ขอกอดพร้อมกับสวัสดีทุกๆ คนนะครับ อ่านคอมเมนต์แล้วรู้สึกปลาบปลื้มตื้นตันใจ
ตอนที่ 14 นี่ยาวหน่อยนะครับ ตัดสินใจลงรวดเดียว เอาให้อ่านกันให้ตาลายกันไปข้าง
เพราะว่าอย่างเร่งเนื้อหาช่วงประมาณนี้ให้มันผ่านไปเร็วๆ สักหน่อยนั่นเอง
เอาล่ะครับ ใครที่คิดถึงจันทูสุดสวย ตอนนี้คิดว่าพอจะหายคิดถึงกันบ้างล่ะเนอะ ^ ^
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 14
นับจากวันนั้นก็เป็นเวลาห้าวันแล้ว หากแต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
รอยแผลที่ปากหายสนิทแล้ว โชคดีที่มันเป็นเพียงแผลเล็กๆ ไม่ได้สะดุดตาใครๆ
แต่คะน้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทิมต้องการอะไรกับการทำตัวเป็นอันธพาลแบบนั้น
...หรือทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่คำขู่ที่ไว้แกล้งกัน หรือมันเป็นก็เป็นเพียงแค่
เกมสนุกๆ ที่มีไว้ใช้การแกล้งหยอกแบบการกระทำแปลกๆ ที่ผ่านมา
...หรือมันก็แค่นิสัยห่ามๆ ของผู้ชายเวลาเอามาเล่นกัน ไม่ถือสาหาความ
จนปัญญาจะคิดอะไรในเวลานี้ให้มากมาย เมื่อทุกอย่างมันยังไม่เกิด
บางที อาจจะเป็นเราเพราะคิดมากไปเองก็ได้ มันคงไม่มีอะไรแบบนั้นหรอก
ในเมื่อไม่เคยทำอะไรให้โกรธหรือแค้นใจกัน ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาทำร้ายกันไม่ใช่เหรอ
ที่สำคัญ กับผู้ชายเหมือนกัน ทิมก็คงไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้ว
...มันคงไม่เหมือนกับเราตลาดยังคงเงียบแบบหลายๆ วันที่ผ่านมา คนเดินตลาดน้อยจนพ่อค้าแม่ขายนั่งสัปหงกกันแล้วกันเล่า
คุณลูกค้าหายไปไหนกันหมดนะครับ ช่วยมาเดินตลาดกันทีเถอะ ผมเบื่อจะแย่อยู่แล้ว
ยิ่งเวลาว่างยิ่งเยอะก็ยิ่งคิดมาก ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเครียด และยิ่งเครียด ...เครียดแบบจัดๆ เลยเมื่อ...
คะน้าเหล่ไปมองหญิงสาววัยขบเผาะในชุดสายเดี่ยวสีบานเย็น ซึ่งตัดกันฉูดฉาด
กับกางเกงสีเขียวมะนาวสะท้อนแสงสั้นเต่อ ผิวสีน้ำผึ้งที่เข้มคล้ำ ...ไม่สิ อันที่จริง
น่าจะเรียกว่าสีน้ำปลาจะดีกว่า วอกจนน่าตกใจด้วยแป้งพม่าที่พอกจนเหลืองอ๋อยทั้งตัว
จันทูหันไปโปรยยิ้มให้กับพ่อค้าแม่ค้าแผงใกล้เคียงราวกับซุป’ตาร์ประจำตลาด
เสียงเฮดังลั่นพร้อมกับเสียงหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล
เมื่อจันทูยืนเด่นเป็นสง่าแล้วเด้งหน้าเด้งหลังในท่าพิลึกกึกกือ
ได้โปรดอย่าคิดภาพตามเลยครับ เพราะมันเป็นภาพที่ไม่ส่งเสริมจินตนาการใดๆ ทั้งสิ้น
อ้อ... เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรจะมองนะ ไม่สิ! ขอร้องเถอะ อย่ามองเลย
“พอเถอะจันทู อายเค้า” คะน้าเบือนหน้าหนีเมื่อสาวเกาหลี
ที่ไปพลัดเกิดในครรภ์คนพม่าเดินเข้ามาใกล้ แล้วเด้งๆๆๆๆ
โปรดอย่าคิดว่าเป็นหน้าอกหน้าใจเลยนะครับ
ผมหมายถึงหน้าท้องหลามๆ ของจันทูต่างหาก
“โอ๊ปป้า! กำนันสไตล์!!!” จันทูเด้งจนกระเพื่อม
“เอ่อ... เค้าร้องกังนัมสไตล์ไม่ใช่เหรอ” คะน้าเกาหัวแกรกๆ ด้วยความเครียด
ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อจันทูยื่นหน้ามาใกล้ แล้วถลนตาใส่
“กำนันสไตล์!!!!!!” จันทูอ้าปากกว้างราวกับปีศาจพ่นพลัง
แผดเสียงหมื่นเดซิเบลจนขี้หูแทบจะหลุดออกมาเต้น
...โอ้ย ขอกูสามคำเหอะ จันทู
มัน-เหม็น-มาก!!!
ระหว่างที่คะน้าเอามืออุดจมูกยอมขาดใจตายคาที่อยู่นั้น เสียงกริ๊ดก็ดังขึ้นจากมุมตลาด
ไม่บอกก็รู้ว่าหายนะกำลังจะมาเยือนที่แผงของคะน้าแน่ๆ
เมื่อ
สายใจ ...หอยใหญ่หอยสด เดินส่ายอาดๆ ส่งเสียงกริ๊ดกร๊าดเข้ามา
“กำนันผู้ใหญ่บ้าน บ้านแกสิอีจันทู หน้าอย่างแกเนี่ย ไปร้องเพลงคันหูไป๊ ทุเรศลูกตา”
ก็ยอมรับว่ามีหลายครั้งที่คะน้าแอบเห็นด้วยกับสายใจเบาๆ
“ทำอะไรที่มีดูอุบาศว์ๆ น้อยกว่านี้หน่อย คนเดินตลาดหายหมดก็เพราะแกนั่นแหละ”
จันทูหยุดเต้นทันที แล้วเดินมามองหน้าสายใจด้วยเซ็ง สาวพม่านัยน์ตา Korea ยื่นหน้ามา
กระทั่งแนบชิดเหมือนกับจะมีเรื่องกัน คะน้ารีบลุกขึ้นมาตั้งท่าจะห้ามทัพ แต่คนอย่างสายใจไม่เคยกลัว!
“มองอะไรยะ ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ” สายใจเขม่นมองหัวจรดเท้าแล้วทำหน้าแหยงๆ
ยืดอกไซส์บึ้มเป็นไข่ฟูเข้าหาแล้วมองไข่ดาวตะหลิวตบรีดน้ำมันแบบจันทู
ก่อนจะส่ายหน้าแล้วยกนิ้วก็มาดีดเลียนแบบท่าเซเลปคนดังที่เพิ่งเป็นข่าว
“ไหวป่ะ!!!”
ไม่มีอก แต่จันทูก็แอ่นพุงสู้ไม่ถอย! ฆ่าไม่ได้หยามก็ไม่ได้
มีหรือจันทูจะยอมรามือ และทันใดนั้นเอง...
“โอ๊ปป้า! กำนันสไตล์!!!!!!”คราวนี้จันทูเด้งเหมือนคนโดนไฟช็อต ผมเผ้าที่มัดรวบอยู่สยายออกราวกับคนบ้า
สายใจสะดุ้งเฮือกคล้ายคนโดยอาคมเขมรต้องห้าม! ตั้งท่าจะถอยหนี แต่...
“กำนันสไตล์!!!!!!”ไส้เดือนโดนขี้เถ้ายังต้องตีไฟเลี้ยว ท่วงท่าปริศนาที่เหมือนระบำบูชาภูติผีพม่าอะไรสักอย่างของจันทู
ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อสภาพจิตแค่เฉพาะสายใจ เพราะแม้แต่คะน้าที่เห็นบ่อยๆ ยังมีอึ้ง ทึ่ง (ไม่)เสียว
...ช่างไม่เหลือเค้าของต้นฉบับเลย เมื่อหันไปมองสายใจก็อดสงสารไม่ได้
สายใจกริ๊ดสะดุ้งตกใจสุดพลังราวกับเห็นผีมาทั้งป่าช้า คะน้าถึงกับเอามือกุมขมับ
ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แม่ค้าหอยทอดสุดสวยกรีดร้องเหมือนคนสติไม่ดี
ถอยกราดด้วยความตกใจ สายใจสุดสวยปากสั่นอุทานด้วยความงันงก
“อีจันทู! ก...กูมีพระนะ!!!!” สายใจหอบสั่น
น่ากลัวยิ่งกว่าพายุแกมี เมื่อเจอกับแกไม่มี(อะไรจะเสีย)กันอีกแล้วแบบสองสาวนี้
และกว่าเหตุการณ์จะสงบลง ก็พาเอาเหล่าพ่อค้าแม่ค้าที่นั่งสัปหงก
ลุกขึ้นมาขำจนปวดท้อง ตีนกาขึ้นมาทักทายราวกับเพื่อนสนิทกันเป็นแถว
...จันทู ...สายใจ อย่าเป็นแม่ค้าเลย เธอสองคนน่าไปจับคู่เล่นตลกคาเฟ่ซะจริงๆ
“ดูสิคะ” ตั้งสติได้ สายใจทำหน้าออเซาะ กวาดสายตามองไปรอบๆ ตลาด
มือไม้เลื้อยเกาะตัวคะน้าเป็นหนวดปลาหมึก “เหงาหงอยมากเลยนะคะพี่คะน้า”
...ฟองน้ำ เอ้ย! หน้าอกหน้าใจเบียดบี้เข้ากับต้นแขนของคะน้าเต็มที่
อีกฝ่ายมีหรือที่จะยอมแพ้ จันทูเบ้ปากแล้วเดินมาเกาะแขนอีกข้างของคะน้า
มีอะไรที่เธอสู้สายใจไม่ได้! ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มองหน้าอกของสายใจ
แล้วสูดลมเข้าปอดให้ลึกที่สุด ...เอามันบดบี้กลับช็อตต่อช็อต
...พุงนะ
“เปนราย หล่อนเถิง
เหงาหอย” จันทูทำหน้าสะอิดสะเอียน
“เหงาหงอย!!!!!” สายใจกริ๊ดจนเจ๊เป็ดถึงกับยกมือมาอุดหู
“อีบ้า! อีผีลูกกรอก หอยชั้นไม่เคยเหงาย่ะ อีนี่”
พูดจบก็หันมาสะดุ้งเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายืนอยู่ข้างๆ คะน้า
“ว๊า แย่จัง เค้าพูดไรออกไปม๊ะรู้วววว์” คะน้ามองตาปริบๆ
ชักสงสัยว่า หรือจริงๆ สายใจก็มาจากพม่าเหมือนกัน?
“พอๆๆ อย่าทะเลาะกัน” คะน้าห้ามศึกก่อนจะบานปลายไปไกล
และหลังจากคึกครื้นกันพอเป็นพิธี คะน้าก็หันมาพูดสิ่งที่อยู่ในความคิดมาหลายวัน
“เจ๊เป็ด จริงๆ แล้วฉันก็คิดมานานแล้วนะ อยากทำอะไรให้ตลาดนี่มันดีขึ้นน่ะ
ฉันว่าพวกเราลองมาจัดตั้งกรรมการตลาดกันดีไหม”
คะน้าหันไปถามเจ๊เป็ดที่อยู่คู่กับตลาดแห่งนี้มานาน
“มันคืออะไรวะ ไอ้คะน้า” เจ๊เป็ดถามกลับ
สายใจและจันทูก็หันกลับมาฟังด้วยความสนใจ
“กรรมการตลาดก็คือพ่อแม่พี่น้องชาวตลาดเรานี่แหละ ไม่ได้มีเงินเดือนหรอกนะ
เหมือนอาสาสมัครน่ะแหละ เป็นตัวแทนที่เราเลือกขึ้นมาเพื่อเป็นหูเป็นตา
คอยรับเรื่องต่างๆ จากชาวตลาดของเราแล้วมาปรับปรุงตลาดเราไงจ๊ะ”
“ฟังดูมันก็เข้าท่าดี แต่มันยังไงวะ” เจ๊เป็ดงง
“นั่นสิพี่คะน้า อะไรเหรอจ๊ะ” สายใจก็สงสัยเช่นกัน
คะน้ายิ้มแล้วอธิบายเรื่องเกี่ยวกับระบบต่างๆ ที่เขาซุ่มคิดมาสักพัก
เพื่อพัฒนาตลาดแห่งนี้ให้ดียิ่งขึ้น เหล่าพ่อค้าแม่ขายเริ่มให้ความสนใจ
แล้วเดินมารวมกลุ่มกันฟัง ต่างก็เห็นด้วยและคิดว่าน่าจะทำให้ตลาดกลับมาดูคึกคักได้อีก
นึกถึงภาพวันวานที่เขาและผักกาดวิ่งตามป๋าและแม่เดินตลาดแห่งนี้
ตลาดที่เหมือนกับบ้านหลังที่สอง เหมือนกับสนามเด็กเล่น
และเป็นเหมือนกับโรงเรียนตอนปิดเทอมฤดูร้อน
ป๊ามักจะพามาเขาและผักกาดเดินทักทายเหล่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาด
ก่อนจะมาหยุดที่แผงเล็กๆ ที่ขายไข่ไก่จากฟาร์ม
มะพร้าวอ่อนจากสวน และไอศกรีมเย็นๆ ฝีมือของแม่
เจ๊เป็ด แม่ค้าขายผักแผงข้างๆ ที่เป็นสาวรุ่นหน้าตาสะสวย
มักจะเดินมาเล่นกับเราสองคนประจำ บางครั้งก็นั่งป้อนไอศกรีมอร่อยๆ ให้เราสองคนกิน
...คนละถ้วยโตๆ เลยล่ะ รู้ไหมว่าไอติมเย็นๆ ของแม่อร่อยกว่าขนมอะไรบนโลกนี้
และตลาดของป๊าก็ดูคึกคักครื้นเครง ไม่มีสักครั้งที่พื้นที่แห่งนี้จะเงียบเหงา
...มีความทรงจำมากมายอยู่ที่นี่...ป๋าครับ ...แม่ครับ ในเมื่อป๋ากับแม่มอบมันให้กับเจ้ผักกาดและต่ายดูแล
ต่ายจะทำให้ตลาดของป๊ากับแม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
จะต้องมีตลาดแห่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ ให้ได้ จะไม่ทำให้ป๋ากับแม่ผิดหวังครับ
คะน้านิ่งรอฟังความคิดเห็นของเหล่าพ่อค้าแม่ขาย และเป็นไปตาคาด
ทุกอย่างเป็นที่ยอมรับของพี่น้องชาวตลาด ทุกคนเห็นดีเห็นงาม
กับแนวคิดการปรับระบบให้เป็นระเบียบขึ้น แทนที่จะเป็นตลาดสดแบบเดิมๆ
คะน้าภูมิใจกับก้าวเล็กๆ ของการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
จันทูเดินมาใกล้ๆ แล้วส่งยิ้มให้ คะน้าจึงยิ้มตอบอย่างมีความสุข
จันทูแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ดวงตาเป็นประกายวิ๊งๆ
“หล่ออ่ะ โกดไลค์ ละมาขึ้นอิน รีเลชั่นฉิบกานป่ะ”
ฉิบเหรอ ฉิบหายล่ะสิกู คะน้ารู้สึกขนลุกเกรียว
เย็นวันนั้น ตุลแวะมารับคะน้าที่ตลาดแล้วพาแวะไปทานข้าวเย็น
คะน้าเล่าเรื่องที่ตลาดให้ตุลฟัง แล้วก็เป็นไปตามคาด
จันทูสุดสวยเป็นเรื่องที่เรียกรอยยิ้มได้เสมอ หากแต่คะน้าก็ลอบเห็นใบหน้าที่ครุ่นคิดของตุล
ชายหนุ่มเหมือนมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ...อาจจะเป็นเรื่องงาน
พักหลังๆ ตุลมารับคะน้าช้าลง บางครั้งหนึ่งชั่วโมง บางครั้งก็สองชั่วโมง
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะคะน้ามักมีอะไรให้ทำที่ตลาดเสมอ
“ช่วงนี้งานเครียดๆ เหรอครับ” ตุลยังคงสงบนิ่ง
คิ้วเข้มขมวดจนยุ่งเหยิง จนคะน้าต้องถามย้ำ
“เอ้อ... โทษทีนะอ้วน ตุลคิดอะไรเพลินๆ น่ะ”
“ยังคิดเรื่องบทความที่จะเขียนลง journal เหรอครับ”
คะน้าเอ่ยถามเมื่อเห็นดวงตาที่มองเหม่อของตุล
“อะไรๆ มันมีปัญหานิดหน่อยน่ะ ทั้งเรื่องงาน เรื่องอื่นๆ”
“ถ้ามีอะไรที่ผมพอช่วยได้ ตุลไม่ต้องเกรงใจนะ”
ตุลหันกลับมายิ้มกว้าง ฝ่ามือกว้างขยี้ลงบนผมของคะน้าเบาๆ
“รู้ไหม ว่าอ้วนมักทำให้ตุลลืมเรื่องปัญหาได้อย่างง่ายดาย
เหมือนกับอ้วนทำให้ตุลรู้สึกว่าปัญหามันแค่นี้เอง”
รอยยิ้มที่สดใสของคนที่ใส่แว่นกลับมาอีกแล้ว ตุลสบตาของคะน้าด้วยความสุขที่เต็มเปี่ยม
“แล้วตุลก็จะผ่านพ้นมันไปได้ ...กับอ้วน”
คะน้าก้มหน้างุด ไม่รู้จะพูดอะไรดี การที่มีใครสักคนให้เราได้ดูแล
ช่วยกันแบ่งปันทั้งความทุกข์หรือความสุข มันดีแบบนี้เอง ...นี่ล่ะมั๊งที่เรียกว่าความรัก
“อ้วน... ตุลรักอ้วนนะ”คะน้าเบือนหน้าไปมองวิวที่นอกหน้าต่าง ท้องฟ้าเป็นสีดำมืด
บนกลางผืนผ้าสีดำที่กางคลุมโลกทั้งใบไว้นั้น
มีสีเหลืองนวลเป็นวงกลมวงโต ...พระจันทร์มันสวยจังเลยเนอะ
และเมื่อแยกกันที่หน้าห้อง คะน้าก็รู้สึกแปลกใจ
เมื่อทันทีที่เปิดประตูเข้าห้องไปก็ได้กลิ่นอาหารหอมฉุยมากมาย
จนพาลให้คะน้าที่อิ่มจนพุงจะแตกกลับมารู้สึกหิวได้อีกอย่างน่าประหลาด
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย พี่สาวลุกขึ้นมาทำกับข้าวกินเองเพียบ”
ลองหยิบขึ้นชิม รสชาติช่างอร่อยถูกปากจนน่าตกใจ
“เจ้ทำเองเป็นที่ไหนเล่าต่าย ทำได้แบบนี้ หนุ่มๆ มารุมจีบหัวบันไดไม่แห้งแล้ว”
ผักกาดตอบผู้เป็นน้องชาย “ว่าแต่กินอะไรมาแล้วหรือยังล่ะเรา”
“อื้อ กินแล้ว รู้งี้หอบท้องกลับมากินที่บ้านดีกว่า”
คะน้าวิ่งเข้าไปกอดผักกาดจากทางด้านหลัง
“ไปไกลๆ เลยแก ชั้นเป็นพี่สาว ไม่ใช่แม่ ไม่ต้องเลยๆๆ”
“ไม่ใช่ก็เหมือนใช่แหละ” คะน้าหอมแก้มผู้เป็นพี่สาวฟอดใหญ่
ผักกาดหัวเราะแล้วพูดถึงอาหารน่าตาน่าทานมากมายที่อยู่ตรงหน้า
“แต่เพื่อนเรานี่ฝีมือดีมากเลยนะ เจ้ล่ะตกใจหมดเลย”
“เพื่อน?”
“อ้าว ก็เพื่อนต่ายน่ะสิ ไม่ได้คุยกันหรอกเหรอ”
“ใครอ่ะ ไม่เห็นรู้อะไรเลย”
“ที่วันก่อนมากินข้าวไง ไม่ใช่หมอข้างห้องเรานะ คนที่ซนแบบลิงล่ะ”
“ห๊ะ?!?!”
“ชื่อทิมใช่ไหม แปลกนะ ท่าทางดูเป็นคุณชายสำอางขนาดนั้น
แต่พออยู่หน้าเตาคล่องแคล่วจนเจ้อายเลยล่ะ”
“ทิมน่ะเหรอ” คะน้าทวนชื่อซ้ำแบบไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูตัวเอง
“เห็นบอกว่าตอนเรียนอยู่เมืองนอกทำกินเองประจำ
แล้วนี่ก็อยู่บ้านคนเดียวก็เลยทำบ่อยๆ ต่ายนี่เป็นเพื่อนประสาอะไร
ก็เห็นบอกว่าจะแวะมาทำให้ต่ายกิน
เนี่ย... เจ้เลยเหลือไว้ให้ ไม่งั้นฟาดเรียบไปหมดแล้ว”
“แล้วอยู่ในห้องเหรอ” คะน้ามองสำรวจทุกอย่างตรงหน้าอีกที
แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยจริงๆ ว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของทิม
ลองตักชิมแต่ละจานดูก็ยิ่งแปลกใจ ทั้งหมดไม่ต่างกับ
อาหารจากร้านอาหารชั้นดีเลย ทั้งรสชาติและหน้าตา
“กลับไปแล้ว”
เป็นคำตอบที่หน้าแปลกใจยิ่งกว่า ...ทิมกำลังทำอะไร
ทุกอย่างเหมือนฉากที่เล่นซ้ำเดิมทุกวัน ทิมแวะมาทำอาหารให้กับผักกาดทาน
แล้วขอตัวกลับก่อนที่จะได้เจอะเจอกับคะน้าทุกครั้ง
แม้ว่าผักกาดจะเชื้อเชิญให้อยู่ต่อเพื่อรอเจอยังไงก็ตาม
แต่คำเชิญนั้นก็ดูจะไม่เป็นผลกับผู้ชายที่ชื่อ ...ทิม
...คงไม่ได้คิดจะเอาของกินมาล่อหรอกนะ
เด็กชะมัด! ไม่มีใครหลงกลหรอก
สิบนาทีต่อมา จานอาหารทุกใบบนจานว่างเปล่าด้วยฝีมือของคะน้า
ชายหนุ่มลูบท้องป่องๆ ของตัวเอง ไม่มีอะไรจริงๆนะ แค่รู้สึกเสียดาย ...จริงๆ นะ
แต่ก็รู้สึกนิดๆ ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป มีหวังได้อ้วนขึ้นแน่ๆ ว่าแล้วก็เรอออกมาเบาๆ
อ๊า... สวรรค์ชัดๆ เลยคะน้า
เข้าวันที่เก้า ตุลโทรมาบอกว่าวันนี้คงมารับไม่ได้ เพราะมีธุระที่ต้องทำ
คะน้ารู้ดีว่าเป็นช่วงเวลาที่เคร่งเครียดสำหรับตุล หลายวันที่ผ่านมา
ตุลมีสีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา ดวงตาเหม่อลอยบ่อยครั้ง ซึ่งคะน้าอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
แต่ความกังวลทั้งหลายก็มลายสิ้นไปอย่างง่ายดาย ในเวลาที่คะน้าชวนคุย
เรื่องตลกๆ ของจันทู หรือเพียงแค่ให้กำลังใจด้วยถ้อยคำสั้นๆ
อาชีพหมอไม่ได้ว่างแบบอาชีพไหนๆ ไหนจะคนไข้ที่ต้องรักษา
สัปดาห์นี้นอกจากมีลงตรวจผู้ป่วยนอกแล้ว ยังมีเคสผ่าตัดใหญ่ๆ
อยู่สองสามเคสตามที่ตุลเล่าให้ฟัง ไหนจะต้องมาเขียนบทความวิชาการอีก
ก็ไม่แปลกเลยที่จะเครียดแบบนั้น วันนี้ทั้งวัน คะน้าจึงง่วนอยู่กับการจัดระบบใหม่
ของตลาดที่ได้พูดคุยกับเหล่าพ่อค้าแม่ขายเมื่อวันก่อน
ผลการจัดตั้งกรรมการแล้วเสร็จลงด้วยดี คณะกรรมการตลาดมีทั้งหมดสิบคน
กระจายไปยังแผงต่างๆ ทั่วทั้งตลาด และเพราะความที่อยู่กับตลาดแห่งนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น
และอัธยาศัยดี เจ๊เป็ดจึงได้รับเลือกเป็นหัวหน้าคณะกรมการตลาด
แผนการแรกหลังจากที่ได้พูดคุยกับทุกแผงในตลาดก็คือ
จะมีการจัดตั้งกิโลสำหรับชั่งอาหารที่กลางตลาด เพื่อให้คนที่มาจับจ่ายซื้อของในตลาด
มั่นใจในความยุติธรรม สามารถมาชั่งน้ำหนักของที่ตัวเองซื้อมาได้
นอกจากนี้ก็จะมีการติดตั้งลำโพงเพื่อเป็นเสียงตามสายในตลาด
คอยเปิดเพลงเพราะๆ ทั่วทั้งตลาดทั้งสัน ช่วยให้ตลาดคึกครื้นขึ้น
ช่วงบ่าย จู่ๆ คะน้าก็มีแขกทีเกินความคาดหมายมาปรากฏตัวที่แผง
หมอก้อยในชุดเรียบง่ายมาหาเขาถึงที่ตลาด
สีหน้าที่เฉยเมยกับดวงตาที่ไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ของเธอ
ยังเหมือนกับครั้งก่อนที่คะน้าได้พบเจอไม่ผิดเพี้ยน
“คงไม่ต้องถามว่าหาคุณเจอได้ยังไง พอจะมีเวลาว่างไหมคะ
ดิฉันมีเรื่องอยากจะขอคุยด้วย” ใจจริงคะน้าไม่อยากจะทิ้งแผงไปไหน
แต่เมื่อเห็นสายตาเขม่นของจันทู คะน้าจึงตัดสินใจตามหมอก้อยออกไปอย่างจำใจ
หมอก้อยพาคะน้าเดินไปที่รถของเธอ คะน้ามีสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่
ไม่ใช่เพราะห่วงว่าหมอก้อจะทำอะไรไม่ดี แต่เป็นห่วงแผงที่ทิ้งให้จันทูดูแลคนเดียว
“ไม่ไปไกลหรอกค่ะ ดิฉันไม่ได้มีเวลาว่างขนาดนั้น” คะน้าจึงจำยอมขึ้นรถแต่โดยดี
หญิงสาวพาคะน้าไปที่ร้านกาแฟหรูในย่านห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลออกไป
“คงทานได้นะคะ” เธอพูดเบาๆ เหมือนคุยกับตัวเอง และโดยไม่รอคำตอบใดๆ
ก้อยก็เดินนำเข้าไปในร้านกาแฟแล้ว เธอสั่งกาแฟปั่นโดยไม่ต้องดูเมนูเครื่องดื่ม
แล้วหันมามองคะน้าที่ยืนข้างๆ สีหน้าปราศจากรอยยิ้มและท่าทีของความเป็นมิตร
“ทานอะไรคะ” เหมือนเป็นคำชวนตามมารยาทมากกว่า คะน้าไม่อยากคิดมาก
พยายามไล่อ่านดูเมนูเครื่องดื่มชื่อแปลกๆ แต่ก็คิดไม่ออกว่าจะทานอะไร
“โห กาแฟอันนี้แพงจัง แก้วละตั้งเกือบสองร้อย” คะน้ารำพึงขึ้นเบาๆ
ตกใจกับราคาเครื่องดื่ม ได้ยินเสียงถอนหายใจของหญิงสาวข้างๆ เบาๆ
ก่อนที่เสียงหวานจะสั่งเครื่องดื่มที่คะน้าเพิ่งบ่นว่าราคาแพงให้กับคะน้า
“ให้ดิฉันเลี้ยงเถอะนะคะ” เธอหันมาสบตาแล้วยิ้มน้อยๆ
แต่มันเป็นรอยยิ้มที่ดูแปลกประหลาดเสียจริง เมื่อรับกาแฟนมาแล้ว
หญิงสาวก็เดินนำเข้าไปยังโซฟาที่อยู่ด้านในของร้าน
คะน้าหยิบแก้วของตัวเองแล้วเดินตามไปโดยดี หมอก้อยหยิบกาแฟปั่นขึ้นดื่ม
แล้วนั่งเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร คะน้าก็เลยได้แต่เงียบตาม
พยายามนึกหาเรื่องคุยไม่ให้บรรยากาศอึดอัดเกินไป
“ปกติทานที่ตลาดจนชิน เห็นแบบนี้เลยตกใจน่ะครับ น่าอร่อยดีจัง”
คะน้าหยิบกาแฟขึ้นดื่ม ...ไม่ใช่คอกาแฟ
ลิ้นจระเข้แบบเขาแทบไม่รู้สึกถึงความแตกต่างอะไร
“ดิฉันขอถามตรงๆ แล้วกันนะคะ” ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไม่ได้สนใจกับสิ่งที่คะน้าพูดนัก
เธอเปิดบทในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะรู้ในวินาทีต่อมา “คุณเป็นแฟนกับตุลเหรอคะ”
เล่นเอาคะน้าถึงกับอึ้งในความตรงไปตรงมา ชายหนุ่มได้แต่นิ่งเงียบ
ไม่รู้จะหาคำตอบอย่างไรให้ฟังแล้วดูเหมาะสม
หากแต่ดูเหมือนว่าหมอก้อยจะรู้เรื่องดังกล่าวมาก่อนหน้าอยู่แล้ว
“ตุลเป็นคนเก่งมากนะคะ ในรุ่นเดียวกันเขามีผลงานมากกว่าใคร
ลำพังการต่อสายศัลยศาสตร์ก็ถือว่าเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าอายุรศาสตร์พอสมควรอยู่แล้ว
แต่ตุลถือเป็นมือหนึ่งในรุ่นที่ต่อเฉพาะทางด้านระบบประสาทได้อย่างเก่งกาจ
ไหนจะผลงานด้านวิชาการต่างๆ ที่ได้รับการยอมรับจาก journal ระดับโลก”
หมอก้อยพูดถึงตุลไปเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดชะงักไป “เรื่องพวกนี้ คุณคงไม่เข้าใจเท่าไหร่ล่ะมั๊งคะ”
คะน้ากลืนน้ำลายลงอย่างฝืดเคือง รับรู้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่แฝงไว้ในคำพูด
น้ำเสียง หรือแม้แต่ท่าทางของหญิงสาว ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร ได้แต่นิ่งเงียบและรับฟังโดยดี
“ความรักของพวกคุณไม่ใช่สิ่งผิดหรอกค่ะ แต่อยากให้คุณรับรู้ไว้ว่า
การที่มันไม่ผิด ก็ไม่ได้แปลว่ามันถูกต้อง” หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก
“ตุลเป็นเหมือนกับคนที่รุ่นใหม่ที่แบกรับหน้าตาของโรงพยาบาล
เค้าแบกความคาดหวังเอาไว้มากค่ะ เป็นเหมือนกับหน้าตาที่ต้องดูดี และสมบูรณ์แบบไปทุกอย่าง”
“ถึงแม้ว่าโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ยอมรับเถอะค่ะ
มันก็แค่คำพูดที่สวยหรู ...ที่นี่ประเทศไทยนะคะ ในความเป็นจริงแล้ว
คุณคงไม่อยากให้ตุลที่มีความสามารถ และเพียบพร้อมไปทุกอย่าง”
“...เป็นได้เพียงประชากรชั้นสองในวงการแพทย์”คะน้าถึงขั้นอึ้งกับสิ่งที่ได้รับฟัง ยอมรับว่าเขาไม่เคยรับรู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
ในสายวิชาชีพของตุลแม้แต่น้อย หากแต่เห็นความมุ่งมั่น
ความสามารถที่เต็มเปี่ยมของตุล และเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ...ตุลรักงานที่เขาทำ
“ผมไม่ทราบเรื่องพวกนี้เลยครับ”
“ดิฉันคิดว่าคุณเป็นคนที่น่ารักมากๆ เลยนะค่ะ
และคุณก็น่าจะเป็นคนที่มีความคิดดีๆ มากๆ คนหนึ่งด้วย”
หมอก้อยเอื้อมมือมาแตะที่แขนของคะน้าเบาๆ
“หากคุณมองว่าดิฉันเป็นมารความสุขของคุณ
อะไรๆ ที่มันกำลังเป็นอยู่ เลวร้ายกว่าสิ่งที่ดิฉันทำลงไปมาก”
คะน้านิ่งเงียบไปพักใหญ่ๆครุ่นคิดเรื่องต่างๆ ที่ได้รับฟังแล้วชั่งใจ
ก่อนจะตั้งคำถามกลับถึงสิ่งที่เขาไม่อาจหาคำตอบใดๆ ได้
“ผมควรจะทำยังไงครับ” คะน้าสูดลมหายใจเข้าลึก
ก่อนจะระบายความอัดแน่นนั้นออกมาอย่างยากลำบาก
“...เพราะไม่ว่าผมจะทำสิ่งไหน ล้วนเป็นการทำร้ายและทำลายตุลทั้งนั้น” “คุณนิยามความรักว่ามันเป็นยังไงคะ”
คะน้าครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ของผู้คนมากมายรอบๆ ตัว
แล้วทบทวนหาคำจำกัดความในความรู้สึกของตนเอง
ป๋า แม่ ผักกาด เจ๊เป็ด จันทู สายใจ ตุล หรือแม้แต่ใครๆ
...อะไรคือนิยามความรักที่ตัวเขามอง?
“ความรัก...” คะน้าทวนความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา
(ยังเหลืออีกครึ่งนึงนะ)