้
“...รู้ตัวหรือเปล่าว่านายหน้าแดงอยู่”คิดแล้วก็เซ็ง ไม่รู้ว่าป่านนี้เจจะคิดไปถึงไหน แล้วไหนจะเรื่องที่ทิมไปเล่าไว้ให้ฟังอีก ตัวการของปัญหาทั้งหมดดูจะนั่งสบายใจเฉิบอยู่หลังพวงมาลัยอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“อะไร” ทิมพูดขึ้น ทั้งๆ ที่สายตามองไปที่ไฟแดงข้างหน้าที่ไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวเสียที
“ไปพูดอะไรให้เจฟัง”
“พูดอะไร”
“ก็ไปเล่าอะไรให้เขาฟังบ้างล่ะ ถึงได้พูดอะไรแปลกๆ ทำท่าอะไรแปลกๆ” ทิมชักสีหน้าแล้วหันมาโวยใส่
“สนใจนักนะ แคร์มากหรือไง ไหน? มันคุยกันถูกคอเลยใช่ไหม หมดจากไอ้แว่นก็เอาอีกล่ะสิ ชอบนักล่ะ หัวเราะคิกคัก คุยกับคนนั้นคนนี้”
“บ้าอะไรเนี่ย” หันกลับไปมองทิมอย่างอึ้งๆ
“อย่าคิดว่าไม่เห็น”
“ไม่ต้องมาทำโวยกลบเกลื่อน ไม่อย่างนั้นเจจะรู้จักได้ยังไง ไปพูดอะไรไว้บ้าง อย่าบอกนะว่าเรื่องบ้าๆ ที่ทำเอาไว้” ทิมหันมาแล้วทำหน้าดุใส่
“นั่งเงียบๆ ไปเลย”
“ก็เงียบตั้งแต่แรกแล้วเปล่า ไม่ได้พูดอะไรสักคำ” คะน้าหันไปบ่นใส่ ดูทิมชะงันงันไปเล็กน้อยแล้วขับรถต่อไปแบบเงียบๆ พร้อมกับทำกระสับกระส่ายพิลึกกึกกือก็เริ่มรู้สึกเอะใจ
...อย่าบอกนะว่า ...ว่า ห..หึงคิดขึ้นมาคะน้าก็ใจสั่นแปลกๆ แต่เมื่อเหลือบดูคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่ใบหูเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วก็อดใจเต้นรัวยิ่งขึ้นไปอีกไม่ไหว ลงท้ายถ้อยคำมากมายจึงกลืนหายกลับไปในลำคออย่างช่วยไม่ได้ เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ความเงียบนำพามาซึ่งความรู้สึกมากมายที่ซุกซ่อนไว้ในใจ คิดแล้วก็อยากจะนึกหัวเราะตัวเองที่อยู่ๆ คะน้าก็รู้สึกว่าผู้ชายตัวโตจอมกวนประสาทที่นั่งข้างๆ ในตอนนี้ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก อยู่ๆ ก็นึกอยากจะเข้าไปกอดแล้วฟัดสักหลายๆ ที ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ความสนุกคิดต่อยอดให้กับความคิดประหลาดที่ผุดขึ้นมาในหัว
...ถ้าหอมแก้มทิมตอนนี้จะเป็นยังไง?ในใจเต้นรัวอย่างประหลาด ...อยากรู้ ...อยากเห็น ...อยากลอง
บ้าชะมัด อยู่ๆ ก็คิดว่าทิมดูน่ารัก!!! บ้าไปแล้วที่คิดว่าถ้าทำอย่างที่คิด คนขี้เก็กที่นั่งข้างๆ มันจะเป็นยังไง จะอึ้ง จะทำอะไรไม่ถูก หรือจะทำยังไง คะน้าหายใจติดขัด พยายามอดกลั้นความคิดพิเรนทร์ที่กำลังโลดแล่นอยู่ในหัว ในใจเต้นรัวด้วยความรู้สึกอยากรู้อยากลองอย่างบอกไม่ถูก
“อะไร” ทิมเอ่ยขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทีที่กระฟัดกระเฟียด ริมฝีปากเม้มแน่นจนตึง
“ข..ขอ” คะน้าพูดตะกุกตะกัก ไม่รู้ว่าความคิดห่ามๆ กับความบ้าบิ่นนี่ผุดขึ้นมาได้อย่างไร
“อะไร!” ทิมถามเสียงเข้ม ใบหูยังแดงระเรื่ออยู่ไม่หาย
เห็นแค่นั้นความรู้สึกฮึกเหิมก็ทะยานถึงขีดสุด ความกระหายใคร่รู้อัดแน่นเกินกว่าอคติและถ้อยคำมากมายที่ครุ่นคิดขึ้นมาทั้งวัน ...ไม่พูด ...ไม่ขอให้มากความ คะน้าดันตัวเองขึ้นจนเข็มขัดนิรภัยรั้งตึง หากแต่ความอยากรู้นั้นมากมายเกินกว่าตัวเองจะรู้สึกตัว มือขวาของคะน้าจึงปลดสายเข็มขัดนิรภัยที่ดูเกะกะ เมื่อหมดพันธนาการที่เกี่ยวรั้ง ริมฝีปากของคะน้าก็สัมผัสกับแก้มของคนที่นั่งข้างๆ อย่างแผ่วเบา
...นิ่ม
...นิ่มและให้ความรู้สึกที่ดี
ไม่ได้หอมหวานจนเลี่ยน ไม่ได้นิ่มจนนุ่ม มันมีความกระด้างน้อยๆ บนผิวสัมผัส อีกทั้งกลิ่นหอมแบบไม่ฉุนบนร่างกายของทิมก็ให้ความรู้สึกที่ดีอย่างบอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกว่าไม่พอ ...ยังไม่พอ คะน้าค่อยๆ ถอยตัวเองออก หากแต่ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกลับเรียกร้องมากขึ้น ...ต้องการมากขึ้น ...มากกว่านี้
ชายหนุ่มผู้จู่โจมเผยอริมฝีปากของตัวเองขึ้นแล้วโน้มใบหน้าเข้าหาอีกครั้ง ค่อยๆ ลากไล้ไปที่ใบหูที่แดงระเรื่อ ร่างของคนที่นั่งนิ่งอยู่ชะงักงันก่อนจะเลื่อนไถลลงตามพนักพิงของเบาะ เป็นคะน้าเองที่โจนทะยานไปกับความรู้สึกที่โหยหา ริมฝีปากของคะน้าลากผ่านผิวแก้มเบาๆ แล้วงับบดที่ใบหูที่แดงระเรื่อ ขบเม้มด้วยความรู้สึกฮึกเหิม
กระทั่งรถยนต์เบรคตัวจนแรงเหวี่ยงทำให้คะน้าเซตัวออกจากคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ทิมเหมือนถูกกลืนหายเข้าไปในเบาะหนังที่หนานุ่ม ดวงตาที่เคยดึงดันเบิกกว้างพร้อมกับริมฝีปากที่เผยอขึ้นด้วยความแปลกใจ ...ไม่สิ อาจจะตกใจ ร่างสูงโปร่งหอบสะท้านก่อนที่เสียงแตรรถที่ดังด้านหลังจะดึงให้สติของคนทั้งคู่กลับมาเหมือนเดิม ทิมเอื้อมมือไปฉุดรั้งคะน้าที่เซเสียจังหวะไปขึ้นมา
บ้า... บ้าไปแล้วแน่ๆ นี่เขากำลังทำอะไรอยู่“ข..ขอโทษ ...ขอโทษ ม..มะ” เสียงของทิมดูสั่นๆ แต่ใบหน้าที่คะน้าเห็นในตอนนี้แดงจัดจนเข้ม
“ม..มะ คือ... ตกใจ ม..ไม่เป็นไรใช่ไหม” ทิมจับมือคะน้าแน่น หากแต่คะน้ากลับรู้สึกได้ถึงแรงสั่นไหวบนความแน่นที่บีบรัดนั้น ทิมจ้องตาของคะน้า ร่างสูงยังหอบสะท้านจนเห็นความสั่นไหว ใบหน้าที่คมคายได้รูปรีบเบือนหน้าหนี สักพักก็สะบัดน้อยๆ ไปมา คะน้าเห็นไรฟันขาวๆ ขบบนริมฝีปากล่างจนปลั่งแดง
จู่ๆ ทิมก็ดึงรั้งร่างของคะน้าเข้ามากอดจนแน่น พื้นที่ที่แคบกลับกว้างใหญ่จนน่ารำคาญ ริมฝีปากของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยบดตัวไปบนปากของอีกคนอย่างเหิมเกริม แปลกไปกว่าทุกทีที่คะน้าไม่ได้ถอยหนีแบบครั้งที่ผ่านมา เขาตอบรับทุกสัมผัสที่ถาโถมของทิมอย่างไม่หวั่นเกรง
พระเจ้า... ผมจะอธิบายถึงความรู้สึกในตอนนี้ยังไงอึดอัดไปทั้งตัวเหมือนร่างกายจะระเบิด หายใจไม่ทัน หัวใจมันรู้สึกหวิวๆ ทั้งๆ ที่มันเต้นรัวเหมือนใจจะขาด ร้อนเหมือนเป็นไข้ ทำอะไรก็ไม่ถูก ไม่รู้จะอธิบายอะไรพวกนี้ได้ยังไง แต่คือให้ตายเถอะ ...มันรู้สึกดีชะมัด!
กระทั่งเสียงแตรของรถด้านหลังดังกึกก้องไปบนท้องถนนจนน่ารำคาญ ทิมจึงผละตัวออกอย่างหัวเสีย ชายหนุ่มทุบฝ่ามือลงบนพวงมาลัยรถพร้อมกับลมหายใจที่หอบแรง ทิมหันมาสบตาของคะน้า หัวเราะน้อยๆ ให้กับตัวเองแล้วส่ายหน้าเบาๆ ให้กับสิ่งที่เพิ่งทำลงไป ...เขาเองก็ไม่ต่างกัน คะน้าร้อนวาบไปทั้งหน้า รีบเอื้อมมือจับเข็มขัดนิรภัยขึ้นมาคาดแล้วนั่งนิ่ง นึกโทษตัวเองที่ทำอะไรบ้าๆ ลงไปด้วยความรู้สึกชั่ววูบ แต่กระนั้นก็กลับรู้สึกดีในรสสัมผัสที่ผ่านพ้นอย่างประหลาด
ทุกอย่างนิ่งเงียบจนกระทั่งรถของทิมหักเลี้ยวเข้าสู่คอนโดแล้วจอดสนิทในลานจอดรถ คะน้ารีบพาตัวเองออกจากรถของทิมด้วยความรู้สึกกระดาก แต่เพียงครู่เดียวก็ถูกรั้งไว้ด้วยอ้อมกอดที่แนบแน่นจากด้านหลัง สัมผัสแผ่วของลมหายใจอุ่นบนต้นคอร้อนจนเหมือนไฟ ความอ่อนนุ่มที่พรมไปทั่วลำคอทำให้แทบหมดแรงต้านทาน
“ไปที่ห้องนะครับ” ทิมกระซิบเบาๆ ข้างใบหูแล้วคลอเคลียริมฝีปากตัวเองไปมาอย่างอ้อยอิ่ง
ในใจของคะน้าคึกโครมอย่างประหลาด ความรู้สึกเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมายังค้างคาในความรู้สึก เขายอมรับว่าติดใจกับรสสัมผัสที่ให้ความรู้สึกร้อนวาบในใจนั้น ยอมรับว่ายิ่งได้เห็นท่าทางของทิมที่จำนนยิ่งกระตุ้นเร้าให้อยากรู้ให้มากขึ้นกว่าเดิม ยอมรับว่าถ้อยคำต่อว่าหรือแม้แต่เจตนารมย์เดิมที่จะถอยหนีให้ห่าง มันพังไม่เป็นท่าทุกครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าของคนๆ นี้ และยอมรับ ...ยอมรับทุกอย่างว่าเป็นคนที่ไม่เข้มแข็ง แต่ความรู้สึกพวกนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไรก็ไม่รู้ บ้าชะมัดที่ตัวเองเป็นคนเหลวไหลแบบนี้
...แล้วถ้าทำมากกว่านี้ล่ะ ทิมจะเป็นยังไงนะ
คะน้าหลับตานิ่ง พยายามสลัดคำถามบ้าๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวอย่างไร้ที่มาที่ไป ไม่ชอบให้อะไรๆ มันเป็นแบบนี้ เกลียดตัวเองที่เสียการควบคุมเอาง่ายๆ เพราะทิม...กับสิ่งที่ทิมเป็น แต่ความรู้สึกเหล่านั้นที่ค้างคามันทวีความรุนแรงในใจ
อยากลอง ...ลองให้รู้
อยากรู้ ...อยากรู้ให้มากกว่าที่เคยเห็น
อยากเห็น ...เห็นให้มากกว่านี้
“ได้โปรด ผม...”เสียงทุ้มๆ ของทิมกระซิบแผ่วข้างใบหู ฝ่ามือกว้างลูบไล้เบาๆ ในวงแขนที่กอดกระชับ คะน้าพยายามอย่างหนักที่จะหักห้ามความคิดบ้าๆ ที่ผุดขึ้นมาในหัวสมองอีกครั้ง หากแต่กำแพงแห่งเหตุผลที่หนาหนักกลับพังทลายลงอย่างง่ายดายด้วยคำพูดสั้นๆ ของคนที่ยืนแนบชิดที่ด้านหลัง
“...ผมรักพี่นะครับ”(ยังไม่อยากให้จบใช่ไหมล่ะ 5555 มีต่อด้านล่างนะ)