ตอนที่1 นี่มันเรียกว่ารักฝังใจ....แนะนำตัวพอรู้จักกันจะได้คุยได้สะดวกก่อนนะครับ ตัวผมชื่อภูตะวัน หรือที่คนแถบนี้เรียกผมว่าพ่อเลี้ยงตะวัน ผมนั้นเป็นคนภาคเหนือตั้งแต่กำเนิด ต้นตระกูลก็ทำไร่ทำสวนอยู่นี่จนมั่งมีหน่อย พอรุ่นผมพ่อก็ส่งไปเรียนในกรุงเทพหวังว่าพอเรียนจบจะกลับมาจะช่วยกันทำงาน
แต่ด้วยความที่เป็นเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงทำให้ผมหลงแสงหลงสีไปพักใหญ่พอสมควร และผมก็มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนหนึ่ง ผมรักเธอมาก มากจนไม่รู้จะบรรยายยังไง ก็เลยทำให้เรียนจบป.ตรีช้าไปสองปี พอจบป.ตรีก็หาเรื่องเรียนต่อเพื่อจะได้อยู่กรุงเทพกับเธอ เพราะเธอบอกว่าไม่อยากไปต่างจังหวัดกลัวจะลำบากทั้งๆ ที่ผมรับประกันเธออย่างดีรับรองว่าจะไม่ลำบากแน่นอนเธอก็ไม่ยอม
ส่วนแฟนผมน่ะเหรอ... พอเธอจบป.ตรีพร้อมผมที่เป็นรุ่นพี่เธอปีหนึ่งก็ทำงานเป็นเสมียนบัญชีในห้างร้านแห่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ผมแนะว่าทำไมไม่ไปเป็นข้าราชการเธอก็โวยใส่ผมใหญ่เลยว่าถ้าเกิดเธอโดนสั่งให้ไปบรรจุที่ต่างจังหวัดแล้วเธอจะอยู่อย่างไง ตั้งแต่เธอเกิดมาก็อยู่แต่ในกรุงเทพตลอดเคยไปเที่ยวต่างจังหวัดที่เป็นบ้านคุณตาคุณยายแค่ครั้งเดียวเธอก็เข็ดจนไม่กล้าออกจากกรุงเทพ
ผมเลยหาเรื่องเรียนต่อป.โท(ให้จบช้าหน่อยอีกเลยเป็น 3 ปีครึ่ง) พอจบป.โท ผมจะพาเธอไปแนะนำให้รู้จักกับครอบครัวของผมที่เดินทางมางานรับปริญญาของผม ตอนแรกเธอก็เอะอะว่าไม่ว่างๆ ผมเลยบอกว่าถ้าเธอยอมไปกระเป๋าถือที่เธอบ่นนักบ่นหนาว่าอยากได้(พอมาคิดดูตอนนี้สมัยนั้นกระเป๋าที่ผมทุ่มซื้อให้นั้นแพงระยำ) ผมจะซื้อให้ เธอถึงยอมไป พ่อผมเมื่อเห็นว่าที่สะใภ้ก็ถามว่าไม่ลองไปเที่ยวบ้านที่จังหวัดเชียงใหม่ดูหน่อยเหรอ ตอนแรกเธอก็ดูเหมือนจะสนใจ แต่พอบอกว่าอยู่ต่างอำเภอ เธอปฏิเสธเสียดื้อๆ ว่าไม่ว่าง แล้วยังมีการแนะอีกว่าผมน่ะเรียนเก่งมาก จนอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยนั้นแนะนำให้เรียนต่อปริญญาเอกเลยจะได้ไม่เสียเวลา จะได้เป็นด็อกเตอร์ด้วย พ่อผมพอได้ยินอย่างนั้นก็บ้าจี้ตาม สั่งให้ผมอยู่กรุงเทพอีกเพื่อเรียนต่อปริญญาเอก
พอยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเรียนง่ายขึ้นมั้ง ผมก็เลยใช้เวลาเรียนไปแค่ 2 ปีก็ได้รับคำว่าด็อกเตอร์มาใส่นำหน้าภูตะวัน และคราวนี้ทางบ้านผมก็ยื่นคำขาดให้ว่าคราวนี้ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้านจริงๆ ห้ามตุกติก
รวมทั้งหมดแล้วผมเลยใช้ชีวิตเป็นคนกรุงเทพไป 13ปี ทีเดียว
ผมพยายามกล่อมแฟนผมให้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เชียงใหม่ด้วยกัน ตอนแรกเธอก็ไม่ยอมเธอยื่นคำขาดว่าถ้าจะแต่งงานกับเธอต้องอยู่กรุงเทพด้วยกันเหมือนเดิมเท่านั้น
ตอนนั้นผมเครียดมากจนไม่รู้จะทำยังไงเลยไปปรึกษาเพื่อนสนิทผมที่มันเป็นคนเชียงใหม่เหมือนกันแต่มันมาทำงานอยู่กรุงเทพ เพื่อนผมมันก็เลยอาสาจะไปช่วยพูดให้เพราะมันทำงานที่เดียวกันกับแฟนผม
และในที่สุดแฟนผมก็ยอมนั่งรถไฟที่หัวลำโพงไปเชียงใหม่ด้วยกันถึงแม้จะออกอาการอารมณ์เสียมากจนออกนอกหน้า พอมาถึงสถานีที่เชียงใหม่พ่อผมก็จัดคนให้เกือบทั้งหมู่บ้านมาต้อนรับด๊อกเตอร์ตะวันจากกรุงเทพถึงสถานีรถไฟเชียงใหม่เลยทีเดียว ผมยังจำได้ว่าตอนนั้นทั้งคนงานและคนในหมู่บ้านเห่อเรียกผมด็อกเตอร์ๆกันไปอีกหลายปีเลย
บ้านผมนั้นตั้งอยู่นอกเมืองเชียงใหม่ไปไกลพอสมควร ช่วงนั้นพ่อผมเพิ่งทำโรงบ่มไวน์พอดี รู้สึกว่าแฟนผมจะชอบบ้านผมมากพอควรเลยพอผมขอเธอแต่งงานอีกครั้งเธอก็บอกว่าเธอเองก็เริ่มเบื่อแสงสีในกรุงเทพแล้วเหมือนกันอยากมาใช้ชีวิตเรียบง่ายเป็นชาวสวนชาวไร่กับผม
ตอนนั้นงานแต่งงานของผมเป็นงานที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่เลยมั้ง พอช่วงงานกลางคืนผมนั้นก็ไปนั่งดื่มเหล้าเฮฮากับบรรดาเพื่อนๆ ที่อุตส่าห์เดินทางมาจากกรุงเทพเพื่อมาร่วมงานผม ส่วนเจ้าสาวของผมนั้นเหรอบอกว่าไม่อยากมาร่วมวงด้วยเพราะพอผมกับพวกเพื่อนดื่มทีไรนานตลอด พอดื่มด้วยกันมาสักพักผมเพื่อนผมก็บอกว่าอยากดูภาพสมัยผมยังเด็กๆ สิ ตอนนั้นด้วยความเมามั้งผมเลยบ้าจี้เข้าไปในบ้านเพื่อจะเอาอัลบั้มภาพมาให้เพื่อนๆในก๊งเหล้าดู
ผมถามแม่ว่าอัลบั้มภาพสมัยเด็กๆ ของผมนั้นเก็บไว้ไหน แม่บอกว่าย้ายเอาไปเก็บในเรือนหอที่สร้างเพิ่งเสร็จของผม ผมก็เลยย้อนกลับไปจะเอาอัลบั้มภาพที่เรือนหอ แต่ผมได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแปลกๆ ดังมาจากห้องนอนผม พอเปิดเข้าไปดู...ภาพที่ผมเห็นนั้นเล่นเอาสร่างเมาไปเลยครับ
เพราะสิ่งที่ผมเห็นนั้นคือภาพที่เจ้าสาวของผมกับเพื่อนสนิทของผมคนที่เป็นคนกล่อมให้แฟนผมเดินทางมาเชียงใหม่ได้ กำลังทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดบนเตียงหอของผม
พอสองคนนั้นเห็นผมก็ทำหน้าเหมือนกับเห็นผี แล้วนังสารเลวนั้นยังมีหน้ามาร้องห่มร้องไห้ขอแก้ตัว ส่วนไอ้หมอนั้นกลับนั่งนิ่งไม่พูดอะไร ตอนนั้นผมพูดไปว่า
“เงินค่าสินสอดที่อยู่ในบัญชีของเธอถือว่าฉันทำบุญสะเดาะเคราะห์ แล้วถ้าไม่อยากให้คนอื่นรู้เรื่องราวชั่วๆ ของพวกแกก็ออกไปสะ”
แล้วสองคนนั้นก็หนีออกไป แล้วอย่ามาถามผมนะครับว่าเรื่องราวของพวกมันนั้นเป็นยังไง
คืนนั้นผมนั่งอยู่ในเรือนหอนั้นถึงเช้าคนงานก็มาตามผมให้พาสะใภ้คนใหม่ไปทานอาหารกับพ่อปู่แม่ย่าที่บ้านใหญ่ ผมเลยบอกว่าไม่มีสะใภ้อะไรที่ว่านั้นอีกแล้ว และก็สั่งให้ปิดตายเรือนหอนั้นทิ้งสะ เพราะผมไม่อยากนึกถึงภาพที่ตัวเองถูกสวมเขาในคืนงานแต่ง
แล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องที่เจ้าสาวผมหนีไปกับชายคนรักอื่นนั้นแพร่ไปได้ไง น่าจะเป็นพวกหน่วยเติมสีใส่ไข่เติมสะจนมันเหมือนกับเรื่องจริงแต่ผมก็ไม่ทำอะไรหวังจะให้เรื่องมันซาลงไปเอง เพราะจะให้ผมเอามือไปปิดปากคนทั่วทั้งหมู่บ้านคงเป็นไปไม่ได้
หลังจากนั้นผมก็ทุ่มเทชีวิตให้กับงานที่สวนที่ไร่อย่างเต็มที่ พอผ่านมาได้ซักเกือบปี พ่อผมก็อยากขยายโรงบ่มไวน์เพิ่มตอนนั้นรู้สึกว่าในพวกทีมก่อสร้างนั้นมีนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งมาด้วยจากที่กรุงเทพ ผมก็ไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษอะไรเพราะก็มีพวกนักศึกษาฝึกงานทำเรื่องมาขอฝึกงานที่ไร่ผมนั้นตลอดทั้งปี
จนกระทั่งวันที่ทำโรงบ่มไวน์เพิ่มเสร็จนั้นก็มีการเลี้ยงฉลองคนงานกันผมเองก็ต้องร่วมด้วย ตอนนั้นดื่มเข้าไปเยอะพอสมควรเลยแหละ หลังจากคืนวันแต่งงานที่ล้มเหลวผมก็ไม่ได้ดื่มเหล้าจนเมาขนาดนี้ แล้วไอ้เด็กฝึกงานที่ท่าทางจะคออ่อนนั้นเริ่มเมาปากก็เริ่มพล่อย
“ผมด้ายฟางมาจากคงแถวๆ นี้ ว่า ไอ้ บ้าง ร้าง ที่ ปิด ตาย น้าน น่ะ เป็น เรือน หอ ดอก เต้อ ที่โดงเจ้าสาวห้ากอกหนีปายกะคงอื่น ทำจายม่ายได้จงต้องปิก บ้านทิ้งเลยเจงเหรอครับ” เสียงนั้นพูดชัดบ้างไม่ชัดบ้างถามขึ้น
“ถ้ามันจริงมึงจะทำไงหึไอ้หนู” ผมถามอย่างขำๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ ที่ทำให้ตอนนั้นผมไม่ลุกขึ้นมาเอาลูกตะกั่วให้มันกิน
“แหม... ถ้าเป็นโผมนะก้อจาเอา กุงแจมือม้าดไว้ แล้วฉีกเสื้อมานออก แล้วทำให้มันไม่กล้าหนีโผมปายหนายไง ฮ่าๆ”
“เจ๋งดีว่ะ มึงชื่ออะไรว่ะ”
“โห ด็อกโผ้มมาอยู่ต้างนาน จนจากลับแล้วยังม่ายยยรู้ชื่ออีก เดี๊ยะๆ บอกให้ จามไว้ห้ายขิ้งจายนะ....”
“ผมชื่อเอกลักษณ์ครับ หรือพ่อเลี้ยงจะเรียกว่าเอกเฉยๆ ก็ได้นะครับ เคยมาเป็นเด็กฝึกงานกับพ่อเลี้ยงตอนสมัยเป็นนักศึกษาอยู่ไม่รู้ว่าพ่อเลี้ยงจะจำได้รึเปล่ามันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ผมมาเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างรีสอร์ตภูตะวัน ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
....จำได้ขึ้นใจอยู่แล้วล่ะ...นายเอกลักษณ์ หนึ่งเดียวที่ไม่มีใครเหมือน...
------------------------------------------------------------------------------------------
อยากให้ไปฟังเพลงต่อค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=6J1ZS06ZSTEจบตอนที่1 น้ำซุปผัก กินเรียกน้ำย่อย แล้วค่อยมาช่วยกัน เคี่ยว ซุปเลือดกระดูกหมูกันในตอนที่สองนะคะ