สวัสดีครับ ขอบคุณทุกๆ คำอวยพร ทุกคำคอมเมนต์ที่แวะมาทักทายกันนะครับ
คิดถึงทุกๆ คนมากเลย ดีใจมากๆ ที่เรียกได้ว่ายังไม่ลืมกัน ประทับใจมากจริงๆ ครับ
ก็อย่างที่บอกครับ วันนี้มาตามคำสัญญานะ ช่วงนี้ทนๆ อ่านไปก่อนแล้วกันนะครับ นะๆๆๆ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 12ความรักคืออะไร
ชายหรือหญิง ยาก ดี มี หรือจน ครั้งหนึ่ง ก็น่าจะเคยตั้งคำถามโง่ๆ นี้กับตัวเอง
ทั้งๆ ที่มีคนมากมายเคยให้นิยามมันไว้นับไม่ถ้วน แต่เมื่อถึงจังหวะเวลาหนึ่ง
สมองเหมือนกับว่ามันจะลืมเลือนสิ่งที่เคยได้ยินมาไปหมดสิ้น อยากจะรู้ อยากจะค้นหาคำตอบนั้นด้วยตัวเอง
แสงแดดในยามเย็นอาบผิวขาวของคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ จนเจือด้วยสีส้มอ่อน
กระดุมบนเชิ้ตสีขาวที่มีรอยยับย่นถูกปลดออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อบริเวณแผ่นอกที่ขึ้นเป็นสันชัด
เจ้าของร่างสูงโปร่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาสีเข้มที่ดูเหมือนจะดูดซับความเมื่อยล้า
ทั้งหมดของผู้เอนกายด้วยความอ่อนนุ่มของมัน ทิมนั่งหลับตาอยู่เบื้องหน้าเขา
สองแขนกางออกแล้ววางลงบนพนักดั่งที่พักพิง ไอเย็นของเครื่องปรับอากาศที่เงียบสนิท
ค่อยๆ ซับความชื้นของเม็ดเหงื่อบนร่างกายให้ค่อยๆ แห้งลง
...ไม่ได้สนใจไอศกรีมบนถ้วยที่อยู่ข้างหน้า หลังจากหลายนาทีผ่านไป
มันก็ค่อยๆ ละลายลงจนแทบจะกลายเป็นน้ำ
ไม่รู้เพราะความรู้สึกน้อยใจที่ระคนอยู่กับถ้วยไอศกรีมตรงหน้าที่เดียวดาย
เพราะความนิ่งเงียบในบรรยากาศ หรือเพราะว่าความเป็นทิมที่สลัดเท่าไหร่
ก็ไม่พ้นไปจากหัวสมองกันแน่ ที่ทำให้คะน้ารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
ทันทีที่อีกฝ่ายซึ่งหลับตาอยู่นั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวแม้เพียงแผ่วเบา
ดวงตาคมสีดำก็ตวัดขึ้นจากนิทรา แม้ถูกแสงอัสดงแห่งอาทิตย์ยามเย็น
ย้อมจนสีดำเข้มนั้นกลายเป็นสีน้ำตาลไหม้ แต่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจกลบ
สิ่งที่ฉายชัดในแววตาคู่นั้นได้แม้เพียงเสี้ยววินาที ...ไม่เลย
“เอ่อ... จะกลับห้องน่ะ” แปลกที่คำพูดง่ายๆ
กลายเป็นเรื่องยากเสมอต่อหน้าเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนี้
เงียบ ...เงียบและนิ่งแบบทุกครั้งไม่เคยเปลี่ยนไป
ดวงตาวาวแค่ปรือลงก่อนจะปิดสนิทอีกครั้ง มือกว้างขยุ้มคอเสื้อไปมา
ก่อนจะคลายกระดุมเสื้อลงอีกเม็ดด้วยความเกียจคร้าน
คะน้าลอบผ่อนลมหายใจตัวเองออกเบาๆ สะบัดหัวไปมา
กับความคิดฟุ้งซ่านในสมอง ฝ่ามือข้างซ้ายค่อยๆ ยกขึ้นขยำเสื้อ
บนหน้าอกตัวเองโดยไม่รู้ตัว ...ต้องทนอยู่กับความรู้สึกนี้อีกนานแค่ไหน?
เพียงครู่เดียว เมื่อตัดสินใจลุกขึ้นยืน โดยไม่ทันจะได้ขยับเคลื่อนไหวใดๆ
ร่างคนที่เคยหลับใหลอยู่ก็ปรากฏขึ้นในระยะประชิดตัว
วงแขนกว้างของเด็กหนุ่มรุ่นน้องวาดขึ้นบนไหล่แล้ววางน้ำหนักลงอย่างวิสาสะ
ดวงตากลมโตที่ซุกซ่อนอยู่ใต้แพขนตาโค้งหนาอาบด้วยแสงสีส้ม
จนดูเหมือนสีของช็อคโกแลต ...ขม แต่ให้รสสัมผัสที่หวานชุ่มคอ
“เหม็นว่ะ! อะไรเนี่ย” คะน้าบ่นกระปอดกระแปด ทั้งๆ ที่รู้สึกร้อนวูบๆ บนใบหน้า
“เหรอ” ร่างสูงกว่าพลิกตัวอย่างคล่องตัว แขนที่เคยวางบนบ่าลดต่ำลง
แล้วโอบช้อนร่างตรงน้าแล้วกอดรัดทั้งสองแขนจนแน่น “เหม็นก็ต้องทน”
“ไรวะเนี่ย! ไอ้บ๊อง ปล่อย!” คะน้าโวยเต็มที่แต่ผลกลับกลายเป็นว่า
คางที่เป็นสันแหลมของคนข้างหลังกลับกดล็อคบนหัวไหล่อย่างไม่สนใจ
“หึ”
“เล่นอะไรเป็นเด็กๆ จะเกาะไปจนเมื่อไหร่ เหม็น!”
“จนกว่าจะชิน”
“เออ ชินแล้ว!” ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงนั้น จะเมื่อไหร่ หรือนานแค่ไหนก็ไม่ชินสักที
“ก็แค่นั้น” ทิมตอบกลับอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับคลายวงแขนที่รัดอยู่ออก
คะน้าเอามือลูบไปตามเนื้อตัวของตนเองแล้วบ่นอุบ
ราวกับโดนหมามุ่ยที่แสลง มีทิมยืนยิ้มกริ่มอยู่เบื้องหน้า
“ป้อน” เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นเจ้าตัวยักคิ้วสบายอารมณ์
“อะไร” ...อึดอัดกับอะไรพวกนี้จัง
“ติม”
“ตีนได้ไหม?” คะน้าเหวี่ยงกลับอย่างหัวเสีย เกิดมาสาบานได้ว่า
เป็นคนใจเย็น อารมณ์เย็น แต่ขอเว้นคนๆ นี้ไว้สักคนเถอะ
“มีเถียง” ทิมไม่ได้สนใจหาความ
เขาล้มตัวลงไปเอกเขนกบนโซฟาอีกครั้งแล้วหลับตา
ความรักคืออะไร
ยากเหลือเกินที่จะหาคำตอบที่ถ่องแท้ แต่สิ่งที่ยากกว่านั้นสำหรับตัวเราในเวลานี้ก็คือ
ความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ...จะรู้ได้อย่างไรว่ามันคือความรักที่แท้จริง
ช้อนถูกหมุนวนช้าๆ ในถ้วยไอศกรีม เหมือนกับความคิดที่วนเวียน
อยู่ในหัวสมองของคะน้าในห้วงเวลานี้ รู้สึกตัวเองเป็นเหมือนเด็กโง่ที่ไม่รู้ความ
เด็กที่อ่อนไหวกับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ง่ายดายเหลือเกิน
ยังรู้สึกโทษตัวเองที่เมื่อคืนวันก่อน เพราะความที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจจึงทำอะไรแบบนั้นลงไป
แต่กระนั้นความรู้สึกอีกด้านมันกลับรู้สึกดี ...อันที่จริง มันดีมากเลยล่ะ
มันเหงามากเลยนะ กับความรู้สึกที่ต้องอยู่คนเดียว ยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา
ไม่เคยรู้จักเลยว่าความรักมันคืออะไร ได้แต่แอบมอง แอบชอบคนนั้นคนนี้ไปทั่ว
แต่ไม่เคยสักครั้ง ...ไม่เคยเลยที่จะมีตัวตน ไม่เคยที่จะใครสักคนมองกลับมาที่เรา
นี่ไม่ใช่แค่การมีตัวตน ไม่ใช่แค่นั้น ...ตุลให้ความรู้สึกถึงการได้เป็นคนสำคัญ
อยู่คนเดียวมันก็อยู่ได้นะ ชีวิตทุกวันนี้มันก็โอเคนะ ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
...แต่ไม่อยากจะอยู่คนเดียวอีกแล้วมันแปลก มันไม่น่าจะเข้าท่า และถ้าใครรู้ว่าเรามีความคิดทุเรศแบบนี้
คงเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ ถ้าป๊ากับแม่อยู่ที่นี่ อาจต้องเสียใจ
และแม้แต่ผักกาดก็คงผิดหวังในตัวเราสุดๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม...
ทำไมเราถึงมีความรู้สึกแบบนี้กับ...คะน้าสะบัดหัวเบาๆ มองทุกอย่างรอบตัวไปเรื่อยๆ ด้วยความสับสน
และโดยไม่รู้ตัว จู่ๆ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เงยหน้าจากถ้วยไอศกรีมแล้วนิ่งงัน
เขาไล่สายตาลามขึ้นไปตามร่างกายของคนที่นอนเอกเขนกอยู่เบื้องหน้า
ทิมเอนกายนอนหลับตาพริ้ม ผมที่เคยเซ็ตเป็นทรง บัดนี้ดูยุ่งเหยิงสบายๆ
แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับขึ้นง่ายๆ กระดุมที่เคยติดมิดชิดคลายออก
พร้อมกับชายเสื้อที่อยู่นอกยีนส์สีฟ้าเข้ม ผิวขาวเนียนละเอียดไม่แพ้ผู้หญิง
แต่กลับมีกล้ามเนื้อนูนชัดเป็นเส้นสวยแบบผู้ชายที่ออกกำลังกายมาเป็นอย่างดี
...มีความรู้สึกแบบนี้กับคนเพศเดียวกัน“หึ” เสียงหัวเราะในลำคอของทิมทำให้คะน้าสะดุ้งขึ้นจากภวังค์
เหมือนคนทำผิดที่ถูกจับได้ ไม่รู้จะกลบเกลื่อนยังไง
คะน้ารีบตักไอศกรีมกะทิที่เริ่มละลายในถ้วยขึ้นทานอย่างรีบร้อน
“อะไร?”
“ผมควรถามพี่ไม่ใช่เหรอ” คนอายุน้อยกว่าค่อยๆ เปิดตาขึ้นมอง
พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “...อะไร?”
“อะไรเล่า?”
“หึ” เจ้าตัวค่อยๆ ลุกขึ้น เอามือขยี้ผมตัวเองอย่างเกียจคร้าน
แล้วเดินมานั่งเบียดข้างๆ อย่างจงใจ
ทิมเสตามองไปทางถ้วยไอศกรีมที่คะน้าจ้วงเอาๆ แล้วยักคิ้ว
“ชอบเหรอ?”
“ก็... ก็เสียดาย” รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก “อ...อร่อยดีด้วย!”
ว่าแล้วคะน้าก็ตักไอศกรีมฝีมือตนเองตักเข้าปากต่อ คำต่อคำจนน่าอร่อย
ปกติเขาเคยทานตอนเวลาที่มันเย็นจัด แต่เนื้อละเอียดของไอศกรีมสีขาว
ที่ค่อยๆ ละลายผสมกับเนื้อมะพร้าวอ่อนที่ฝานบางๆ ให้รสชาติที่ดูนุ่มนวลไปอีกแบบ
กระทั่งคำสุดท้าย คะน้าตักทั้งหมดขึ้นเต็มช้อนเตรียมส่งเข้าปาก แต่...
...แต่ช้าไปเสียแล้ว
เมื่อทิมโน้มตัวลงมาอย่างรวดเร็วแล้วขโมยงับคำสุดท้ายลงไปอย่างหน้าตาเฉย
นับเป็นครั้งที่สองแล้วที่ทิมทำอะไรพิเรนทร์ๆ แบบนี้ น้ำส้ม ...และไอศกรีม
ทิมเงยหน้าขึ้นมาก็สบตาอย่างไม่ลดละ ดูเหมือนเป็นเด็กๆ ที่เอาแต่ใจ
อยากได้อะไรก็ต้องได้เดี๋ยวนั้น อยากทำอะไรก็จะทำทันที แต่มันแค่นั้นจริงๆ ใช่ไหม
...เพราะบางที มันก็ทำให้ความรู้สึกของคนที่ถูกกระทำเตลิดไปไกลเหลือเกิน
“อะไร” ไม่อยากจะมองสายตาคู่นั้นเอาเสียเลย
บางทีมันก็ให้ความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
“หวานดีนะ” คำพูดสั้นๆ แบบนี้ บางครั้งก็ทำให้ตีความไม่ถูก
คะน้าได้แต่เมินตาไปทางอื่นเพื่อซ่อนความรู้สึกที่ร้อนวูบขึ้นที่ใบหน้า
หากแต่สายตาของทิมดูเหมือนยังจะตามจับจ้องอย่างไม่ลดละ
“อะไรอีกเล่า!”
“หึ” เจ้าตัวหัวเราะสั้นๆ ในลำคอแล้ววิสาสะยกมือขึ้นมา
วางพาดบนบ่าของคะน้าอย่างถือกรรมสิทธิ์ “...ต่าย”
“อะไร”
“เมื่อกี้น่ะอะไร”
“เมื่อกี้อะไร ไม่เข้าใจ”
“หมายถึงก่อนหน้านี้” ทิมหันกลับมาสบตาอีกครั้ง
แววตาสุกใสวับวาวด้วยความเจ้าเล่ห์ “คิดว่าไม่เห็นเหรอ”
เล่นเอาคะน้าถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ใจเต้นรัวด้วยความรู้สึกผิดกับความรู้สึกตัวเอง “มองอะไร”
นึกอยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปให้ไกลๆ ถามแบบนี้ จะให้ตอบว่าอะไร
ต่อให้พูดแต่ความจริง มันยากเกินไปที่จะอธิบายความรู้สึกอะไรพวกนี้ได้
ผิดกับอีกฝ่ายที่เหมือนกำลังสนุกกับการไล่ต้อนให้จนมุมอย่างพ่ายแพ้
“หืมมม? ถามก็ตอบสิ” ทิมออกแรงกดกระชับวงแขนบนบ่า “ตอบเร็ว”
“มองบ้ามองบออะไร มั่วแล้ว” พยายามเฉไฉลุกขึ้นยืน
อย่างรวดเร็วแล้วรีบรวบรัดตัดความ “กลับก่อนนะ”
“โอ้ววว... ฮ่าๆๆๆๆ” อีกฝ่ายหัวเราะชอบใจ
ก่อนจะตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “โอเค ไม่ส่งนะ”
“ไม่ต้อง” คะน้าหยิบภาชนะที่ส่งไอศกรีมขึ้นมาแล้วเก็บก่อนจะเดินจ้ำๆ ไปกดลิฟต์
ระหว่างที่ยืนรอไฟกระพริบที่ค่อยๆ ไล่จากชั้นล่างขึ้นมาทีละชั้นทิมก็ถามขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูมีเรื่องคิดๆ นะ”
เดิมทีที่คะน้าตั้งใจจะหันกลับไปต่อปากกวนประสาทกลับ
แต่เมื่อเห็นสายตาที่ดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้งของทิม เขาก็ได้แต่รับคำเบาๆ
แล้วก้มหน้าไม่ได้พูดอะไรอย่างที่ตั้งใจออกมา กระทั่งประตูลิฟต์เปิดออก
คะน้าค่อยๆ ก้าวเข้าไปในลิฟต์ กดชั้นที่ตัวเองจะลงไป ไม่ช้าประตูลิฟต์ก็ค่อยๆ ปิดลง
“เดี๋ยว!” เสียงทิมตะโกนมาจากที่เดิม คะน้ากดประตูลิฟต์ให้เปิดออกขึ้นอีกครั้ง
แต่แล้วคนที่ตะโกนเรียกก็ไม่ได้พูดอะไร จะคะน้าตะโกนถามด้วยความสงสัย
“อะไรเหรอ”
“เปล่า ไม่มีไร”
ทิมก้มหน้าก้มตาไม่รู้ไม่ชี้อะไรเหมือนจะกวนโทสะเล่น
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่คะน้าชินเสียแล้ว ชายหนุ่มกดปิดลิฟต์อีกครั้ง
โลหะสี่เหลี่ยมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าหากันช้าๆ ภาพสุดท้ายก่อนที่ประตุลิฟท์จะปิดลง
คือท่าท่างประดักประเดิกของทิมก่อนที่เขาจะหันหน้าไปด้านข้าง
แล้วขยี้หัวตัวเองไปมาเหมือนไม่รู้จะทำอะไร ใบหน้าก้มต่ำผิดกับทุกที
และใบหูที่ดูเป็นสีแดงระเรื่อเหมือนคนโดนบิดหูแรงๆ มา
ความรักคืออะไร
ต่อให้ถามคนเป็นร้อยคน ก็คงจะมีร้อยคำตอบที่แตกต่างกันออกไป
จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากอย่างนั้นหรือเปล่า
จะเป็นเรื่องที่ทำให้เราทุกข์ใจแบบนี้ไหม คิดว่าคงไม่ใช่
เพราะหากมันเป็นสิ่งที่ยุ่งยากจริง ทำไมใครๆ ต่างก็อยากครอบครองมัน
ความรักคืออะไร แล้วจริงๆ แล้วเรารู้สึกยังไงกับหัวใจของตัวเองกันแน่
เวลาที่อยู่ใกล้กับทิม ไม่มีสักครั้งที่ไม่รู้สึกอึดอัด มันเหมือนกับหายใจไม่ออก
ทั้งๆ ที่เราก็ยังหายใจตามปกติ ทุกครั้ง เวลาที่อยู่ใกล้ เดี๋ยวก็รู้สึกสั่นเหมือนกับ
คนที่เจออากาศเหน็บหนาว บางครั้งก็ร้อนวาบเหมือนกับเจอไฟลน
ไม่เคยมีสักครั้งเลยที่ได้รู้สึกเป็นตัวของตัวเอง ทุกอย่างเป็นเรื่องยาก ...ยากเหลือเกิน
...บางคนบอกว่านี่คือความรักเวลาที่อยู่ใกล้กับตุล มันมีแต่ความรู้สึกสบายใจ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำให้เรารู้สึกได้ว่าเราสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่
อยากทำอะไร มันทำได้ทุกอย่าง เวลาที่เห็นตุลมีความสุข
มันรู้สึกเหมือนกับเราก็สุขไปด้วย แต่เวลาที่เห็นเขาทุกข์ มันทรมาน
มันหงุดหงิดไม่สบายใจ อยากให้ตุลมีความสุข ...อยากเห็นรอยยิ้มของตุลอีกครั้ง
...บางคนก็บอกว่านี่คือความรักถ้ามันคือความรักทั้งคู่ รักทั้งคู่เหมือนๆ กัน
ความรู้สึกมันก็ควรจะเหมือนกันไม่ใช่หรือ
แต่นี่มันต่างกัน ...ต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย
เปิดดูโทรทัศน์รายการอะไร หรือจะเปิดเพลงเพราะๆ ให้ดังแค่ไหน
แต่มันก็เท่านั้น ไม่สามารถสลัดคำถามมากมายที่มีอยู่ในใจเหล่านี้ไปได้เลย
ลงท้ายคะน้าก็ได้แต่นั่งจับเจ่าอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน กระทั่งเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
“คิดแล้วเชียวว่าต้องอยู่ ได้ยินเสียงเพลงไปถึงที่ห้องเลย”
“อ้าว ตุล” คะน้ายิ้มรับและเปิดประตูต้องรับอย่างยินดี ร่างสูงยิ้มร่า
พร้อมชูสปาเก็ตตี้จานโตขึ้นสูง กลิ่นหอมของอาหารคละคลุ้งขึ้นมาทันที
“มีเยอะ มาแบ่งกันกินนะ” เพื่อนบ้านที่เริ่มกลายเป็นเพื่อนสนิทจึงเดินเข้ามา
ก่อนที่คะน้าจะปิดประตูแล้วเดินนำเข้าไปในครัว
“เยอะแยะเลย แบ่งกันกิน”
“อะไรน่ะ หน้าตาเข้าท่าดีนะ” คะน้าเดินมาสูดจมูกใกล้ๆ
ความที่เป็นคนทานง่าย อาหารไม่เคยมีปัญหากับคะน้าเลยสักอย่าง
“นาโปลิตาน่า ใช้เส้นเฟตตูชินีทำ ไม่รู้จะไหวไหม”
คะน้ายืนเกาหัวแกรกๆ กับชื่ออาหารภาษาอิตาเลียนที่ไม่คุ้นหู
“อะไรนั่น ทำไมชื่อมันพิสดารแบบนั้น มีที่เรียกง่ายๆ ไหมน่ะหมอ”
“สปาเก็ตตี้ซอสทะเล” ตุลตักแบ่งออกเป็นสองจาน แล้วยื่นจานหนึ่งให้กับเจ้าของห้อง
คะน้าที่จ้องตาเขม็งคว้าส้อมมาหมุนเส้นเป็นวงกลมๆ
“เออ ก็แค่นั้นแหละ” หมุนเป็นคำโตๆ แล้วก็จ้วงเข้าปาก “กำลังร้อนๆ เลย”
“ไหวป่าว”
ตุลทำหน้าหวั่นๆ คะน้าเคี้ยวตุ้ยๆ ไม่ตอบอะไร แต่ยกนิ้วโป้งขึ้นมาชู
ไม่นานนักทั้งคู่ก็อิ่มพุงกาง ตุลนั่งลงบนโซฟาแล้วเอนตัวพิง
โดยมีคะน้าเดินตามมาสมทบแล้วนั่งลงข้างๆ แล้วลูบพุงตัวเองป้อยๆ
“ไหนว่าทำอาหารไม่เป็นไง หมอ”
“ก็ไม่เป็นจริงๆ” ตุลหัวเราะแหะๆ
“แล้วเมื่อกี้นี่มันอะไร จานเบ่อเร้อ” ตุลยิ้มแล้วก้มหน้าก้มตา
คะน้าเลยเอาข้อศอกกระทุ้งไปสองสามที
“มันอาหารไมโครเวฟต่างหาก” ตุลพูดเสียงเบาๆ ทำหน้าแหย “สี่กล่องเลยนะนั่น”
“อ้าวว... นึกว่าทำเอง ใส่จานมาซะหรู”
“ผมว่ายี่ห้อนี้อร่อยนะ ...ก็อยากให้ลองกินไง” ตุลรับเสียงอ่อยๆ
แม้ว่าจะเป็นเหตุผลที่แปลกประหลาด แต่คะน้าก็รู้สึกว่าอาหารนั้น
ก็สมกับราคาคุยของเพื่อนบ้านที่เป็นเจ้าแห่งอาหารกล่องจริงๆ
“เอามาทั้งกล่องก็ได้ ไม่ต้องเสียเวลาล้าง แผนสูงนี่นา ร้ายว่ะหมอ ฮ่าๆๆ”
คะน้าหัวเราะในความเจ้าเล่ห์ของตุล เจ้าตัวก็เลยตีเนียนหัวเราะกลบเกลื่อนไปตามประสา
“ฮ่าๆๆ ก็แผนสูงจริงๆ นั่นแหละ อร่อยไหมล่ะ”
“อร่อย...มมมมมมมมมมมมาก”
“ถ้าต้องทานอาหารแบบนี้บ่อยๆ ต้องทานเรื่อยๆ จะไหวไหม?”
“ไหวนะ อร่อยออก” คะน้าตอบแบบไม่ต้อวคิดให้เปลืองหัวสมอง
แน่ล่ะ ก็มันดีกว่าไข่เจียวไหม้ๆ ที่เขาทำเองเป็นไหนๆ
“ต่าย...”
“ว่าไง...” คะน้าหันมายิ้ม ตุลยิ้มตอบ
...เฮ้อ มันเป็นรอยยิ้มที่ดูน่ามองอะไรขนาดนั้นนะ
ตุลค่อยๆ โน้มตัวลงมาข้างหน้า แล้วค่อยๆ ยื่นหน้ามาใกล้
(ยังไม่จบนะ มีต่ออีกหนึ่งจึ๊กครับ)