(ต่อเลยครับพี่น้อง!)
“ถ้าตอบไป จะยกให้หรือเปล่าล่ะ”ตุลลุกขึ้นแทบจะทันที หากแต่คะน้าดึงข้อมือนั้นไว้
หมอหนุ่มหันมามองหน้าคนที่นั่งอยู่อย่างไม่พอใจในความเหนี่ยวรั้ง
หากแต่ดวงตาแสดงออกเต็มที่ถึงถ้อยคำร้องขอของคะน้าทำให้ตุลปราชัย ร่างสูงค่อยๆ นั่งลงแต่โดยดี
“ทำเป็นหมางเมินกันไปได้ ออกจะคุ้นเคยกัน”
ทิมพูดลอยๆ แบบให้ตุลพอได้ยิน คะน้าต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการห้ามทัพ
ส่วนที่อีกโต๊ะ แนนหันมองไปมาด้วยความสับสน หญิงสาวเอ่ยถามทิมด้วยความไม่เข้าใจ
“เอ่อ... มีอะไรกันหรือเปล่าคะ แนนรู้สึกไม่ดีเลย” ทิมหัวเราะขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ
“สงสัยลมมันเย็น
...มั๊ง” จังหวะที่เว้นไว้จงใจยียวนอีกสองคนที่นั่งอยู่อย่างเต็มที่
คะน้ารีบหันไปชวนตุลคุย หากแต่คนที่มาด้วยกลับดูเหมือนจะยั้งโทสะไว้ไม่อยู่เสียแล้ว
“ช่วยหุบปากเสียทีจะได้ไหม!”“กลายเป็นเป็นคนอ่อนไหวไปแล้วเหรอ”
ทิมยักคิ้วให้อย่างอารมณ์ดี ผิดกับแนนที่แทบจะนั่งไม่ติด
“พี่ทิมคะ พี่ทิมไปหาเรื่องเขาทำไม”
“แค่แซวกันขำๆ”
“นี่ไม่ขำแล้วมั๊งคะ พี่ทิมเป็นอะไรคะ พี่ทิมรู้ไหมวันนี้พี่ทิมดูแปลกมาก
ไม่ใช่พี่ทิมที่แนนรู้จักเลย พี่ทิมแปลก ...แปลกจนแนนกลัว”
ทิมดูจะไม่สนใจกับคำพูดของหญิงสาวนัก
หากแต่เป็นคะน้าที่ดูจะสนใจฟังคำพูดที่ร่างเล็กกล่าวออกมา
“เปล่านี่” ทิมปฏิเสธ
“พี่ทิมที่แนนรู้จักเป็นคนพูดน้อยและดูเงียบๆ พูดจาแต่ละครั้งมีความเด็ดขาดและมีความหมายเสมอ
ถึงพี่ทิมจะเป็นคนดุ ไม่ชอบพูดอะไรเล่นๆ แต่ทำไม... ทำไมวันนี้พี่ทิมดูไม่ใช่พี่ทิมที่แนนเคยรู้จักเลย”
หญิงสาวกระซิบถามด้วยเสียงที่แผ่วเบา หากแต่ก็ดังพอที่คะน้าและตุลจะได้ยิน
ทิมเงยหน้าขึ้นสบตาคะน้าเพียงเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบอะไรออกมา
มือกว้างหยิบแก้วสูงขึ้นแล้วดื่มน้ำสีเหลืองที่มีพรายฟองฟูสวยไปหมดแก้ว
ก่อนที่ลัฟเปริตีฟและลองเทร่จะถูกยกเสิร์ฟบนโต๊ะของคนทั้งคู่
ที่โต๊ะของคะน้าและตุล อาหารถูกยกเปลี่ยนจาก เลอเปรต์แปรงซิปาล
หรืออาหารจานหลักเป็น เลอโฟรมาช ซึ่งเป็นจานชีสที่นับเป็นธรรมเนียมของคนฝรั่งเศส
ที่จะรับประทานในมื้ออาหารหลังจานหลัก ก่อนสิ้นสุดด้วยขนมหวาน
กาแฟและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดแรงปิดท้าย
แม้ว่ารสชาติของจานอาหารจะเอร็ดอร่อยเพียงไหน
หากแต่บรรยากาศของมื้ออาหารกลับเลวร้ายอย่างเหลือเชื่อ
ใบหน้าที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มของตุลขรึมเข้มจนน่ากลัว
สันกรามถูกกัดแน่นจนนูนสูง เขาไม่ได้ทานอาหารอะไรอย่างที่อยากทาน
และไม่ได้พูดจ้อแบบทุกครั้งที่พบเจอ ตุลในเวลานี้เพียงแต่นั่งนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
บ่อยครั้งที่แก้วไวน์ที่เต็มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้มจะถูกยกขึ้นแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด
ครั้งแล้วครั้งเล่าจนไวน์ขวดใหม่ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ
แม้จะพยายาปรามไว้หากแต่หมอหนุ่มก็ดูจะไม่รับฟัง
เมื่อไม่รู้จะทำให้บรรยากาศต่างๆ ดีขึ้นได้อย่างไร
คะน้าจึงเอาส้อมของตัวเองจิ้มชีสจากจานแล้วส่งให้ตุลเพื่อถ่วงเวลา
“ทานหน่อยนะ ผมทานชีสไม่เก่ง เหลือก็เสียดาย”
คะน้าพูดเหมือนบ่น และนั่นกลับดูเหมือนจะได้ผล ตุลหันหลับมามองจ้องแล้วหัวเราะน้อยๆ
ดวงตาชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ ร่างสูงค่อยๆ ยื่นหน้ามา
แล้วกัดชิ้นชีสจากปลายส้อมของคะน้าด้วยสายตาวับวาว
และในวินาทีนั้น กลับกลายเป็นเสียงของแนนที่ร้องขึ้นจนคะน้าและตุลตกใจ
“พี่ทิมเป็นอะไรคะ ทำไมทำหน้าแบบนั้น ไม่ถูกปากเหรอ”
คะน้าเงยหน้าขึ้นมองตามเสียง เห็นแววตาดุที่จ้องเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ร่างสูงที่เคยดูสง่ากลับดูลนไปมาด้วยความหัวเสีย
ทิมยกมือขึ้นแล้วก็วางลง ริมฝีปากเผยอขึ้นเหมือนตั้งท่าจะขย้ำให้ได้
“ไม่ชอบ!”“งั้นก็อย่าฝืนทานเลยค่ะ สั่งอย่างอื่นทานดีกว่า”
หญิงสาวเรียกบริกรมารับจานไปจากโต๊ะ
แล้วบอกให้ยกจานหลักซึ่งเป็นจานต่อไปในคอร์สลงเสิร์ฟต่อทันที
ฝั่งตุลเองก็กลับมาหัวเสียดังเดิมเมื่อได้ยินเสียงของทิม
แม้คะน้าจะไม่ค่อยเข้าใจทุกอย่างระหว่างตุลและทิมนัก
และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคน ความรู้สึกฉุนเฉียวของทิม
หรือแม้กระทั่งท่าทีที่ไม่พอใจของตุล เหมือนต่างฝ่ายต่างเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของกันและกัน
หากแต่ร่องรอยที่ต้นคอเมื่อวันก่อนนั้น ดูเหมือนว่าจะสวนทางกับทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้เหลือเกิน
...ความจริงคืออะไร?“ทานอีกไหมครับ” คะน้าจิ้มชีสอีกชิ้นแล้วส่งป้อนให้ตุลด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้
กับสถานการณ์ตรงหน้า แม้จะยังมีท่าทางหัวเสียแต่ตุลก็ยิ้มรับแล้วโน้มตัวเข้ามาใกล้
หมอหนุ่มเอาส้อมสีเงินจิ้มชีสอีกแบบจากจานของตัวเองขึ้นมาบ้างแล้วส่งป้อนให้กับคะน้า
“อ้วนลองนี่ไหม อร่อยอยู่นะ”
คะน้ายื่นหน้าไปทานด้วยความเกรงใจ ไม่ได้รู้สึกนึกชอบชีสเท่าไหร่
แต่ก็จำใจทานแต่โดยดี แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สะดุ้งเฮือก
คราวนี้ ทิมยกมือขึ้นชีหน้าของคะน้าอย่างไม่เก็บอาการ
ใบหน้าแดงกล่ำเหมือนสิงโตที่ดุร้าย ดวงตาลุกวาวด้วยความโกรธ
ทิมนั่งแทบไม่ติด ลุกลี้ลุกลนจนแนนปรับตัวตามไม่ถูก
หญิงสาวเอาแต่พร่ำถามว่าอาหารไม่ถูกปากหรือเปล่า
หากคนเอาแต่ใจยังหันถลึงตาดุใส่พร้อมกับหันไปตอบหญิงสาวที่นั่งด้วยแบบขอไปที
คะน้ารีบหลบสายตา รู้สึกแปลกใจกับท่าทางสุดแสนประหลาด และอารมณ์ที่ไม่คงที่ของทิม
รู้ว่าไม่พอใจ แต่เพราะสาเหตุอะไร ที่ยุ่งกับตุลหรือ ถึงทำหมางเมินใส่กัน
คิดแล้วคะน้าก็รู้สึกแปลบขึ้นมาในใจอย่างไร้สาเหตุ
ถึงกับยกแชมเปญขึ้นดื่มเพื่อสลัดความรู้สึกแย่ๆ นี้ออกไป
แล้วก็นั่งทานชีสจากปลายส้อมของตุลด้วยความมึนงง
“อร่อยล่ะสิ กินใหญ่เลยนะ อ้วนเอ้ย!” คะน้าแทบสำลักแต่ก็จำใจทานต่อ
เมื่อเห็นตุลกลับมาสดใสอีกครั้ง รอยยิ้มทรงเสน่ห์นั้น ทำงานของมันอีกครั้ง
“แนนชิมนี่สิครับ แลมป์นี่นุ่มมาก ไม่มีกลิ่นด้วย”
ทิมเอามีดค่อยๆ หั่นโครงแกะเล็กๆ ที่เรียงสวยอยู่บนจานอย่างกระฟัดกระเฟียด
แล้วส่งป้อนให้กับหญิงสาวที่นั่งร่วมโต๊ะในนาทีถัดมาด้วยใบหน้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อ
เป็นท่าทางที่น่าตลกขบขัน แต่แปลกเหลือเกิน ...แปลกที่จู่ๆ
คะน้าก็รู้สึกวูบในใจขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่มันควรเป็นแค่เรื่องธรรมดา
หากแต่ความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นฉับพลันทันใดนั้น กลับแปลกจนอธิบายไม่ถูก
...ขำไม่ออกข้างในมันเหมือนกับผ้าที่ถูกขึงตรึงจนแน่นราวกับจะถูกฉีกกระชากจนขาดในพริบตา
และช่วงวินาทีที่ทรมานที่สุดนั้น กลับเจ็บทบเท่าทวีคูณ
คล้ายกับเอาปลายมีดแหลมค่อยๆ กรีดลงช้าๆ ที่กึ่งกลางใจ
คะน้าอึ้งไปอย่างเห็นได้ชัด และความเปลี่ยนแปลงนั้นอยู่ในสายตาของทิมโดยตลอด
ณ อีกด้านหนึ่งของโต๊ะ คนที่นั่งตรงกันข้ามชะงักไปเช่นกัน
เพียงเสี้ยววินาทีนั้น ทิมก็พยักหน้าแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
ชายหนุ่มบรรจงป้อนหญิงสาวที่มาด้วยด้วยท่าทีที่อ่อนโยนผิดกับภาพเดิมเมื่อครู่
ยกมือขึ้นป้อนจนคล้ายภาพของคู่รักในช่วงเวลาดูดดื่ม
ผิดเพี้ยนไปก็เพียงที่แววตากลับจับจ้องลึกไปในดวงตาของคะน้าหาใช่หญิงสาวตรงหน้าไม่
ทิมยิ้มมุมปากราวกับรู้สึกพึงพอใจในบางสิ่งบางอย่าง
ร่างบางของแนนบิดตัวไปมาด้วยความสะเทิ้นอาย
หญิงสาวกล่าวขอบคุณคนตรงหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แทบจะทันทีทันใด คะน้ารู้สึกฉุนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ชอบใจกับสิ่งที่ทิมทำอยู่เป็นอย่างมากอย่างหาเหตุผลให้กับตัวเองไม่ได้
ใครๆ ก็รู้ว่าทิมกำลังแกล้ง แต่ทำไมต้องไปแกล้งแนนแบบนั้น
ทั้งๆ ที่เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย หากแต่ยิ่งแสดงออกถึงความไม่พอใจออกไปเท่าไหร่
กลับกลายเป็นเหมือนอีกฝ่ายกลับยิ่งทำทุกอย่างให้มากยิ่งขึ้น
“อีกชิ้นนะครับแนน”
คะน้ารู้สึกเซ็งกับสิ่งที่ทิมทำเป็นอย่างมาก ชีสนมแพะชื่อประหลาด
ที่รสชาติไม่ถูกปากตรงหน้ายังให้ความรู้สึกที่ดีกว่าสำหรับคะน้าในเวลานี้
คะน้าได้แต่ตั้งหน้าตั้งตากินให้มันหมดๆ ไป ผิดกับตุลที่รู้สึกแปลกใจ
และคิดว่าคะน้าชอบรสชาติของมัน หมอหนุ่มจึงสั่งเพิ่มมาอีกจาน
“Roquefort บลูชีสตัวนี้ดีมากเลยนะ ลองดูๆ” ว่าแล้วก็เอาส้อมจิ้มขึ้นมาแล้วตั้งท่าป้อนคะน้า
แม้จะรู้สึกผงะกับหน้าตาชีสที่ดูเหมือนขึ้นราและสีฟ้าเข้มแปลกๆ ที่แทรกอยู่เนื้อใน
หากแต่ใบหน้าที่ดูมีความสุขของตุลทำให้คะน้าไม่รู้จะปฏิเสธยังไง ...เหม็นและฉุนจนแทบขาดใจ
ที่โต๊ะถัดไปก็ดูจะตกอยู่ในสถานการณ์แปลกพอกัน
ทิมหั่นขาแกะชิ้นโตแล้วส่งให้แนนเหมือนจะยัด
คำต่อคำส่งต่อราวกับเครื่องจักรที่ลำเลียงผ่านสายพาน
“พี่ทิมคะ แนนไม่ไหวแล้วค่ะ อิ่มจะแย่แล้ว”
“ทานนะ”
“แนนอิ่มค่ะ”
“ทานสิครับ”
ว่าแล้วก็ยัด เอ้ย! ป้อนขาแกะที่ราดเกรวี่ซอสชุ่มฉ่ำให้หญิงสาวเป็นระวิง
ส่วนคะน้าก็แทบจะเรอออกมาเป็นกลิ่นชีสเอาเสียให้ได้
หัวสมองในตอนนี้ ไม่ได้มีคำถามอะไรวุ่นวายจนปวดหัว
คะน้าคิดว่าถ้าเปิดออกดูคงจะมีแต่บลูชีสและสีฟ้าๆ แซมเป็นจุดๆ
แบบที่ทานไปมากมายนั่นแหละ คะน้าตั้งหน้าตั้งตาทานตามที่มี
แต่เห็นท่าทางของตุลกับผู้หญิงคนนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขัดตาอย่างบอกไม่ถูก
ชายหนุ่มจึงแย่งส้อมจากตุลมาหยิบจ้วงเองให้มันหมดๆ ไป
เพื่อที่จะได้พาตัวเองออกจากสถานที่ตรงนั้น
ไม่ต่างอะไรกับทิม ยิ่งเห็นท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใยของตุลที่ดูแลคะน้าอย่างไม่วางตา
ทั้งการปลอบเพราะกลัวสำลัก หรือคำพูดด้วยความห่วงใยว่าระวังติดคอก็ยิ่งไม่พอใจ
ทิมป้อนอาหารทั้งจานให้กับแนนจนตัวเองไม่ได้ทานแม้แต่คำเดียว
และนั่นยิ่งทำให้คะน้ารู้สึกน้อยใจขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
หากแต่ความผิดปกติของคนทั้งคู่ล้วนอยู่ในสายตาของตุล
หมอหนุ่มขยับแว่นสายตาที่สวมใส่อยู่เล็กน้อย
เขามองคะน้าที่นั่งทานมือเป็นประวิงตรงหน้าด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย
ร่างสูงผ่อนลมหายใจออกบางเบาแล้วนั่งนิ่ง แล้วหยิบไวน์แดงขึ้นดื่มเงียบๆ ต่อไป
มื้ออาหารจบลงด้วยความยากลำบาก ตุลพาคะน้าออกมาจากที่ร้านด้วยอาการเซเล็กน้อย
จึงเป็นคะน้าที่พยุงตุลมาที่รถและขับพาส่งกลับบ้าน
ชายหนุ่มหันมามองคนใส่แว่นที่นั่งเงียบๆ ด้วยความเป็นห่วง
“วันนี้ตุลดื่มเยอะนะ” ตุลหันกลับมายิ้มให้ รอยยิ้มนั้นยังคงดูอบอุ่นเหมือนทุกๆ ครั้ง
“นานๆ ที”
จริงอย่างที่ตุลว่า โดยปกติแล้วตุลไม่ใช่คนที่ดื่มอะไรมากมาย เรียกได้ว่าน้อยมากเลยทีเดียว
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่คะน้าเห็นตุลดื่มค่อนข้างเยอะแบบนี้
แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก ในเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นมา
...ความจริงคืออะไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งจนปัญญาจะคาดเดา สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างตุลกับทิมที่เขาไม่รู้
...ไม่คิดอยากจะรู้ คะน้าไม่แน่ใจว่าจะเอ่ยถามดีไหม
และถ้าถามออกไป จะถามอย่างไรให้เหมาะหรือควร
การไปจุ้นจ้านเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ดูเหมือนจะไม่ใช่นิสัยของคะน้าเลย
...คนรักกัน ก็ต้องเรียนรู้ที่จะไว้ใจกันไม่ใช่หรือ?คะน้าเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ที่มองเหม่อออกไปที่ริมหน้าต่าง
ไม่ช้าไม่นาน หวังว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม บางที
...บางที ตุลอาจจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เขารับฟังก็ได้
คะน้าไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเท่าไหร่ และไม่รู้ว่าควรหรือไม่ควรทำสิ่งใด
ทุกอย่างดูสับสนวุ่นวาย การที่มีตัวตนอยู่ของตัวเขาได้ทำร้ายหรือทำลายตุลหรือเปล่า
ถ้าหากตัวคะน้าคือสิ่งที่ทำให้อนาคตของตุลต้องชะงัก ...มันคุ้มกันหรือ?
แต่หากเลือกจะจากไปก็ไม่รู้จะทนกับความรู้สึกตัวเองได้นานแค่ไหน
แล้วทิม... เกี่ยวข้องกับตุลยังไง?
คะน้าชะลอความเร็วของคันเร่งก่อนจะหักพวกมาลัยรถยนต์เพื่อเลี้ยวเข้าไปในบริเวณคอนโด
หากแต่จะตั้งคำถามกับตัวเอง อีกด้านก็จนปัญหาจะหาคำตอบ
ทิมต้องการอะไร การแสดงออกที่ชัดเจนทุกครั้งที่เห็นต่อหน้า
กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งกับตุล รวมถึงการปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงที่ชื่อแนนในวันนี้
...ความรู้สึกที่มี และคำสัญญาที่ตั้งใจไว้ สิ่งไหนมีน้ำหนักกว่ากันถามว่ารักทิมไหม ...ก็รัก ...คิดว่ารัก
ถามว่ารักตุลหรือเปล่า ...ก็ปฏิเสธไม่ได้
แต่ถามว่าตัวเองเหมาะสมกับใครสักคนไหม
คะน้าพบว่ามีเพียงความหวาดหวั่นที่ก่อตัวขึ้นมาในใจ
เทียบกับหมอก้อยที่ดูจะเติมเต็มในทุกสิ่งที่ตุลมองหา ทั้งเธอก็ยังรักและห่วงใยตุลไม่แพ้ใคร
ดูก็รู้ว่าหมอก้อยเหมือนกับปีกที่พาให้ตุลโบยบินไปสู่ความสำเร็จในงานที่เขารัก
หรือแม้เทียบกับผู้หญิงที่ชื่อแนนที่พบวันนี้ เธอดูเหมือนฝันของผู้ชายทุกคน
ถ้าเลือกได้ ตัวเขาเองคงรู้สึกดีใจแค่ไหนที่ได้ดินเนอร์กับผู้หญิงแบบแนน
ท้องฟ้าในคืนนี้ดูมืดหม่นกว่าทุกครั้ง พระจันทร์เสี้ยวเร้นกายอยู่ในเมฆก้อนหนา
มีเพียงแสงรำไรจากประกายของดวงดาวที่ทาบทอขอบฟ้าสีดำให้ชวนมอง
อีกไม่นานพระจันทร์ก็คงกลับมาเต็มดวงอีกครั้ง อีกไม่นานทุกๆ อย่างก็จะผ่านไป
และอีกไม่นาน ...อีกไม่นานก็จะถึงวันนั้น
...วันที่ครบสิบห้าวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ช่วงนี้เป็นช่วงที่เขียนไปก็เบื่อไป อยากจะให้มันผ่านไปเร็วๆ เหมือนกัน
ดังนั้นก็อีกไม่นานแหละ ทนกันอีกสักแป๊บ สองแป๊บ สามแป๊บ สี่แป๊บ
ห้าแป๊บนะคับ ชักจะหลายแป๊บแล้วแฮะ 5555
จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรโหดหรอกครับ ไม่ต้องกลัวดราม่าจัดๆ ไม่มีแน่ๆ
อย่างที่บอกว่าอดทนกันนิดนะครับ ก่อนจะเจอไม้เด็ดของคนเขียน
ไม่บอกหรอกว่าเป็นอะไร แต่ในไม่ช้านี้ ไม่กี่ตอนแล้วล่ะ coming soon!!!!
บวกคะแนนให้กับทุกคอมเมนต์แทนคำขอบคุณในน้ำใจและกำลังใจนะครับ
คิดถึงทุกๆ คนจัง (ขอออดอ้อนคนอ่านนิดนึง แหะๆ
)
สุดท้ายนี้
ขอเนียนกอดทุกคนแน่นๆ ก่อนจะชิ่งหนีไปโดยไว