สวัสดีครับ ขอบคุณทุกๆ คอมเมนต์มากเลยนะครับ
นั่งอ่านทุกๆ อันเลยนะ ยิ่งอันไหนเขียนยาวๆ ยิ่งอ่านหลายๆ รอบ 555
อยากจะบอกจริงๆ นะว่าทุกๆ คอมเมนต์มันเป็นเหมือนกำลังใจสำหรับคนแต่งมากๆ เลย
ถ้าใครสะดวกพอจะคอมเมนต์ได้ ก็คอมเมนต์เถอะนะครับ อ่านแล้วมีแรงแต่งจริงๆ นะ
พักนี้ไม่สะดวกตอบคอมเมนต์เลย เน็ตมีปัญหาพอสมควร เอาเป็นว่าไว้ว่างๆ จะตอบทุกคนนะครับ
ตอนที่ 13 เป็นตอนที่สนุกเหมือนกันนะ แล้วก็ค่อนข้างยาวพอสมควร
เลยขอแบ่งลงเป็นสองครั้งแล้วกันนะครับ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะคอมเมนต์ไม่ถูกเอา ^ ^
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 13เวลาที่ฝนตกมักจะเป็นช่วงเวลาที่เราหวนคิดถึงเรื่องราวต่างๆ มากมาย
ฝนอาจเป็นเหมือนกับกรงขนาดใหญ่ที่ขังเราเอาไว้ให้อยู่กับที่ไม่ให้ออกไปไหน
หรือทำอะไรได้ตามปกติ ข้างนอกมีเสียงลมพัดแรง พอๆ กับเสียงสายฝน
ที่กระหน่ำลงบนหลังคาของตลาด เมฆก้อนใหญ่ยังคงสีทะมึนครึ้ม
คงอีกนานกว่าที่ท้องฟ้าจะสว่างใสเหมือนเดิม
คะน้านั่งจับเจ่ามองทุกอย่างรอบๆ ตัว พ่อค้าแม่ค้าในตลาดต่างนั่งเซ็งทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เหมือนรอเวลาให้มันผ่านไป เวลาฝนตกคนจะมาเดินตลาดน้อย
และเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่มีแผงสดต่างก็ซ่อนความกลุ้มใจกับข้าวของบนแผงที่อาจจะต้องเสียไปฟรีๆ
ลำพังแค่ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อที่ผุดขึ้นเรื่อย ก็ทำให้ทุกวันนี้
คนก็มาเดินตลาดสดน้อยลงอยู่แล้ว ไหนจะฟ้าฝนที่ไม่ค่อยเป็นใจอีก
...ตลาดของป๊าและแม่จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนนะ
กระทั่งหัวค่ำ ฝนถึงเริ่มซาลงไป เจ๊เป็ดแผงผักสดข้างๆ ถอนหายใจอย่างเซ็งๆ
หญิงสาววัยกลางคนค่อยๆ เก็บผักสดลงในเข่งสำหรับบางอย่างที่พอเก็บได้
“คะน้า แบ่งผักเอาไปกินที่บ้านกับผักกาดสิลูก”
เจ๊เป็ดยื่นถุงพลาสติกที่อัดแน่นไปด้วยผักให้กับคะน้า
“เอ้ย ไม่ได้หรอกครับเจ๊ ของซื้อของขาย” คะน้ารีบปฏิเสธหัวสั่น
“โธ่ พ่อหนุ่ม ลดราคาก็ไม่มีคนซื้อ ให้ฟรียังไม่มีคนเอาเล๊ย ฝนมันตกแบบนี้ เก็บไว้ก็ต้องทิ้งอยู่ดี”
เจ๊เป็ดถอนหายใจเบาๆ กระนั้นใบหน้าก็ยังเจือไปด้วยรอยยิ้ม
“กำไรไหมครับเจ๊ วันนี้”
“ทุนหายว่ะ เอาเหอะ ค้าขายมันก็แบบนี้แหละ มีกำไรขาดทุน”
“ฉันซื้อแล้วกันนะ เย็นนี้ว่าจะเอาผักไปผัดน้ำมันหอยซะหน่อย”
คะน้าคว้าเงินในกระป๋องพลาสติกขึ้นมาแล้วส่งให้เจ๊เป็ด แต่แม่ค้าวัยกลางคนปฏิเสธ
“เอาไปเห้อออ แบ่งๆ กันไป เดี๋ยวสิ้นเดือนเจ๊ต้องถูกหวย! อีพริ้งมันได้เลขเด็ดมานะเว้ย”
เจ๊เป็ดหัวเราะร่าชอบใจแล้ววางถุงผักลงบนแผงคะน้า ก่อนจะส่งอีกถุงให้จันทู แล้วหันไปเก็บข้าวของต่อ
คะน้ามองไปรอบๆ ตัว ไม่ใช่แค่เจ๊เป็ด แต่แผงของสดอื่นๆ ก็มีสีหน้าที่ไม่ต่างกัน
ตลาดสดในกรุงเทพ ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานเท่าไหร่
ทุกวันนี้พ่อค้าแม่ค้าในตลาดมีจำนวนมากกว่าคนซื้อเสียอีก
ฝนเริ่มซาลงแล้ว คะน้าเดินออกมาที่หน้าตลาดพร้อมกับถุงผักสดในมือ
ตั้งใจจะเดินไปที่อีแก่ที่จอดอยู่ที่ท้ายตลาด ฝนยังตกปรอยๆ คะน้าสูดลมหายใจลึก
เตรียมฝ่าฝน หากแต่เบื้องหน้าที่ปากทางเข้า รถของตุลกระพริบไฟจอดอยู่
“ดีใจที่มาทัน” คนขับลดกระจกลงแล้วกวักมือเรียกคะน้าขึ้นมา “ไปทานข้าวเย็นกันนะครับ”
อารมณ์เซ็งๆ ผสมกับกลัวรถคันหลังจะก่นด่าบุพการีเอา
คะน้าจึงวิ่งขึ้นรถตุลไปอย่างไม่คิดอะไรมากมาย
“โอ้โห ผักถุงเบ่อเร่อเลย จะเอาไปทำอะไรครับ แต่ต่ายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ
ไหนวันก่อนบอกว่าไม่ได้เรื่องไง” ตุลหันมามองผักสดในมือคะน้าพร้อมรอยยิ้ม
“โธ่ มันเป็นที่ไหนเล่า เจ๊เป็ดแผงข้างๆ แกให้มาน่ะ
ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปทำอะไรเลย” ตอบกลับตามความเป็นจริง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าตาดูเครียดๆ นะ” ตุลถามขึ้น
แม้ว่าสายตาจะจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า ...คงรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วหรือเปล่านะ
“คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะครับ” คะน้าตอบเสียงแผ่วแล้วเงียบลง
คงจะดีกว่าถ้าทิ้งให้บทเพลงในวิทยุส่งเสียงที่น่าฟังกว่าเสียงห่อเหี่ยวของตัวเอง สักพักตุลก็ถามขึ้น
“เราจะกินอะไรดี”
“อะไรก็ได้นะ ไม่คิดมาก”
“โอเค”
สักพักชายหนุ่มก็แวะจอดรถที่ข้างถนน
แล้วพาลัดเลาะเดินเข้าบริเวณวัดริมน้ำที่อยู่ไม่ไกลออกไป
คะน้าแปลกใจนิดๆ แต่ก็เดินตามไปอย่างไม่คิดอะไร
ก่อนจะเห็นตลาดนัดกลางคืนขนาดใหญ่อยู่เบื้องหน้า
“ตลาดนัดเหรอ”
“อื้อ กินได้ไหม”
“ได้ดิ” ตุลเอื้อมมือมาจับแขนคะน้าแล้วจูงเดินฝ่าเข้าไปในฝูงชนที่คลาคล่ำในตลาดนั้น
รู้สึกร้อนวูบแปลกๆ บนใบหน้าขึ้นมาในทันที คนที่เขาเป็นแฟนกัน มันเป็นอย่างนี้หรอกเหรอ
ไม่เคยรู้จักกับความรู้สึกแบบนี้เลย การที่มีใครสักคนที่ห่วงใย ดูแลเรา
...ความรู้สึกของการเป็นคนสำคัญของใครคนหนึ่งบนโลกนี้ ตุลยันมายิ้มให้
...เป็นรอยยิ้มที่ดูน่ารักกว่าทุกครั้งที่เขาเคยมองเห็น ...แปลก ...แปลกมาก
แค่รอยยิ้มของคนๆ หนึ่ง มันทำให้เราลืมความกังวลใจทั้งหมดได้ด้วยเหรอ
“เดี๋ยวหลงกัน”
...ใช่ความรักเหรอ? มันเป็นเวทย์มนตร์ต่างหาก
“อือ”
“เดินข้างๆ ตุลนะ” ฟังดูแปลกหูกับการแทนชื่อตัวเองแบบนั้นของคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ
แรงบีบเบาๆ ที่เกาะกุมมือกระชับขึ้นบ่งบอกถึงความห่วงใยใส่ใจที่ฉายชัด
“ลูกชิ้นปิ้งร้านนั้นดูน่ากินดีแฮะ สนมั๊ย?” เขาหันมายิ้มแล้วพูด
แต่จำนวนคนที่เยอะทำให้คะน้าได้ยินไม่ถนัด
ตุลขยับตัวเข้ามาใกล้ ยื่นใบหน้ามาแนบตรงข้างๆ หู
“ผมเลี้ยง สนไหม?”
ริมฝีปากที่เปื้อนรอยยิ้มกระซิบแผ่วๆ ข้างใบหน้า คะน้าได้แต่ก้มหน้างุด
เขินอายและไม่เข้าใจตัวเองที่จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมากับประโยคสุดแสนธรรมดาราวกับคนบ้าบอ
ได้แต่พยักหน้างุดๆ คนที่ยืนข้างๆ ก็จูงแขนตรงเข้าไปที่แผงลูกชิ้นสารพัดข้างหน้าทันที
“ขายยังไงครับ”
“ไม้ล่ะสิบบาทจ๊ะพ่อหนุ่ม” แม่ค้าตอบเสียงใสพร้อมรอยยิ้ม “เลือกเลย เนื้อล้วนๆ ไม่มีผสมแป้ง”
ตุลหันมามองหน้าแล้วเพยิดคางไปทางคะน้าเหมือนบอกให้อีกฝ่ายเป็นคนเลือก
หากแต่สมองของคะน้าที่กำลังสนใจกับมือคนข้างๆ ที่ยังกุมเกาะไม่คลายและความใกล้ชิด
จึงได้งงจนถึงขั้นเอ๋อกับทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้ ชายหนุ่มได้แต่กระพริบตาถี่ๆ
รวบรวมสมาธิกับคนข้างหน้า แต่รอยยิ้มของตุลในเวลานี้นั้น ช่างปรปักษ์กับสติของเขาเหลือเกิน
“ว่าไง ไอ้อ้วน” คนใส่แว่นเอ่ยแซว แววตาหยอกล้อเป็นประกาย
“ไม่อ้วนเว้ย!” คะน้าหันไปถลึงตาใส่ “ไม่เห็นอยากกินเลย”
“อ้าว... ทำไงดีล่ะครับแม่ค้า เขาไม่อยากกินแล้วอ่ะ”
แทนที่จะสลด ตุลกลับหันไปหาพวกเป็นแม่ค้าแทน
เล่นเอาคะน้ารีบหันกลับไปมองทางหญิงสาวรุ่นคุณแม่ที่ยืนปิ้งลูกชิ้นด้วยความเกรงใจ
...พยายามจิกเล็บที่ไม่มีลงบนหลังมือที่เกาะกุมเป็นการแก้แค้น
“เปล่านะครับ คือ....” เหลือบตาไปมองคนที่ยืนข้างๆ เห็นแววตายั่วเย้า
แล้วอยากจะตะบันให้หน้าหัน “คือผมเลือกไม่ถูก น่ากินหมดเลย”
“...อ้วน” เสียงทุ้มเบาๆ ลอยมาเข้าหู อยากจะขอไม้เสียบลูกชิ้นมากระซวกคนข้างๆ สักทีสองที
“อ้วนสิดี เด็กเดี๋ยวนี้ไม่รู้จะผอมไปไหน อย่างกับจิ้งจก
หนูเชื่อป้านะ กินเยอะๆ คนอ้วนๆ ดูโหงวเฮ้งดีมีอันจะกินทั้งนั้น”
“...อ้วนนนนนน” อ้วนป๊ะมึงเซะไอ้หมอบ้า กวนทีนอีกละ
“เอาอย่างละห้าไม้เลยครับ!” คะน้าตอบกลังเสียงดัง “จ่ายด้วย!”
“คร้าบบบบบ...” เมื่อตะกี้สงสัยจะเบลอไปหน่อย นี่คงของจริง
คะน้าหันไปมองคนใส่แว่นที่ยืนกระดกคิ้วหยอยๆ มึงอย่ามาขอกูกินนะ ไอ้ตี๋!!!
ตุลจ่ายเงิน รับถุงลูกชิ้นยี่สิบไม้มาถือแล้วเดินออกจากร้านมา
ชายหนุ่มเดินดุ่มๆ ตรงไปข้างหน้า จากที่กุมฝ่ามือ
นิ้วมือตุลค่อยๆ สอดผสานกับฝ่ามือคนข้างๆ จนแนบแน่น
“ผัดไทยตรงนั้นไหม หอมดีนะ” หันมายิ้มระรื่น
“พอแล้ว” คะน้าตอบเสียงขุ่น แต่ตุลกลับหัวเราะชอบใจ
“โอเค๊!” ลากแขนตรงไปที่ร้านผัดไทยทันที “พิเศษสองห่อครับ”
คะน้าเหลือบมองคนข้างๆ อย่างไม่สู้ดี ...เอาจริงเหรอเนี่ย?
“กระเพาะปลาน่ากินไหม”
“ไม่!”
“อย่างนั้นเหรอ” ตุลตอบเสียงอ่อยๆ จูงมือเดินผ่านไป
ก่อนจะชะโงกหน้าไปทางพ่อค้า “เอาห่อนึงครับ ใส่น่องไก่ด้วย ไข่นกด้วยนะๆ”
ในมือของตุลตอนนี้เต็มไปด้วยถุงลูกชิ้นปิ้ง ถุงผัดไทย ถุงกระเพาะปลา
“แบ่งมาถือบ้างดิ ถือคนเดียวหนักแย่”
“แค่นี้เอง แฟนตุลทั้งคน” เจ้าตัวหันมายิ้ม เล่นเอาคะน้าเก้อเขินไป
กับคำสรรพนามแทนใหม่ที่ตุลใช้เรียกเขา “รู้ไหม ว่าตุลรอต่ายมาตั้งนาน”
“ตุลดีใจนะครับ ...ที่ในวันนี้ได้เจอกันเสียที”“อือ” คะน้าก้มหน้างุดเดินไปข้างหน้า ในมือผสานกับคนข้างๆ ด้วยความอบอุ่นใจ
“นี่ๆ ตรงนั้นมีหนมผักกาดแน่ะ”
“พ๊อ!!!!!!!”เกิดมาไม่เคยหนักใจเท่านี้มาก่อน คะน้าปาดเหงื่อที่ผุดเป็นเม็ดเล็กๆ ตามไรผมตนเอง
ช่างเป็นมื้ออาหารที่หนักหนาเกินกว่าจะคาดคิดเลยจริงๆ เผลอเรอออกมาเบาๆ
เป็นกลิ้นลูกชิ้นหมูที่สั่งเองกับมือ คนสวมแว่นที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะชอบใจ
ตุลเอามือมาวางบนช่วงท้องของคะน้า ลูบเบาๆ แล้วซบหน้าลงไป
“กี่เดือนแล้วนะครับ ลูกพ่อตุล”
โป๊กกกกก!!!!!“โอ้ยยย... ใจร้ายว่ะ” ตุลยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ มองคะน้าที่เขม่นจนคิ้วกระตุก
นับว่ายังน้อยนักกับสิ่งที่เอ็งสมควรจะโดนไอ้หมอตี๋ ชะตาเอ็งขาดแน่ๆ
หากแต่เจ้าตัวดูจะไม่ทุกข์ร้อน หยิบโทรศัพท์มือถือมาถ่ายรูปเล่นอย่างมีความสุข
ทั้งรูปเดี่ยว รูปคู่ เหมือนกับคนไม่เคยถ่ายรูป หนำใจแล้วก็ล้มตัวลงนอนบนตักของคะน้า
จ้องมองวิวริมน้ำเบื้องหน้า แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนที่นั่งอยู่แล้วยิ้ม
“สบายใจขึ้นแล้วใช่ไหมครับ” คะน้าเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความคาดไม่ถึงระคนกับความแปลกใจ
“ตุลคิดว่าคงเครียดๆ อะไรอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร
บอกตามตรงว่าเห็นหน้าของ
อ้วน เป็นแบบนั้นแล้วก็ไม่สบายใจ”
โป๊กกกกก!!!!!“โอ้ยยย... เอะอะก็ใช้กำลัง ใจร้ายว่ะ”
ทำสำออยไปอย่างนั้น แต่แววตายังทะเล้นอยู่เช่นเดิม
“ไม่อ้วนเว้ยยยยย!”
“คิดมาก”
“ไม่อยากอ้วน พุงมันป่อง ดูไม่ดี” คะน้าเบ่งพุงเข้าหน้าตุลที่นอนหนุนตักแล้วถอนหายใจ
คนที่นอนอยู่พลิกตัวหลบแล้วทำหน้ารังเกียจพอเป็นพิธี ก่อนจะนอนสบตาคะน้าด้วยแววตาที่อ่อนโยน
“อ้วนครับ ตุลไม่ได้ชอบอ้วนที่อ้วนตัวอ้วนหรือผอม ผิวขาวหรือคล้ำ รวยหรือจน สูงหรือไม่สูง”
เอื้อมมือขึ้นมาลูบไล้ผมของคนที่นั่งอยู่เล่นอย่างเบามือก่อนจะไล้ลงมาบนใบหน้า
“แต่ตุลชอบอ้วนที่จิตใจ ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน ความเป็นอ้วนทำให้ตุลชอบทุกอย่างที่อ้วนเป็น”
เขายิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนและอ่อนหวานในที
“แค่ขออย่างเดียว อยากให้อ้วนยิ้มแบบวันนี้ ...แบบในตอนนี้ไปเรื่อยๆ”
“...และรอยยิ้มนี้ เก็บไว้ให้กับตุลคนเดียวได้ไหมครับ”คะน้าก้มหน้าลงอย่างลืมตัว ไม่ได้คิดเลยว่าสายตาของอีกคนจับจ้องตัวเองอยู่จากเบื้องล่าง
“...นะครับ”รีบเงยหน้าขึ้นแล้วหันหน้าไปด้านข้างก่อนจะกลั้นรอยยิ้มที่แทบจะฉีกออกนั้นไม่ไหว
ตุลยิ้มพรายก่อนจะลุกขึ้นนั่งข้างๆ แล้วโน้มหน้าไปใกล้
...ฝังปลายจมูกลงไปบนแก้มของคนที่ร้อนไปทั้งใบหน้า
“...นะ ...ให้ตุลคนเดียว”ท้องฟ้าในยามค่ำคืนมืดมิด สายฝนแม้จะพัดพาความมืดครึ้มอึมครึมมาเยือน
แต่ไม่เคยมีฝนไหนที่ไม่หยุดตก ไม่ช้านานทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่วิถีทางของมัน
และท้องฟ้าก็จะกลับมากระจ่างอีกครั้ง ฟ้าในคืนนี้ระยิบระยับไปด้วยแสงดาว
ดวงจันทร์สีเหลืองอ่อนทอแสงนวลกระจ่างอยู่กลางผืนฟ้า
พระจันทร์ครับ ...ผมไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วแบ่งผักถุงโตที่ได้รับมาจากเจ๊เป็ดที่ตลาดแก่พี่ยามหน้าโครงการ
แล้วแยกกันที่หน้าประตูห้อง คะน้ายิ้มให้น้อยๆ ตุลโบกมือลาที่หน้าห้องของเขา
คะน้าค่อยๆ ยกมือขึ้นแล้วโบกมือแบบเดียวกันด้วยความเขินอาย
ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน ตุลเปิดประตูเข้าห้องไป ก่อนที่คะน้าจะแยกเข้าห้องตัวเองตาม
และเมื่อเปิดประตูเข้าห้องไปก็พบกับพี่สาวที่นอนแบะแฉะหมดสภาพอยู่บนโซฟา
พร้อมกับข้าวของมากมายที่วางระเกะระกะอยู่ในห้อง กระเป๋าลากยังวางขวางอยู่กลางทาง
ถัดไปเป็นร่างของผักกาดที่นอนอ้าปากหวออยู่ทั้งรองเท้าที่สวมอยู่
“เจ้ๆ ...มาถึงนานยัง” คะน้าสะกิดตัวพี่สาวเบาๆ ปลุกให้ตื่นจากท่านอนพิสดารนั้น
ผักกาดแหงนหน้ามองนาฬิกา ทำหน้าหน่ายๆ แล้วหลับตาต่อ
“สามทุ่มมั๊ง”
“โห... นี่มันชั่วโมงกว่าแล้วนะ” เรียกว่ามาถึงยังไง ตอนนี้ก็อย่างนั้น
“ไปอาบน้ำนอนเถอะเจ้ พรุ่งนี้ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”
“ขี้เกียจ อาบพรุ่งนี้เลย”
“น่าเกลียดน่ะ” คะน้าส่ายหัวกับความขี้เกียจของพี่สาว
แต่ดูจากสารรูปแล้ว น่าจะเหนื่อยจริงๆ
“ไม่น่าเกลียด เพราะคนสวยทำอะไรก็ดูดีย่ะ”
ไม่รู้ว่าตำราไหน แต่ก็ไม่อยากจะไปต่อล้อต่อเถียง
คะน้านั่งยองๆ ลงแล้วถอดรองเท้า ถุงเท้าให้กับผักกาด
ดึงเสื้อนอก ผ้าพันคอ และกระเป๋าที่คล้องอยู่ในมือออกแล้วไปเก็บในห้อง
ก่อนจะพยุงตัวพี่สาวเข้าไปที่ห้องนอน แล้วปลุกอีกครั้ง
“ผักกาด ตื่นเถอะ ไปอาบน้ำ จะได้สดชื่น” จู่ๆ มือของผักกาด
ฟาดลงบนหน้าของคะน้าจนชา “โอ้ยยย... ไรเนี่ย”
“ชั้นตาฝาดหรือเปล่า หน้าตาแกดูแปลกๆ นะ”
“แปลกไงเล่าเจ๊ เจ็บนะ” คะน้าบ่นอุบ
ผักกาดปรือตามองแล้วล้มสลบลงไปกับเตียงนุ่มๆ แล้วงึมงำๆ
“ดูแกมีความสุข ...สุขมากๆ เลย”
คำพูดของผักกาดทำให้คะน้าชะงักไป ชายหนุ่มเดินไปมองหน้าตัวเองในกระจก
อย่างสำรวจไปมา พบว่าทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย
ตุลยังคงไปรับและมาส่งระหว่างตลาดและคอนโดเท่าที่เขาจะพอมีโอกาส
โชคดีที่ผักกาดก็ไม่ได้สงสัยหรือเอะใจที่ช่วงนี้
อีแก่คันเก่งจอดนิ่งอยู่ที่เดิมเอาซะมากกว่าออกไปปุเรงๆ
บนท้องถนนให้ขายขี้หน้าชาวบ้านชาวช่องเขา
เย็นวันนั้น หลังจากที่แยกย้ายกับตุลที่หน้าห้อง เมื่อเปิดประตูเข้ามา
ผักกาดก็บ่นเป็นหมีกินผึ้งว่ากลับบ้านชักช้าและอีกสารพัด เล่นเอาคะน้าหูชา
และอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดหงุดหงิดอะไรขึ้นมา ...ปกติไม่เห็นจะสนใจแท้ๆ
และเมื่อเปิดประตูเข้าห้องนอนไป จิ๊กซอว์ที่ขาดหายก็ปะติดปะต่อจนสมบูรณ์
...ในห้องนอนของคะน้า มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญ+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
แบ่งตอนลงก็แล้วกันนะครับ อีกครึ่งหนึ่งมาอ่านต่อให้จบตอนกันวันเสาร์นะ
แต่งเสร็จแล้วล่ะ จริงๆ ที่หายไปว่างๆ ก็แต่งบ้าง เลยพอมีสต็อคนะ (ซึ่งใกล้หมดละ)
ว่าแต่ว่าไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าใครคือแขกที่ไม่ได้รับเชิญแล้วมานั่งอยู่ในห้อง ^ ^
เฉลย...
.....
จันทู 55555555555555